560607_ทวช.งานอโศกรำลึกครั้งที่ ๓๒ โดยพ่อครู
เรื่อง

               วันนี้เป็นวันที่สองของงานโฮมไทวัง ส่วนวันที่ ๘-๙ เป็นงาน บัณฑิตศิษย์เก่า ส่วนวันที่ ๙-๑๐ เป็นงาน อโศกรำลึก
               คำว่าโฮมไทวัง คือมารวมกันของ ชาว วัง คำว่า ไทหมายถึง ชาว เช่น ไทบ้าน ก็ชาวบ้าน ,ไทวังก็ชาววัง , ไทเมืองก็ชาวเมือง, ไทเฮา ก็ชาวเรา, วังก็คือมหาลัยวังชีวิต ตอนแรก เราตั้งมหาวิทยาลัย เขาก็ไม่ให้ใช้ ผิดกฎหมาย แต่เราตั้งเพื่อจะศึกษาจริงๆ
               พ่อครูออกมาทำงานตั้งแต่พศ. ๒๕๒๖ ตอนนี้ก็ย่างเข้า ๔๔ ปีแล้ว ก็ตั้งปรัชญาการศึกษาคือ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา แล้วก็ตั้งเข้มอีกเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา แล้วก็เข้มอีกเป็น ศีลเต็ม เข้มงาน ชำนาญวิชชา ก็คือศีลเรา จากเด่น ก็เป็นศีลเต็ม เป็นต้น ก็เป็นภาษาที่สื่อให้รู้ว่า การก้าวหน้าของเรามี
               เราแบ่งการศึกษาเป็นสามอย่าง เราให้เรื่องคุณธรรม ๔๐ % เป็นงานให้ ๓๕ % วิชาการ ความรอบรู้ ให้ ๒๕ % เขาก็เรียนกัน อะไรดีเราก็เอาด้วย อะไรไม่สำคัญมอมเมา เราก็ตัดทิ้งไป ตามสิทธิ์ที่เราได้เลือก
               ตามวิธีที่พ่อครูเข้าใจ และพาทำจะเห็นได้ว่า เราไม่ทิ้งคุณธรรม ศีลธรรม ไม่ว่างานอะไร จะสนุกอย่างไร เราก็ไม่ทิ้งศีลธรรม ไม่ฟังปริยัติ ก็พาทำคุณธรรม ให้เกิดสาราณียธรรม ๖ ก็มี เมตตา กาย-วจี-มโม แล้วก็สาธารณโภคี ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ซึ่งเกิดในสังคม เป็นคุณสมบัติองค์รวม ทุกคนมีเมตตา ทุกๆกาย-วจี-มโนกรรม
               เรามีเมตตาต้องมีจริงๆ ไม่ใช่มีแต่คำพูด เราจะสร้างเมตตา ต้องเรียนรู้จิต คุณจะบังคับกาย หรือวาจา ด้วยเมตตา ก็บังคับได้ตามสำนึก ตามพลังจิตที่จะบังคับ ก็แสดงกาย -วจี ที่จะแสดงเมตตาอย่างไร คุณต้องรู้อาการ ของพฤติกรรม กาย วาจา แม้แต่อาชีพ ที่ประกอบด้วยเมตตา เป็นอย่างไร
               ของเราสร้างงานที่เลี้ยงชีพ สัมพันธ์กับสังคม เราต้องมีอาชีพ ไม่ทำร้ายสังคม ให้เป็นสังคม ที่มีการให้ เผื่อแผ่กันและกัน ซึ่งสมัยก่อน ก็มีการแบ่งแจกกัน ในวงไม่กว้าง แต่ปัจจุบันก็มีกว้างไกล หากไม่มีคุณธรรม จะเอาเปรียบเอารัด ในการแลกเปลี่ยน หรือมีการโกงปล้นเอาเลย ก็คือคนชั่วคนเลว
               การที่จะเอารัดเอาเปรียบอย่างทุนนิยม ทั้งแนวคิดและปฏิบัติ เอาเปรียบให้ได้มากที่สุด ตามหลัก Maximixe profit คือต้องได้กำไรมากที่สุด นี่คือหลักที่เขาศึกษากันทั่ว ซึ่งเสื่อมต่ำ ทำให้เกิดความคิดไม่ดี การเอาเปรียบกันไม่ดี นี่คือไม่ต้องถาม ใครตอบไม่ได้ ก็สอบตก ในความเป็นมนุษย์
