560630_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครู และส.เดินดิน
เรื่อง ความลึกซึ้งในการรู้นามกาย

                ส.เดินดิน ดำเนินรายการที่สันติฯ..

.ตอนนี้ข่าว อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก ที่สึกไปแต่งงาน บอกว่า บวชมา ๓๘ พรรษา ไม่เคยคิดที่จะสึก และแต่งงาน แต่ก็แต่งงานเพราะเป็นคู่กันมา แต่ปางก่อน ส.เดินดินว่า เพราะปฏิบัติผิด ไม่ได้ล้างนิสัยเก่า ซึ่งทางออกนั้น พ่อครูคงจะเตรียม ทางออกให้เราแล้ว

                พ่อครูว่า ทางออกที่พ่อครู พยายามบอกให้พวกเรา มาเรียนธรรมะพระพุทธเจ้า ปฏิบัติให้ถูกสภาวะ และฐานะ จะได้ผล มั่นใจว่าทุกวันนี้ มรรคผลของพุทธยังอยู่ หนึ่งคือ ตนเอง มีมรรคผลจริง ถ้าไม่มี อยู่ไม่ได้หรอก ๔๐ กว่าปีแล้ว และไม่แสดงอาการ ที่อยากได้โลกธรรม ไม่ได้ทำเพื่อให้คน เอาโลกธรรม อัตตามาให้ พยายามระมัดระวัง อย่างยิ่งด้วย
                ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม ทุกวันนี้อยู่ได้ เพราะธรรมะ ทำให้นำพา งานศาสนาไปได้ ไม่หวังพึ่งอย่างอื่น ไม่ว่าเป็นอำนาจ หรืออิทธิพลใดๆ หรือเงินทอง หรือชื่อเสียงใดๆ แต่ที่ทำได้ เพราะเกิดจากธรรมะอันเดียว ซึ่งแม้แต่ฆราวาสเอง ก็มีมรรคผล อยู่กันจนตายไป หลายคนแล้ว ทิ้งโลกธรรมมาด้วย เต็มใจสละมาเอง เชื่อว่า เขาคงไม่หลอก พ่อครูไม่เคยสัญญาว่า มาแล้ว จะได้มากกว่าเดิม มีแต่บอกตรงๆว่า มาหมดตัวนะ มาจนนะ แต่ก็ไม่ทรุดโทรม มีอัตราก้าวหน้าอยู่ พิสูจน์ได้ จึงยืนยันว่า ธรรมพระพุทธเจ้า มีมรรคผล อยู่กับผัสสะด้วย ไม่ได้หนีไปไกลผู้คน ถูกยั่วยวน ก็ยังเฉยได้
                วันนี้เจตนาจะอธิบาย ๓ คำใหญ่ๆ คือ รูป-นาม-กาย คำใหญ่ๆสามคำนี้ ถ้าตีไม่แตก ก็ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้ เราจะไม่สามารถรู้ สักกายะได้ ถ้าไม่สามารถ สัมผัสอันนี้ได้ ก็ปฏิบัติไม่เข้าปรมัตถ์ คือมันมีอยู่แล้ว ก็ทำให้จางคลาย ดับได้ เป็นวิมุติเป็นนิโรธ ถ้าภาษายังไม่เข้าใจ แล้วจะไปปฏิบัติ ได้อย่างไร มันเป็น อาทิสมานกาย คือมองไม่เห็นรูปร่าง แต่สัมผัสได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ต้องสัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ต้องมี กายภาวนา คือสัมผัสเกี่ยวข้อง สิ่งภายนอก ทางทวาร ๕ หรือเฉพาะในใจก็ได้
                เก็บตกบรรยากาศของงาน คืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง นศ.ปธ. ที่สวนบุญผักพืช มีคุณอิสรา แต่งกลอนมา ให้ออกอากาศหน่อย....

                แดน นศ.ปธ.
                ฤาเราจะพบกันเพียงวันนี้                 วันที่เหลืออีกทั้งปีอยู่ที่ไหน
ไม่คิดถึงกันบ้างหรือย่างไร                               รู้บ้างไหม ใครห่วงหามาเนิ่นนาน
คืนสู่เหย้าเค้าเข้าคืนถ้ำล้วนลำรึก                      ตกผลึกนศผธ. ร่วมก่อนสาน
โพธิสัตว์ ยังรอผู้ร่วมสู้งาน                               วันคืนผ่าน กาลล่วงเลย เฉยอยู่ใย

                ต่อไปเป็นบทความของคุณ สิริอัญญา ใน นสพ.แนวหน้า วันนี้
                เรื่อง  โลกธาตุใหม่ ที่มนุษย์อาจอาศัยอยู่ได้
ข่าวดังทางวิทยาศาสตร์ ที่กำลังฮือฮากันในวันนี้ เป็นข่าวที่นักวิทยาศาสตร์เยอรมัน และสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผย ผลการค้นพบ ดาวพระเคราะห์ อีกสามดวง ซึ่งมีลักษณะ ภูมิอากาศ และสภาพต่างๆ คล้ายกับโลก ที่มนุษย์สามารถ อาศัยอยู่ได้

                นับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ และเป็นการค้นพบ ดาวพระเคราะห์ ที่มีลักษณะคล้ายโลก ของเรานี้ จำนวนมากที่สุด คือ พบในคราวเดียวกัน ถึงสามดวง

                แต่ทว่าในจำนวนสามดวงนี้ ที่มีการค้นพบ ในลักษณะยืนยัน เกือบจะแน่นอน แล้วว่า มีสภาพคล้ายคลึงกับ โลกมนุษย์ของเรา และเอื้ออำนวย ต่อการที่มนุษย์ จะสามารถมี ชีวิตอยู่ได้ มีเพียงดวงเดียว

                ส่วนอีกสองดวง ยังจะต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ให้มีความแน่นอน มากขึ้นกว่านี้ แต่กระนั้น ก็ต้องถือว่า การค้นพบดาวพระเคราะห์ ที่คล้ายกับโลก มากที่สุด และเอื้ออำนวยต่อการที่มนุษย์ จะมีชีวิตเหมือนกับโลกเรานี้ มากที่สุด ได้ทำให้ความรู้ เกี่ยวกับโลกมนุษย์ และดาวพระเคราะห์ ที่มีสภาพเหมือนโลก มนุษย์ของเรานี้ เป็นความจริง ขึ้นมาแล้ว
                จะไม่เรียกขานด้วยชื่อภาษาอังกฤษ หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเสียเวลา จดจำเปล่าๆ แต่จะเรียก ดาวพระเคราะห์ดวงนี้ แบบไทยๆ ของเราว่า โลกใหม่ เพื่อให้ง่าย ต่อการเรียกขาน และทำความเข้าใจ

                โลกใหม่นี้คือ โลกที่ค้นพบใหม่ แต่ไม่ใช่โลกที่บังเกิดขึ้นใหม่ มีขนาดใหญ่กว่า โลกของเรานี้ ถึงสิบเท่า และอยู่ในระบบสุริยะ ที่มีดวงอาทิตย์ ถึงสามดวง แต่ในสามดวงนั้น ก็มีดวงอาทิตย์ แค่ดวงเดียว ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ดวงอาทิตย์ ในระบบสุริยะ ของเรา ส่วนอีกสองดวง มีขนาดเล็ก หรืออาจไม่มีอิทธิพล ที่ส่งผลต่อ โลกใหม่ เหมือนกับดวงอาทิตย์ ที่ส่งผลต่อโลก ของเราปัจจุบัน
                ระยะทางของโลกใหม่ ห่างไกลมาก ห่างไกลจากโลกของเรานี้ร่วม 300 ล้านปีแสง จึงไม่ต้องพูดถึง การที่มนุษย์บนโลกนี้ จะเดินทางไปยังโลกใหม่ เพราะเป็น อันพ้นวิสัย ที่จะไปได้ โดยทางกาย แต่มิใช่ว่า จะไม่เป็นวิสัยที่จะไปได้ โดยกาย อีกกายหนึ่ง ซึ่งกายนั้น พระพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า “นามกาย”

                การค้นพบระบบสุริยะใหม่ ค้นพบโลกใหม่ รวมทั้งดวงอาทิตย์ใหม่ ตามรายงาน ล่าสุดนี้ เป็นการยืนยันว่า ระบบสุริยะจักรวาล แบบเดียวกัน หรือ คล้ายคลึงกับ ระบบสุริยะของเรานี้ มิได้มีอยู่แต่เฉพาะ ระบบสุริยะ และโลกของเรา เท่านั้น แต่ยังมีระบบสุริยะอื่น และโลกอื่นอีกมาก รวมทั้งโลกใหม่ ที่เพิ่งค้นพบนี้ด้วย

                วันนี้จึงเป็นที่แน่นอนแล้วว่า การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ อันก้าวหน้าที่สุด ของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ได้ยืนยันการค้นพบว่า มีระบบสุริยะอื่น มีโลกอื่น มีดวงอาทิตย์อื่น อีกมาก หาได้มีอยู่แค่ ระบบสุริยะนี้ ดวงอาทิตย์ดวงนี้ และโลกนี้ ของเราเท่านั้น
                เมื่อยืนยันการค้นพบใหม่ ดังกล่าวนี้แล้ว ก็ต้องบอกกล่าว ให้พี่น้องชาวพุทธ และชาวโลกทั้งหลาย ได้ภาคภูมิใจ พร้อมๆกัน ด้วยกันว่า สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ ที่ก้าวหน้าที่สุด ในยุคปัจจุบัน ได้ค้นพบนั้น มิได้เป็นการค้นพบ ครั้งแรกของโลก

                มีการค้นพบเรื่องนี้  มาก่อนแล้วเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธกาล เป็นการค้นพบโดย พระสมณะโคดม สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ของชาวโลก เป็นการค้นพบโดย วิทยาศาสตร์ทางจิต โดยพลังอำนาจแห่งจิต โดยฌาน และปัญญา อันเป็นธรรมชาติ ที่มีอยู่เป็นอยู่ และมนุษย์สามารถเข้าถึงได้

                พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงค้นพบแล้ว ก็ทรงประกาศแก่ชาวโลก ในวาระ อันจำเป็น ที่จะ ต้องตรัส ที่จะต้องกล่าว ทั้ง ๆ ที่พระองค์จะมีปกติ ไม่ตรัสไม่กล่าว ในเรื่องเหล่านี้ เพราะแม้ว่า จะเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่ถูกกับ จิตใจใฝ่รู้ของคน แต่ทรงเห็นว่า ไม่เป็นประโยชน์ จึงทรงมีปกติ ตรัสในสองเรื่อง คือเรื่องของทุกข์ และ ความดับทุกข์ เท่านั้น
                พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสเรื่องระบบสุริยะ เรื่องดวงอาทิตย์ เรื่องโลก เรื่องดวงดาว หรือที่กล่าวรวม ในปัจจุบันว่า ระบบสุริยะ เพราะความจำเป็น ที่จะต้องตรัส ที่จะต้องกล่าว เนื่องจากในขณะนั้น มีการตั้งคำถาม เกี่ยวกับความจริง ทางวิทยาศาสตร์ทางจิต บาง ประการ โดยพวกพราหมณ์

                นั่นคือมีพราหมณ์คนหนึ่ง เข้าไปเฝ้าแล้วถาม พระตถาคตเจ้าว่า ท่านผู้เจริญ ท่านเคยพูดว่า  ท่านสามารถพูด ให้ได้ยินไปทั่ว หมื่นแสนโลกธาตุได้ใช่ไหม
                โลกธาตุที่พราหมณ์สอบถาม พระตถาคตเจ้าก็คือ ระบบสุริยะ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกอื่นๆ หรือที่เรียกเป็น ภาษาอังกฤษว่า กาแล็คซี่ นั่นเอง
                พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า จริงพราหมณ์ เราเคยกล่าวเช่นนั้น
                พราหมณ์ได้ถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าต่อไปว่า อาวุโส ท่านพูดอย่างไร จึงได้ยินไปพร้อมกัน ทั้งหมื่นแสนโลกธาตุ

                ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในขณะนั้น พระพุทธดำรัสที่ว่า ทรงตรัสให้ได้ยินไปทั่ว พร้อมกันทั้งหมื่นแสน โลกธาตุได้ เป็นคำกล่าวที่โด่งดัง และน่าจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ในบรรดาเหล่าปราชญ์ทั้งหลาย ยุคนั้นด้วย
                พระตถาคตเจ้า รับสั่งตอบว่า ตถาคตจะเปล่งฉัพพรรณรังสี ออกไปก่อน เมื่อตถาคตกล่าว เสียงของตถาคต ก็จะแล่นไปตาม ฉัพพรรณรังสีนั้น ดังกึกก้อง ทั้งหมื่นแสน โลกธาตุ พร้อมกัน
                นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ที่คิดจับผิด พระผู้มีพระภาคเจ้า ค้นพบว่า สิ่งที่เรียกว่า ”ฉัพพรรณรังสี” นั้น เป็นคลื่นชนิดหนึ่ง ที่มีความเร็วเหนือแสง จนสุดประมาณ จนทำให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ ยอมจำนนและเข้าบวช ในพระพุทธศาสนา

                ข้าพเจ้ากล่าวพระสูตรนี้ เพื่อน้อมรำลึกถึง พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ในเทศกาล อาสาฬหบูชา ที่ใกล้จะมาถึง ในปีนี้

          พ่อครูว่า...อ่านแล้วก็เข้าใจไม่ยากอะไร สรุปแล้วก็คือ "นามกาย" คำนี้เป็นเรื่อง จิตวิญญาณ ที่ตนเอง สามารถใช้ประโยชน์ได้ ให้นามกายเป็นธาตุรู้ คือองค์ประชุมของ นามธรรม (ธาตุรู้)
                ส่วน "รูปกาย" คืออะไร คือองค์ประชุมของรูป ที่มีการเกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์กันอยู่ และมีนามอยู่ด้วย ดังนั้นคำว่า "รูปกาย" จึงมีนามร่วมรู้อยู่ด้วย เช่น เมื่อเราสัมผัสกับอะไร แล้วเราก็ มีนามไปรู้ อย่างนี้คือ รูปกาย
                "นามกาย" หมายเอาแต่ "นาม" เรายังไม่พูดถึง "รูป" (คือละไว้ในฐาน ที่เข้าใจ) เช่น เรามีทวาร ๕ ไปกระทบ มหาภูตรูป แล้วก็เนื่องสู่ภายใน เช่นมองทุเรียน ตรงหน้าโต๊ะ ที่พ่อครูบรรยายอยู่ เรียกว่า ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย พระพุทธเจ้า จึงรับรองว่า เป็นอรหันต์ได้ จึงเรียนรู้ นามกายได้ คำว่า กายนี้ จะหมายถึง รูปและนาม เสมอ ไม่แยกเดี่ยวเดี่ยว เอาแต่ รูป หรือนาม
                นามกายอย่างที่คุณสิริอัญญาเขียนมา ก็ไปได้ไกลจริง อย่างเช่น จินตนาการไปได้ ซี่งไอสไตน์ว่า ความรู้ความจริง มันเกิดจาก จินตนาการ ไอสไตน์เขาว่า เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ภายใต้หมวก เขามีความลึกซึ้งกว้างไกล เขามีสยัง อภิญญาแล้ว คือมีความรู้แล้ว แต่ก็ดึงของตน ออกมาจินตนาการ ซึ่งถ้าเขาจิตนาการ แล้วเอาไปพิสูจน์ แล้วไม่เป็นความจริง ก็ไม่ใช่โพธิสัตว์ เหมือนเขาเพ้อฝัน จินตนาการ แต่ไม่ใช่เป็นของจริงของเขา ที่มีอยู่แล้ว
                พ่อครูเอง ก็มีความรู้เรื่อง ดวงดาว เรื่องแสง พอสมควร โดยสัจจะ เช่น พ่อครูรู้ว่า แสงเดินทางโค้งนะ ไม่ใช่เดินทางเป็นเส้นตรง ซึ่งไอสไตน์ รู้มาก่อนแล้ว
                นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเพียง "รูปธรรม" แต่ไม่เหมือนไอสไตน์ ที่รู้นามมาก่อน ที่จะพิสูจน์รูป ซึ่งทั้งเอกภพทั้งหมด พ่อครูก็รู้ ใน นามกาย ของพ่อครู รู้ว่าเป็นอยู่ อย่างลักษณะใด พ่อครูรู้ว่า ดาวดวงอื่น ที่มีมนุษย์อยู่ก็มี พวกคุณไปเกิดในโลก หลายลูกโลกแล้ว แต่ก็พูดไป ก็ไม่เข้าที ก็พอดีกว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่ง เสียประเทศไทย
                ซึ่งหน้ากากขาว ที่เกิดตอนนี้ ให้หน้ากากขาวเป็นแกนนำ เป็น invisible man อย่าให้มีใคร มาเป็นแกนนำ ที่มีตัวตนเลย ตอนนี้กำลังก่อหวอด ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ขอบอกซ้อน อีกทีว่า อย่ามาเรียกร้อง กองทัพธรรม เพราะกองทัพธรรม เป็นตัวแสลง ถ้าไปจะเกิด ความเสียหาย ก็พูดได้แค่นี้
                เราเชื่อเพราะเราประจักษ์ด้วยตนเอง (เอโก) รู้แจ้งเห็นจริงของตน แม้เป็นนามธรรม ก็สัมผัสได้ชัดๆ คนที่จะมีอำนาจ สัมผัสรู้นามธรรม แม้ขั้นอรูป ก็จะแยก อรูปธรรม กับนามได้ อรูปกายจะมีนาม ไปร่วมเสมอ แต่อรูปธรรม โดดๆนั้น ไม่มีนาม มาร่วมด้วย เหมือนมังคุด หรือทุเรียน
                ผู้ศึกษาจนมีนามกาย ก็จะรู้รูป ไปถึงขั้น อรูป ที่ไม่มีโฉมกาย เป็นอาทิสมานกาย คือมองไม่เห็น แต่รู้ได้ด้วย ภาวะแสงเสียง แม่เหล็กไฟฟ้า รู้เย็น ร้อน อ่อนแข็ง หรือรู้ได้ด้วย อาการ เช่น อาการโกรธ ก็รู้ได้ว่าอาการเป็นอย่างไร ซึ่งคน หรือสัตว์ ที่ไม่มีภูมิ จะไม่รู้ได้ แต่คนมีภูมิรู้ได้ฝึกมา จะรู้ได้ ในนามธรรมเหล่านี้ เมื่อสามารถรู้ได้ ก็เป็นนามกาย
                แม้แต่อยู่แต่ในใจอย่างเดียว เป็นนามล้วนๆ ก็รู้ได้ จะปั้นสร้างเองก็ได้ ซึ่งมันไม่จริงเลย เช่นความอร่อย มันไม่มีจริง แต่คนก็ปั้น ก็สร้าง มามอมเมาตนเอง มาแย่งชิงอัสสาทะ หรือรสอร่อย กันมากมาย ทุกคนเคยแย่งชิงกันหมด มันจริงแต่สมมุติสัจจะ แต่ว่าในปรมัตถสัจจะ ไม่มีของจริงเลย แต่เราก็อยู่กับมัน ยึดว่า มันต้องได้ ต้องมี ต้องเป็น เราจะโง่ไปถึงไหน เลิกมีเลิกเป็น เลิกได้เสียที

                แค่ไหนที่จะจำกัดความ คำว่า นาม คำว่า รูป ที่มาประชุมกันเป็น กาย
          รูปสองอย่าง คือ อุปาทินกรูป คือรูปที่มีภาวะของอาการ กิริยาของมัน เช่น ความร้อน แสงสีเสียง แม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อเป็นรูป มันก็ถูกรู้ได้ มันก็เคลื่อนไป ตามพลังงานของมัน เช่นอากาศ มันก็เคลื่อน แต่คนก็สัมผัสได้ ส่วนอนุปาทินกรูป คือรูป ที่ไม่มีกิริยาอาการ อะไรเลย  มันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคน ที่จะไปรู้ได้ เช่นแสง บางอย่าง เรารู้ไม่ได้ เสียงบางอย่าง เรารู้ไม่ได้ รสบางอย่าง เรารู้ไม่ได้ แต่สัตว์บางอย่าง รู้ได้ แต่เรารู้ไม่ได้
                แต่ถ้ารู้ไปถึง ปิยรูป คือสัมผัสแล้วยินดี หรือเรียกว สาตรูป  ที่เราต้องอ่าน อาการจิต ที่เกิดขึ้นให้ดี เพราะเป็นบ่อเกิด ที่มาของตัณหา และก็คือ อัตตานั่นแหละ ที่เกิด แต่บางคนบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ตัวตน ปฏิเลธตัวตน คนอย่างนี้ น่าสงสาร
                "วิญญาณ" ที่เกิด(ชาติ) เพราะ "มีสัมผัสเป็นปัจจัย" นี้เอง ที่เป็นสภาวสัจจะ ในการศึกษาของพุทธ  ต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ ให้ถ่องแท้ ว่า "วิญญาณ" ที่ศาสนาพุทธ จะศึกษาจาก ความตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้า เป็นอย่างไร
                ซึ่งความเป็นวิญญาณ มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ระหว่างศาสนา "เทวนิยม" ที่ล้วนมี มโนคติ (concept, trend of thought) เชื่อว่า "ความเป็นวิญญาณ" นั้นคือ ภาวะที่ท่องเที่ยวไป (สันธาวติ) แล่นไป (สังสรติ) มิใช่อื่น (อนัญญันติ) ตามที่ "สัสตทิฏฐิ" เชื่อถือกันอยู่
                กล่าวคือ เห็นว่า "วิญญาณ" เป็นตัวเป็นตน มีสรีระ (มีร่างกายเป็นรูป เป็นโฉม) ล่องลอย ท่องเที่ยวอยู่ทั่วไป ในภพดินแดน นรกสวรรค์ต่างๆ ปรากฏตัว ให้คนเห็นก็ได้ หรือผู้ฝึกฌาน -ฝึกสมาธิเก่งๆ ก็สามารถจะเห็น "วิญญาณ" ตามที่เทวนิยม เชื่อกันว่ามี รูปร่างโฉมกาย (สรีระ) ถ้าผู้ใดมี "ภูมิ" ถึงขีดถึงขั้น หรือมีความก่ง  จึงจะสามารถ "เห็นรูปร่างโฉมกายของวิญญาณ" ดังว่านี้ได้ และจะเป็น "วิญญาณ" เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ไปตลอดกาลนิรันดร
                นี่คือ "สัสสตทิฏฐิ" (ความเห็นว่า "อัตตา-ตัวตน" เที่ยง)
                ไม่เพียงแต่ชาว "เทวนิยม" เท่านั้น ที่เชื่ออย่างนี้ แม้แต่ชาวพุทธแท้ๆ ที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ ก็มีทิฏฐิแบบ สัสสตทิฏฐิ นี้กันอยู่มากมาย นับไม่ถ้วน
                แถมชาวพุทธบางคนบางหมู่ ก็มี ทิฏฐิแปลกแยกไปอีกแบบ เช่น เข้าใจว่า ในชีวิตคนเป็นๆ นี้เท่านั้น "วิญญาณไม่ใช่ตัวตน -ไม่ใช่อัตตา"  อัตตา-ตัวตน จึงไม่สามารถจะ "มี" อยู่ใน "คน" ได้ ถ้าขืนผู้ใด เข้าใจว่า ในคนมีตัวตน มีอัตตา ผู้นั้นมิจฉาทิฏฐิ ว่างั้นเลย
                กล่าวคือ เขาเชื่อว่า อะไรๆก็ไม่ใช่ตัวตน เพราะได้เรียนมาว่า สัพเพธัมมา อนัตตา ซึ่งแปลเป็นคำไทยว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ตัวตน แปลกันอย่างนี้จริง แต่คนผู้นี้ ต้องใช้คำว่า "ใช่" ใช้คำอื่นไม่ได้ จะใช้คำว่า "มี" คำว่า "เป็น" ไม่ได้ ต้องใช้คำว่า "ใช่" จึงจะถูกต้อง เขายึดตามภาษาคำพูดนั้นเลย ยึดว่า นอกร่างกายคนออกไป นี้กลับเห็นว่า วิญญาณ มีรูปร่างโฉมกาย มีตัวตนเห็นได้
                เขาเชื่อว่า วิญญาณ ของผู้ทำบาป จะต้องไปตกนรกขึ้นสวรรค์ แล้วมันมี หรือไม่มีกันล่ะ?
                มันอะไรล่ะ ที่มันเดินทางไปสู่นรกสวรรค์นั้น มัน "มี" หรือ"ไม่มี" มันใช่ตัวตน หรือไม่ใช่ตัวตน มันมีตัวตน หรือไม่มีตัวตนกันแน่?
        ในเมื่อคนผู้นี้ ยืนยันว่า ยัง "มี" สภาวะอย่างหนึ่ง เดินทางไปตกนรก -ขึ้นสวรรค์ ก็เท่ากับ เข้าใจว่า วิญญาณมี นั่นก็คือ อัตตามี หนะซี ใช่มั้ย?
                เลย งง! ไอ้ที่ยืนยันว่า ไม่ใช่ตัวตน นั้น มันเป็น ยังไง? แล้ว "ตัวตน" (อัตตา) หมายความว่าไงกันแน่?
        เท่าที่เขาแสดงความเห็นออกมานี้ ผู้ฟังก็เข้าใจความเห็นของ ผู้ที่แสดงออกมานี้ได้ ว่าความเข้าใจของคนผู้นี้  ยังไม่มีสภาวธรรม ของนามธรรม มีแต่ ตรรกะ มีแค่ความเข้าใจ ในเหตุผลเท่านั้น และเป็นเหตุผล ในเรื่องอัตตา ว่าไม่ใช่ตัวตน คือปฏิเสธ ตัวตน เอาด้วย นี่แหละคือ ผู้มีทิฏฐิ นิรัตตา ตัวจริง (อะไรๆก็ไม่ใช่ตัวตน)
                จึงยืนยันชัดเจนว่า  ทิฏฐินี้คือ อัตตวาทุปาทาน เป็นผู้ที่ยึดได้แค่ คำพูดเท่านั้นว่า เป็นตัวตน - อัตตา
                ซึ่งเขาหมายเอาว่า ในตัวคนที่มีชีวิตอยู่เป็นๆอยู่นี้ก็ ยึดคำพูดว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ตัวตน ดังนั้นในร่างคนเป็นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน  ตัวตนมีไม่ได้ ก็เท่ากับว่า วิญญาณมีไม่ได้  วิญญาณจะมีในตัวคนไม่ได้ เพราะเขาได้ศึกษาภาษา และได้เข้าใจลึกซึ้ง ในภาษาแล้ว มาจากคำตรัสพระพุทธเจ้าว่า อนัตตา คือความไม่ใช่ตัวตน
        คำตรัสพระพุทธเจ้ามีว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน" (ต้องใช้คำพูดนี้ด้วยนะ) ดังนั้น ในร่างกายคนเป็นๆ มีชีวิตอยู่ มีตัวตนไม่ได้ -ไม่มีตัวตน ถ้าขืนใครไปเข้าใจว่า ในร่างกายคน มีตัวตน เป็นมิจฉาทิฏฐิ เขาสรุปเช่นนั้นเลย
                ทีนี้เมื่อคนตาย ร่างกายแตกตาย ไม่มีร่างกายแล้ว เขากับยังมีอะไรอันหนึ่ง ไปตกนรก ขึ้นสวรรค์ ดูมันสับสน แปลกๆ อย่างนี้ไม่ดูชอบกลรื้อ?
                ซึ่งแตกต่างกับศาสนาพุทธ ที่เชื่อว่า "อเทวนิยม" ที่มีมโนคติ กันคนละนัยสำคัญ
                พิจารณาให้ชัดๆเถิด จะเข้าใจรายละเอียดได้ว่า การจะพ้นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งผู้จะพ้นอวิชชา ข้อต้นเท่านั้นได้ จะต้องมีตา (จักษุ) เป็นต้น กระทบสัมผัส สิ่งที่ถูกรู้ (รูป) จึงจะเกิด "ความรู้" หรือ "ธาตุรู้" ที่พระพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า วิญญาณ มีสภาวะ ให้เรารู้จัก รู้แจ้งรู้จริง
                ซึ่งคำว่า วิญญาณ นี้แหละ ที่จะต้องเรียนรู้ อย่างมีทิฏฐิ เข้าข่าย สัมมาทิฏฐิ แท้จริง ในศาสนาพุทธ ตามที่พระพุทธเจ้า ทรงย้ำยืนยัน อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง กับภิกษุสาติ และภิกษุทั้งหลาย (ล. ๑๒ ข.๔๔๐)
                ใครจะได้เห็นวิญญาณกันได้แล้วจริงๆ ก็ต้องมี วิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นการเห็น ของจริง ด้วยการสัมผัส ของจริงนั้น แม้จะเป็น "นามธรรม" ขั้นละเอียด สุดยอดปานใดๆ (นิปุณา) ก็ต้องเกิดจาก "ปัสสติ" คือเห็น และ เป็นการเห็นที่ต้องมี สัมผัส หรือถูกต้อง (ผัสสะ, ผุสิต) จึงจะเป็น ปัญญาหรือความรู้ ที่เรียกว่า สัมมัปปัญญา ที่เข้าขั้น ปรมัตถธรรม คือ ภาวะที่เป็นอยู่ ทรงอยู่หลัดๆ
                ซึ่งความหมายแท้ๆของคำว่า ปรมัตถธรรม นั้นคือ "ภาวะแห่งธรรม ที่เป็นความจริงสูงสุด หรือ ภาวะที่ทรงไว้อยู่ในขณะนั้น เป็นความจริงสูงสุด" อันมีหลายระดับ
                และภาวะที่ว่านี้ เป็นภาวะขั้น จิตเจตสิกรูปธรรม ลึกไปถึงอรูปธรรม ที่เรียกว่า "รูปกาย" เพราะต้องรู้ด้วยการสัมผัส ตลอดไปถึง "นามกาย" ที่เกิดจาก "นามรูป" อันได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่า "นาม" กับ "มหาภูตรูป ๔ และ อุปาทายรูป ๔" นี่เรียกว่า "รูป" นามและรูป ดังพรรณามานี้เรียกว่า "นามรูป"

            [ ๑๔ ] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป และรูปที่อาศัย มหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป นามและรูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูปฯ
                ในบริบทของ ปฏิจจสมุปบาท ผู้ปฏิบัติจะต้องเรียนรู้ ให้ชัดเจนว่า พระพุทธเจ้า ตรัสการจำแนก (วิภังค) ความเป็นรูปไว้ อย่างที่พ่อครูอธิบายมานี้ (ล ๑๖ ข. ๑๔)
                 แม้ที่สุดภาวะที่ยอดปลายขั้นนิพพาน ก็สามารถสัมผัส ของจริง นั้นด้วย วิชชา หรือ ความรู้ที่ต้องครบ วิโมกข์ ๘ และ ต้องเข้าขั้น สัมผัส ด้วย กาย (องค์ประชุม) ของ รูปและนาม ครบครันอยู่พร้อม โดยมีปัญญาขั้น สัมมัปปัญญา อย่างแท้จริง จึงจะสัมผัส ภาวะแห่งนิพพานในตน
                และจะ รู้แจ้งเห็นจริง นั้นก็ต้อง จับต้องอยู่ หรือ สัมผัสภาวะนั้นๆ อยู่โต้งๆ โทนโท่ หลัดๆ ใช่มั้ย
                จึงจะชื่อว่า ของจริงสดๆ หรือ ความจริงสดๆ ที่ยืนยันกันได้ เป็นวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ เป็นปัจจุบันภาวะนั้นๆ มีอยู่ เป็นอยู่ ทรงภาวะอยู่ เห็นๆรู้ๆหลัดๆ
                มีทั้ง"รูปธรรม" และทั้ง "นามธรรม" ให้เรารู้อยู่ มีอยู่ทรงอยู่ จึงเรียก"ธรรม" ที่หมายถึง ภาวะที่ทรงอยู่ หรือสภาพที่ทรงไว้
                ภาวะใดถ้า มีแต่ "รูป" ไม่มี "นาม" การตรัสรู้ในที่นั้นไม่เกิดขึ้น การตรัสรู้ มีไม่ได้
                ภาวะใดถ้ามีแต่ "นาม" ไม่มี "รูป" ก็ไม่มีการตรัสรู้หรือตรัสรู้ไม่ได้
                "ตรัสรู้" แปลว่า "ความรู้" ที่เป็นอาริยธรรม ตามที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบ แล้วนำมา ประกาศ ให้ผู้ศึกษา ฝึกฝนปฏิบัติ จนเราเกิดผล มีภาวะแห่งพุทธธรรม ตามพระพุทธองค์ แล้วเราก็ "รู้" ภาวะแห่งผลจริงนั้น ในตัวเราที่ทำได้ ตรงพุทธธรรม ตามที่พระพุทธองค์ "ตรัส"
                คำเรียก ภาวะผู้บรรลุธรรมแล้ว "รู้แจ้งผลธรรมที่เราบรรลุนั้น ของตน" ด้วยภาษาสั้นๆว่า "ตรัสรู้"
                ซึ่งคำว่า ตรัสรู้ นี้ใช้กับผู้บรรลุ อาริยธรรม ของพระพุทธเจ้าจริง ได้ทุกคน ตั้งแต่ขั้น โสดาบันขึ้นไป จะไม่ใช่คำที่ใช้เฉพาะ กับพระพุทธเจ้า พระองค์เดียงเท่านั้น
                ผู้ปฏิบัติธรรมที่ปฏิบัติ จนกระทั่ง ไม่ยึดติดใน "รูป" นั้น -"นาม" นั้น ไปได้ตามลำดับๆ ก็เป็นผู้อยู่เหนือ รูปนั้น -นามนั้น ที่เรียกว่า อุตตระ โดยไม่ต้อง วนสุข วนทุกข์ อยู่ดับ รูปนั้น นามนั้นแล้ว ก็เรียกว่า "โลกุตรชน"
                ส่วน "รูป" นั้น "นาม" นั้น ก็ย่อม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสามัญลักษณ์ ตามธรรมชาติของมัน ผู้บรรลุแล้ว แม้ รูปนั้น นามนั้น จะมีอยู่ ท่านสัมผัสอยู่ ท่านก็สัก แต่ว่า "รูป-นาม" มันเป็นอยู่ โดยท่าน มี "ปัจจัตตลักษณ์" แล้ว
                ภาวะของภูมิรู้ ในจิตใจ ผู้ตรัสรู้พุทธธรรม ด้วยปัญญาอันยิ่งอย่างนี้ จึงเรียกว่า มี "โพธิ" (ปัญญาตรัสรู้)
                ซึ่งมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญจาก ผู้มีภูมิรู้แค่เพียง เห็น -เข้าใจ ว่า โลกนี้มันก็มีแต่เพียง รูป-นาม แล้วก็ทำใจ ให้วางเฉยได้ เพราะภูมิแค่นี้ ยังไม่ใช่ "โพธิ"
                คนที่ตรัสรู้ไม่ได้ หรือไม่เกิดความตรัสรู้  ในอาริยธรรมของ พระพุทธเจ้า กับเขานั้น ก็เพราะไม่สัมมาทิฏฐิ แม้จะปฏิบัติตนจน หลุดพ้น รูปนั้น นามนั้น กระทั่ง มีวิสัยอยู่ เหนือ (อุตตระ) รูปนั้น นามนั้น ได้ นั้นก็ไม่บรรลุธรรมนั้น

                เพราะปฏิบัติเรียนรู้ไม่ครบพร้อมทั้ง "วิญญาณ ๖ - อายตนะ ๖ - ผัสสะ ๖ - เวทนา ๖ - ตัณหา ๖ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส การจำแนกความเป็น วิญญาณ -อายตนะ -ผัสสะ -เวทนา -ตัณหา ในบริบทแห่ง ปฏิจจสมุปบาท ไว้ว่า ต้องมีทั้งภายนอก และภายใน ครบ ๖ ไม่ว่า วิญญาณ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา

        ผู้ใดเรียนรู้ทั้ง ๖ จึงจะดับ ตัณหา ๖ เวทนา ๖ อุปาทาน ๔ จึงจะพ้น ชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เพราะได้ดับ อวิชชาแล้ว...

                ส.เดินดิน...วันนี้เราได้เข้าใจชัด ประเด็นที่พ่อครูได้อธิบายว่า คนที่เขาเข้าใจ ศาสนา เป็นเพียงบัญญัติ อย่างคำว่า ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน แต่ตอนตายไปแล้ว ก็เป็นผี หรือเทวดา มีตัวตนอีก ก็สับสนอีก หรือเขากำหนดหมายว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ ไม่เกิดอีก เมื่อกำหนดหมายผิด ก็ปฏิบัติผิด
                อย่างหน้ากากขาวเป็นรูป ถ้าเราเอาหน้ากากขาว มาใส่หน้าเรา นี่คืออะไร เป็นรูปหรือนาม? อย่างคนที่เขาวาดรูป คนหัวสิงห์หัวเสือ คนจะมองว่า ถึงนามภายใน มากกว่า
                อย่างศพ นี่คือรูป แต่ว่าคนเป็นๆนี่มีชีวิต ดังนั้น รูปกาย มีทั้งรูปและนาม ส่วนนามกาย สำเร็จด้วยสัญญา ไม่เกี่ยวกับรูปรูปัง ได้ ก็ไม่เกี่ยวกับอุปาทายรูป ...ถ้าไม่เข้าใจ ก็คอยติดตามกันต่อไป....

จบ  

 

 
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานสันติอโศก