560716_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง ตอบประเด็น ๘๗๐๕ เรื่อง รูปและกายต่างๆ

               พ่อครูจัดรายการที่ห้องกันเกรา สันติฯ ...

พ่อครูได้รับ sms ของคุณ ๘๗๐๕ เมื่อวาน มีประเด็นที่เจาะรายละเอียด เข้าไปอีก ซึ่งคุณ ๘๗๐๕ ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดอีก ก็ส่งมาแย้งอีก

               0888705xxx ดูเหมือนว่าไปเกณฑ์เด็กมาเรียน เพื่อสร้างภาพให้แก่ ดร.อรหันต์ พธร.ฤเปล่า?

               พ่อครูว่า ของเราทุกบรรยากาศ คือการรายงานความจริง เป้าหมายเรา

                ภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์เราประพฤติ
มิใช่เพื่อ... หลอกลวงคน ให้มาเคารพนับถือ (น ชนกุหนัตถัง)
มิใช่เพื่อเรียกคน มาเป็นบริวาร (น อิติ มังชโน)
มิใช่เพื่ออานิสงส์ เป็นลาภสักการะ และเพื่อเสียงสรรเสริญ  
มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือค้านลัทธิอื่นใด ให้ล้มไป
มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้
ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ,
เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

               ยุคนี้มีแต่คนกิเลสหนาหนัก จะมีคนบรรลุได้ สักกี่คนเชียว คุณก็มองไปว่า เราต้องการมาก แต่ส่งมา พ่อครูก็รับฟัง แต่คนที่เขียนมา อย่างเจตนาร้ายแรง เช่น คุณ ๐๕๕๖ ก็ว่ามา

0850556xxx ใครสอนพท.ว่าคนทิ่หูตาจมูกลิ้นกาย พิการหมดทุกอย่าง จะปฏิบัติธรรม ไม่ได้ พท.บ้าหรือเปล่า ผมจะฟ้อง DSI กระชากจีวรท่านให้ได้

               อย่างนี้คือเนื้อหาไม่มีจริงเลย ส่วนคุณ ๘๗๐๕ ก็ยังมีเนื้อหา และที่ว่า ไม่สามารถปฏิบัติ คือไม่สามารถได้ โลกุตรธรรมได้ เพราะอายตนะ ไม่ครบ ๓๒

               0888705xxx รูปทั้งหมดมี 28 รูป แต่พธร.ฝรั่งทำเกิน ดันไปเอาสัญญา, เวทนาฯ มาเป็นรูป ได้ไง

               พ่อครูว่า ก็พูดเอาตำรามากางเลย จะทำเกินได้อย่างไร

               ล. ๓๔ ข้อ(๕๕) กายปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
  การสงบ การสงบระงับ กิริยาที่สงบระงับ ความสงบระงับ แห่งเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า กายปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น.

               นี้คือ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ในสมัยนั้น
             คำว่าในสมัย คือขณะที่มีสภาวะนั้นตั้งอยู่ นั่นคือ สมยะ หรือ สมัย เช่น หทยรูป เป็นรูปอันหนึ่ง ใน ๒๔ ท่านแปลว่า ที่ตั้งของใจ (แต่ไปใส่เป็นว่า ที่ตั้งของหัวใจ) ก็เลยไปใช้คำ เป็นรูปธรรม คือว่า อยู่ในหัวใจ ห้องที่ ๔ พ่อครูก็ว่า ติดใจอภิธรรม ที่แปล อย่างนี้มานาน

             พ่อครูว่า หทยรูป หมายถึงนามธรรมแท้ๆ เป็นที่ตั้งของนามธรรม เช่น วิญญาณเกิด ตอนผัสสะ ทางทวาร ๖ มันเกิดเมื่อมีผัสสะ เมื่อมีผัสสะ ที่ตั้งมันก็อยู่ตรงนั้น ไม่ใช่มีสถานที่ตั้ง และก็เกิดใน สมยะ คือในขณะที่มีผัสสะ หรือ อายตนะ ก็ไม่มีที่ตั้ง

               0888705xxx อวดรู้จักรูป28 แต่ต้องเปิดตำรา! แถมเถียงตำราว่า หทัยรูป มิได้ตั้งที่หัวใจ

               คำว่า หทยรูป ไม่ใช่ที่เป็นหัวใจที่เป็น Heart Anatomy แต่เป็นเรื่องของ จิตวิญญาณ ต่างหาก วิญญาณเกิด เมื่อมีผัสสะ หรือสัมผัส ถ้าไม่มีสัมผัส มันก็หายไปแล้ว พระพุทธเจ้า บริภาษภิกษุสาติที่ว่า วิญญาณเป็นสิ่ง ล่องลอยนอกตัว เป็นเรื่องลึกลับ จริงไม่จริง พิสูจน์ไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้า เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต

               พ่อครูพยายามอธิบาย ด้วยภาษาของตน ก็หาว่าพูดเอาเอง แต่พอเอาตำรา มาพูด ก็หาว่า เอาตำรามากางอ่าน แล้วจะให้พูดอย่างไร? ภาษาว่า ขี้บนน้ำก็ไม่ได้ ขี้บนบกก็ไม่ได้

               0888705xxx กายของคนย่อมกอร์ปด้วย รูป(กาย) กับนาม(กาย) คือใจ ทำไม? ถึงไม่พูด ให้เข้าใจง่ายๆ อย่างนี้!

               พ่อครูก็ว่า นี่ก็เข้าใจได้เพิ่มขึ้น ดีแล้ว

               0888705xxx จิตวิญญาณของคน ย่อมซ่อนอยู่ในกายฉันใด.. จิตวิญญาน ของเทวดา ก็ซ่อนอยู่ในกายทิพย์ ฉันนั้น! พธร.อย่าโง่นักสิ!
0888705xxx รูปทั้งหมด มี28รูป แต่พธร.ฝรั่งทำเกิน ดันไปเอาสัญญา , เวทนาฯ มาเป็นรูป ได้ไง

               สู่แดนธรรมส่งข้อความมาว่า เข้าใจแล้ว ว่าเขาไม่สามารถเข้าใจ รูปที่เป็นกาย ได้เลย ซึ่งกายเป็นนามธรรม ที่ประกอบด้วย สังขาร ๓ กายปัสสัทธิ คือเวทนา สัญญา สังขาร
               สงบ ไม่ได้หมายถึง ร่างกายสงบ แต่หมายถึง เหตุมันดับ ไม่มีกิเลสมาปรุงแต่ง ใน เวทนา สัญญา สังขาร เป็นความสะอาด สว่าง สงบ ไม่ได้หมายถึง กายไม่กระดุก กระดิก ใจไม่คิดไม่นึก จึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง

               ล. ๓๔ ข้อ(๕๕) กายปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
  การสงบ การสงบระงับ กิริยาที่สงบระงับ ความสงบระงับแห่ง เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า กายปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น.

           ถ้าคุณทำสงบได้เมื่อใด คือสมัยนั้น คุณมีความบรรลุ แต่ถ้าคุณทำได้ ทุกสมัย ตลอดกาล ตลอดไป จะมีผัสสะสมัยไหน ก็สงบได้ทุกสมัย ก็คือ คุณบรรลุหมด แต่ถ้าสมัยใด ไม่สงบ ก็ไม่บรรลุ

           0888705xxx กายของคนย่อมกอร์ปด้วย รูป(กาย) กับนาม(กาย) คือใจ ทำไม? ถึงไม่พูด ให้เข้าใจง่ายๆ อย่างนี้!

           พ่อครูก็ว่า ได้ขยายไปแล้ว ยกตัวอย่าง เช่นฟักข้าว ก็เป็นรูปรูป มันไม่เรียกว่ากาย ไม่เป็นองค์ประชุม ของรูปและนาม มันไม่มีนาม ไม่เป็นธาตุรู้

           0888705xxx จิตวิญญาณของคน ย่อมซ่อนอยู่ในกายฉันใด.. จิตวิญญานของ เทวดา ก็ซ่อนอยู่ในกายทิพย์ ฉันนั้น! พธร.อย่าโง่นักสิ!

           พ่อครูว่า คำว่าซ่อนนั้น แสดงความเข้าใจของ ๘๗๐๕ ว่า ในกายเรา มีอะไร ซ่อนอยู่ คือจิตวิญญาณ ซ่อนอยู่ในกาย พ่อครูก็เข้าใจ และพ่อครูว่า ในกายของคนนี้ ไม่ใช่ว่า มีจิตวิญญาณซ่อนอยู่ แต่มีจิตวิญญาณ มีอยู่เป็นหลักสำคัญ ทั้งขณะที่มี “รูปกาย” (กายที่ถูกรู้) จะมีจิตวิญญาณ ที่ชัดเจน แต่ถ้าตัดเอาแต่ มหาภูตรูป ๔ ก็ไม่เป็นกาย ซึ่งคำว่า รูปกาย ก็มีจิตวิญญาณ ยิ่งเป็น “นามกาย” ก็มีเรื่องนามธรรม ล้วนๆเลย คือมีกองของ รูปกับนาม ต้องมีหมวดแห่ง เจตสิกธรรม คือ เวทนา สัญญาสังขาร ถ้าขาดนามธรรม ก็ไม่เรียกว่า กาย

           ในคน สัตว์ เป็นจิตนิยาม อย่างน้อย กายของคน ย่อมมีทั้ง รูปแเละนาม ประชุมกันอยู่ ไม่ขาดทั้ง รูปและนาม เว้นแต่จะใช้ คำอธิบายเฉพาะ รูป ๒๔ ที่เป็น อุปาทายรูป คือรายละเอียดของ นามกาย ตั้งแต่ กายในกาย (พ่อครูว่า อธิบายจนเมื่อยแล้ว ก็พูดว่า สู้โพธิรักษ์สู้)

           รูปรูป ตัดไปก็มีแต่นาม ที่เป็นตัวรู้ คือ “นามรูป” คือนามธรรมต่างๆ ต้องถูกรู้ ในรูป (อุปาทายรูป) ๒๔ เป็นอาการต่างๆ ของนามกาย ตั้งแต่ต้น จนปลาย

           สรุปคือ จิตวิญญาณ ไม่ได้ซ่อนอยู่ในกาย แต่อยู่อย่างเต็มรูปเลย เช่น จิตวิญญาณ ของเทวดา ซึ่งคำว่า กายทิพย์ของคุณ ๘๗๐๕ กับของพ่อครู ไม่เหมือนกัน ของพ่อครู หมายถึง ปรมัตถ์ล้วนๆ ไม่มีรูปร่างสรีระ เป็นนามธรรมล้วนๆ จึงรู้ละเอียดละออ ถึง รูปธรรม ของอุปาทายรูป ๒๔ ที่เป็นนามธรรม ที่ละเอียดบางเบา ถึงอุปาทายรูป ที่ 18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบา) 19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย)

           ในกายทิพย์ของ ๘๗๐๕ กับพ่อครู ต่างกันแน่นอน ของคุณ ๘๗๐๕ หมายเอา สรีระ รูปร่าง ก็คือ มโนมยอัตตา คือ อัตตาหรือรูป ที่สำเร็จด้วยจิต เป็นเรื่องที่อธิบาย พิสูจน์ไม่ได้ เป็น magical ของชาว magician ของฤาษีคันธารี ฤาษีมัลลิกา ซึ่งพ่อครู ไม่ได้ปฏิเสธว่า ไม่มี แต่พิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้น ๘๗๐๕ จึงบอกว่าซ่อน แต่ของพ่อครูไม่ซ่อน รู้เต็มๆเลย ของพระพุทธเจ้า รู้แจ้งเห็นจริง สัมผัสอยู่โทนโท่ เป็นสัมมัปปัญญา ที่เห็นแจ้ง ขณะผัสสะเลย
         อย่างที่มีคนเขียนรูป หัวเป็นสัตว์ ตัวเป็นคน ใส่สูตร ก็คือ ศิลปะแท้ๆเลย
         การเรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณ ต้องมีครบ ทั้งทวาร ๖ เพราะไม่อย่างนั้น จะไม่สามารถ เรียนรู้

           ญ. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย : material intimation; gesture)
16. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย : bodily intimation; gesture)
17. วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา : verbal intimation; speech)

ฏ. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลง ทำให้แปลกให้พิเศษได้ : material quality of plasticity or alterability)
18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบา - lightness; agility)
19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย : elasticity; malleability)
20. (รูปัสส) กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ : adaptability; wieldiness)

           ผู้ที่จะเห็น ความเป็นสัตว์-ผี-เทวดา ทางจิตใจ ซึ่งไม่มีรูป ไม่มีร่าง แต่ของคุณ ๘๗๐๕ ว่ากายทิพย์นั้น มีรูปร่าง และมีจิตวิญญาณ ซ่อนแฝงอยู่ในนั้น แต่ความจริง มันไม่มี กายแฝงหรอก แต่เป็นองค์ประชุมของ นามธรรมชัดๆ เห็นด้วยญาณปัญญา ชัดๆเลย ไม่มีแฝง สัมผัสได้ ในปัจจุบัน ไม่มีรูปร่าง แต่เห็นด้วย อาการ ลิงค นิมิต
           เทวดาคือสุข สมมุติ เทวดาโลกีย์ เคหสิตโสมนัสเวทนา สุขของโลกุตระ คือ เนกขัมสิตโสมนัสเวทนา เราเป็นคนรู้นิมิตนั้นเอง เป็นอาการ กิริยา ของนามธรรม ไม่มีเส้นสี รูปร่างเลย ส่วนกายของคุณ ๘๗๐๕ ยังมีรูปร่างตัวตนสีสัน แล้วจิตวิญญาณ ซ่อนในนั้น ซึ่งไม่ถูกฝาถูกตัว แล้วทิพย์ยังเป็น ของซ่อนในกายอีก  

           การจะพยายาม ทำให้คนเห็นสัจจะ ความจริงว่า “ความเป็นสัตว์ทางจิตใจ หรือ ความเป็นผี เป็นเทวดานั้น ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ทว่าผู้มี “ตาทิพย์” เห็นความเป็นสัตว์ ทางจิตใจ ความเป็นผี เป็นเทวดา ทางจิตใจ นั้นได้ด้วย “อาการ-ลิงค-นิมิต-อุเทศ” ในพระไตรฯล.๑๐ ข้อ ๖๐

               ซึ่งคนจะเชื่อ หรือจะเข้าใจได้นั้น ยากๆๆ มากจริงๆ

               คนมากกว่ามาก จึงยึดถือ คือมีอุปาทานว่า ความเป็นสัตว์ ทางจิตวิญญาณ มี รูปร่าง-โฉมร่าง (สรีระ) ไม่หมดไปจาก โลกนี้หรอก จนกว่าจะมี ผู้มี “ญาณปัญญา” จนสามารถมี “ตาทิพย์” หรือที่เรียกว่า มี “วิชชา ๘” วิปัสสนาญาณ เป็นต้น

               เพราะความไม่มี “พุทธิปัญญา” ดังกล่าวนี้เอง จึงพลอยพาให้เข้าใจว่า แม้แต่ความเป็น จิตใจ หรือ วิญญาณ ยังมี รูปร่าง-โฉมร่าง เหมือนสัตว์ เหมือนบุคคล มีรูปร่าง เป็นตัวเป็นตน ตามที่ตาเนื้อเห็นนี้แหละ (ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เวลาตายไป เกิดมา ก็ต้องหน้าตา เหมือนเดิมสิ)

               จึงเชื่อสนิทใจว่า ความเป็น “จิต” เป็น “วิญญาณ” นั้นมี รูปร่าง-โฉมร่าง มี “ตัวตน” (อัตตา) เหมือนกับที่ตาเห็นรูป – หูกระทบเสียง – จมูกกระทบกลิ่น – ลิ้นกระทบรส - กายภายนอก สัมผัสเสียดสี เป็นเย็นร้อน อ่อนแข็ง เป็นโผฏฐัพพารมณ์ อย่างนี้แหละ เป็นสิ่งจริง ที่มีอยู่จริง อยู่ในทุกมิติ ทุกภพที่ยังมีจิต ไม่ว่า กามภพ รูปภพ อรูปภพ แม้แต่ในภพที่ไม่มี ทวาร ๕ ก็ยังมี รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส จึงยังเป็นสุข เป็นทุกข์ อยู่กับการกระทบสัมผัส จากทวารนอกทั้ง ๕ นี้อยู่ใน อุปาทาน ซึ่งจะมาก หรือน้อย จะแรงหรือจัดจ้าน หรือบางเบาอย่างไร ก็เป็นจริงตาม อุปาทาน (ความยึดว่า ภาวะนี้จริง) เท่าที่คนผู้นั้น ยังมีเหลือ เป็นอนุสัย ของแต่ละคน

           “นรกเพราะทุกข์ สวรรค์เพราะสุข” จึงมีอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “จิตวิญญาณ” ด้วยประการฉะนี้

           ผู้ได้กำจัด “อนุสัย”สิ้นเกลี้ยง “อนุสัย ๗” หรือ “สิ้นสังโยชน์ ๗” อย่างเที่ยงแท้ (นิจจัง) ยั่งยืน (ธุวัง) ตลอดกาล (สัสสตัง) ไม่แปรเป็นอื่น (อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไร หักล้าง (อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ (อสังกุปปัง) แล้วจริงเท่านั้น ที่จะหมดสิ้นทุกข์ สิ้นนรก สิ้นสุข สิ้นวรรค์ เป็น “นิพพาน”

           ผู้ที่ตายทางร่างกาย แตกสลายไปแล้ว (กายัสสะเภทา) เหลือแต่ “จิต” หรือ “วิญญาณ” นั้นอยู่ในภพ ที่ไม่มีร่างคนเป็นๆนี้แล้ว เขาผู้นี้ก็มี “อัตตปฏิลาโภ” (การได้อัตตา) แน่นอน โดยไม่ต้องอยากได้ อยากมีเลย

           แต่ถ้าผู้ใด ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่สิ้นเกลี้ยง “อุปาทาน” ในขันธ์ ๕ ยังไม่สิ้น “อนุสัย ๗” ยังไม่สิ้น “อวิชชา ๘” เป็นต้น จึงมีสุข-มีทุกข์ มีสวรรค์-มีนรก อยู่จริง ไม่หมดไปจาก “อนุสัย” คือ กิเลสที่นอนเนื่อง อยู่ในสันดาน ยังมี “สัญญา” (ความจำ) และยังหลง “สังขาร” (การปรุงแต่ง) อยู่ในใจอยู่ ยังไม่จบสิ้นหายไปจาก จิตวิญญาณ แม้ตายไป ไม่มีร่างกาย แล้วก็ตาม เขาก็ยังมีทุกข์-มีสุข -มีนรก-มีสวรรค์อยู่จริง ตามที่ยังมี “อุปาทานในขันธ์ ๕” อยู่

           ยุคซึนามิ คนตายเกลื่อนกลาดทั่วหาด คนตามหาญาติ ที่หายไป กันขวักไขว่ ถ้าวิญญาณ มีตัวตนรูปร่าง ก็จะมาบอกได้ว่า นี่เราตายอยู่ตรงนี้ แต่ปรากฏว่า ไม่มีเรื่อง อย่างนี้เลย ทั้งที่ตายกัน เป็นหมื่นคนเลย แต่วิญญาณนั้น ไปเดี่ยว ไม่เกี่ยวกับใคร ซึ่งเป็นเรื่อง ลึกซึ้งมาก ถ้าเข้าใจถูก จึงปฏิบัติได้ตรง

           เช่น คนเข้าใจว่า นิโรธคือดับปี๋ อยู่ภายใน คุณก็สร้าง นิโรธแบบนั้น เช่นเดียวกัน สัตว์ที่เป็น มโนมยอัตตา ตอนหลับคุณมี ตายไปคุณก็มี ฉันเดียวกัน คำโกหกมีจริง แต่คำโกหก ไม่เป็นเรื่องจริง

           พ่อครูรู้ว่าเขามีรูป เขาโกหกจริงๆ แต่ของพ่อครู ไม่มีโกหกแล้วก็ไม่มีของพ่อครู แต่พ่อครูรู้ว่า เขาโกหก ดีไม่ดี เขาไม่รู้ว่าตนโกหก เช่น นักการเมือง เขาพูดโกหก ก็ว่าพูดจริง

           คนที่ยังยึดถือสภาพเช่นนี้ เขาก็มีนรกสวรรค์ ตามที่เขามีอุปาทาน ตามทิฏฐุปาทาน อย่างนั้น เช่น ๘๗๐๕ ว่าตายไป มีเมืองนรกจริง พ่อครูก็รู้ว่า เขาว่ามีของเขา เขาก็มีจริง แต่พ่อครูไม่มี ก็ไม่มีของพ่อครู เพราะปัจจุบัน พ่อครูไม่มี ตายไปก็ไม่มี เราได้ทำใจในใจ จนไม่มีนรกแล้ว ในตอนเป็นๆ ตายไปเราก็ไม่มี ก็สัมผัสในสมยะนี้ วาระนี้ ก็ไม่มีแล้ว และทุกสมยะ ทุกอดีต ปัจจุบัน ก็เป็นสูญหมด อนาคต เกิดกี่ชาติ ก็สูญๆๆๆ พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึก เวทนา ๑๐๘ จนส่วนอดีต อนาคตเที่ยง อธิบายได้ ยืนยันได้ ตามพระพุทธเจ้าสอน

 

           ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • พ่อครูมีจริตอะไรในจริต ๖

ตอบ... จริตนี้ติดมาเป็นวาสนา อย่างพระสารีบุตร ก็ติดเป็นลิง มาหลายร้อยชาติ อย่างอรหันต์ บางรูป ก็ติดคำว่า “ไอ้ถ่อย” พ่อครูว่า พ่อครูเป็นพุทธิจริต (ซึ่งพุทธิจริตนั้น.. สู่แดนธรรมว่า อย่าตอบว่า พุทธิจริต เพราะต้องแก้ด้วยอย่างอื่น พ่อครูว่าก็ถูกแล้ว เพราะปัญญา ต้องเสริมศรัทธา)

  • ลีลาผู้มีพฤติกรรม ของผู้มีจริตต่างๆ อย่างไร

ตอบ.. ที่เหมือนกันคือ นิพพานอย่างเดียวกัน แต่รายละเอียดของจริต หรือวาสนา มีอีกมาก

  • สติควบคุมจิตใจมากเท่าใด ปัญญาก็มีพลังมากขึ้นเท่านั้น ใช่ไหม?

ตอบ... ยังไม่ถูกทีเดียว สติคือเจตสิกหนึ่ง รู้ทั่ว ทั้งนอกและใน สติคือรู้องค์รวม ยังมีสัมปชัญญา สัมปชานะ อีกมากที่ละเอียด แต่ถ้าทำแต่สติ คือรู้ นิ่งเฉย ไม่ได้พิจารณา อย่างอื่นเลย ก็ไม่นิพพานหรอก ไม่รู้ว่ากาย-เวทนา -จิต-ธรรม ไม่แทงทะลุ แยกแยะกุศล อกุศล อย่าทำลายกุศลจิต จิตมันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน จิตมันมาจากเหตุ เราดับแต่อกุศล เราไม่ดับกุศลจิต ถ้าเราไม่ทำการหยั่งลง ในการเกิด(ชาติ) ถ้าหยั่งลงไป จนถึงรอบที่ เป็นหน่วยของ จิตวิญญาณถึงรอบ (ละเอียดมาก) ทำอกุศลตาย กุศลก็เกิด ตัวโอกกันติ จึงเป็นตัวกลางของ ชาติ -สัญชาติ -โอกกันติ -นิพพัตต ิ-อภินิพพัตติ ถ้าไม่ปฏิบัติ คุณก็โอกกันติ คือหยั่งลงเป็นปุถุชน แต่ถ้าทำการเกิดอย่าง นิพพัตติ อภินิพพัติ ก็เป็นอาริยะ ….สติต้องมีปัญญา เห็นอาริยสัจด้วย ทำเหตุให้ดับ ตามปหาน ๕

  • เจอปุ๊ปรักปั๊บ เกิดจากอะไร พ่อครูบอกเป็นตัวเวร แล้วเวรอย่างไร

ตอบ... มีสองนัย ๑.มีของเก่า เราสัมผัส มีสัญชาติญาณเลย ก็เวรต่อเวร คุณไม่จบหรอก เป็นเวราณุเวร ไม่มีการตัดขาด ปรุงแต่งแล้วก็ฝังอุปาทาน คุณก็รักก็รักไป พยาบาท ก็พยาบาทไป ไม่จบ ไปต่ออีกกี่วัฏกัปป์ ๒. คือ คุณไปเชื่อโลก ที่มอมเมาคุณ แล้วก็ว่า อยากได้ พอเจอตามที่ถูกมอมเมา ก็อยากได้ มีสองนัย และที่เป็นตัวเวร คือไม่จบ พวกอยู่เวร คือพวกไม่จบ พวกทำหน้าที่ ไปไหนก็ไม่ได้ มันเวร ต้องอยู่เวร มันนัวนัง ติดผูกอยู่

  • ถ่านไฟเก่า คุได้อย่างไร?

ตอบ... เพราะคุณยังไม่ดับ ถ้าล้างได้หมด จบสิ้นเกลี้ยง ก็ไม่คุ

  • คนเราทำไมรักกัน ชายหญิง มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วไม่รัก ได้หรือไม่

ตอบ... ได้เป็นธรรมชาติของปุถุชน คนก็หลอกกัน มากกว่าสัตว์อีก ซึ่งสัตว์บางอย่าง ก็รักกัน เป็นคู่กัน ผัวเดียวเมียเดียว เช่น พ่อครูเคยเลี้ยงนกพินช์ ตัวหนึ่งตาย อีกตัวหนึ่ง ก็ตายตามเลย มันเป็นกิเลสในธรรมชาติ ที่บอกว่าธรรมะคือธรรมชาติ ถูกโลกีย์ ธรรมะคือเหนือธรรมชาติ ดับธรรมชาติ

  • ความรัก ทำไมผูกใจคนได้

ตอบ.. โง่ อวิชชา ต้องเรียนความรัก ๑๐ มิติ พ่อครูว่า ยังไม่ละเอียดหมดหรอก

  • ถือสาเพื่อนรักน้อยใจ ไม่เป็นกับคนอื่น

ตอบ.. เพราะคุณยึด คุณเลิกยึดเขา ก็ไม่ทุกข์

  • มีปัญหาจะขอคำแนะนำจากพ่อครู เพื่อนำเป็นแนวทางปฏิบัติ หากอยู่กับ ผู้ที่ดูดาย ไม่มีจิตอาสา ซึ่งคนรอบข้าง ก็ทำธุระให้เขาเสมอ แต่เขาก็เอาแต่ บำรุงบำเรอตน ไม่มีน้ำใจทำงาน ส่วนกลางเลย เขามีคาถาประจำตัวว่า กลัวทำแล้วไม่ถูกใจ เคยพูดหลายที แต่กลายเป็น ทะเลาะกัน แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงสักที ทั้งที่เขาได้ใช้ ของส่วนกลาง เห็นเขาแล้ว อดโกรธไม่ได้ ทุกวันนี้ ใช้วิธีเดินห่าง ไม่ผัสสะเขา ดิฉันควรทำตัวอย่างไร ให้พ้นความเคืองได้ เมื่อก่อน ไม่ได้ฟังธรรมพ่อครู ก็หนี แต่ว่าเมื่อฟังธรรมแล้ว อยากได้วิธีทำใจ

ตอบ.. ก็เป็นวิบากของเขาทุกตัวไป และหมามันเป็นขี้เรือน มันนึกว่า นอนตรงนี้คัน มันก็ไปนอนที่อื่น แต่นอนที่ไหน ก็ไม่หายคัน เพราะไม่ได้ล้างเหตุ คุณจะไปยึดเขาทำไม ใจคุณอาจยึดดี ว่าทำไม มันไม่ทำดีวะ แต่ก็ยึดดี คุณก็ทำดีของคุณสิ พระพุทธเจ้าว่า เป็นคนทำนาผู้อื่น ระวังเขาฟ้องบุกรุกนะ ก็อยู่ดีไม่ว่าดี ไป ส.ใส่เกือก เขาจะทำดีไม่ดี ก็เป็นกรรมของเขา (กัมมัสสกะ) ถ้าปรารถนาดี ก็ค่อยพูดจา ถ้าพูดไม่เชื่อ ก็ปล่อย พรหมฑัณท์เสีย เขาก็โง่ของเขา ยากที่จะสอน คุณเป่าควายให้ปี่ฟัง ปี่มันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวควาย ขวิดเอาอีก หนักกว่า เข็นเขาขึ้นครกอีก ต้องรู้เอโก คือทำที่ตนของส่วนตน มีวิโมกข์ ๘ (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) อย่ายึดดีเกิน เดี๋ยวดีแตก

  • ชอบฟังเพลงมาก ปกติก็ไม่ฟัง ไม่โหยหา แต่เวลาขับรถ ต้องเปิดฟังตลอด อย่างนี้ติดไหม

ตอบ... นี่มันยังติดอยู่ คุณไม่ติดคุณก็ไม่เปิด นอกจาก คุณก็อ่านใจว่า คุณก็ฟังดูหน่อย อย่างไม่อยากเสพ ต้องอ่านจิต ว่ายังเสพอยู่ไหม เสพอย่าง ลหุตา

  • อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ และ สัมมสนญาณ ต่างกันอย่างไร

ตอบ... อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ แปลว่า ความเก่งของปัญญา (ธาตุรู้ที่เก่ง เรียกญาณ) คือเห็น ความเกิด-อยู่-ดับ ของความวน ซึ่งสูงกว่า สัมมสนญาณ (เห็นทุกอย่าง เกิด-อยู่-ดับ) แต่ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ นั้นจะเห็นว่า ไปทางดับมากกว่าเกิด คนตายไป นานมาก กว่าจะเกิดอีก นรกยาวนาน คือรู้ความดับ ได้ยาวนานมากขึ้น
            จุตูปปาตญาณ เป็นญาณขั้นสูง เป็นตัวปลาย ในวิชชา ๘ ไม่อยู่ในโสฬสญาณ คือเห็น ความเกิดดับในนิพพาน คือดับกิเลส ได้เป็นอริยบุคคล จนเป็นอรหันต์ ไม่มีกิเลส เกิดอีก ลึกกว้างใหญ่กว่า อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถ้าไปถึง ภังคานุปัสสนาญาณ ก็เห็นความเสื่อมสลาย ไปได้มากกว่าอีก

  • มโนมยอัตตา กับ อรูปอัตตา ล้วนเกิดในภพใช่ไหม

ตอบ.. อยู่ทั้งในและนอกภพ มโนมยอัตตา เกิดได้ทั้งนอกและใน อย่างตาก็เห็น เป็นวิญญาณ เดินโย่งๆก็ได้ คุณปั้นเอา ส่วนมโนมยอัตตา สำเร็จได้ด้วย จิตที่มีอัตตา ส่วนอรูป หมายความว่า ไม่ใช่รูป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ คือมันไม่รู้ จะใช้ภาษาอะไรมาเรียก จึงใช้คำว่า อรูป เป็นรูปตัวปลาย

  • สิ้นความเสพคือ

ตอบ.. มันไม่มีเสพรสโลกีย์ ทั้ง กามรส รูปรส อรูปรส ทางโลกุตระ มีแต่หมดรส จึงว่าง ไม่เสพอะไร อาจใช้โวหารว่า เสพความว่าง ใช้แทน สิ่งที่ไม่มีอะไรแล้วยาก

  • อุปาทายรูป ๒๔ หมายว่า เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คือต้องเรียนรู้ใน รูป ๒๔ ใช่ไหม

ตอบ.. ถูกต้อง เวทนา คือเกิดสุข ทุกข์ คนก็แสวงหาสุขในโลก คุณก็ต้องใช้สัญญา มาสร้าง ให้เป็นปัญญา สั่งสมกำหนดหมาย เป็นปัญญา เป็นสมบัติ เวทนาก็ลดลง ต้องมีผัสสะ เป็นปัจจัยเสมอ แล้วจะได้ปฏิบัติจริง เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต เห็นอยู่ แม้จะนามธรรม ขนาดไหน ก็รู้ เจตนาคือจิตมุ่งหมาย ใน กาม-ภว-วิภวตัณหา คุณต้องรู้ เจตนา ของคุณ คุณต้องล้าง ตัวเหตุเกิดภพ คือมีวิภวภพ ถ้าจบ ก็มีเจตนาเป็นกุศล ทั้งสิ้น สุดท้าย พระอรหันต์ จะทำด้วยเจตนากุศล อย่างไม่เป็นตัวเรา ของเราด้วย การจัดการ กับเวทนา และสัญญาได้ คือทำใจในใจ ได้มนสิการ ทำอย่างไร คือต้องดัดแปลง ปรับปรุงเป็น วิการรูป จนจิตของคุณ อุเบกขา มีคุณสมบัติ ๕ สมบูรณ์ ตลอด (ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา) ส่วนอุปาทายรูป ๒๔ คือลีลาลักษณะ ละเอียดอีกที คือ วิธีการจำแนกนาม ก็ถูกต้อง เป็นรายละเอียดของ อุปาทายรูป เริ่มตั้งแต่ นอกหาใน

  •  ตอนหลวงปู่เป็นเด็ก หลวงปู่ชอบเล่นเกมยิงปืนหรือเปล่าครับ

ตอบ... พ่อครูไม่เคยเล่นปืนซื้อปืนเลยในชีวิตนี้ แต่เคยเล่น ปืนกาบมะพร้าว งอๆ เป็นรูปปืน

  • หลวงปู่ต่ออายุขัยอย่างไรครับ

ตอบ... สรุปว่า...ก็ต่ออายุคือ มีการยืดยาวได้ทั้งกาย และจิตวิญญาณ เราต้องทำ จิตวิญญาณ อย่าให้สปาร์ค สูญเสียพลังงาน ถ้าอริยะอรหันต์ สูงเท่าใด ก็ทำจิตวิญญาณ ไม่ให้สูญเสีย มากเท่านั้น ส่วนร่างกายสรีระ ก็พยายามเอาพิษออก

  • โสดาบันจะเข้าใจทางไปนิพพานแจ่มแจ้ง ดุจดูกระดาษบนฝ่ามือ ใช่ไหม

ตอบ... โสดาบัน ยังไม่เก่ง ในการอ่าน รายละเอียดหรอก แต่จะรู้จุด ทำใจในใจเป็น รู้สักกายะ แม้จะไม่ชัด แต่รู้ว่านี่กิเลสโกรธ โลภ นะ สามารถทำให้ลดได้ แม้กดข่ม แต่ถ้าโสดาบันแท้ จะทำอย่างวิปัสสนา พ้นศีลพตปรามาส เอาจริงเอาจัง กับการลดกิเลสด้วย....

 จบ

 

 
อังคาร ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่สันติอโศก