               มนุษย์ต้องสร้างจิตใจให้มี สาราณียธรรม ๖ ตามพุทธพจน์ ๗ ( ) เราต้องมาฝึกฝน อบรมให้เกิด ๗ ลักษณะนี้จริง
               พ่อครูพาทำ ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชชา ก็ทำให้เกิด สาราณียธรรม พุทธพจน์ ๗ ไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่มีการระลึกถึง เผื่อแผ่กัน ทุกวันนี้ เราระลึกว่า เราจะไปค้าขาย ปล้นชิง เราจะได้เปรียบหรือไม่ แนวคิดแบบนี้ เป็นใจต่ำ ซึ่งเราเข้าใจแล้ว เราก็ไม่ศึกษาแนวคิด ไม่ทำแบบนั้นแล้ว
               ทุกวันนี้ เรามีรร.เป็นนิตินัยแล้ว อย่างอนุบาล ประถมฯ มัธยมฯ ก็ขอได้แล้วถูกต้อง ตามสากล แต่ว่าระดับ วิทยาลัย ก็ทำได้ แต่ว่ามหาวิทยาลัย เราก็ยังไม่ได้ เราตั้งเพื่อให้การศึกษาจริงๆ แก่อนุชน หรือผู้ที่ต้องการศึกษา ไม่เกี่ยงอายุ ก็ยังไม่ได้ เราก็ทำนอกระบบไปนี่แหละ เรามีว.บบบ. ก็ทำขึ้นไป ตั้งมาทำจริงๆ
               มีว.บบบ.ก็ตื่นเต้น เป็นประโยชน์มากขึ้น เพื่อเสริมเติม เราไม่ทำการศึกษาเพื่อหาเงิน หารายได้ เรามีชีวิต ให้เกิดสาราณียธรรม พุทธพจน์ มีความรัก เป็นมิติที่สูงขึ้น ไม่ใช่แค่มิติต่ำๆ ให้มีคุณสมบัติสูงขึ้น พ้นจากกาม เรื่องทางเพศ เรื่องลาภยศสรรเสริญ เรื่องเสพอัตตา เราก็ลดละกิเลส ไปตามลำดับ
               ความเจริญก็วัดจากความรักที่เจริญขึ้น ถ้าเป็นมิติที่ ๗ นี่เป็นความรัก ของพระเจ้าแล้ว ส่วนสูงกว่านั้น เป็นมิติที่ ๗ คือเรียนรู้ทั้งโลกียะ และโลกุตระ แต่ของทางโลก มีแต่โลกียะ ไม่ได้อ่านใจออก ไม่ได้เก่งฌาน สมาธิโลกียะ ที่ไปอ่านใจคนอื่น (ปรสัตตาสัง ปรปุคคลานัง คือรู้จักใจสัตว์อื่น) ซึ่งเขาเพี้ยนไปว่า รู้ใจคนอื่น แต่ที่จริงคือ การรู้จิตใจตน ที่อยู่ในภพภูมินั้น แล้วมีจิตอื่น ที่เจริญกว่านั้นหรือไม่
               จิตเจริญเรา ศีลข้อ ๑ มันทำร้ายคนอื่นหรือไม่ ศีลข้อ ๒ มันขี้โลภ จนทำร้ายโหด ร้ายต่อใครหรือไม่ ศีลข้อ ๓ ก็งดเว้นเสพกาม ศีลข้อ ๔ ก็งดเว้นเรื่องวาจาทุจริต โกหก หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ศีลข้อ ๕ ก็งดเง้นการมอมเมา
               เราต้องมารู้จักอาการจิตที่มีกาม มีโลภ มีโทสะที่รุนแรงในจิต และรู้จิต ที่เจริญของเรา จิตเจริญจากจุดเดิม คือจิตอื่น คือจิตที่ขึ้นไปสู่โลกใหม่ เรียกว่าไปสู่ สัมปรายิกภูมิ เป็นจิตที่ก้าวไปสู่ภพหน้า คือเจริญจากที่ เราวนอยู่อย่างเก่า คือฐานเดิม เมื่อเราพัฒนาก้าวหน้า จากฐานเดิม เราก็ต้องอ่านชีวิตของจิตเป็น ไม่ใช่แค่ชีวิตของกาย
               อ่านลีลาของจิต ว่ามันวนอยู่ในเรื่องใด ให้ละเรื่องต่ำๆ หลุดพ้นสู่จิตสูงขึ้น คนที่มีปัญญา พอมีแล้ว ทำให้จิตเรา เจริญได้ ก็ต้องมีญาณเห็นเลย ต้องเห็นทั้งภายใน และภายนอก ที่เป็นทั้งรูปรูป และนามรูป เป็น รูปกายและนามกาย
               รูปรุป คือมหาภูตรูป ไม่เกี่ยวกับนาม เราสามารถรู้รูปนอกได้ ถ้านามคือเริ่มรู้ แล้วก็มีองค์ประชุม เรียกว่า กาย เป็นองค์ประชุม
               รูปคือสิ่งที่มาก่อน เป็นวัตถุธรรม คือสิ่งไม่ใช่นาม
               นามคือ ธาตุรู้ และเป็นนามธรรม ถ้าเป็นธาตุรู้ ก็ถูกรู้ได้ เช่นเวทนา ถูกญาณ ปัญญาเราอ่านรู้ เราอ่านความรู้สึกเราได้ ว่ามีอาการอย่างไร เราก็อ่านออกจริง อย่างไม่ใช่นึกเอา แต่สัมผัสหรือ (ผุสสะ) รู้ แปลว่า ถูกต้องสัมผัส
       ปิยกรณะ เรามีความรักกัน ในมิติที่สูงขึ้น ตามความรัก ๑๐ มิติ
       คุรุกรณะ เรามีกาย-วาจา-ใจ ที่เคารพจริงหรือไม่
               สังคหะ คือเผื่อแผ่เกื้อกูล ซึ่งคนทำได้ดีกว่าสัตว์ สังคมเราทำ ทำไปจนตายเลย ใครไม่อยากทำ ก็หนีไป ใครจะอยู่ทำก็อยู่ เราทำอย่าง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
               อวิวาทะ เราไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ฆ่าแกงกับใคร
               สามัคคียะ เราอยู่อย่างผสมผสาน เกื้อกูลกัน อย่างเมตตา
               เอกีภาวะ คนข้างนอกก็อ่านออก ว่าเราเป็นหนึ่ง เกิดจากความเป็นหนึ่งของจิต เรียกว่า "เอกกัคคตา" คำว่าเอก คือเป็นหนึ่ง เป็นยอดเลิศ จากตัวเราหนึ่งคน เราต้องทำก่อนจากเรา โดยส่วนตัวเรา เช่นพระพุทธเจ้า สอนว่า ต้องมีคุณสมบัติของ วิโมกข์ข้อ ๒ คือ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ คือพระบาลี ในวิโมกข์ ๘ ข้อที่ ๒
               ต้องมีภูมิรู้ในวิโมกข์ คือ เครื่องมือพัฒนาจิตวิญญาณ เราต้องรู้รูป-นาม
               วิโมกข์ ๘ ซึ่ง นามธรรม ไม่มีรูป(สรีระ) แต่สมมุติให้มีรูปได้
               รูป รู้ได้ด้วยตากระทบ เช่นรูปสมเด็จปู่ ถ้าคุณไม่มีตากระทบรูป เช่น คนตาบอด คนไหนตาบอด แต่กำเนิด จะไม่รู้รูป ที่กระทบด้วยตา แต่ใช้มือคลำ เขาก็รูปรูป โดยจิตอนุมาน แต่ไม่ใช่ตาไปกระทบรูป ดังนั้น คนตาบอด ไม่มีกายข้างนอก โดยเฉพาะรูป ที่รับทางตา ดังนั้น ตาเขาจะไม่มี รูปรูป จนตาย เขาก็ไม่มีรูปกาย ที่เกิดจาก การกระทบทางตา เขาไม่ครบอายตนะ ๖ ก็เป็นคนไม่ครบ
               มีพระอรหันต์รูปหนึ่ง มีคนท้วงว่า บรรลุธรรมตาบอด แต่เป็นเรื่อง บารมีเฉพาะตัว
               การศึกษาพุทธ ต้องรู้ทั้งรูปกายและนามกาย ให้จิตเราฝึกสัญญา กำหนดรู้ ตั้งแต่รูปนอก จนไปรู้จิตภายใน ในวิโมกข์ ๘ ข้อ ๑ มีรูปี รูปานิ ปัสสติ ซึ่งต้องมีการรู้รูป ทั้งนอกและใน อย่างคนตาบอด จะรู้อย่างไร ก็ไม่รู้เต็ม ในรูปภายนอก
               คำว่า รูปกาย รวมทั้ง ทวาร ๕ กระทบ อย่างวิหารติ คือปัจจุบันนั่นเทียว อย่าง สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย คือต้องมี ผัสสะสัมผัส ทั้งรูปนอกรูปใน สัมผัสครบครัน อย่างสำเร็จ อิริยาบถอยู่ (วิหารติ) คือเป็นสภาพแตะต้อง สัมผัส อยู่กับปัจจุบัน
               ในวิโมกข์ข้อที่ ๒ คือ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ คือผู้ที่จะมีวิโมกข์ ต้องรู้ ขณะสัมผัส ปัจจุบัน อย่างตาเห็น สัมผัสอยู่ปัจจุบัน แล้วเราก็มี สัญญาทำงาน ไม่แยกว่า ทำแต่กายหรือจิต แต่ทำอย่างองค์รวม เป็นสติปัฏฐาน ๔
               เมื่อกระทบแล้วอ่านอารมณ์ แล้ววิจัยอารมณ์ จนแยก เวทนา ๑๐๘ ได้ แยกเคหสิตะ และเนกขัมมะได้ ให้จิตแยกออกได้ ว่ามีเหตุปัจจัย ที่เป็นกามหรือพยาบาท มาปรุงร่วม กับจิตอย่างไร จับตัวผีร้ายได้ แล้วกำจัดมัน ออกจากจิต หรือดับมันไป แต่ดับเฉพาะเหตุร้าย
               ไม่ใช่คนโหดเหี้ยมไปฆ่าตายหมด เราฆ่าแต่กิเลสผีร้าย ที่มันทำร้ายเรา ทำร้ายสิ่งที่ร้าย ไม่บาป เราต้องมี ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ที่แยกแยะ จับตัวเหตุได้ และฆ่ามัน ถูกวิธี มันก็ดับได้ มีนิโรธได้
               ต้องรู้ทั้งภายนอกภายในของตน รู้จิตอื่นของตน โดยส่วนตน ไม่ใช่ของผู้อื่น เมื่อเราทำ เอกัคคตา ของเรา ให้ได้จิต สมบูรณ์แบบ เรียบร้อยจริง เด็ดขาด ไม่ตายไม่ฟื้น อย่างไม่กลับกำเริบสูงสุด เรียก สัญญาเวทยิตนิโรธ
               กว่าจะถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ต้องรู้การทำทาน ที่กำจัดกิเลส อ่านอาการเรา ทุกวินาที ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ที่เกี่ยวข้อง สัมผัสอยู่ การศึกษา พระพุทธเจ้าไม่แยกเวลา ไม่แยกงาน เราทำมรรคองค์ ๘ อย่างเป็นชีวิต ทำฌาน ทำนิโรธ อย่างลืมตา มีชีวิตปกติ
               พระพุทธเจ้าเกิดในยุคคนเสื่อมมาก จึงช่วยคนได้น้อย มีมาฆะบูชา ครั้งเดียว มีอรหันต์มา ๑๒๕๐ รูป พระพุทธเจ้า อธิบายอย่างเกรงใจ เพราะเขายึด เทวนิยมมาก แล้วท่านจะสร้าง ศาสนาใหม่ ท่านต้อง ประนีประนอมมาก แม้แต่พระโมคคัลลานะ ก็ถูกฆ่า โดยศัตรูศาสนา ที่เป็นเทวนิยม
       สำคัญคือแยกรูปแยกอรูปได้ แยกนามกายได้ เป็นความละเอียดของนามธรรม ปรมัตถธรรม อย่างยิ่ง ผู้ที่ติดยึด ในภาษา ในวิธีการเก่าๆ ก็ไม่เข้าใจได้หรอก ลองอ่าน ของคุณ 8705 มาหน่อย

               0888705xxx พวกคนที่สูบเฮโรอีน ประชุมกันว่า ต่อนี้ไป พวกเราจะเลิกสูบแล้ว แต่ก่อนที่จะเลิก.. มาสูบกัน เป็นครั้งสุดท้ายเถอะ! แต่หลังจากได้สูบ ที่คิดว่าจะเป็น ครั้งสุดท้ายแล้ว.. ก็ไม่ปรากฏว่า จะมีใครที่เลิกได้จริง สักคนเลย!

           พ่อครูว่า พวกเราที่เลิกจากทางโลกมา เราก็เวรมณี เราละเราเว้น เรางดมา เราไม่ได้มาบำเรอเลย แค่นี้ก็มองไม่ออก เขามองผิดว่า อโศกนี่มาปฏิบัติ เพื่อบำเรอ

               ในหมู่นักบวชชาวพุทธ ก็มีลัทธิหนึ่ง ที่คิดด้วยปรัชญาเอาเองว่า จะสามารถ ล่วงพ้นกามด้วยกาม ล่วงพ้นทุกข์ ด้วยทุกข์ ล่วงพ้นผัสสะด้วยผัสสะ ฉะนั้น จึงจัดให้มี ปาร์ตี้ เสพสมกามรสกันขึ้น! ด้วยได้ยินมาว่า นิพพานอยู่ท่ามกลาง เตาหลอมเหล็ก หรือคือนิพพาน อยู่ท่ามกลาง ความร้อนของไฟ และเมื่อกามราคะ คือไฟแล้ว ฉะนั้น จึงย่อม ค้นหานิพพานได้.. ท่ามกลางผัสสะ ของไฟกามรส นั่นเอง!
               ซึ่งจากต.ย.ของนักสูบเฮโรอีน ที่คิดว่าตนจะเลิกได้ ด้วยการสูบ เป็นครั้งสุดท้าย หรือพวกนักบวช ลัทธิมิจฉาทิฐิ ที่คิดว่า จะสามารถ เลิกกามได้ด้วยกาม เลิกผัสสะได้ด้วยผัสสะ! จึงนับว่า เป็นพวกที่ ยังประมาท ในผัสสะโดยแท้! ซึ่งพุทธเจ้า ได้ตรัสว่า ฟืนเปียก ไม่อาจจุดไฟติดฉันใด ผู้ที่ยังชุ่มอยู่ด้วยกาม หรือยังเสพผัสสะ ทั้ง 5แบบสดๆ (=เปียกๆ) อยู่เสมอ.. จึงย่อมไม่อาจเข้าถึงฌาน ที่รวมจิตเป็น1ได้ ฉันนั้น! และเมื่อปราศจากฌานแล้ว จะไปเผากิเลส ได้อย่างไร! จึงสรุปได้เลยว่า พธร.เป็นเดียถี นอกรีต.. ที่แหกตำราคำสอน ของพุทธเจ้า โดยไม่รู้ตัว! อ่านพตปฎ.แล้ว ก็ไม่เข้าใจ พตปฎ. เพราะไปตีความแบบตื้นเขิน ด้วยสมองบ้องตื้น ที่ไร้รอยหยักของตน! พอไปอ่านเจอ ผัสสะ6 เข้าหน่อย.. ก็เลยนึกว่า จะต้องเปิดรับผัสสะ ทั้ง6 เลยทีเดียว!

               ขออภัย ฌาน อย่างที่เขาเป็น พวกเราบางคนก็ทำได้ และพ่อครูก็ทำได้ ทำมาแล้ว อย่างฌานฤาษีน่ะ แต่ฌาน ของพระพุทธเจ้า ที่สัมผัสแล้ว กิเลสหายได้นั้น มี ตัวอย่างในบุคคล ๔ จำพวกคือ
๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ   แต่ไม่ได้โลกุตระ
๒. บุคคลผู้ได้โลกุตระ แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .
๓. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ และได้ทั้งโลกุตระ
๔. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

               ถ้าเข้าใจไม่ครบ ก็จะว่ามา อย่างคุณ 8705 อย่างฌานฤาษี พ่อครูรู้ แต่เขาไม่รู้ว่า ฌานอย่างพุทธ ที่ลืมตา มีผัสสะ มีอยู่จริง เราเป็นเดียรถี ของผู้ที่ไม่ใช่พุทธ แต่เราเป็นพุทธ

               โดยหารู้ไม่ว่า โจรคือกิเลสนั้น จะไม่เข้าพร้อมกันทีเดียว ทั้ง6ทวาร! หากแต่จะเข้ามา ทีละทวาร เท่านั้น และโจรนี้ ยังเข้าเร็ว ออกเร็วด้วย! ฉะนั้น หากเปิด พร้อมกัน ทั้ง6ทวารแล้ว..ไม่มีทางที่จะจับโจร คือกิเลสได้หรอก! ซึ่งการที่โจร สามารถเข้ามา ได้หลายทาง คือไม่ทวารใด ก็ทวารหนึ่ง ใน6ทวารนั้น.. พุทธเจ้าถึงตรัสว่า ผัสสะมี6 ซึ่งตรัสไม่ผิดหรอก! แต่การที่จะจับโจร คือกิเลสให้ได้นั้น.. จำต้องมียุทธวิธี! ซึ่งนั่นก็คือ ให้ปิดเสีย 5ทวาร โดยเหลือไว้แต่ ทวารที่สำคัญที่สุด เพียงทวารเดียว.. ซึ่งก็คือมโนทวารนั่นเอง!

              อ้างมาสิว่าพระพุทธเจ้าให้ปิดทวาร ๕ อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มไหน ข้อไหน นอกจากที่ว่า อรรถกถาจารย์ จะบอก เท่านั้นแหละ

               และหากผู้ปฏิบัตสามารถข่มกิเลสกามของตนเอง ด้วยการละนิวรณ์5 ได้ละก็.. ผู้ปฏิบัตนั้น ก็ย่อมเข้า ถึงฌาน4 และไม่ต้องกลัวว่า ในฌาน4 จะไม่มีอะไรให้ผัสสะ! เพราะว่า ทั้ง3นาง คือ นางตัณหา นางราคา นางอาระตี ย่อมต้อง ไม่ปล่อยไว้แน่.. จำต้องมายั่วยวน อย่างแน่นอน! อย่าลืมว่า หญิงมนุษย์ ที่สวยที่สุด ยังสวยไม่เท่า นางเทพอัปสร นางเทพอัปสร ก็สวยไม่เท่านางเทพธิดา และในบรรดา นางเทพธิดา ทั้งหลาย ไม่มีใครที่จะสวย เทียบเท่า ทั้ง3นางนี้ได้เลย! ซึ่งหากผู้ปฏิบัต สามารถจะเอาชนะ ทั้ง3นาง ที่สวยที่สุดในจักรวาล ของกามภพได้ละก็ แม้ว่าภายหลัง จะออกจากฌาน และลืมตาแล้ว.. ก็ไม่ต้องกลัวว่า จะไปหลงเสน่ห์ หญิงใดได้อีก

               ผู้ที่ชนะผัสสะนอกได้แล้ว ก็คืออนาคามี เขาเอาหัวมาเป็นหาง เอาปลาย มาเป็นต้น ก็ชัดเจนขึ้นอีก

               เพราะเมื่อเอาชนะผัสสะที่ละเอียด คือรูปทิพย์ เสียงทิพย์เป็นต้น ได้แล้ว จะป่วยกล่าวไปใย ถึงผัสสะ ที่หยาบกว่า คือของมนุษย์.. มีหรือที่จะไม่ชนะได้! เพียงแต่ว่า พธร. จะไม่เชื่อว่า มีทั้ง3นาง อยู่จริงเท่านั้น!

               การสอนต้องมีลำดับ จากนอกมาหาใน พ่อครูยืนยันว่า พ่อครูเห็นทั้งสามนาง และก็ปราบมาแล้ว

               ทั้งนี้เป็นเพราะพธร. ยังเข้าไม่ถึงปรมัตถ์ หรือรู้ไม่จริง ในปรมัตถ์นั่นเอง! เพราะหากเป็นผู้ที่ รู้ถึงปรมัตถ์ จริงแล้ว.. ย่อมต้องรู้ถึงสมมุต และปรมัตถ์ได้ อย่างแยกชัดด้วย! คือหมายถึงรู้ว่า ความเป็นมนุษย์ ย่อมมีอยู่จริง เพราะสมมุตฉันใด.. ความเป็นเทวดา หรือนางเทพธิดา ก็ย่อมมีอยู่จริง เพราะสมมุตฉันนั้น!

