560509_โอวาทวันสวดปาติโมกข์ ที่สันติอโศก โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
 

         ตอนนี้แต่ละคนนิ่งๆไม่ค่อยกระดุกกระดิกเท่าไหร่ ข้อสำคัญไม่กระดุกกระดิก ในการไม่พิจารณาธรรม ไม่ค่อยเอาใจใส่ ในการที่จะรู้ในทุกอิริยาบถของเรา ใน สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตะ ผัสสะ  เวทนา ไม่ใช่แค่ภาษาท่อง แต่เราต้องมี กายคตาสติ รู้องค์ประชุมทั้งหมด ที่ดำเนินไปอยู่ในชีวิต เราต้องอ่านองค์ประกอบ ทั้งนอกและใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี พหิทธา รูปานิ ปัสสติ  ต้องมีสติเห็นจริงๆ

ถึงวันนี้ พ่อครูได้ศึกษา มีนิรุตติปฏิภาณเพิ่มมามาก ต่างจากสมัยก่อน ที่ภาษาผิดไปบ้าง แต่ตอนนี้ ได้ยืนยันหลักฐาน จากพระไตรปิฎก ที่ท่านทั้งหลาย แปลกันมาผิดๆ ก็ต้องทำ ความจริงอธิบาย เอาสภาวะเป็นหลัก ในการอธิบายธรรมะ ซึ่งการแปลนั้น ในแต่ละบริบท ไม่เหมือนกัน อันไหนที่พ่อครูว่ามันผิด ก็ต้องค้านแย้ง เพราะถ้าไปยึดถือ ความผิดว่าถูก เราก็ต้องแก้ไข

ไม่สามารถบังคับให้ใครมาเชื่อถือหรอก เพียงแต่บอก สิ่งที่ถูก โดยไม่มีจิตข่ม หรือไปริษยาเขา แต่อย่างใด แต่มีใจสงสารเห็นใจจริงๆ อย่างเขาด่ามาสารพัด ก็มีคุณ 8705 สงสัยจะรับจ้างมา  ยิ่งไม่เอาขึ้นให้ ก็ยิ่งโกรธแค้นใหญ่เลย ก็มีคนพริ้นท์ มาให้พ่อครูดู

ในพระไตรปิฎก ยิ่งเล่มสูงๆไปอภิธรรม ยิ่งละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน หลายเรื่อง ยังตามพยัญชนะ ไม่ถึงสภาวะเลย ท่านจะแปลมา ก็ยังไม่ถึงสภาวะ อย่างเช่น ชาติ  ๕ อย่าง คือ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ที่ท่านฟุตโน้ตไว้ว่า เป็นการเกิด ๔ แบบ และว่า อภินิพพัตติ คือ โอปปาติกโยนิ ซึ่งพ่อครูคิดว่า มันไม่ถูกต้อง การเกิดใน ปฏิจจสมุปบาท นั้นเป็นการเกิดของ โอปปาติกโยนิ ทั้งหมด

ชาติ คือคำกว้างๆ ชาติปิทุกขา การเกิดใดๆก็ทุกข์ แม้อรหันต์หายใจเข้าออก ก็คือการเกิด ก็มีทุกขันธ์ มีอาหารปริเยติทุกข์ ต้องแสวงหาอาหาร ต้องมี "ทรถ"

อย่างในพระไตรปิฎก ล. ๑๖ เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท นั้นละเอียดมากเลย จากสูตรแรก แจกแค่ ปฏิจจสมุปบาท ทั้งหมด พอขึ้นวิภังคสูตร ก็แยกแยะ ชาติ มี ๕ , ภพ มี ๓ , อุปาทาน มี ๔ , เวทนา มี ๓,  ผัสสะมี ๖, อายตะ มี ๖, นามแจกไป ๕, รูป แจกไป ๒

เป็นหลักฐานว่า ต้องปฏิบัติอย่างไร อย่างเช่น เวทนา ๖ ตัณหา ๖ ผัสสะ ๖ วิญญาณ ๖ อายตะ ๖ ก็ชัดเจนว่า ปฏิบัติต้องมี ๖ ทวาร ต้องมีองค์ประกอบ คือกาโยครบ ๖

ท่านอธิบายไปถึง กายสังขาร  จิตสังขาร วจีสังขาร นั้นก็ไม่ง่ายเลย อย่างคำว่า กายสังขาร นั้นก็รวมทั้ง จิตสังขาร วจีสังขาร ไปด้วยเลย การจะเข้าใจชัดได้ ต้องมีภูมิรู้ใน สังกัปปะ ๗ (ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขาร) เป็นการ ปรุงแต่งในจิต ออกมาเป็น วจีสังขาร คุณต้องมี ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะว่า การสังขารนี้มี กาม หรือ พยาบาท ไปสังขารด้วยหรือไม่ ถ้าแยกกาม หรือพยาบาท ออกไปได้ ก็มีวจีสังขาร ที่บริสุทธิ์ จะสามารถรู้ เป็นภาษาที่เรามีอยู่ แต่อยู่ในจิต ยังไม่ออกมา เป็นการกระทำ หรือคำพูด

ต้องมีภูมิธรรมตั้งแต่ สาสวะ ไปถึงอนาสวะ แต่ปุถุชนเขาก็มี แต่เขาไม่รู้ ทำไปตาม สัญชาติ แต่สัญญะ เขาทำตามอวิชชา แต่ถ้าเราศึกษา ก็จะรู้วิธีกำจัดกิเลสได้ ปุถุชน เขาใช้ วจีสังขาร แต่ไม่รู้จัก วจีสังขาร  เขารู้เป็นรวมๆ แยกแยะไม่ได้ เขาพอรู้ตาม สามัญธรรมดา ก็จะพอรู้ว่า เราคิดในใจ แต่ถ้ามีมานะอัตตา ก็จะไม่ยอมรับเลย ปิดประตูรับรู้ ธรรมะเลย อย่างคุณ 8705 เป็นต้น ถ้าเขาเปิดรับ ก็จะพอรู้ได้ แต่เพราะกิเลส มานะอัตตา ว่ากูไม่เอาๆ ก็ปิด แล้วหาทางแย้งด้วย นี่คือกิเลส ที่ทำให้คนรับไม่ได้ ก็น่าสงสารไม่รู้ตัว

ก็ให้ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษาดีๆ มาถึงขนาดนี้ก็เชื่อว่า พวกเราก็คงมีสิ่งจริง ของตน มีภูมิของตน จริงแล้วล่ะ เพราะพ่อครูก็ไม่ได้พา ปิดตาหนีโลก อยู่ป่าเขาถ้ำ แต่ก็พา อยู่กับโลกเลย โลกเขาจะจัดจ้านรุนแรง กระทบสัมผัสเราอยู่  เราก็รู้ว่า เราจะไปอยาก น่าได้น่ามีน่าเป็น ไปกับเขาไหม เราก็เข้าใจว่า ไม่น่ามีน่าได้น่าเป็น อย่างเขาเลย ก็ไม่น่า มีปัญหา เหลือแต่ ฐีติ หยุดอยู่ ยินดีในความเนิ่นช้า ปปัญจรามตา ไปก็ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ฯลฯ ไม่เป็นไรยังไม่ตาย ป่วยเจ็บเขาก็ช่วยรักษา มันประมาท ไม่เร่งความเพียร ไม่เร่งตัวเองให้ศึกษา

การศึกษาก็คือต้องสำรวม ต้องพิจารณาอย่างแท้จริง อ่านให้ได้ทุกอิริยาบถ ใน กายคตาสติ อ่านอานาปานสติ ก็คือมีสติทุกเวลา แล้วใช้ สติสัมปชัญญะ สัมปชานะ ทุกลมหายใจเข้าออก ที่มีผัสสะ ไม่ใช่ว่า อานาปานสติ ก็คือเข้าไปอยู่ในภวังค์ แต่ให้รู้ องค์รวมของกาย ทั้งหมดด้วย ไม่ใช่เอาแต่ลมหายใจ เข้าออกเป็นกาย  ซึ่งเขาปฏิบัติ ในภวังค์ ก็จะมีแต่ลมหายใจ ที่เป็นกาย และถ้าเพ่งที่ลมหายใจ เข้าออกจริงๆเลย ก็จะไม่รับรู้ กายภายนอกได้เลย กายกระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง ยังไม่รู้เรื่องเลย มันก็อยู่กับ ลมหายใจ เข้าออกดิ่งนิ่ง แต่อย่าทิ้งกาย เพราะถ้าทิ้ง ผัสสะดับ เมื่อผัสสะดับคุณก็ดับ เป็นนิโรธดับแล้ว ไม่ได้อยู่กับ สภาวะจริง  

การสัมผัสด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันเป็นสภาวะสด สภาวะจริง พอผัสสะดับ มันก็ไม่มีจริงแล้ว   ในรูปาวจร มันกึ่งหนึ่งของการสัมผัสรูป และกึ่งหนึ่งของภายใน ในเวลา เรียนรู้กิเลส ถ้าหลับตาเอารูปเข้าไปข้างใน กายในกาย คือการสัมผัสจากภายนอก เป็นอุปาทายรูป เนื่องเข้าไป เป็นองค์ประชุม ภายในกาย คุณยังไม่ได้แปลภาษา จากคำว่า กาย นี้เป็นนามธรรม  กายมันเป็นรูปธรรมอยู่ อุปาทายรูป มันเป็นรูปธรรมอยู่ มันก็เป็น สภาพที่ว่า เช่นตาคุณเห็นรูป แม้หลับตา ก็เห็นภาพนี้ได้ ปั้นภาพได้ อาจเป็นภาพ ที่ชัดหรือไม่ ก็แล้วแต่ แต่ก็เป็นรูปหรืออรูป ให้รู้อยู่ภายใน อันนั้นเป็น รูปที่ถูกรู้ ยังไม่แปลเป็น ความรู้สึก หรือ เวทนา เป็นกายในกาย ที่เกี่ยวเนื่องกับ กายภายนอกมา

คุณปิดตาก็ไม่มีข้างนอกแล้ว คุณก็เหลือแต่ภาพที่จำได้คือ สัญญา เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใด นั่งสมาธิ แล้วก็เอาแต่ภาพภายใน คุณมีแต่ สัญญา แม้จะเป็นรูปก็เป็นของหยาบ เท่าที่ยึดติดเป็น มโนมยอัตตา ที่คุณยึดติดเท่านั้น ความจริงแล้ว รูปมันไม่มี ถ้าตาคุณ ไม่สัมผัสสด หูคุณไม่สัมผัสสด หรืออาจหูแว่วได้ กลิ่นก็เป็นอุปาทานได้ เป็น มโนมยอัตตาได้ สิ่งหลอกลวงก็คือ สิ่งหลอกก็อยู่กับของแห้ง ไม่ใช่ของสด

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องของสังขาร ชัดว่า อปุญญา แปลว่าไม่ใช่บาป มีพยัญชนะใน ล. ๑๖ พ่อครูเอา พระไตรปิฎกอธิบาย ก็เอาออกมาได้ แล้วพวกคุณ (สมณะสิกขมาตุ) ก็เอามา อธิบายได้ต่อ ทำให้เห็นรูปธรรม เข้าใจชัดเจนขึ้น พระพุทธเจ้าท่านว่า ท่านทำความละเอียด แยกแยะได้ไม่เท่า กัจจายนะ สารีบุตร เพราะต้องเป็นตามขั้นตอน

              

 
๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานสันติอโศก