560705_รายการเอื้อไออุ่น งานภราดรภาพฯ โดยพ่อครู
ที่ ศูนย์การเรียนรู้ชเลขวัญ จ.
พังงา
เรื่อง

            พ่อครูเดินทางออกจาก โรงปุ๋ยรักษ์ดิน ควรธรรม ธรรมชาติอโศก อ.หลังสวน จ.สุราษฏร์ธานี เมื่อเวลาประมาณ ๑๒.๑๗ น. ของวันที่ ๕ กรกฏาคม ๒๕๕๖ เดินทาง โดยรถยนต์ไปถึง ศูนย์การเรียนรู้ ชเลขวัญ หมู่ ๓ ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เมื่อเวลาประมาณ ๑๗.๑๕ น.
            พ่อครูเริ่มรายการ เอื้อไออุ่น ในเวลา ๑๘.๐๐ น. มีสมณะและ พระอาคันตุกะ รวมทั้ง ญาติธรรม มาฟังธรรมกันมาก เกือบเต็มศาลาส่วนกลาง ของเชเลขวัญ
            พ่อครูเกริ่นนำว่า นั่งรถมาหลายชั่วโมงก็เมื่อย เวียนศีรษะเหมือนกัน วันนี้เรามา จัดงาน ภราดรภาพ ซาบซึ้งใจ ในวันที่ ๕ ถึง ๗ ก.ค. ๕๖ ก็แบ่งกันจัด ระหว่าง ที่ทะเลธรรม และ ที่ชเลขวัญ เป็นรายการ เอื้อไออุ่น ที่จะมาแทนรายการ เรียนอิสระ (ตามสำนึก) ในวันนี้
            โทรทัศน์เราก็บันเทิงน้อย ไม่มีเรื่องมอมเมา เรื่องอบายมุขเลย ไม่มีโฆษณา ไม่มีเรี่ยไรด้วย เราช่วยตนเองให้ได้ ก็พอถูไถ ด้วยระบบที่เราได้ จากพระพุทธเจ้า เรียกว่า ระบบสาธารณโภคี คือทุกคน มาช่วยกันทำงาน อยู่กินส่วนกลาง สามารถทำได้ถึง ในฆราวาส มารวมกัน เป็นชุมชน ทุกคนไม่มีรายได้ เป็นเงินเดือน ทำงานแล้วก็ เอาเข้าส่วนกลาง เป็นครอบครัวใหญ่ สมัยพระพุทธเจ้า ทำได้แต่ในนักบวช สงฆ์ทุกรูป ไม่ได้ยึดติดว่า เป็นสมบัติส่วนตัว ส่วนตัวมีแต่บริขารใช้ ยิ่งเงินทองยิ่งไม่มี เพราะบวช ตั้งแต่เณร ถือศีล ๑๐ ก็ไม่ใช้เงินแล้ว
            อยู่ในระบบบุญนิยม บุญคือเครื่องชำระกิเลส แต่เดี๋ยวนี้ คำว่าบุญ เขาแปล เป็นกุศล เป็นคุณงามความดี และก็เพี้ยนไปไกลว่า บุญคือจะได้เงินทอง และโลกธรรม กลับกันเลย เพราะว่าบุญที่จริงคือ การเอาออก คือการเสียสละ คือการหมดตัว หมดตน ไม่มีทรัพย์สมบัติ ส่วนตัวเลย แม้แต่นามธรรม ก็ไม่ยึดเป็นของตน อย่างอรหันต์ คือผู้หมดบุญ คือไม่ต้อง ชำระกิเลสอีก ท่านหมดบาปแล้ว คือหมดกิเลส กิเลสทุกตัว คือบาป
            กิเลสเป็นตัวเหตุของอกุศล ทั้งหมดเลย ออกมาทาง กาย วาจา ใจ อาชีพ ปรุงแต่ง ออกมาจากใจ เป็นพลัง เป็นสังขาร เป็นจิตสังขาร เป็นวจีสังขาร แล้วค่อยออกมาเป็น วจีกรรม หรือเป็น กัมมันตะ หรืออาชีวะ ตามหลักของพระพุทธเจ้า ที่ค้นพบมา เรียบเรียง เป็นสูตร มรรคมีองค์ ๘

         ต้องเรียนรู้สังกัปปะ ที่แจกเป็น ๗ องค์ธรรมสังกัปปะ ตัวที่ ๗ คือวจีสังขาร แล้วพลังงานของสังขาร จึงออกมาข้างนอก วจีสังขารไม่ใช่คำพูด แต่เป็นวจีในจิต คนชาติไหน ก็เป็นภาษาคำพูด ของชาตินั้น มันเร็ว ไม่ต้องนึกเลย มันเนียนมาก คนที่ใช้ภาษา ไม่ต้องคิดเลย บางทีเราเรียน ภาษาต่างชาติ ยังต้องคิดเป็นคำ ก่อนพูด แต่คนที่เป็น สัญชาติญาณแล้ว ก็พูดออกมาได้เลย แทบไม่ต้องคิด
            คนที่ศึกษา ก็จะรู้วจีสังขาร แล้วสามารถระงับ หรือไม่ให้ออกมาได้ อ่านจิตใจได้ ทำใจ คือ มนสิการ ทำอย่างโยนิโสมนสิการ รู้แจ้งอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ศาสนาพระพุทธเจ้า สอนให้รู้กายในกาย
            กายคือองค์ประชุม ตั้งแต่ข้างนอก ไปถึงข้างใน ถ้าเรียกว่า “กาย” หมายถึง องค์ประชุม ประชุมอะไร ในศาสนาหมายถึง ไม่ใช่แต่ร่างกาย แต่หมายถึง ข้างนอก ที่รับผัสสะ ตั้งแต่มหาภูตรูป  สัมผัสแล้วเป็นกายนอก ทวาร ๕ สัมผัสนอก แล้วก็เกิดรู้ เป็นวิญญาณ ๖ เป็นของสด ที่ผู้มีจิตวิญญาณในตนครอง จะรู้ได้ ศึกษาได้
            แต่ศาสนาพุทธ เพี้ยนบกพร่อง คำว่า “กาย” ไปเข้าใจว่า เป็นรูปร่างของกาย ซึ่งในภาษาไทย ใช้คำว่า “ร่างกาย” แต่คำว่า “กาย” ในพุทธคือ องค์ประชุมของ รูปและนาม หรือหมายถึง นามเป็นหลัก เพราะถ้าไม่มีนาม ก็ไม่รู้จักองค์ประชุม เพราะนาม คือตัวรู้ เมื่อเราหลับตาปิดหูปิดจมูก
            ถ้าเรียกเต็มว่า รูปกาย ก็คือครบพร้อมทั้ง รูปและนาม ส่วน นามกาย ก็ตัดภาษา บอกให้รู้ว่า หมายถึงแต่ข้างในใจ คำว่า นามกาย ก็เริ่มจาก กายในกาย ส่วนกายนอก ก็ต้องนับ มหาภูตรูปข้างนอกด้วย แต่ถ้านับแต่ข้างใน เขาเรียก อุปาทายรูป
            ท่านแจกรูปออกเป็น ๒๘ คือนอก ๔ และรูปใน ๒๔ คำว่ากายในกาย ก็คือ องค์ประชุม
            เมื่อสัมผัสนอก แล้วเนื่องไปสู่ใน คนไม่ได้ศึกษา ก็จะปรุงปั๊ปเลย เรียกว่า “สังขาร” คนที่สำนึกดีบ้าง ก็ระงับกิเลส เพราะถ้าปล่อยให้ทำงาน เต็มที่เลย ตามกิเลส ที่มาปรุงร่วม ก็น่าเกลียด เขารู้ก็ต้องมีสัญชาติญาณ ระงับไว้เป็นธรรมชาติ เป็นมารยาทสังคม ก็ทำกันอยู่
            แต่ถ้ามาเรียนตามพระพุทธเจ้า ก็จะสามารถอ่านรู้ สภาวะของ จิต เจตสิก ส่วนรูป ก็เป็น รูปข้างใน ซึ่งธรรมดาคนเรา ก็จะรู้แต่รูปข้างนอก ว่าคืออะไร พอเป็นกายในกาย ก็ไม่ค่อยรู้แล้ว และก็จะเป็น เวทนาต่อไป มันก็คือตัวจิตของเรา คือนามกาย นี่แหละ ที่เราต้องอ่านรู้ให้ได้
            ถ้าเราอ่านนามกายเป็น นามกายก็จะถูกรู้ แล้วก็เรียกมันว่า “นามรูป” ถ้ารู้ อย่างไม่จริง ยังไม่เรียกปัญญา แต่ถ้ารู้อย่างเฉกา คือรู้ฉลาดที่ยังมีกิเลส เข้าไปร่วม ปรุงแต่ง เป็นความฉลาดที่ไม่ดี เพราะประกอบด้วยกิเลส มาปรุงแต่งอยู่ คนไม่ศึกษา ก็จะปรุง ปุ๊ปเลย ทำตามสังขาร ที่มีตัณหาอยู่
            ตัณหาคือ สมุทัยอาริยสัจ ต้องจับให้ได้ อ่านให้ออก  รู้ตัวตนมันให้ได้ ถ้าของใครก็ตาม สามารถอ่านองค์ประชุม เฉพาะลงไป เป็นของตน เรียกว่า สักกะ แปลว่า ตนเอง ของตน ถ้ากายที่เราจับอ่านมันได้ เราก็เรียกว่า “สักกายะ”
            องค์ประชุมที่เราจับได้ เป็นสมุทัย ตัวแรกตัวที่หนึ่ง ที่เราอ่านรู้อ่านเห็น แล้วพิจารณาเป็น ไตรลักษณ์เลย คือเห็นมันไม่เที่ยง ก็ตามที่ได้ยินได้ฟัง ตามทิฏฐิมา ได้เรียนมา ก็ไปปฏิบัติ คือไปหัดอ่านกาย
            พออ่านได้ มีสัญญาอ่านได้ เริ่มมีปัญญาขั้นแรก รู้จักองค์ประชุมของตน ที่เป็นอาการ ตอนแรกอาจอ่านตัณหาไม่ได้ แต่ถ้าเห็นด้วยความเป็นของไม่เที่ยง “อนิจจโต” ถ้าเกิดปัญญาว่า นามธรรมนี้ ก็เป็นของไม่เที่ยง แต่ยังไม่ถึงกับรู้ตัวตน พอเริ่มเห็น อาการ ความไม่เที่ยงของ “นามกาย” ได้ เห็นความไม่เที่ยง ของสักกายะ ของตน ก็พ้นมิจฉาทิฏฐิได้ คือบทแรกของ การเรียนรู้ปรมัตถ์
            ถือว่าบรรลุธรรมขั้นแรก คือ “พ้นมิจฉาทิฏฐิ” คือรู้สักกายะแล้ว เห็นมันไม่เที่ยง แต่ยังไม่มีปัญญา ขนาดรู้ว่า มันเป็นทุกข์ คือยังไม่ถึง “พ้นสักกายะทิฏฐิ”
                บุคคลรู้เห็นอายตนะ ๑๒  รู้เห็นวิญญาณ ๖  รู้เห็นสัมผัส ๖  รู้เห็นเวทนา ที่เกิดขึ้น เพราะสัมผัสทั้ง ๖ เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจโต)  จึงละมิจฉาทิฏฐิได้ .
                บุคคลรู้เห็น อายตนะ๑๒  รู้เห็นวิญญาณ ๖  รู้เห็นสัมผัส ๖  รู้เห็นเวทนา ที่เกิดขึ้น เพราะสัมผัสทั้ง ๖ เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นทุกข์ (ทุกขโต)  จึงละสักกายทิฏฐิได้ (พตปฎ. ล.๑๘  ข.๒๕๔ – ๒๕๖)

            พ่อครูยกมังคุด มาเป็นตัวอย่างว่า มันเป็นอนุปาทินกสังขาร คือไม่มี วิญญาณครอง ไม่เป็นชีวะ ที่ถึงขั้น อุปาทินกสังขาร มันเป็นพีชะนิยาม มีพลังงาน ที่สร้างตัวมันเองได้ แต่มันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้สึกอะไร
            พ่อครูพยายามเอาปรมัตถ์ มาสอน เพราะพุทธในไทยเสื่อม ยกตัวอย่าง กรณีที่ มีพระดัง ตอนนี้ในสังคม มาก่อบาป ก่อเวรอยู่ ทั้งที่ไม่รู้ว่าผิด และที่รู้ว่าผิด แม้รู้ว่าผิด ก็สร้างให้ผิดเพี้ยน ซ้ำซ้อนอีก มีหลอกกัน หลายสำนัก หลอกกันอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเรื่อง ทำมาหากินในศาสนา ซึ่งบาปมหาศาล ไม่มีใครชี้ได้ว่า นี่บาปนะ แต่มันเป็นสัจจะ ถ้าบาปก็คือบาป กุศลก็คือกุศล ถ้าชี้เพี้ยนก็ผิดสิ ผู้รู้ก็พอชี้ได้ ผู้ไม่รู้ก็ชี้ผิด เละเทะเลย
            พ่อครูว่าการมาใต้นี่ ก็ยอมรับกันว่า คนใต้เป็นคนฉลาด จะฉลาดแบบไหน แบบเฉโกหรือไม่ ก็แล้วแต่ แต่ก็ฉลาดตามคำโลกๆ ที่จริงคำว่า ฉลาด มาจากคำว่า ฉฬายตนะ คือความรู้ทางอายตนะ ๖ ถ้าผู้ที่รู้อายตนะ ๖ แต่ฉลาดเอากิเลสออก หรือไม่ให้กิเลส ปรุงร่วม นี่คือฉลาด แต่ต่างจากเฉกา ซึ่งไม่มีใครอยาก ให้เรียกอย่างนี้
            พวกคุณยังไม่ง่วง ก็พูดปรมัตถ์ก่อน ให้ฟังกัน
            พ่อครูมาใต้นี่ ก็ปีละครั้ง มาพบกัน ยังดีที่ยังมาได้ ก็มาให้ความรู้ เรื่องปรมัตถ์ วันนี้แจก ละเอียดกว่าเก่า ใครฟังไม่ทัน ก็ฟังรีรันทบทวนได้ โหลดเอา ในคอมพิวเตอร์ ก็ได้

            ก็มาเข้าสู่รายการเอื้อไออุ่น จะถามสด ถามแห้งก็ได

  • คุณจเร รัตนพันธ์ เป็นลูกศิษย์ท่านดาวดิน พบท่านไปบิณฯที่ทุ่งสง ถามเรื่องเกี่ยวกับ ชาตินี้ชาติหน้า มีจริงไหม? ถามว่า ที่ว่าพระพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ ก็มีชาติเกิดตาย มาหลายชาติ พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ว่า อย่าคำนึงถึงชาติที่เกิดตายมาก่อนแล้ว 

ตอบ... เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่รู้จักชาติก็บรรลุธรรมยาก “ชาติ” เป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม แต่ชาติที่คุณหมาย ก็คงหมายถึงว่า ๑. คนเกิดชาติก่อน จะมาได้ร่างกายนี้ มันมีจริงหรือไม่ ๒.ชาติที่หมายถึงนามธรรม ที่ว่าพระพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ก็ ก็มีชาติ เกิดตาย มาหลายชาติ พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ว่า อย่าคำนึงถึงชาติ ที่เกิดตาย มาก่อนแล้ว 

พระพุทธเจ้าระลึกชาติได้มากมาย ย้อนกลับไปได้มากเลย ตอนตรัสรู้ แม้ตัวท่าน เป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด ก่อนตรัสรู้ ก็ยังไม่รู้ว่า ตนเป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยออกป่า ปฏิบัติผิดๆ ๖ ปี ซึ่งเขาเข้าใจผิดว่า ต้องไปทรมานตนออกป่า เหมือนพระพุทธเจ้า จึงบรรลุ แต่ท่านตรัสไว้ชัดว่า นั่นเป็นทางผิด เราไม่ได้บรรลุในวิธีนั้น แต่เราไปใช้วิบาก ที่อดีตชาติ ได้ไปจาบจ้วง พระพุทธเจ้าองค์กัสสปะว่า จ้างก็ไม่ได้บรรลุ จากการมานั่ง อย่างนี้หรอก

ประเด็นของมันคือว่า เมื่อพระพุทธเจ้าระลึกชาติ ก็ได้รู้ว่า ตนได้บรรลุธรรม มาก่อนแล้ว ท่านมี พุทธการกธรรม (ธรรมะที่ทำให้เป็น พระพุทธเจ้า) โดยไม่ได้ปฏิบัติอีก ในชาตินี้เลย

ที่ว่าเมื่อท่านตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องไปคำนึงถึง ชาติก่อนๆ ก็ถูกต้อง แต่อย่าไป เข้าใจผิดว่า ไม่มี แต่ว่ามันมีจริง แต่อย่าไปเอามาใส่ใจ ให้ใส่ใจใน นามธรรม ใส่ใจใน ชาติ ของจิตวิญญาณ ให้เรียนรู้ชาติ ที่เกิดจาก การกระทบสัมผัส สังขาร ๓

ให้รู้กายในกาย... อธิบายว่า ตาสัมผัสมังคุด ตากระทบรูปอยู่ หรือไม่ก็ได้ คุณก็มีสภาพรูป ที่ติดตาเขามา อยู่ในใจแล้ว เมื่อเป็นกายในกาย ก็มีวิญญาณร่วม เราก็อ่านรู้ สังขาร เราอ่านเห็น สักกายะ แล้วเห็นความไม่เที่ยง คือพ้น สักกายะทิฏฐิ

รูปตัวแรกคือรูปนอก แต่รูป ในคำว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน หมายเอารูปคือ นามที่ถูกรู้ อยู่ภายใน เป็นนามรูป

พอสัมผัสปั๊ป มันปรุงแต่งแล้ว เล่นเห็นมังคุด ก็ปรุงเลยว่า มันน่ากิน อาการน่ากิน นี่แหละ คือเวทนา มีตัณหามาร่วม ว่า อยากได้ ก็หยิบกินเลย ก็ชื่นใจ ก็มีสุขเวทนา ก็อ่านให้ได้ว่า ก่อนสุขนั้นมี ตัณหามาก่อนเลย คุณอยากมาก่อน ที่จะเกิดสุข แต่ถ้าไม่ให้ มันก็ดิ้นสิ เป็นสัตว์นรก สัตว์นี้ที่เกิดในตัวคุณ นี่แหละคือการเกิด คือ​ ชาติ ของนรก คำว่านรก คือนิรยะ คือดิ้นแรง อยากแรง เหมือนคนเสี้ยนยา

ถ้าอยากในระดับกลาง ก็เรียกว่า สัตว์เปรต ก็ความอยากเหมือนกัน แต่นิรยะ แรงกว่า นี่แหละคือ เกิดจิตโอปปาติกะ เราต้องรู้จัก นี่คือ สัมมาทิฏฐิข้อหนึ่ง ในสิบข้อ ของสัมมาทิฏฐิ

ถ้าเรียนรู้สัตว์ไม่ถูกต้อง เรียกว่า สัตตาวาส ส่วนชาติที่เกิดแล้วเกิดอีก นั่นแหละคือ สัญชาติ อย่างเรายึดว่า มังคุดอร่อย ก็ติดยึดไป แม้มันจะพักยก ตัณหาก็ไม่ได้หายไป เพียงแต่หลบพัก เป็นอุปาทาน

เราต้องไม่ให้มัน เวลาอยาก คุณจะเห็นมันดิ้นเลย เราก็มีตาทิพย์ หนึ่งในวิชชา ๘ ข้อเลย ซึ่งวิปัสสนาญาณ เป็นข้อแรก คือญาณที่เห็นอาการเลย เห็นด้วยตาปัญญา ไม่ใช่ตาเนื้อ จิตไม่มีรูปร่าง เส้นแสง จิตเป็นองค์ประชุม ทั้งรูปและนาม คำว่ารูปกาย รวมทั้งนอก และใน ส่วนนามกาย ก็ละข้างนอกไว้ ในฐานที่เข้าใจ

รูปทั้งหมด อภิธรรมแจกเป็น ๒๘ ซึ่งมหาภูตรูป แจกเป็น ๔ และอุปาทายรูป แจกเป็น ๒๔ อย่าง

 

  • คุณจำลองศรีเมืองถามต่อ...ขอโอกาสเสนอความรู้ว่า ชาติก่อนมีจริง เรื่องแรกคือ เรื่องลูกแฝด ชายๆหญิงๆ พ่อแม่เดียวกัน สิ่งแวดล้อมเหมือนกันหมด ไปเข้าโรงเรียน ครั้งแรก ก็ไปอยู่ห้องเดียวกัน ก็ไม่เหมือนกัน ก็ต่างกันในนิสัย และอื่นๆ เหตุที่ต่างกันก็เพราะ สั่งสมมาต่างกัน แต่ชาติปางก่อน อย่างจำลอง ชาติแก่ กับจำลองชาติเด็ก ก็เย็บกระทงเก่งกว่าใคร ท้าได้เลย เพราะสั่งสมมา แต่ชาติเด็ก หรือยกตัวอย่าง หมอชินโอสถ หัสบำเรอ ท่านระลึกได้ว่า ชาติหนึ่ง เคยเกิดเป็น นักสีไวโอลิน ในเมืองนอก มาก่อน เรามาปฏิบัติธรรม อย่างถูกต้อง ในชาตินี้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้
  • คุณจเร รัตนพันธ์  ว่าที่จริง เนื้อหาในอภิธรรม เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสไว้ แต่แรก

ตอบ ... เรื่องนี้พ่อครูไม่อยากไปละลาบละล้วงมาก พระอภิธรรมเป็นสิ่งที่ เรียบเรียง ในภายหลัง แต่ไม่ได้หมายความว่า เป็นเรื่องไม่จริง เป็นสิ่งที่พระสารีบุตร เรียบเรียงไว้ แต่แรก แล้วก็มีผู้รู้ มาอธิบายต่อ บางสย่าง ก็ละเอียดเกินไป เรียกว่าเฟ้อ ไม่ผิดหรอก แต่ไม่จำเป็น ต้องเอามาเรียน ก็เป็นอรหันต์ได้ แต่โพธิสัตว์ต้องเรียน หลักใหญ่ก็เกิน แต่ที่เพี้ยนผิด ก็มีบ้าง

 

  • ที่พ่อครูว่า การปฏิบัติธรรม ๗ ปียกไว้ก็จะบรรลุได้ แต่ทำไมไม่บรรลุซักที

ตอบ... เป็นสังขยาเลข ตัวเลข ๗_๘_๙ ถ้าสามารถจับหน่วยมาเรียงได้ ๑ กับ ๑ ไม่หมุน เป็นเส้นตรง แต่มี ๓ ก็เป็นวัฏฏะ เป็นตัวตน เป็นเส้าแรก แต่พอเริ่มขยายจากตัวเก่า ก็มี ๑ ใหม่ก็เป็น ๔ แล้วก็จะมีการจับตัวเป็น ๕_๖ ก็เป็นสองเส้า ก็ยังหมุนอยู่ในตัว เป็นเส้นตรง ต้องมี ๗_๘_๙ ก็จะเป็นเส้าที่สาม เป็นวงวัฏฏะใหม่อีก

การเกิดทางรูปธรรมและนามธรรม ถ้าเป็นพลังงานแรก เป็นตัวตน จะเคลื่อนไม่ได้ ต้องเป็นสาม จึงเป็นครบเส้า แต่พอเกิด ๔ ก็ไม่บริบูรณ์ แต่พอมี ๕ ๖ ก็มีเส้าที่สอง ครบ แต่พอตัวที่ ๗ คือตัวเริ่มเกิด ที่จะครบบริบูรณ์ ของวงเส้าที่สาม คือ ให้ครบ ๐ หรือครบ ๑๐ ถ้าคุณจะฆ่ากิเลส ถึงขั้นที่ ๗ คือแน่นอนต่อการตรัสรู้ เป็นเลขนิยตะ คือเที่ยงแท้ อย่างโพธิสัตว์ ขั้นที่ ๗ คือนิยตโพธิสัตว์ แน่นอนต่อการตรัสรู้ ถ้าคุณทำคุณสมบัติ ถึงขีด ๗ คุณบรรลุแน่ จะมานับเป็นปีๆไม่ได้หรอก หรือจะนับคนเกิดมา เป็นชาติๆ ๗ ชาติ ก็ไม่ใช่พาซื่อ อย่างนั้น

เกิด ๗ ชาติ พ่อครูว่า เกิดโพชฌงค์ คือการเกิด ๗ ก้าว ถ้าได้ก็บรรลุแน่ หรือ คือสังโยชน์ ๑๐ ถ้าพ้นโสดาบัน ก็บรรลุสังโยชน์ ๓ ก็เหลือสังโยชน์อีก ๗ ก็จะบรรลุอรหันต์

  • เรื่องอัตตา พวกเราแต่ละคน มีอัตตากันเยอะ มากน้อยมาอยู่ด้วยกัน มองเห็นอัตตาคนอื่นใหญ่ ของตนเองไม่เห็น ทำอย่างไร จะสมานอัตตาได้

ตอบ... ก็ต้องกำจัดอัตตาของตนเอง จึงจะสมานอัตตา...คนที่ถามก็พูดว่า ของดิฉันน้อย .. พ่อครูก็ว่า คุณพูดเองนะว่า ให้ดูอัตตาของตนก่อน

พ่อครูว่า อัตตามี ๓ ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา คำว่าอัตตา คือภาษา ที่เป็นตัวตนรวมๆ แต่อัตตะก็คือ สิ่งที่ปรากฏขึ้น ยกขึ้นในตน เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม อัตตาคือกิเลส เราต้องล้างอัตตา อัตตาคือความเป็นสัตว์ ในสัตตาวาส ๙

สัตตาวาส ๙ ข้อที่ ๑ คืออ่านกายต่างกัน สัญญาต่างกัน ให้ได้ก่อน รู้หยาบก่อน กำจัดหยาบก่อน แล้วลดละ ไปตามลำดับ ปฏิบัติให้ตรง ก็ล้างอัตตาได้ ใครก็ตาม พวกเรา อยู่ด้วยกัน ล้างอัตตาได้ ก็สามัคคีเอง ถ้าไม่ล้างอัตตา ก็ซัดกันไปมา

พวกเรามาอยู่ ๓๐ กว่าปี ก็ไม่ได้มีอัตตาทะเลาะมากมาย ก็แค่ว่ากันไปมา งอนกันไปมา ไม่ถึงฆ่ากัน ตีกัน มั่นใจว่า อโศกเราเป็นจริง ไม่มียึดตัวตนมาก จนต้องรุนแรง เพราะลดอัตตา มาจริง ไม่ได้เอา มามิสมาล่อ ไม่ได้เอาโลกธรรม มาล่อด้วย

ต้องทำตัวช้าง ออกจากพวยกาก่อนให้ได้ อย่างมัวแต่งมตัวละเอียด เอาหางช้าง ออกจาก พวยกาก่อน เราต้องทำตัวหยาบก่อน แล้วค่อยไล่ออกมา ตามลำดับ จนกระทั่ง เหลือหางช้าง สุดท้ายออก คนส่วนใหญ่ หลงเอาหางช้าง ออกก่อน ก็ไม่ได้บรรลุหรอก

 

  • คุณมงคล...ถามว่า...อยากจะเสริมเรื่อง ในฐานะเป็นพี่เป็นน้อง ผมศรัทธา ในความมีปัญญา ของคนใต้ ก็เลยทิ้งอีสาน มาอยู่ใต้ ตนเองไม่ค่อยเป็นคนมีปัญญา มาแรกๆ ก็สงสัยว่า ทำไม พี่น้องชาวใต้ ปัญญาเยอะ ทำไมชาวใต้ จึงรวมตัวกัน ยากจัง พอศึกษาก็เลยรู้ว่า ที่ว่าปัญญาๆ นี่ที่จริงคือ เราไม่ได้ใช้ปัญญา จัดการตนก่อน ไปบริหารคนอื่น ตนเองก็เป็นด้วย แต่พอระยะหลังมา จัดการตนเองก่อน พอจัดการได้ก็เกิดความอบอุ่น ไม่สร้างศัตรู ให้ขุมทรัพย์ใคร ก็ให้ด้วยเมตตา ไม่เหมือนก่อน
  • ๑. ผมได้คุยกับญาติธรรมคนหนึ่ง ที่ติดตามอโศกมา ๒๐ กว่าปี มาระยะหลังไม่กี่ปี เขาก็ทำจริงจัง ละอบายมุขได้ ศีล ๕ ได้ มังฯได้ ผมก็เลยว่าคุณรู้ใจไหม? เขาก็ว่าก็ได้ มันวางได้ ก็เฉย ในขณะอยู่กับอบายมุข กับโลกเขา อย่างนี้คือบรรลุขั้นหนึ่งไหม

ตอบ... พ่อครูว่า ต้องอ่านของตนเองให้ได้ จะจริงหรือไม่ก็คือ เขาอ่านจิตตน ได้จริงไหม มีผลจริงไหม เป็นสภาวธรรมจริงไหม อาการอย่างนี้ มันออกไปหมดแล้ว มันเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง หรือมันเหลือน้อย จนไม่แสดงออกมา ทางกายวาจาแล้ว ก็เป็น อนาคามีภูมิ ในศีล ๕ ในโสดาบัน คุณอ่านผิด มันก็ผิด อ่านได้จริง มันก็จริง ต้องศึกษาอย่างนี้ ตอบแทนกันไม่ได้

 

  • ๒. เขาปฏิบัติอย่างไม่สงสัยในพ่อครู แต่เขาถามว่า คำสอนมาจากไหน ผมก็ว่า พระพุทธเจ้าก็สอนกันมา แต่เขาก็ถามว่า ในใบลานมาจากไหน?

ตอบ... มาจากสัญญา มาจากความจำ จากจิตวิญญาณ ที่มีคลังความรู้อันหนึ่ง ไม่หายไปไหน เหมือนฮาร์ดดิสก์ คือสัญญาของคน ที่เป็นคลังข้อมูลใหญ่มาก ไม่หายไปไหน แต่ดึงออกมาใช้ไม่ได้ คนที่ศึกษา ก็เอามาใช้ได้ คนเราจำ ชาติก่อนไม่ได้ เพราะคนตายไป กว่าจะมาเกิดอีก นานมาก ส่วนใหญ่ตกนรกมากนาน ซึ่งเขาไม่ค่อย จำหรอก เพราะตกนรก มันทุกข์ คนที่ตายไปแล้ว เกิดมาเร็ว จะจำได้

เอามาจากไหน? ก็เอามาจากสัญญา พระพุทธเจ้าท่านเก่ง ในการมีเตวิชโช อย่างพ่อครู เอามาจากไหน? คุณรู้ไหม? ก็ตอบว่า เอามาจากของเก่าที่มีอยู่ มาบอกความจริง ไม่ได้ศึกษา เรียนจากสำนักไหน? แสดงออกมา ไม่เหมือนกับสำนักไหน

ที่ต้องบอก เพราะอยากให้รู้ว่า ๑.ชาติก่อนมีจริง ๒.ความรู้เหล่านี้ เป็นสัญญา ที่เก็บมาใช้ได้ คนเราที่เกิดมา ก็เอาวิบากชุดหนึ่ง มาใช้เท่านั้น เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง ถ้าเราเอง เราศึกษาดีๆแล้ว จะรู้ว่า ทุกอย่าง ไม่หายไปไหน โดยเฉพาะนามธรรม สะสมมานานมาก จนกระทั่ง มีลัทธิที่ครองโลก บอกว่า จิตวิญญาณ เป็นนิรันดร แต่พระพุทธเจ้าว่า ทำให้จิตวิญญาณสูญได้

ต้องมาปฏิบัติเอง จึงจะรู้ได้เอง ไม่ต้องไปเถียงกับใคร เหมือนคนถูกลูกศร จะไปหา ว่าใครยิง ก็ตายก่อน เราต้องเอาลูกศร ออกก่อน

อย่างหมอชินโอสถ ก็คือเป็นคนเกิดมา เป็นลูกของตนเอง คือเป็นปู่ ตายแล้ว มาเกิดใหม่เร็ว คือเป็นพ่อของพ่อ เลยตามรู้ได้เร็ว ลูกยังไม่ตาย

  • ลุงจำลองว่า... วันนี้คนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงาน บอกว่าวันนี้ เป็นวันเกิดของผม แล้วมาที่ใต้นี้ ทางรร.ผู้นำ เขาจะว่าอย่างไร ก็ขออธิบายว่า ที่เขาจัดงานนี้ ไม่เกี่ยวกับผม อย่าเข้าใจผิดว่า เป็นความสำคัญของผม ผมไม่เคยจัดงานวันเกิด ทางรร.ผู้นำ เขาก็ไม่รู้ว่า วันเกิดผม

ตอบ...พ่อครูว่า ที่ว่าวันเกิด ที่จริงคือวันตาย คือวันนี้คุณจำลองตายไปแล้ว ๗๘ ปี กำลัง จะเริ่มปีที่ ๗๙ มันล่วงพ้นไปแล้ว ๗๘ปี (สมติกกมะ) วันนี้อายุเพิ่งจะวันเดียว

  • ลุงจำลอง...ว่าผมอายุน้อยกว่าพ่อครู ๑ ปี พอดี ว่าถ้าอยากจะรู้ว่า ผู้ใหญ่อายุเท่าไหร่ ให้มาบวกลบกับของตนเอง

พ่อครูว่า อย่างลุงจำลอง ห่างจากพ่อครู ๑ ปีกับ ๑ เดือนพอดี ก็นับง่าย

 

พ่อครูสรุป.... ที่ออกอากาศทีวีได้ ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะเราไม่ได้ ไปหาเงิน อย่างเอาเปรียบ เอารัด เรามีหลักว่า ไม่สะสม น้อยก็พอ ทำให้มาก ที่เหลือ ก็สะพรัด สู่สังคม คือเราไม่สะสม แต่เราก็สามารถเช่าดาวเทียมสองดวง ออกอากาศได้ถึงสองดวง ก็ใช้จ่าย เดือนละ ๑ ล้านกว่า เดือนไหนซื้อของ ก็ใช้สองสามล้าน ก็มาได้อยู่ โดยเราใช้เงิน จากการทำขยะ เป็นหลัก เงินบริจาคก็มีบ้าง เรารับแต่คนใน ซึ่งคนในเรา ก็มีเลือดน้อย เรารีดเลือดจากปู เรามีกติกาว่า ไม่รับเงินบริจาค จากคนนอก เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่เราทำได้

พ่อครูเคยพูดถึง สามอาชีพกู้ชาติมาก่อน คนก็งงว่า เอาขยะมากู้ชาติ ได้อย่างไร อย่างกสิกรรม หรือปุ๋ย ก็พอฟังได้ แต่ว่าทำไมเอาขยะ มากู้ชาติได้อย่างไร อย่างน้อย ก็มาทำสื่อ ต่อไปสื่อ จะกู้ชาติได้ ทุกวันนี้ เขาปฏิวัติประเทศ กันด้วยสื่อ ทำอย่างไร เราจึงเอาขยะ แปรเป็นเงิน มาเลี้ยงเอฟเอ็มทีวี ทั้งที่เราก็ขาย ราคาถูกมากเลย ดีไม่ดี ก็ขายแจก แถมไปอีก  ไม่ได้ขูดรีดเลย สิ่งเหล่านี้เป็น สัจจธรรม ที่ลึกซึ้งเกินพูด แปลกมหัศจรรย์ แต่เมื่อเหตุปัจจัยธรรมถึง ก็ทำได้ ไม่ได้จ้างใครมาทำหรอก พวกเรา อาสากันทำ พูดเป็นสัจจะให้ฟัง ใครเข้าใจก็มาช่วยกัน บางคนเงินเดือนแสนเจ็ด ก็ลาออก มาทำขยะก็มี มีคนหนึ่ง เพิ่งลาออกมาใหม่ๆ เงินเดือนเดือนละ สามแสนสาม ก็บรรจุทำงาน ของอโศกเรางานตกคน นั่นคือสังคมเจริญ ถ้าสังคมใด คนตกงาน สังคมนั้นเสื่อม....

จบ

       

 
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ศูนย์การเรียนรู้ชเลขวัญ จ.พังงา