560721_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ดินทอง ที่สีมาอโศก
เรื่อง เพื่อพ่อแล้วลูกที่ดีต้องพลีชีพลุย

         ส.ดินทองเริ่มรายการ...มาดำเนินรายการแทนส.เดินดิน ที่อาพาธ

วันนี้พ่อครูสัญจรมาเยี่ยม รู้สึกประทับใจพ่อครู ที่เทศน์เมื่อวันก่อนว่า ความรุ่งเรือง ของทางโลก คือความหายนะของโลก เพราะวัตถุเจริญมาก แต่จิตใจ กลับเสื่อมต่ำ และ ประทับใจ ชาวชุมชน ทั้งผู้อายุยาว และไม่ยาว ที่เตรียมชุมชน มา ๒ เดือน ก่อนพ่อครู จะมา ทำให้สีมาอโศกพอดูได้ และตอนเช้าก็ได้มาโฮมแฮงอีก ทำถนน ก็สำเร็จด้วยดี ส.ดินทองบอกว่า มาเจอชาวอโศก ที่ทำงานอยู่ตลาด อตก. ขายอาหารมังฯ ก็ประทับใจ คนหนุ่มสาว ที่ทำงานฟรี เป็นสื่อให้มาเจอพ่อท่าน ขนาดลูกศิษย์ ยังทำได้ขนาดนี้ แล้วอาจารย์ จะทำได้ขนาดไหน ทำอย่างไร จึงมีระบบสาธารณโภคี ที่ได้อย่างนี้

         พ่อครูว่า พูดเหมือนพ่อครูเป็นเจ้าของ สาธารณโภคีเลย แต่ความจริง เป็นของ พระพุทธเข้าทุกองค์ เป็นระบอบที่สุดยอด คือของกินของใช้ ที่เป็นสาธารณะ และ มีมารยาท นิสัยดีด้วย ไม่มีมางุบงิบ ของส่วนกลาง เป็นของส่วนตัว เรากินใช้ อย่างเหมาะควร ไม่ขี้โลภ เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เรามีปัญญา และใจจริงที่จะทำ และทำได้สำเร็จ ส่วนคนที่รู้ แต่ยังทำไม่ได้ ก็พัฒนาตน ฝึกตน จนจิตใจ ละหน่ายคลาย จากสิ่งติดยึด

         พระพุทธเข้าบอกวิธีการฝึกทั้งนั้น พ่อครูก็มาทำตาม พระพุทธเข้าบอก ซึ่งยุคนี้ พระพุทธมาเกิดไม่ได้ เพราะคนแย่ ที่จะพัฒนาให้เหมาะกับฐานะ พระพุทธเข้า ต้องใช้คน ฐานะด้อยกว่าพระพุทธเข้า อย่างพ่อครูมาทำงาน แม้จะเปื้อน ได้อะไร ระดับหนึ่ง ก็ทำได้ ทำไปกว่า ๓๐ ปีก็เห็นผล อย่างท่านดินทอง มาสัมผัส สาธารณโภคี ก็รู้ได้ และที่พูดว่า  ความรุ่งเรืองของทางโลก คือความหายนะของโลก ท่านก็รู้ได้ เหมือนอย่างในหลวง ที่ตรัสเรื่อง ขาดทุนคือกำไร และที่พระพุทธเข้า ท่านให้มาเอา แบบคนจน และที่ในหลวงท่านตรัส เรื่องแบบคนจน ที่ว่าเจริญแบบเขา คือ ความถอยหลัง และถอยหลัง อย่างน่ากลัวด้วย

         ในหลวงมีอำนาจ เป็นรัฐาธิปัตย์ แต่ไม่เบ่งอำนาจนี้ ในตนเลย นี่คือ นักรัฐศาสตร์ สูงสุด คนที่มีอำนาจ และเบ่งอำนาจ คือนักกบฏต่อรัฐศาสตร์ ที่สอนว่า การเมือง คือ การแสวงหาอำนาจ นี่คือคนเลย แต่ไม่ใช่นักรัฐศาตร์ ผู้มีอำนาจ ต้องแผ่กระจายอำนาจ อำนาจคือฤทธิ์แรง คือความรู้ของเรา คืออธิปัตย์ คือคุณสมบัติ ที่มีในตน พระพุทธเข้าว่า สติคืออธิปไตย เมื่อสติเต็ม ก็มีสัมปชัญญะ มีปัญญา เขาเรียกสั้นๆว่า สติปัญญา แต่ความจริง มีตัวกลางอีกมาก เช่น สัมปชัญญะ สัมปันนะ สัมปชานะ สัมปชติ สัมปัชชลติ สัมมัปปัญญา เป็นต้น ยังมีอีกมาก จนถึงขั้นปัญญา ยังมีตัวกลางอีกมาก ที่แทรกมา
สัมปชัญญะ ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว
สัมปชานะ ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่
สัมปาเทติ    เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ     ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ    การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .
สัมปัชชลติ เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล .
สัมปฏิเวธ    ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด
สัมมัปปัญญา = ปัญญาที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง

         ใครฟังในหลวงพูด เรื่องแบบคนจน จะซาบซึ้ง ถึงไขสันหลังเลย ก็เลยตามหา เอามาใช้ใน FMTV ก็ขอพูดยืนยันว่า โลกถ้าเข้าใจอันนี้ได้ คือแบบคนจน นี่แหละ คนฟังแล้ว ขนลุกขนพอง แต่ผู้ปกครองที่ฟัง ส่วนใหญ่ เขาก็ใช้อำนาจ เพื่อรวยทั้งนั้น ไม่มีใคร เอาแบบคนจน แต่เราฟังแล้วซาบซึ้ง ว่าแบบคนจนนี่แหละ คือจะไปรอด ท่านว่าการก้าวหน้า คือการถอยหลังเข้าคลอง และการก้าวหน้า คือการถอยหลัง และ ถ้าก้าวหน้ามาก ก็เป็นการถอยหลัง ตกคลองเลย นี่คือ ปัญญาที่เห็นจริง ไม่ใช่ปัญญา สามัญ ที่เขาจะเอารวยว่า คือการรุ่งเรือง คนที่มีปฏิภาณ ปัญญาชัดเจนว่า ความรุ่งเรือง ของโลก คือความหายนะของโลก ถ้าใครมีปัญญา ฟังแล้วซาบซึ้ง อย่างท่านดินทอง คนนั้น มีภูมิปัญญา ไม่สามัญ

         ความร่ำรวย เป็นความหายนะ ความจนเป็นความรุ่งเรือง นี่คือ ปฏิโสตัง เป็นสัจจะ ย้อนสภาพ ทวนกระแสโลกีย์ ที่เขาพาไปรวย ซึ่งพระปัญญาของในหลวง ไม่ธรรมดา สามัญ ท่านเป็นในหลวง เป็นผู้ใหญ่สุดในประเทศ แต่ท่านก็ประกาศไป อย่างเต็มพระทัย อย่างเปิดเผย ตรัสสู่โลก ชัดๆ แต่ พวกข้าราชการ ไม่เอาไปทำจริง

         มีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย
         ยากล้นคนยุคนี้                        ไกลธรรม
มิใช่กล่าวข่มคำ                                 ตู่ร้าย
แต่แท้พฤติภาพกรรม                        เห็นอยู่ จริงแฮ
คนทั่วเป็นใช่ป้าย                              ใส่ไคล้เดาความ
         ยามนี้คนจัดจ้าน                      ทุจริต
กล้าเจตนาแม้ผิด                               ก็ด้าน
ทำได้ยิ่งกว่าคิด                                  เกินคาด
หยาบต่ำล้ำกว่ากร้าน                         สุดแล้วเมืองไทย
         หยาบในคนเชิดชั้น                  ว่าสูง
หยาบทั่วหมดทั้งฝูง                          ประหลาดล้น
หยาบได้เก่งกาจจูง                            จมูกมนุษย์ มนาเลย
หยาบยิ่งพาลสุดพ้น                           พูดด้วยคำใด
         ไทยล่มจมอยู่ห้วง                      กับดัก
คนบ่รู้บ่รัก                                         ชาติแท้
เหตุเห็นแก่ตัวหนัก                            เมามุ่น อามิสเฮย
ต่างต่ำตกหมกแม้                             เม็ดให้คนพาล
         หากนานไปกว่านี้                    ไทยประลัย
ไทยตื่นเถิดหลับไหล                          หนักแล้ว
บัดนี้เกิดคนไทย                                ชวนท่าน มิรู้ฤา
ให้ออกมาไล่แม้ว                              ร่วมร้องบรรลือชัย
         รวมใจพรึบพรั่งพร้อม             กันออก
มาร่วมหมู่เพื่อบอก                           โลกรู้
ออกมาร่วมทุกซอก                           ทั่วถิ่น ไทยเลย
จึงจะเกิดแรงกู้                                   ชาติได้ดังหวัง
         อย่ายังให้ชักช้า                        รอรี
มีหมู่ฝูงที่ดี                                   เกิดแล้ว
รีบพลีชีพลุยขมี                                ขมันช่วย กันเทอญ
เผด็จศึกอย่างกล้าแกล้ว                      เถิดถ้วนมวลไทย
         "สไมย์ จำปาแพง"  ๗ มิ.ย. ๒๕๕๖

         อย่างคลิปที่ออกมา ผู้ที่มีอำนาจดูแลบ้านเมือง ก็ไปคบกับ คนที่จะรวบ อำนาจประเทศ เพื่อที่จะยึด อำนาจกองทัพ ผิดทั้งกฏหมาย และมารยาทหน้าที่ ผิดอื่นๆ อีกเยอะ เสร็จแล้วก็ยัง ลอยหน้าลอยตาอย่างเคย ไม่มีใครทำอะไร ยิ่งกว่ากบฏ ความมั่นคง จะเหลืออะไร นี่คือพฤติภาพ ที่กล้าเจตนา แม้ผิดก็ทำได้ เมืองไทยเป็น ประชาธิปไตย แต่ทำไม อยู่ใต้เผด็จการ ประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ การเลือกตั้ง อำนาจไม่ใช่ แค่อยู่ที่ผู้แทน ที่เลือกตั้งเข้าไป
- การเลือกตั้ง เป็นอำนาจ ลำดับ ๕

- ได้ผู้แทนประชาชน เป็นอำนาจ ลำดับ ๔
- รัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจ ลำดับที่ ๓
- ในหลวงเป็นอำนาจ ลำดับที่ ๒
- และ ประชาชน เป็นอำนาจ ลำดับที่ ๑

         ถ้าเข้าใจแล้ว เลิกอำนาจ เลือกตั้งก่อน คือกรณีที่มีการโกงกิน ก็ให้เลิก การเลือกตั้งก่อน แต่ถ้าคนสุจริตจริง ก็มีการเลือกตั้งได้ จะมีตัวแทน ไปปฏิบัติแทน เป็นอำนาจ ลำดับ ๔  แต่เมื่อการเลือกตั้งโมฆะ เพราะไม่สุจริต ก็ยกเลิกขั้นที่ห้าและสี่ ต้องมา ลำดับสาม คือกฏหมายรธน.  แต่เขาก็กำลัง ทำลายกฏเกณฑ์ แม้แต่ศาล เขาก็จะล้ม ตกอยู่ใต้อำนาจ แห่งความหวาดกลัวแล้ว คนไทย จึงต้องพึ่งอำนาจ ระดับ ๒ และ ๑  เพราะในหลวงกับประชาชน เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน รธน. จึงตราไว้ใน มาตรา ๒ และ ๓ คือระบุถึง ราชประชาสมาสัย มาตราสาม คือพระประมุข เป็นคนใช้อำนาจ ของประชาชน ผ่านผู้แทน และศาล

         ตอนนี้อำนาจ ระดับที่ ๕ อำนาจที่ ๔ ก็เป็นไปตามอำนาจลำดับ ๕ แต่ว่าอำนาจ ลำดับ ๓ เขาก็ละเมิด เช่นตำรวจ มีหน้าที่จับนักโทษ แต่ตำรวจไปซูฮก ให้นักโทษ มันไม่ผิด กฏหมายเรอะ แล้วเขาก็ทำกัน อย่างหน้าเฉย เสนอหน้าสง่างาม งามตายล่ะ นี่คือ ประเทศไทย อันน่าโศกเศร้า น่าขายหน้า

         ตามหลัก Supreme law ในหลวงมีอำนาจสูงสุด แม้ในประเทศที่ ไม่มีกษัตริย์ ก็ต้องยอมรับ กฏอันนี้ ตอนนี้กฏหมายเอง ทำอะไรตนเองไม่ได้ ก็เหลือแต่ประชาชน กับพระเจ้าอยู่หัว แต่ก็ต้อง เห็นพระทัยท่าน ที่ต้องทรงอยู่กลาง ระหว่างลูกทั้งคู่ เช่น พ่อแม่ มีลูกสองคน คนหนึ่งชั่วมาก อีกคนหนึ่งดีมาก ดังนั้น ลูกดีก็ต้องช่วยกัน เพื่อกำจัด ลูกชั่ว อย่าให้พ่อ ต้องลำบาก เพราะพ่อคือ พ่อของลูก ทั้งสองคน นี่คือ น้ำพระทัย ในหลวง พ่อทำไม่ได้ เพราะคือลูกทั้งสอง ดังนั้น ลูกที่ดี ต้องช่วยกัน ให้ลูกชั่วหยุด ให้หมดอำนาจ พูดอย่างกลางๆ ไม่ได้โกรธเคือง อะไรชั่วก็ชั่ว อะไรดีก็ดี โดยสัจจะ พูดถึงตรงนี้แล้ว เป็นหน้าที่ของใคร... ประชาชน

         ประชาชนที่เป็นไทยเฉย ตื่นเสียที ออกมารวมตัวกัน เพื่อแก้วิกฤติหนัก ประชาธิปไตย คืออะไร ก็พูดแล้วพูดอีก พ่อครูว่า น้อยหน่า ที่อยู่ตรงหน้าพ่อครู คงจะรู้เรื่อง แล้วล่ะ แต่คนที่ได้ยินพ่อครูพูด ทำไมไม่รู้ ขออภัย ที่ใช้คำพูดว่า สงสารท่าน ซึ่งเป็นความจริงจากใจ ท่านเป็นโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญสองปาง คือ เตมีย์ใบ้ และ มหาชนก ต้องมีมานะ อุตสาหะ อย่างเต็มที่ แม้ไม่เห็นฝั่ง  ประชาชนต้องออกมา ช่วยพ่อแล้ว รู้ข้อจำกัด ของพ่อแล้ว อย่าให้ระคายเคือง ความเป็นพ่อ

         ส.ดินทองว่า ในหลวงพูดมานาน หลายสิบปี มีโครงการพระราชทาน สี่พันกว่า โครงการ
         ตอบ...กลางๆว่า เพราะข้าราชการไม่ลดกิเลส
          Supreme Law
         รัฐธรรมนูญของแต่ละชาติ เหมาะกับสังคมของ ชาตินั้นๆ หากเทียบกับ หลักสากล ความมั่นคงแห่งชาติ ที่เสมือน ธรรมนูญสากล ของนานาชาติ เป็นหลักใหญ่กว่า รัฐธรรมนูญของชาติ นานาชาติ ต้องให้ความสำคัญ ร่วมกันกว่า

       หลักสากล ความมั่นคงแห่งชาติ หลักสากลที่เป็นความจริงแท้ (Reality) ความมั่นคง แห่งชาติ เป็นกฎหมายสูงสุด (Nation Security is Supreme Law) เหนือกว่า หลักนิติธรรม (The Rule of Law) เหนือกว่า กฎหมายหลัก คือ รัฐธรรมนูญ (Principal Law) เหนือกว่า กฎหมายสามัญ (Common Law)

       โดยหลักกฎหมาย ระหว่างประเทศ ได้รับรองไว้ ในหนังสือ International Law Vol.1 Peace โดย H. Laurterpacht Q.C.LL.D.F.BA. (Third Impression 1958) page 758-761 แปลว่า... "ทุกระบอบกษัตริย์ กษัตริย์ดำรงสถานะ เป็นตัวแทน แห่งอำนาจ อธิปไตยแห่งรัฐ ด้วยเหตุนี้ จึงทรงดำรงเป็น องค์รัฐฎาธิปัตย์ เป็นความจริง ที่กฎหมาย ระหว่างประเทศ ให้การยอมรับ ถึงแม้ กฎหมายภาย ในประเทศ จะมีข้อความ ที่แตกต่างกัน ในประเทศทั้งหลาย ประเด็นนี้ ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้น กฎหมาย ระหว่างประเทศ ให้ความยอมรับกับ ระบอบกษัตริย์ ทั้งหลาย มีอำนาจ ดังกล่าว เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่า ตำแหน่ง พระมหากษัตริย์ ที่ปรากฏ ในรัฐธรรมนูญ จะมีความแตกต่างกัน และขึ้นกับกฎเกณฑ์ ที่กำหนดเอาไว้ ในรัฐธรรมนูญ ที่แตกต่างกัน ... ผลที่เกิดขึ้น ตามที่กล่าวไว้แล้ว ให้การยอมรับว่า ระบอบกษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะ ประมุขแห่งรัฐ อย่างแท้จริง และตลอดกาล ชั่วนิรันดร..."

       เมื่อพระมหากษัตริย์ ทรงดำรงฐานะ เป็นตัวแทนแห่งอำนาจ อธิปไตยแห่งรัฐ และเป็นองค์ รัฎาฐิปัตย์ ทรงเป็นประมุข แห่งรัฐ (The Head of State) จึงทรงถือ ความมั่นคง แห่งชาติ คือ อธิปไตยของปวงชน เป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) อยู่เหนือหลัก นิติธรรม (The Rule of Law) หลักนิติธรรม อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ (Principle Law) และรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือกฎหมายสามัญ (Common Law) พระมหากษัตริย์ จึงทรงใช้กฎหมายสูงสุด โดยมีกองทัพ อันเป็นกำลัง เป็นฐานแห่งอำนาจ ปฏิบัติกฎหมายสูงสุด เพราะพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นจอมทัพ...

       ประชาธิปไตยลำดับหนึ่ง อยู่ที่ประชาชน ประชาธิปไตย คืออำนาจของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ถ้าประชาชนที่รู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว ควรมาแยกหมู่ แยกกลุ่ม ควรร่วมมือกับฝ่ายใด ที่จะทำการ ให้สิ่งที่ไม่ดี ทำความเดือดร้อนให้หยุด แต่ไม่ได้ยุแหย่ ให้แตกแยก แต่ทำอย่างเรียบร้อย ไม่รุนแรง แต่ว่ามาโชว์อำนาจ แสดงความเป็นอำนาจ หนึ่งคนหนึ่งเสียง ประชาชนไทยมี ๖๕ ล้านคน ถ้ามาคนละ หนึ่งเสียง ยกมือว่า ไม่เอาอันนี้ ออกมาชี้ เขาจะไม่หยุดได้ไหม เขาจะไม่เปลี่ยนแปลง ได้ไหม แต่ ๖๕ ล้านเป็นไปไม่ได้ ก็เอา ๓๐ ล้านได้ไหม แต่ว่า ๓๐ ล้าน ออกมาก็ยังยาก แต่คนไทย ที่เห็นว่า ควรหยุดควรเลิกทำ ที่เห็นร่วมกัน ก็ออกมาแสดงพลัง ในต่างจังหวัด ก็ตาม แม้จะคนละวัน คนละเวลา แต่ก็ทำไป แต่ละจังหวัด แต่ละตำบล แต่เรื่องเดียวกันหมด เป็นการชี้ความต้องการประชาชน นี่คือลักษณะ ประชาธิปไตย ไม่ได้มาฆ่าแกงกัน แต่มายืนยัน ความประสงค์

       ไม่ใช่ว่าดูดาย ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง Let it be ไม่ควรทำตาม คนที่เอาคำนี้มาใช้

       ส.ดินทองว่า สังคมเลวเพราะคนดีท้อแท้ คนดีเอาแต่เฉยนิ่ง

       พ่อครู..บ้านเมืองต้องการ พลังอธิปไตยของประชาชน ต้องการ การยืนยันสิ่งควร ขอแรงประชาชน ออกมายืนยัน สิ่งที่ควรได้ไหม อธิปไตยของประชาชน คือทุกคน ออกมาแสดง ความเป็นเจ้าของอำนาจ ออกมายืนยัน มาขานรับกัน ทุกจังหวัด รอบประเทศไทยเลย กลุ่มละ ๓ คน สิบคน ร้อยคน หมื่นคน แสนคน ล้านคน ก็สำเร็จ มาอย่างสงบ ไม่ต้องเอามีดพร้า กระทะขวาน มาตีกัน เราออกมา ยื่นความประสงค์ ยืนยันว่าให้เลิก หรือให้ทำอันนี้ เราเสนอ ให้คุณไม่ทำสิ่งนี้ นี่คือ ประชาธิปไตย ออกมา ถ้าไม่ตีกันเลย ไม่รุนแรงเลย นี่คือประชาธิปไตยที่งดงาม ถ้าเราออกมายืนยัน มาปักหลักกัน กลางถนน แล้วนั่งสงบ ทุกกลุ่มนั่งสงบ วันว. เวลา น. นับมวลได้เลย ๑๐ ล้านคน ๒๐ ล้านคน นี่คือเสียงที่จริงยิ่งกว่า ที่ไปลงคะแนนเลือกตั้ง นี่คือประชาธิปไตย อันดับหนึ่ง

       พ่อครูว่า พ่อครูพูดนี่ผิดไหม เช็คจากอ.สมเกียรติ ที่มาฟังพ่อครูอยู่... อ.สมเกียรติก็ว่า ไม่มีผิด ... คนทางบ้าน ก็ช่วยฟังด้วย ไม่ใช่ว่าพ่อครูอวดเก่งหรอก ประเทศไทย จะทำแบบนี้ ได้ไหมเอ่ย

       แบบคนจน อย่างในหลวงตรัส ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่าง ที่อาจตรงกับอโศก ซึ่งคน หลงแฟชั่น หลงอำนาจที่ได้ อย่างไม่สุจริต ก็นิยมกัน อย่างไม่ซื่อตรงกัน ก็เป็นแฟชั่นกัน จนถือว่าตำแหน่งนี้ ราคาเท่านี้ ไม่ได้ราคาเท่านี้ ไม่ได้ขึ้นหรอก ก็ต้องหาเงิน มาซื้อตำแหน่ง ก็เกิดความโลภ ในการหาเงิน มาซื้อตำแหน่ง ไม่อย่างนั้น ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้ยศ ต้องมีรถคันโก้ไว้ขับ ขอให้หน้าใหญ่ไว้ก่อน แต่กลับบ้าน มากินข้าว กับก้างปลา

       ความจนเป็นทุกข์ไหม? คนที่ไม่มีภูมิปัญญาเท่านั้น ที่เข้าใจว่า จนเป็นทุกข์  จนคือ ไม่มีทรัพย์สิน เป็นของตนมากมาย เป็นทุกข์หรือเปล่า? ซึ่งโดยสัจธรรม ความจน ไม่ใช่อยู่ที่ ทรัพย์สิน แต่ความจนอยู่ที่ จนสมรรถนะ จนแรงงาน จนปัญญาต่างหาก แต่คนจน ที่เป็น อนาคาริกชน คือไม่มีทรัพย์สมบัติ บ้านช่อง เป็นของตน อย่างพ่อครู ทิ้งทรัพย์สมบัติ บ้านช่อง มาเป็นคนไม่มีเลย จนถึงทุกวันนี้ แต่คนก็ตู่ว่า รถก็มีขี่ เขาเรียกด้วยนะว่า รถพ่อท่าน ไปดูในทะเบียน ก็ไม่ใช่ชื่อพ่อท่าน แต่คนเขาเอามาให้ใช้ พูดให้เท่คือ เขามายัดเยียดนะ ขอพูดต่อเรื่องจริง คนที่ซื้อรถ กลุ่มที่ซื้อรถ ว่ารถคันนี้ มัน ๘ ปีแล้ว เขาจะซื้อคันใหม่ มาให้ใช้ พ่อครูก็ว่า คันนี้ยังใช้ได้ดีอยู่ ยังไม่เปลี่ยน พูดเรื่องจริง จิตใจไม่ได้รู้สึกว่าเท่อะไร เป็นสัจธรรม ถ้าเราทำเพื่อสังคมจริง เขาจะสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้เราทำได้สะดวก ปลอดภัย เป็นสูตรสัจธรรม ไม่ต้องหลอก จะหลอกคน อย่างเณรคำก็ได้ แต่ไม่ทำอย่างนั้นโง่ มาทำอย่างในหลวง พ่อครูทำ มีในหลวงเป็นครู เป็นปัญญาพาทำ เราจนอย่าง ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก พ่อครูทำงาน อย่างไม่ย่อท้อเลย

       แต่ก่อน พ่อครูเคยทำ ไปแย่งลาภคนอื่น พ่อครูมีรายได้ ตั้งแต่สมัย ๔๐-๕๐ ปีก่อน ได้รายได้ เดือนละ ๒หมื่น ในตอน ๓๐ ปีก่อน ซึ่งนายก เงินเดือนแค่ ๘๕๐๐ บาท ขี่รถติดแอร์ ก่อนเพื่อนคนอื่น

       เรื่องของความจนความรวย และความก้าวหน้า ที่ก้าวหน้าอย่างโลกีย์ ที่บำเรอ กามคุณ จัดจ้าน โชว์อัตตาใหญ่เบ้ง นี่คือโลกธรรม เขานิยมอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น แต่ในหลวง เป็นโพธิสัตว์ ท่านว่าไม่เอาหรอก ที่จะไปก้าวหน้าอย่างนั้น ที่จะไปรวย มันก็ต้อง ไปหาทาง ไปเอาเปรียบคนอื่น สุจริตไม่ได้ ก็ทุจริต ไม่ได้ก็ ฆ่าผัวมันเสีย เอาเมียมันมา

       ในหลวงท่านไม่เอา อย่างโลกีย์ ท่านว่าเราก็รวยพอตัว คือเราไม่รวย อย่างไป เบ่งอำนาจ ไม่ใช่เงินเป็นอำนาจ เงินคือเครื่องใช้ เป็นตั๋วที่จะเอาไปใช้แทน มันเหมือน ถ้วยชาม บอกราคา ไม่ได้เอาไปเป็นอำนาจ เบ่งบังคับคน คนโง่ ก็ตกเป็นทาสเงิน หรือโลกธรรม แม้แต่กาม หรืออัตตา เมื่อไม่ตกเป็นทาส ก็ช่วยตนรอด

       หลักการของพ่อครู คือไม่เป็นหนี้ แต่รัฐบาลบริหาร ให้คนเป็นหนี้ คือการบริหาร ที่ไม่ฉลาด ไม่ใช่วิธี การบริหารประเทศเลย มันต้องให้คนหมดหนี้ แต่จะให้คนไปรวย แล้วเป็นหนี้ มันจะรวยได้อย่างไร จะกู้ให้เป็นหนี้ ไปอีก ๕๐ ปี อย่างนี้ หรือ การบริหาร ประเทศ ผู้ใดหมด ความเป็นหนี้ ผู้นั้นมีเอกราช Dependent

       ไม่เป็นหนี้แล้ว พึ่งตนรอด ทำกินทำใช้พอเพียง นี่คือ เศรษฐกิจพอเพียง แล้วทำเหลือ ทำเกินโดยสุจริต แล้วแจกจ่าย เสียสละให้คนอื่น ขายต่ำกว่าทุน หรือแจกฟรีเลย อย่าขายเท่าทุน หรือเกินทุน แต่ถ้าไม่ไหว หรือต้องตั้งหลักฐาน ก็ต้องเกินทุน ต้องถือว่า เอาเกินทุน คือมนุษย์ล้มเหลว

       เราสร้างเหลือ แล้วแจกอีกต่างหาก แล้วคนนี้ จะมีเหลือได้อย่างไร คนๆนี้ จะมีสมบัติ มากขึ้นหรือเปล่า ... ไม่มาก เพราะสมบัติของคน อยู่ที่สมรรถนะ กับความขยัน ใครทำสุจริต ก็ทำสร้างสรร ถ้าขี้เกียจ ก็ไม่มีสมบัติหรอก สมบัติแท้ๆของมนุษย์ คือ สมรรถนะ กับความขยัน ไฟไหม้ของเราไปไม่ได้ คุณสมบัตินี้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ใครมาปล้นไม่ได้ ไม่เมื่อยก็เพียร เมื่อยก็พัก ผู้ไม่พัก ผู้ไม่เพียรแล้ว คืออรหันต์

       เราทำได้เหลือ ได้เกิน ก็ไม่กักเก็บ หรือเอาไปหากำไรรายได้เพิ่ม เราก็ทำอย่าง ไม่ถอยหลัง เข้าคลอง สรุปว่า การก้าวหน้า อย่างโลกีย์ คือการถอยหลัง เข้าคลอง ปราชญ์เอก อย่างในหลวง หรือพระพุทธเจ้า ก็ไม่ส่งเสริม พ่อครูก็พาทำ แบบคนจน แบบเศรษฐกิจพอเพียง จนสามารถทำ สาธารณโภคีได้

       สาธารณโภคี เป็นของพระพุทธเข้า ไม่ใช่ของพ่อครู
       อยู่ในสาราณียธรรม ๖ คือเมตตากาย-วจี-มโน และสาธารณโภคี เป็นข้อที่ ๔ เรามีลาภ โดยธรรม ที่เกิดจากกรรมของเรา เรามีสิทธิ์กินใช้ของเรา เมื่อเหลือ เราก็แจกจ่ายได้ คนที่มีบารมี มีคุณสมบัติถึง อนาคามี ไม่ต้องสะสม ทรัพย์สมบัติ บ้านเรือน เป็นของตนแล้ว อย่างชาวอโศก (ขออภัยที่ต้อง ยกตัวอย่างอ้างอิง ไม่ได้อวดอ้าง) แต่จริงๆของดี ควรอวดไหม?... ควรอวดสิ แต่ทุกวันนี้ เขาอวด ความเลวกัน พูดจริงๆ  ความรวยหรือความจน ควรอวดอ้าง .. คำตอบคือ ควรอวด ความจน แต่ทุกวันนี้ เขาอวดรวยกัน คนเลยอยากรวย ก็เกิดสังคมที่เสื่อม แย่งชิงกัน ทุกวันนี้เราต้อง มากล้าจน มุ่งมาจน จนอีหลีอีหลอ

       อนาคามี คือภูมิธรรมของจิต แต่แม้จิตยังไม่ถึง เราก็มาทำอย่าง อนาคามี ทำงานอยู่กับ สังคมสาธารณโภคี มีเมตตากาย-วจี-มโน มีสาธารณโภคี และช่วยกันทำ ลาภธัมมิกา เป็นระบบการเสียภาษี ๑๐๐ % ประเทศไหนทำได้ แต่อโศกทำได้ ไม่ยักไว้เลย เป็นของตน แต่ทำด้วยความเต็มใจ ต่างจากคอมมิวนิสต์ที่ เขาบังคับให้ทำ คนก็เลยลักลอบ ไม่เต็มใจให้ แต่ระบอบสาธารณโภคีนี้ มาอย่างเต็มใจ มาเอา มาอยู่อย่างนี้ โดยเต็มใจ ต่างคน ต่างมามักน้อย มาล้างกิเลสไป มันก็อยู่ได้ ล้างกิเลสไป ไม่ติดยึด เลยเป็นอรหันต์จ้อย สร้างสรร เกื้อกูลกัน ช่วยสร้างสรร ให้มีลาภโดยธรรม แจกจ่าย เกื้อกูลกัน โดยมีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เรียกรวมๆว่า สาธารณโภคี คือ สอนกันให้เกิด วิถีของสาธารณโภคี

       โดยมีศีลให้ปฏิบัติ ตามลำดับ เริ่มต้นที่ศีล ๕ ก่อน ต้องอาศัย เครื่องประดับ ตกแต่ง เงินทองข้าวของ ก็ต้องสะสม ก่อนกลัวตาย แต่พอมาเข้าศีล ๘ ก็ลดละลงไปอีก จนมาศีล ๑๐ ไม่ต้องใช้เงินเลย ในอโศก แม้จิตเป็น อนาคาริกไม่ได้ แต่ว่าก็พัฒนาตน อยู่ในฐาน ศีล ๑๐ ได้ แม้ไม่บวช เป็นพระเป็นเณร แม้ใช้เงิน ก็ทำหน้าที่ ให้หมู่กลุ่ม เป็นระบบ สาธารณโภคี เป็นหมู่กลุ่ม เป็นหมู่บ้าน เป็นตัวอย่าง ซึ่งยุคนี้แม้พระ เขาก็ต้องใช้เงิน เขาว่าไม่มีเงิน ไปไม่รอด แต่เราชาวอโศก นักบวช ก็มีอยู่บาตรเดียว ท่านหนักแน่นว่า มีอยู่บาตรเดียว ไม่รู้ว่า จะใช้ไปจนตาย จะหมดหรือไม่? เราเป็นลูกพระพุทธเข้า เดินตามรอยพ่อ

       เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ นี่คือพุทธศาสตร์ แต่ว่าผู้มาบวช มาสืบทอดศาสนา แล้วมาขบถ ไปเป็นเณรคำบ้าง เป็นยันตระบ้าง ก็ขอยกอ้าง เป็นที่อ้างอิง

       ส.ดินทองว่า พ่อครูให้ระวัง เรื่องสตรี และสตังค์

       พ่อครูว่า ยังมีอีกอย่าง คือสังฆเพท คือการแตกแยกของสงฆ์ พ่อครูว่า อย่าแตกแยก หลักการนโยบาย วัฒนธรรมคำสอน ที่เรายึดถือไว้ อย่าแตกแยก ไม่ว่าจะกลุ่มฆราวาส หรือสงฆ์ ซึ่งเมืองไทย ที่ยังเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รวมเป็นหมู่กลุ่ม ต่างคนต่างใหญ่ ต่างทำ ก็ไม่สำเร็จ แต่พระพุทธเข้าว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ารวมกันได้สามัคคีกัน ทุกอย่างสำเร็จ

       มีคนส่งประเด็นมาว่า...ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศ ออกมาแสดงความเห็น ในสิ่งที่ ไม่ถูกต้อง (เช่นเสื้อแดง ต้องการรัฐบาลปู ขณะที่ประชาชน ส่วนน้อย ต้องการ ความถูกต้อง หน้ากากขาว ไม่ต้องการรัฐบาลปู ถูกต้องตามทำนอง คลองธรรม แล้วความถูกต้อง ตามหลักประชาธิปไตย จะพิจารณาอย่างไร จะให้ราชประชาสมาสัย อย่างไร ?

       ตอบ..มีภาษาพูดที่ว่า majority rule minority right ซึ่งในสังคมมีกฏหลักว่า เอาเสียงส่วนใหญ่ แต่ต้องคำนึงถึง สิทธิมนุษยชน และความถูกต้อง ( Right) ซึ่งต้องคำนึง เสียงส่วนน้อย ที่ถูกต้องด้วย ดูอย่างสังคมไทย ทุกวันนี้ คนส่วนน้อยว่า มันผิดนะ ที่ทำอย่างนี้ แม้คน ๑๕ ล้านเสียงว่า จะทำอย่างแหกกฏด้วย คนกลุ่มเล็กที่ถูก ก็มีหน้าที่ต้าน

       จะทำอย่างไร คุณก็ต้องต้าน เพราะเป็นสิทธิ และความถูกต้อง เป็นสากลเลย

       จะแก้ไขอย่างไร ก็ทำตามที่ควร พ่อครูยังไม่เชื่อว่า เป็นกลุ่มน้อย แต่แสดงตัว เป็นหน้ากากขาว ยังน้อยเท่านั้น แต่ยังไม่แสดงตัว คือยังไม่ใช้สิทธิ์ แม้จะมี สิทธ์(right)  ต้องออกมาพิสูจน์ จะทำอย่างไร ก็ต้องออกมา ยืนยันดูสิ ถ้าออกมาแสดงตัวว่า ไม่เอา มีน้อย แต่ว่ากลุ่มที่จะเอา มามากกว่า นั่นก็คือต้อง ใช้เสียงส่วนใหญ่ เรียกว่า เยภุยยสิกา ก็ต้องพิสูจน์ ความเป็นประชาธิปไตย อำนาจคือ เสียงส่วนใหญ่ ตอนนี้รอว่า ผู้ที่ไม่เอา กับรัฐบาลปู มีอยู่กี่กลุ่ม เท่าไหร่ กี่คน แต่ตอนนี้ ผู้ที่แสดงอำนาจอยู่ ก็เรียกมาหมู่ใหญ่ ทุกทีๆเลย ก็แพ้เขา วันยังค่ำเลยสิ

       ตกกะใจ ทำไมไทยเฉยนานไป?....พ่อครูว่า เมื่อมีหมู่ดี ต้องพลีชีพลุย...

       แล้วจะใช้ ราชประชาสมาสัยอย่างไร ยืนยันว่า ต้องใช้มาตรา ๒ และ ๓ ตอนนี้ ในหลวง ใช้อำนาจ ผ่านสถาบัน บริหารกับสภา ล้มไปแล้ว ส่วนสถาบันตุลาการ ก็กำลังป้อแป้ ในหลวงท่านใช้เต็มที่ ท่านเตือนตุลาการว่า บ้านเมืองจะล่มจม ไม่รู้กี่รอบ ทุกวันนี้ นักบริหาร และประธานสภา ก็ไม่เข้าเฝ้าในหลวง ไปฟังใครไม่รู้ ตอนนี้ สองสถาบัน ขาหักแล้ว อีกสถาบันขาเป๋ ถ้าประชาชน ไม่ร่วมออกมา แสดงอำนาจ ก็เท่ากับ ปล่อยให้ พ่อตายไปกับอำนาจ ท่านก็สุดที่แล้ว

       ในหลวงพยายามบอกผู้บริหาร ทำอย่างนี้นะลูกเอ๊ย มีตั้ง ๔๐๐๐ แบบ ให้ผู้รับสนอง พระราชโองการ นำไปกระจายแก่ประชาชน แต่เอาไปที่ไหน ในหลวงท่านให้เกียรติ์ ประชาชน แต่มันโง่หรือไงไม่รู้ ส.ดินทองว่า โครงการล่าสุด คือโครงการ “ชั่งหัวมัน” ใน ๔,๔๓๕ โครงการ

       ในหลวงท่านใช้ตามสถานะ สมควรแก่พระองค์ที่สุดแล้ว ท่านทำสุดที่แล้ว เหลือแต่ ประชาชนเท่านั้น จะอุ้มพ่อ นั่นคือ ราชประชาสมาสัย

       โครงสร้างกว้างๆ ก็พูดแล้ว มาเข้าเป้าสาธารณโภคี เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ คอมมิวนิสต์ เขาก็ต้องการเข้าส่วนกลาง แต่ผู้บริหารโกงกิน เห็นแก่ตัว ไม่เหมือนผู้ปฏิบัติธรรม ที่มีญาติปริวัตตัง ปหายะ โภคักขันธาปหายะ ไม่ต้องเห็นแก่ญาติตน ไม่เห็นแก่ทรัพย์ ส่วนตน มีแต่ของส่วนกลาง แต่ทำตัวให้มีสมรรถนะ ขยันสร้างสรร แต่เอาให้ ส่วนกลางมาก ก็เป็นคน มีคุณค่าจริง คุณลงมือทำ ใช้สมองทำ มันก็อยู่ในนี้ เป็นองค์รวม เป็นกลุ่มของผู้มี ทิฏฐิสามัญตา เป็นหมู่บ้าน ที่คนเสียภาษี ๑๐๐ % กินใช้ส่วนกลาง ทำเหลือ เอาเข้ากองกลาง แล้วมีเหลือ ก็เอาไปช่วยเหลือสังคม ทำอย่างไม่อวดเก่ง อวดอ้าง ทำโดยสุจริตใจ ไม่ได้ทำเพื่อ เอาจากสังคม ทำให้สังคม ซึ่งเป็นของ เป็นไปได้จริง ไม่ใช่มีแต่ ทฤษฏีลอยลม

       เรายิ่งมีสมรรถนะ ก็เสียภาษีแก่ส่วนกลาง เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องมาออกกฏ อย่างคอมมิวนิสต์ แต่ให้อย่างเต็มใจเลย นี่คือแบบพุทธธรรม  และสาธาณียธรรม ๖ จะเกิดจิตอีก ๗ ชนิดคือ พุทธพจน์ ๗  เกิด และมี สาราณียะ - คุรุกรณะ - ปิยกรณะ -  สังคหะ  - อวิวาทะ - สามัคคียะ - เอกีภาวะ

       การเคารพกัน เราเคารพกันตามวัย ตามฐานะ ความรู้ ตามคุณธรรม แต่ถ้าจะให้ เท่ากันหมด ต้องนั่งเท่ากันหมด แต่งเสื้อผ้า เหมือนกันหมด ก็ไม่ถูก เช่น พ่อครูว่า กว่าจะมีรถยนต์ใช้ มีคนบริจาครถยนต์ โฟล์คเก่าๆให้ ก็ซ่อมแซมกัน แต่ก็ไปไม่รอด จนกระทั่ง คนให้รถมาใช้ได้ จนต่อมา มีคนซื้อรถเบนซ์มาให้ เป็นรถตู้ แต่มันไปตาย หลายที แม้เข็นก็ไม่ได้ เพราะเป็นระบบ อัตโมมัติหมด พ่อครูก็ว่า ขายเบนซ์ไปเถอะ ไปซื้อรถญี่ปุ่นมาใช้ ตั้งชื่อว่า “เค้นเบ็ด” แปลว่า เข็ดเบนซ์ ต่อมา ก็ซื้อรถตู้ มาให้ใช้ต่อ เป็นโฟล์คสวาเก้น ซึ่งรถเบนซ์ ก็มีคุณสมบัติ ดีหลายอย่าง แต่พ่อครูว่า ไม่ต้องถึง ขนาดนั้นก็ได้ แต่เขาก็ทำ นี่คือสภาพจริง เรายิ่งไม่อยากได้ เขายิ่งอยากให้

       เมื่อเราสามารถทำ สาธารณโภคีได้ เป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้าน อบต. เป็นทางการ แต่รับเงินเดือนมา เข้ากองกลาง หมู่บ้านเรา ที่เป็นนิตินัย มีสองหมู่บ้าน คือ ราชธานีอโศก และ ศีรษะอโศก นอกนั้นไม่ได้เป็นนิตินัย และที่ศีรษะฯ ผู้ใหญ่บ้าน เป็นดอกเตอร์ ก็ทำงานฟรี บริหารหมู่บ้านไป เราไม่ได้ติดใน ยศฐาบรรดาศักดิ์ และไม่รังเกียจ เราก็เป็นไปตามโลก เขาเรียกว่า โลเก อนุวัตตุง

       ถ้าสาธารณโภคี ทำได้ เป็นก้อนแท่ง อโศกจะโต เป็นก้อนเดียวไม่ได้ แต่จะอยู่อย่าง เป็นเครือแห ไม่เรียกเครือข่าย แต่เรียก Pyramidal web เหมือนเครือแห แต่ว่ามีตรงกลาง เป็นปิรามิด มีทั้งฐาน ทั้งเนื้อในแน่น ช่วยให้ยอด อยู่ได้มั่นคง เป็นเครือแห อยู่ทั่วประเทศ อยู่ทั่วโลก โดยนามธรรม และมีรูปธรรม อยู่กระจายไป สานกันไป ตามลำดับ เป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ และทั้งโลก มีความแน่น ด้วยการสาน ไม่ใช่แบบ เป็นก้อนเดียว จะมีพลังรวม มาช่วยกัน

       มีคำถาม...จากสภาพปัจจุบัน น้ำมันก็แพง ข้าวของก็แพง แต่ลูกได้มา เรียนรู้ธรรมะ กับชาวอโศก ก็เลยเดือดร้อนน้อย แต่ชาวบ้าน เขาเดือดร้อนมาก แต่เขาก็ไม่โทษรัฐบาล ที่เขาเลือกเข้าไป ลูกก็ว่าวางใจ เป็นวิบากประเทศ อย่างนี้เป็นไทยเฉยหรือไม่? กราบขอบพระคุณ พ่อท่าน ที่ให้สิ่งที่ดีเป็นธรรมะ เป็นคำสอน

ตอบ...ก็เป็นไทยเฉยอยู่บ้าง แต่เวลาควรต้อง ออกไปเสียสละ ก็ต้องทำ ควรขยันเสียสละ ไม่ว่าแรงกาย แรงทรัพย์ แรงสมองด้วย และไม่มีอบายมุข ถือศีล ๕ ได้ก็พ้น ความเดือดร้อน ไปได้มากเลย.....

จบ

 
อาทิตย์ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ราชธานีอโศก