               นางทั้งสาม ที่จริงเป็นสภาวะปรมัตถ์ทั้งสิ้น แต่คุณไปสมมุติเท่านั้น คุณจึงทำแต่ตรรกะ ทำอยู่ในภพ แล้วคิดว่า ตนชนะ ถ้าคุณเจอนางตัณหา ราคะ อรตี ภายนอก คุณสู้ไม่ได้หรอก คุณตายอย่างเดียว

                ซึ่งนี่แหละที่เรียกว่าจริงโดยสมมุต หรือบุคคลาธิษฐาน! แต่หากเป็น ธรรมาธิษฐาน หรือจริงโดยปรมัตถ์ แล้วละก็.. จะปรากฏความเป็นมนุษย์ หรือ ความเป็นเทวดา (หรือเทพธิดา) หาได้ไม่! เพราะไม่ว่า ทั้งมนุษย์ก็ดี เทวดา (หรือเทพธิดา) ก็ดี ต่างก็จะปรากฏ เป็นแต่เพียงรูปกับนาม ที่กำลังเกิด-ดับ สืบต่อโดยความเป็นทุกข์ เพราะต้อง เปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา เท่านั้นเอง! จึงหาใช่ว่า จะเป็นสัตว์มนุษย์ หรือสัตว์เทวดา หรือเป็นบุคคล หรือเป็นตัวตน (=อัตตา).. หาได้ไม่! ซึ่งเมื่อพธร. รู้ไม่จริง ในสัจจะ ที่มีเพียง1เดียว (แต่แยกวิธีกล่าวเป็น2 คือแบบสมมุต กับแบบปรมัตถ์) แล้ว.. ก็เลยไปคิดเอาเองว่า มนุษย์มีตัวตน จึงมีรูป.. ส่วนเทวดา ไม่มีตัวตน จึงไม่มีรูป! ซึ่งความคิดสะตึๆ เช่นนี้ของพธร. ย่อมเปรียบได้กับ มนุษย์โลกล้านปี ที่บังเอิญ ไปเก็บหนังสือ มาได้เล่มหนึ่ง (คล้ายกับพตปฎ.เล่ม16) อันเป็นความรู้ชั้นสูง ที่พวกจานบิน (ต่างดาว) ได้ทำหล่นไว้! แล้วมนุษย์โลกล้านปี พธร.คนนี้ ก็พยายาม มานั่งแปล! จึงได้ออกมา เป็นความรู้ ที่มั่วมาก.. ในสายตาของอริยะ เช่นเรา! ซึ่งเมื่อใด ที่พธร. เถียงเราไม่ออก เพราะจำนนต่อเหตุผล พธร.ก็จะหาว่า เราเป็นแค่นักตรรกะ พธร.เองซิ ถึงจะรู้ปรมาภิธรรมสูงสุด ที่เป็นโลกุตระ จึงย่อมอยู่เหนือตรรกะ แบบโลกๆ (ว่าเข้านั่น!) สรุปว่า ในสายตาของ บริวารชาวอโศก จะมองว่า พธร.คือปรมาจารย์ พ่อครูโพธิสัตว์C7 ส่วนในสายตา ของชาวพุทธทั่วไป มองว่าพธร. คือแกะดำ ส่วนในสายตาเรา มองว่าพธร.ก็คือสายัณ (ไม่เต็มเต็ง) +ศรีธนญชัย (ลิ้น2แฉก) +โกลิกะ (ศิษย์เอกของเทวทัต) ทั้งเป็นเจ้าของ สำนักอนุบาลอโศกอีกด้วย!

              วันนี้หมดเวลาแล้ว ก็ต้องมาต่อวันพรุ่งนี้ ก็ชื่นชมคุณ 8705 ที่สามารถ ปะติดปะต่อ เรื่องราวได้ดี เราเคารพ คนเห็นต่าง ก็เอามาศึกษา ว่าอะไรจริง ไม่ดูถูกใครทั้งนั้น .....

จบ

 
๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานราชธานีอโศก