560422_ขอบุญโฮมปฐมอโศก โดยพ่อครู
เรื่อง คนจนที่มีบ้านมากที่สุดในโลก


         ขอบุญโฮมวันนี้ ก็จะได้แจ้งให้ทราบ พวกเราทุกวันนี้ ผ่านงานตลาดอาริยะมา ก็ได้ลองกำลัง เป็นงานลองกำลัง ของชาวอโศก ดูซิว่าจะตายไหม? ลองกำลังแล้ว ไม่ตายแฮะ ผ่านมาได้ด้วยดี เป็นการลอง สมรรถนะ

เราเปิดสังคมของเราออกไป ขยับไปตามลำดับ ตามธรรม พ่อครูก็ไม่ได้คิด วางแผน ไว้หรอก ทุกอย่าง เกิดไปตามเหตุตามปัจจัย เสร็จแล้ว ก็ไปเร่งกัน จะเป็นจะตาย พ่อครู ก็นึกว่า เรือลำใหญ่ ๓ ลำนี่ มันยังไม่เป็นท่าเลยนะ เร่งกันทำ จนวันลงน้ำ พื้นก็ยังไม่เสร็จ หลังคา ก็ยังไม่เรียบร้อย ราวสแตนเลส ก็ยังไม่เสร็จดี พื้นปูแล้วก็ยังได้ขัด แล้วยังไม่ได้ ลากลงไป ในน้ำเลยนะ แล้วก็ไม่ใช่ว่า ลำเล็กๆ ลากก็ไม่ใช่ง่ายๆ

กลัวอย่างเดียว คืออุปัทวเหตุ เพราะเราย้ายของใหญ่ ของสูงของหนัก เสร็จแล้ว งานผ่านไป ก็ไม่มี แน่นอนก็มีบาดเจ็บเล็กน้อย มีบ้าง แต่ไม่มีถึง แขนหักขาหัก ก็แสดงว่า พวกเราเอาจริงเอาจังกัน บางคืนเขาอยู่กัน ถึงยันรุ่งแน่ะ บางคืนตีสาม เสร็จแล้ว เมื่อเอาลงก็บอกว่า ปีหน้าไม่ใช่มีแค่นี้นะ แค่ ๕-๖ ลำ ต้อง ๑๐ ลำขึ้นไป ได้ ๒๐ ลำก็ดี เขาก็ร้องว้า นี่ไม่รู้ว่า ปีหนึ่ง จะได้ลำหนึ่ง หรือเปล่า แต่ถ้าเร่งอย่างในงาน ภายในสองเดือนได้ ๓ ลำ แต่ในภาวะไม่เร่งรัด จะได้ปีละลำ หรือเปล่าไม่รู้ พวกเรานี่ ยังไงไม่รู้ ถ้าเอาจริงน่ะได้ทั้งนั้น ถ้าไม่เอา มันก็ไม่เห็น จะได้อะไร พอจะเอาเข้าจริงๆ ทำได้ สมรรถนะมีพอ ทำได้อย่างกับ กดปุ่มเลยนะ

เรื่องวัตถุก็แล้วไป แต่เรื่องของมนุษยชาติ พ่อครูว่าได้รับความสำเร็จนะ ใครได้ยิน เสียงสะท้อน ว่าจะบ้าหรือ ทำอะไรไปนะ ก็ไม่มีเสียงอย่างนั้น ไม่มีกระแสลบเลย พ่อครูว่า พวกเราทำ ก็จะมีบุกรุก ละเมิดบ้าง แต่เรื่องของนามธรรม เรื่องของจิตวิญญาณ เราแสดงออก เป็นจิตวิญญาณผู้ให้ ของคุณธรรม จนมีฤทธิ์มีอำนาจ จนสามารถยัน ให้สิ่งที่เรา อาจไปละเมิดเขาบ้าง แต่คุณธรรมพวกนี้ ทำให้เขาไม่ถือสา หรือถือเป็นเหตุ ให้มาว่าพวกเรา ทำเสียหาย มันกลบไปหมดเลย

ในพฤติกรรม คุณธรรม เสียสละ ช่วยเหลือกันด้วยจิตใจดี ไม่แย่งไม่ชิง ไม่เอาเปรียบ เอารัด แล้วก็มีความจริงใจด้วยว่าให้ สละ เผื่อแผ่แก่ผู้อื่น อันนี้รู้กันทั่วโลก จิตวิญญาณ แบบนี้ ไม่มีใครปฏิเสธ ว่าไม่ใช่เรื่องดีงาม ไม่ว่ามนุษย์กลุ่มไหน จะเป็นผีตองเหลือง ก็ตาม หรือเงาะป่าซาไก ก็ตาม เขาก็ตรวจสอบ ว่ายังมีเหลืออยู่ ๖๐ กว่าคน มี ๒ ครอบครัวใหญ่

แม้คนป่าคนดอย แต่ถ้าเรื่องของความให้ ความเสียสละ ก็จะรู้กันทั่ว ว่าเป็นสิ่งดี แม้จะเห็นคน ฉลาดชั่ว จิตใจโกง ก็ปฏิเสธว่าคุณธรรมการให้ การเสียสละ คือสิ่งดี เรามาเลิก ความเห็นแก่ตัวจริงๆ มามักน้อยสันโดษ
๑. เรากินใช้ไม่มาก มักน้อยสันโดษ
๒. เราไม่สะสมกักตุน
๓. เราสร้างสรรขยันเพียร
๔. คุ้มกินคุ้มใช้เหลือกินเหลือใช้
๕. เราสะพัดออก แจกจ่ายเจือจาน

ดังนั้น เราจะไม่จน นอกจากไม่จนแล้ว แจกด้วย เพราะเราเรียนรู้จริงๆว่าชีวิตนี้ ต้องมักน้อยสันโดษ พ่อครูเคยเขียนโศลกว่า ชีวิตเหมือนยอดหญ้า ถ้าเราถึงสาระสัจจะ ชีวิตแล้ว จะเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องไปบำเรอมาก ไปปรุงแต่ง ให้ผลาญฉิบหาย ปรุงไม่ยับยั้ง บรรลัยจักร เรารู้ว่า ปัจจัย ๔ อาศัยกินใช้แต่น้อย และเรารู้ว่า เราจะสร้างสรร ได้เท่าเทียมเขา แต่ต้นทุนหลัก คือเราไม่ไปหลงใหล ปรุงแต่งอย่างเขา เราต้นทุนต่ำ แต่ขยันทำ สร้างสรร เราไม่รวย แต่จะมีสมบัติ ส่วนกลาง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

๑. ไม่มีใครมายึดของเรา ๒. ไม่มีใครมาแบ่งเอาไป ๓.มีแต่ขยันหามาเติม  แล้วจะไม่มีมาก อย่างไรไหว อยู่ไปอีก ๑๐๐ ปี ก็ไม่มีใครจะสามารถ โค่นเศรษฐกิจ แบบนี้ได้ ตอนนี้ เขายังไม่รู้ ไปหาเศรษฐศาสตร์ อะไรที่จะยิ่งใหญ่ แต่ก็ใช้ไป อย่างนั้นๆ อย่างเมื่อก่อน แบบคอมมิวนิสต์ กับทุนนิยม มาต่อสู้กัน ทำท่าว่า คอมมิวนิสต์จะชนะ แต่ต่อมา ทุนนยิมก็ชนะ ที่จริงคอมฯ นั้นก็จะดี ที่แบ่งกันกินกันใช้ เท่าเทียม แต่ว่าคนมีกิเลส จิตมันไม่จริง ไม่ได้ล้างกิเลส เห็นแก่พรรคพวก เห็นแก่ตัว ไปได้ ๗๒ ปีก็ล้ม

ทุนนิยมนั้น มักมาก แต่คอมมิวนิสต์นั้น มักน้อย แต่เขาทำใจไม่เป็น ไม่เข้าถึง จิตวิญญาณ ล้างกิเลสตัวจริงไม่ได้ แต่ของเรา ล้างกิเลสได้ แต่ทุกวันนี้ ก็ยังดีกว่านี้ ได้อีก เพราะกิเลส ยังไม่หมด พ่อครูถามว่า ใครกิเลสหมดแล้วบ้าง.....

จิตที่เราพอสันโดษแล้ว มันพอจริงๆ เสื้อผ้าเรามีแค่นี้ พอจริงๆ เขาจะประโคม หลอกกัน มากมาย แล้วเราก็ไม่หลง ไปกับเขา เสื้อผ้าก็ตาม บ้านช่องเรือนชานก็ตาม มันจะประกวด แข่งกัน เพื่ออวดอ้างก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่า อีกหน่อย ไม่มีนายทุนคนใด มีบ้านอยู่มาก เท่ากับชาวอโศก จะอยู่ภาคไหน ก็มีชาวอโศกอยู่ จะอยู่ชายทะเล หรือภูเขา ขนาดพวกเรา ยังไม่ทั่วไป มากมายนะ ต่อให้นายทุน เขามีบ้านรับรองมากมาย ก็ไม่เท่าอโศกหรอก  เพียงแต่ว่า ใครจะไปชอบ บ้านหลังใหญ่หลังโต เท่านั้น ถ้าเข้าใจ บ้านใหญ่ก็กวาดเช็ดถู เหนื่อยเป็นภาระ เพราะเราไม่มีกิเลส ไปเบ่งข่ม อวดอ้างใคร เรามีบ้านเพื่อสาระ เพื่ออยู่อาศัย ใช้สอย ขืนมีบ้านใหญ่ ก็ต้องจ้างคนใช้ จริง บ้านของ คนใช้นะ เขาอยู่มากกว่า เจ้านายอีก อุตส่าห์ไปหาเงินมา เพื่อซื้อบ้าน จ้างคนมาอยู่ แต่ตนไม่อยู่ แต่ก็ได้หน้าได้ตา เป็นเจ้าของบ้าน เป็นนาย แต่โดยเนื้อหา สาระแล้ว ใครเป็นเจ้านายกันแน่ อะไรคือสาระ อะไรคือเนื้อแท้

ชีวิตรู้จักสาระ ก็อยู่อย่างพวกเรา ขณะนี้บ้านในชุมชนอโศก บ้านของคนที่ยังมี ความหลงใหญ่ หรูหรา ก็มาสร้างหลังใหญ่ สร้างตามจิตของเขา ต้องงาม ต้องหรูบ้าง เขาก็จะสร้างลง ในชุมชนอโศก สร้างไปๆ อีกหน่อย ถ้าภูมิธรรมเขาสูงขึ้น เขาก็จะให้ ส่วนกลาง คนที่มาใหม่ ก็จะเสริมมาอีกเรื่อยๆ แล้วก็จะหลายหลัง จะหลังโตขึ้นเรื่อย คนที่เป็นสมาชิกอโศกนั้น ไม่คิดสร้างใหญ่โต แต่คนที่มาทีหลัง คนข้างนอก ก็จะสร้างใหญ่ เขาก็จะงง ว่าอโศกจน แต่ทำไม สร้างใหญ่โต เขาจะว่า เราโกหก แต่ว่าเราไม่ได้โกหก เป็นสัจจะความจริง เราไม่ต้องงง ไม่ต้องสงสัย

แต่ก่อนเรากำหนดบ้าน ว่าไม่ให้โตเท่านี้ แต่ตอนนี้ เราไม่ค่อยกำหนดเรื่องใหญ่ ก็จะค่อยเป็น ค่อยไป ยิ่งส่วนกลางยิ่งช่วยกันสร้าง ต้องทำใหญ่ ให้เหมาะสมกับงาน ก็จะเป็นไปเอง คนข้างนอก เขาไม่เชื่อ ขนาดเราทำ ตลาดอาริยะ 8705 sms มาว่า ขนาดพธร.  เอาเงินมาจัดตลาด ๖ ล้าน แล้วหลอกล่อ ได้เงินมาเป็น ๑๐๐ ล้าน ซึ่งเขาไม่เข้าใจ

เราจะได้เงินมาจากไหน เงินเราลงทุนไป รวมที่ไปซื้อของมา ตั้ง ๑๐ กว่าล้าน แล้วเอามาขาย ต่ำกว่าทุน เราจะให้ขาดทุน (คือกำไร) ประมาณ ๖ ล้าน มีค่าของที่เรา จะขาดทุน ประมาณ ๓.๕ ล้าน นอกนั้น ก็ค่าข้าวของอื่นๆอีก ค่าอาหาร ก็รวมทั้งหมด ประมาณ ๗ ล้าน แต่ถ้าเราคิดค่าแรง คนมาเป็นหลายร้อยคน มาช่วยกัน ถ้าเราจ่าย ค่าแรงอีก ก็คิดจริงๆอีก มีค่าเช่าเต๊นท์ เครื่องขยายเสียง ค่าเรือ ค่าน้ำมันอีก จริงๆแล้ว เกิน ๑๐ ล้านบาท ถ้าให้ข้างนอกทำ ก็ไม่ต่ำกว่า ๕๐ ล้านบาท แต่พวกเราทำได้ นี่เป็นเรื่องของ ประสิทธิภาพ เศรษฐศาสตร์บุญนิยม แม้เล็กน้อยๆ เราไม่ได้คิด รวมต้นทุน อีกต่างหาก

อันนั้น เป็นเรื่องอุปกรณ์วัตถุ ที่เราใช้ เราคนจน แต่เราทำอย่างกับ คนรวยมาก ว่ากันว่า เราทำกันอย่าง สุรุ่ยสุร่ายนะ เราไม่กระเหม็ดกระแหม่ ทีเดียว ถ้านายทุนจริง เขากระเหม็ด กระแหม่นะ เขาเก็บทุกเม็ด นี่คือความซับซ้อน ถ้าเรารู้จักมัธยัส ประหยัดอีก จะดีกว่านี้อีก ขนาดเรา คนไม่มาก ก็ทำได้เป็นรูปธรรม ขนาดนี้

ถ้าเรามีคนเป็นหมื่น จะเป็นอย่างไร ที่เราทำตลาดอาริยะ ก็ใช้คนเป็นพันเท่านั้น ถ้าเรือนหมื่น ถ้าเรือนแสน จะทำอะไรก็ได้ สำเร็จ ขนาดที่เรา ทำมาขนาดนี้ ก็ไม่คาดฝัน ว่าจะทำสำเร็จ

เมื่อวานพายุ ลงที่บ้านราชฯ เรือใหญ่ ประมาณ ๘ ลำ ที่เราจอดริมมูน แพทานตะวัน ลมพัด หายไปหมดเลย และเบียดกัน พังหลังคาบู้บี้ เราไปตามเก็บกันมา เกือบจะครบแล้ว ไปตามลากกันมา พายุแรง ขนาดกอไผ่ หน้ากุฏิ ท่านถักบุญ ถอนราก โค่นเลย มันมาประมาณ ๑๔.๐๐ น. เป็นพายุหมุน ที่ตลาดพืชผัก มีปะสร้อยแก้วอยู่ เขาว่าลมมันมา เขาไม่รู้ทำอย่างไร ก็เดินไป วนหลบอยู่ที่ต้นตาล มันลมพายุหมุนมา ขนาดเรือใหญ่ เรามัดผูกไว้ ยังไม่อยู่เลย แต่แปลก ที่เต๊นท์ ลานเบิ่งฟ้า ไม่เป็นไร

เราไม่รู้ได้ว่า วิกฤติจะขนาดไหน ได้ข่าวว่าที่จีน ก็มีแผ่นดินไหว ตายไปหลายร้อยคน แต่พวกเราเจอ ก็เป็นหางๆ ตั้งข้อสังเกตว่า ตลาดน้ำ อยู่ติดลานเบิ่งฟ้า แต่ไม่เป็นไร ดีที่เราเก็บเต๊นท์ ที่ริมมูนแล้ว ซุ้มพืชผัก ล้มระเนระนาดหมด ,เรือแงกเบิ่งแน นั้นเสาหัก

เราทำงานนั้น มีความซับซ้อน ทั้งวัสดุ ทรัพย์สิน เพราะจิตวิญญาณพวกเรา ได้เรียนรู้ถึง ความไม่สะสม ไม่กอบโกย เห็นแก่ได้ เป็นความไม่ยึด ว่าเป็นเรา เป็นของเรา โดยแท้ เป็นการพิสูจน์คำสอน พระพุทธเจ้า การไม่ยึดเป็นเรา ก่อการสร้างสรร เอื้อเฟื้อเจือจาน อย่างสูง ถ้าคิดอย่างโลกๆ เราขาดทุนไป หลายสิบล้าน จนตายไหม ...ไม่ตาย  เรารวยหรือ? ตอบว่า เราไม่รวย เราไม่จน ซึ่งเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า เป็นคุณสมบัติ ที่ไม่เป็นตน เป็นของตน

พอมารวมกัน มันเห็นอย่างชัดเจน ไม่เป็นตนเป็นของตน แต่อยู่อย่าง ช่วยเหลือเฟือฟาย แต่อยู่อย่าง ไม่กังวล อยู่อย่างสุขสบาย มันเป็นความรู้สึก ของพวกคุณ ทุกคน ก็ต้องไปตรวจความจริง ของแต่ละคน มีสุขจริงไหม ถ้ามันจริง มันก็มี ถ้ามันมี มันก็เห็น ความจริงขึ้นมา พ่อครูว่า ได้ประสบ ผลสำเร็จ ของความจริงที่ได้มา ให้พวกเราทำ มีทั้งรูปธรรม-นามธรรม มาอธิบาย เพื่อเป็นเครื่องชี้วัด ว่ามันเป็นจริง เป็นได้ แม้ไม่ง่าย แต่เป็นได้ อย่างเห็นได้ สิ่งนี้พ่อครูว่า เราทำงานมาแค่ สี่ทศวรรษ พวกเราทำ ตลาดอาริยะ มา ๓๔ ครั้ง เราก็สามารถ เห็นความจริง ที่จะเอามาชี้บ่ง ว่าที่เราทำกับ มนุษยชาติ ว่าพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ นั้นมันเป็นไปได้

พวกเราจะอ่านจิตตน ว่าเป็นอรหันต์ นั้นไม่ง่าย เพราะเรายังไม่มี มาตรวัดจริง แต่ความเป็นอรหันต์นั้น มีเป็นรอบๆ แต่มีอรหันต์ของโสดาบัน ของรอบอื่นๆอีก แต่พ่อครูไม่ได้พาจบ แต่พาทำไปข้างหน้า มันจะหนักขึ้น พ่อครูเอา แม้ผู้หมดกามาสวะ หมดภวาสวะ หมดอวิชชาสวะ ก็ยังมีความกระวนกระวายใจ (ทรถ) เพราะเหตุ ยังมีชีวิตอยู่ นี่แหละ จะเข้าใจยาก ตัดกรอบยาก ว่ามาหมดทุกข์แล้ว ทำไมยัง กระวนกระวายใจ

คำว่า ทรถา(ทรถ) แปลว่าความกระวนกระวายใจ ความทุกข์ ความลำบาก แต่มันทุกข์เพราะ สภาวะเรา ยังมีชิวิต แต่ชิวิตอรหันต์ คือผู้เสียสละ มีชีวิตเพื่อผู้อื่น ทำประโยชน์แก่โลก เพราะท่านไม่มีตัวตน ก็ทำเพื่อคนอื่น แม้หนักหนา เหน็ดหนื่อย ท่านก็ทำ แม้จะทำงาน ก็มีความกังวลใจ ที่จะต้องคิดคำณวน จัดการประมาณ เร่งรัดทำ โดยสภาวะ แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นไปได้เท่านี้ ก็วาง ในขณะยังมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ดี ให้มีประโยชน์สูงสุด ก็ต้องเร่งรัด ก็เลยยาก ที่จะมาอ่านตัวเองว่า อรหันต์ มีจิตอย่างไร

ความจริงอรหันต์ของ พระพุทธเจ้านั้น จะรู้ตัวยาก แต่อรหันต์สายฤาษีนั้น จะรู้ง่าย แต่ไม่จริง แต่ผู้ที่วางแล้ว ได้จริง เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ฯ ถ้าทำจริง สูงสุดแค่ ๗ ปียกไว้

ในเรื่องของการวางตัวตน พวกเรามีแล้ว ในเรื่องการยึดวัตถุ พวกเราไม่มีปัญหา อะไรหรอก มันพอแล้ว สมมุติว่าที่สุดว่า ต้อย(ปลูกขวัญ) ตกลงเป็นอัมพาต พรุ่งนี้ จะกังวลใจไหม  ก็ไม่กังวลใจหรอก ก็มันสุดวิสัย มันต้องเป็น ภาระคนอื่นหน่อย เรามั่นใจว่า ระบบสาธารณโภคี พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ ถ้าเราไม่เป็น หมาหัวเน่าในนี้ อย่างเล้งก็อยู่ที่นี่ จนตาย เราก็ไม่มีปัญหา ดูแลกันไป จนกว่าจะตายจากกัน แม้แต่คนแก่ คนเฒ่า ก็อยู่กัน

ให้พวกเราสังวรว่า ไม่มีใครแกล้งป่วย ให้เป็นภาระคนอื่นหรอก จริงที่สุด งอมที่สุด ก็ตาย จะงอมขนาดไหน ช่วยตนเองไม่ได้ สักวันก็ต้อง หล่นจากขั้ว ไม่ต้องไปนึก ในใจว่า เมื่อไหร่จะตายๆๆๆ เราสร้างเมตตาไปเถอะ และถ้าจะมีคน อย่างนั้นจริงๆ ก็มีไม่มาก อย่าปล่อยให้หนัก คนใดคนหนึ่ง ถ้าเราช่วยกัน สังคมเราจะอบอุ่น ช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ ถ้าจิตเราเจริญกว่านี้ จะเยี่ยมยอด ที่พูดนี้คือ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ แม้รัฐศาสตร์ ก็ปกครองอย่างไม่ปกครอง บริหารอย่างไม่บริหาร ทุกคน ต่างรู้จักว่า อะไรควรช่วยอะไร เพราะแต่ละคน ไม่เห็นแก่ตัว คำนี้ยิ่งใหญ่ ฟังให้ดี แล้วเอาไปคิด..........
จบ
                     

 

 
ขอบุญโฮม 22 เมษาน ๒๕๕๖ ที่ปฐมอโศก