560723_เทศนาวันเข้าพรรษาและขอบุญโฮมศีรษะอโศก โดยพ่อครู
เรื่อง เปิดเผยการหมดความยึดอัตตา

       วันนี้วันสำคัญ วันเข้าพรรษา ตามฤกษ์ที่พระพุทธเจ้ากำหนด แรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ได้โคจรมาที่ ศีรษะอโศก คว้าเอาน้ำยอด มากินเลย มาเทศน์วันเข้าพรรษา

       เมื่อเช้านี้ ได้รับ sms ออกมาให้ คุณ ๘๗๐๕ อวยพรมาแต่เช้าเลยว่า
0888705xxx THE HELL OF BHUDDHISM IS THE LOGUTTARA-HEAVEN OF DEARATHEE-ISM..YES..OK

       พ่อครูว่าสิ่งใดสูง พ้นเลยเขตคนอื่นๆ ที่จะเข้าใจได้แล้ว อย่างสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เรียกว่า “อุตระ” คือเหนือสุด คนที่ไม่สามารถเข้าใจได้ก็จริง อย่างพ่อครูเข้าใจคุณ ๘๗๐๕ ได้ว่า เขาเข้าใจอุตตระไม่ได้ พ่อครูเห็นใจ ไม่ได้เกลียดชัง พ่อครูอ่านใจตนได้เสมอ มีสัมผัสนอก เชื่อมไปสู่ภายใน คือสัมปชัญญะ แล้วต่อเนื่องเป็นสติ ชนิดต่างๆ เป็นการทำงานของจิต ต่อเนื่อง เป็นสันตติ ผู้ใดตามสันตติได้ ที่เจตสิกเรามันเร็ว ต่อเป็นลูกโซ่ ยิ่งกว่าจิ๊กซอว์ ที่ต่อทุกมุม คนใดตามทัน ก็มี ชวนจิต มีมุทุภูตธาตุ เร็วไว ทั้งปัญญาและเจโต ปรับให้เป็นและไม่เป็น ได้ทันที เร็วมาจนไม่ให้มี แตะปั๊ปเปลี่ยนปุ๊ป เร็วจนตรวจสอบได้ว่าอย่างนี้ อกุศลไม่รอด กุศลรอด จิตใจสร้างให้เป็นเช่นนี้ได้

0888705xxx อายุหัวใจ=18ปี อายุสมอง=7ปี อายุเส้นเสียง=108ปี อายุพรรษา=44..OK
0888705xxx เพราะที่ไม่พัก เอาแต่เพียร..พธร.จึงเป็นโรคจิตเภทอ่อนๆ ชนิดหนึ่ง ที่ชอบย้ำคิด ย้ำทำ.. คือที่มักชอบอวด ซ้ำแล้วซ้ำอีก! คือคงกลัวว่า ชาวอโศกจะลืมมั๊ง? ว่าตนเอง BORN TO BE.. ถึงขั้นสะยังอภิญญา ระดับโพธิสัตC7 เชียวนะจ๊ะ! แต่ที่ทำตัว เหมือนเป็นคนธรรมดา นั่นก็เพราะสัจจานุโลมญาณ ตะหากจ๊ะ! ที่จำเป็นต้องเล่นขายของ ไปกับเด็กๆ เท่านั้น แต่ก็เล่นไปอย่างนั้นเอง! เพราะไม่มีกิเลสแล้ว จึงเล่นก็เหมือนกับ ไม่ได้เล่น! พอจะเข้าใจไม๊จ๊ะ

       พ่อครูว่า ใช้สัจจานุโลมมิกญาณนี้ พ่อครูใช้จริง แต่ว่าคุณ ๘๗๐๕ ไม่เชื่อเท่านั้น ที่คุณ ๘๗๐๕ ยึดไว้ว่า เป็นของตนเองนั้น ว่าตนถูก และต่างกับพ่อครู ซึ่งเขาก็ต้องว่า พ่อครูผิด พ่อครูก็เข้าใจคุณ อย่างนี้จริง และมั่นใจมานานแล้วว่า คุณ ๘๗๐๕ ยึดถือ ต่างจากพ่อครู จึงไม่ได้เคลื่อน จากความเข้าใจเดิม เช่นที่แย้งมาก

       ซึ่งถ้า Hell เป็นของพ่อครู Heaven ก็ต้องเป็นของ ๘๗๐๕ แต่ว่าถ้า Heaven เป็นของพ่อครู แล้ว Hell ก็ต้องเป็นของ ๘๗๐๕

       คำว่า Heaven คือสวรรค์ คือพระเจ้าของพวก เทวนิยม และโดยปรมัตถ์ คือสถานที่ ที่ตนยึดว่า เป็นแดนสุข ตามอัตตะ ตามสัญญาย นิจจานิ โดยจิตตนกำหนด ว่านี่คือ สวรรค์ พระเจ้าเป็นเช่นนี้ แต่ Hell คือสถานที่ๆตนยึด เป็นความทรมาน แต่ก็มีที่ยึดว่า hell นี้คือ สวรรค์ก็ได้ ตนเองต้องได้กระแทกกระเทือน จึงได้สุข เป็นมาซูคิส แต่พวกซาดิสม์ ต้องได้เห็น ความกระแทกระเทือนแรง นอกตัว เป็นจิตอำมหิต ก็เริ่มจากซาดิสม์ หนักเข้า ก็มาซูคิส คนพวกนี้จะทรมาน ทำร้ายตนเอง อาการหนักหนา สาหัสมาก จะมาซูคิส หรือซาดิสม์ ก็คือ hell

       คุณ ๘๗๐๕ ตราบใดที่คุณยังมี Be Hell On ตลอดเวลา ไม่เสื่อมคลาย ไม่เข้าใจว่า ตนต้อง Be Hell Off บ้าง ทำไม่ได้เลย ก็สั่งสมความเป็น  Be Hell On ในอารมณ์ที่ไม่ดี ตั้งแต่อ่อนๆเบาๆ จนแรงใส่ใจตน ไปตลอดเวลา โดยเฉพาะ สัมผัสโพธิรักษ์แล้วมัน  Be Hell On ตลอดเวลาเลย อัตตาของคุณก็สั่งสม Hell ให้ตนตลอดเวลา ไม่สามารถ ลดละ ได้เลย ชิงชังเกลียดชัง ไปเรื่อยๆ คนผู้  Be Hell On จะมีความเห็นอะไร พบอะไร ก็ไม่ชอบใจ ก็สั่งสม  Be Hell ตลอดเวลา คือคนสร้างอัตตาให้มี Hell ตลอดเลย

       Hell คือสภาพที่มีความทุกข์ทรมาน ตั้งแต่หยาบใหญ่ จนละเอียด เมื่อไม่ศึกษาอัตตา ก็น่าสงสาร พวกที่ตีทิ้งอัตตา ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่อัตตา คนไหนไปคิด ไปยุ่งกับอัตตา คือพวกนิรัตตา อย่างนี้ก็คือ ตีทิ้งอัตตา จะเข้าไปถึงอัตตา คือไม่มี “อัตตสัมปทา” ซึ่งเป็น แสงอรุณ ที่จริง คุณ ๘๗๐๕ มีอัตตากับพ่อครู ตลอดเวลา มาทุ่มถีบ กระแทกพ่อครู ตลอดเวลา แต่พ่อครูก็รับ อย่างเด็กๆ ถีบพ่อครูมา ก็ไม่ถือสา ก็รับ ถ้าคุณ ๘๗๐๕ ไม่รู้ถึงสภาพ ที่เป็นความมี เป็นอัตตา ตนต้องมีญาณ อ่านในตน แต่ถ้าไม่มี ก็คือ คนที่อนัตตา คือไม่มีอัตตาจริงๆเลย ไม่ว่าอัตตาลักษณะใด ไม่มีภาวะ แห่งอัตตาเลย ถ้ามีญาณปัญญา จักษุ อ่านได้จริง ทุกขณะ ที่สัมผัส ในทวาร ๕ ก็เกิดวิญญาณ คือธาตุรู้

       ผู้ใดไม่ได้ศึกษาวิญญาณ ซึ่งมีอัตตาอยู่ ซึ่งอัตตาอยู่นอกวิญญาณไม่มี คือไม่ศึกษา จิตในจิต ไม่รู้จักสราคะ สโทสะ สโมหะ ก็ไม่รู้จักอัตตาของตน ก็ไม่สามารถทำ อัตตา ออกได้ ทำเนกขัมมะไม่ได้ จนกว่า จะรู้ว่าตนมี และจะรู้ว่า มีหรือไม่มี ก็ต้องตรวจสอบ โดยเฉพาะนามธรรม ขั้นอัตตา

       มี “ลักขณรูป” อย่างไร ที่คุณยังสะสมให้มันเกิดอยู่ โดยตนไม่รู้ แต่ถ้ารู้ได้ ก็รู้สักกายะ แล้วล้างมันได้ แต่คนไม่รู้ก็ไม่รู้ มันเกิด แล้วมันก็ต่อเนื่อง เป็นสันตติ จะรู้ว่ามัน “ชรตา” คือดูเหมือน มันเสื่อม แต่ไม่หมด มันอนิจจตา คือมันไม่เที่ยง คุณจะไม่รู้ รายละเอียด ของลักขณะรูป ใน รูป ๒๔ คุณจะไม่รู้ อปจยะ คือการไม่สะสม คุณอุปจยะ ตลอดคือสะสม

       คุณจะไม่รู้ใน วิการรูป  จะไม่รู้ลักษณะของ อุปาทายรูป ในรูป ๒๔ ซึ่งเป็นลักษณะ เบาบางมาก (ลหุตา) มีมุทุตา คือจิตที่ไม่อยู่กับที่ เป็น kinetic energy พร้อมทั้ง เอาออก ได้เร็วมากเลย ปรับได้ง่าย รู้ได้เร็วไว้ คือมุทุภูตธาตุ หรือมุทุตา และมี กัมมัญญตา มีกรรมกิริยา เป็นกุศลเจตสิก ตลอดเวลา สุดท้าย ก็จะไม่เข้าใจใน วิญญัติรูป ที่ออกมาเป็น กายวิญญัติ

       วิญญัติ คือเกิดลักษณะของสมมุติขึ้นแล้ว กายวิญญัติ คือออกมาเป็น กายกรรม หรือออกมาเป็นคำพูด คือ วจีวิญญัติ คุณอ่าน “ลหุตาจิต” ไม่ออก คือจิตที่ละเอียด บางเบา คุณอ่าน ธาตุความเพียร ๗ ไม่ออก (อารัพภธาตุ, อารัมภธาตุ, นิกกมธาตุ, ปรักกมธาตุ, ถามธาตุ, ธิติธาตุ, อุปักกมธาตุ ) เป็นนามธรรมละเอียด ที่มีทิศทางแรง พุ่งสู่มโนสัญเจตนา

       คุณ ๘๗๐๕ ถ้าไม่รู้จักอัตตา Hell ของคุณก็ Being on ตลอดเวลา อัตตาแปลว่าอะไร... พ่อครูค้นมาจาก พจนานุกรม แล้วเอามาขยายความให้ฟัง...แปลว่า สิ่งที่ยกขึ้นมา สมมุติขึ้นมา ในจิตเรา เริ่มต้น มีนิดหนึ่ง แล้วคุณวางได้ ไม่มีในสัญญา หรือแม้คุณจำได้ แต่ไม่ยกขึ้นมาใช้ แต่ถ้าดึงมาใช้ ก็เป็นสัญญาที่ดึงมาใช้ แล้วพอเวลา มันมีสภาวะโตใหญ่ ก็ดุเดือด ทำร้ายมนุษยชาติ

       อัตตามันมีในตัวคุณ แต่คุณไม่เรียน จะเบาบางขนาดไหน
. ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ - material qualities of sex)
10. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง – femininity) คือผู้ที่ยังไม่หยุด ไม่มีเอกัคคตา
11. ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย – masculinity) คือผู้ที่หยุดได้ มีเอกัคคตา เต็มรูป
       ต้องทำให้ถึงที่สุด เป็นปุริสินทรีย์ เป็นกำลังของสัตบุรุษ

. หทยรูป 1 (รูปคือหทัย - physical basis of mind) (แปลตามทั่วไป ตามพจนานุกรม ประมวลศัพท์ฯ)
12. หทัยวัตถุ* (ที่ตั้งแห่งใจ, หัวใจ – heart-base) แต่พ่อครูแปล ไม่เหมือนอย่างที่ เขาแปล ซึ่งหทยรูปนั้น ไม่ได้หมายถึงหัวใจ ที่เป็นรูปอยู่ที่หัวใจ ห้องที่ ๔ มีน้ำเลี้ยง สีน้ำเงิน แต่ที่จริง หทยรูปคือนามธรรม ทูรังคมัง เอกจรัง อสรีรัง ต้องรู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต ซึ่งถ้าไม่มีผัสสะ อาการจะไม่เกิดให้รู้ได้เลย แม้เข้าไปลึกถึงจิต ที่ไม่เกี่ยวกับ ทวารนอก เมื่อคุณยังไม่ปรินิพพาน คุณก็มีสัญญา แต่ถ้าคุณไม่ดึงออกมา มันก็ไม่ออก หรือ คุณไม่สามารถดึงออก มันก็ไม่ออก ถ้าคุณไม่ดึงเลย แต่คุณมีกำลัง แห่งความสามารถ ที่จะไม่ใช้สัญญาใดๆก็ได้ คุณอยู่เหนือสัญญา คุณไม่สัญญาว่า เป็นเรา เป็นของเรา คือ อตัมยตา คือ อมตบุคคล จะเป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ นี่คือสูงสุด คุณมีเอง จะรู้ได้เอง

       หทยรูป นั้นมีที่ตั้งเป็นนามธรรม ไม่มีที่ตั้งที่รูปธรรมเลย ไม่ใช่อยู่ที่หัวใจ แต่อยู่ที่ นามธรรม อยู่ไหนก็ได้ แต่เป็นตัวเรา เป็นของเรา “มมัง”หรือ “มม”

. ชีวิตรูป 1 (รูปที่เป็นชีวิต - material qualities of life)
13. ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต - life-faculty; vitality; vital force) แม้จะเป็นสภาพของรูป ที่เกิดชีวะ มีอาการของนามและรูป เป็นสังขาร ที่ประกอบด้วย วิญญาณและกาย มีองค์ประชุม คือ สัญญาและใจ นี่คือชีวิตรูปแล้ว เป็นอุปาทินนกสังขาร พีชะเป็น อนุปาทินนกสังขาร เป็นชีวิต แต่ไม่สมบูรณ์ มีเครื่องอาศัย เป็นอาหารรูป ต่างจากสัตว์ สัตว์กับพืช ก็รับอาหารต่างกัน ถ้ากวฬิงการาหาร พีชะก็รับไปสังเคราะห์ โดยไม่มีรส มีแต่สัญญา ซื่อสัตย์มาก ไม่บิดเบี้ยว อันนี้ใช้ก็รับ อันนี้ไม่ใช้ก็ไม่รับ ถึงขนาดนั้น คนก็ยังบังคับ DNA ได้ ให้มันรับ สิ่งที่ไม่เคยรับ แต่ตัวมันเอง นานมาก กว่า DNA มันจะเปลี่ยนแปลง

. อาหารรูป 1 (รูปคืออาหาร - material quality of nutrition)
14. กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน : edible food; nutriment) คุณรู้ไหมว่า มันมีอัตตาในนั้น

. ปริจเฉทรูป 1 (รูปที่กำหนดเทศะ : material quality of delimitation)
15. อากาสธาตุ (สภาวะคือช่องว่าง : space-element)

. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย : material intimation; gesture)
16. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย : bodily intimation; gesture)
17. วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา : verbal intimation; speech)

. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลก ให้พิเศษได้ : material quality of plasticity or alterability)
18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบา - lightness; agility)
19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย : elasticity; malleability)
20. (รูปัสส) กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ : adaptability; wieldiness)
0. วิญญัติรูป 2 ไม่นับ เพราะซ้ำในข้อ ญ.

. ลักขณรูป 4 (รูปคือลักษณะหรืออาการ เป็นเครื่องกำหนด : material quality of salient features)
21. (รูปัสส) อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึ้น : growth; integration)
22. (รูปัสส) สันตติ (ความสืบต่อ : continuity)
23. (รูปัสส) ชรตา (ความทรุดโทรม : decay)
24. (รูปัสส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย : impermanence)

       แม้แต่ความว่าง ความสูญ ในอุปาทายรูป คุณรู้หรือไม่ มีญาณหยั่งรู้ถึงรูป และที่เป็นแม้ อุปาทายรูป ที่ละเอียดไปถึงอรูป คุณได้รู้จริงไหม ว่าจิตของคุณ ว่างจาก สิ่งเหล่านี้ คุณเอาตัวช้าง ออกจากพวยกา ได้หรือไม่ แล้วคุณเอาหางช้าง ออกได้เกลี้ยง หรือไม่ เราไม่สับสนว่า ช้างคือเรา เราคือช้าง เราก็อยู่กับช้างได้ ตลอดเวลา
      
       มาที่ sms ของ 0888705xxx คำโกหคมีอยู่จริง แต่คำโกหคนั้น ไม่จริง! ฉันใด.. โอฬาริกะอัตตา, มโนมยอัตตา, อรูปะอัตตา..ก็มีอยู่จริง(โดยสมมุต) แต่ว่า.. อัตตาทั้ง3นี้ ย่อมล้วนไม่จริง! (โดยปรมัตถ์) ฉันนั้น! OKไม๊จ๊ะ? แต่อาศัยว่า ชาวบ้าน ที่มากินมังสวิรัต ตามพธร.นั้น, ส่วนมากเป็นคนซื่อๆ ไม่ค่อยมีปัญญา จึงไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ 79ปี ก็ไม่เคยมี เสด็จปู่พธร. และหลังจากนี้ 72ปี เมื่อพธร.ตายแล้ว.. ก็ย่อมจะไม่มี เสด็จปู่พธร. เหมือนกัน! สรุปว่า อัตตาของพธร.มีอยู่
0888705xxx จริง (แค่151ปี เท่านั้น!) แต่ว่า.. อัตตาของพธร. นั้นย่อมไม่จริง! เหตุเพราะ ไม่สามารถ จะดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน เป็นอกาลิโก เช่นเดียวกับ ปรมัตถธรรมได้! พุทธเจ้า จึงสอนไม่ได้อยู่ 3เรื่อง! คือ1.สอนคนโกงไม่ให้โกง! 2.สอนคนหน้าด้าน ให้มียางอาย! 3.สอนเดียถี ที่มิจฉาทิฐิ เช่นเทวทัต และสาวกของเทวทัต (ที่ยังหลงเหลืออยู่ ถึงปัจจุบันนี้).. ให้กลับกลายเป็น สัมมาทิฐิได้! สรุปว่าพธร. ก็ลองพิจรณา ดูเองก็แล้วกัน.. ว่าตัวเอง เป็นคนประเภทไหน!

       ถามว่าพ่อครูเป็นคนประเภทไหน... .พ่อครูเป็นคนประเภทที่ รู้จักความเป็นอัตตาจริง รู้ว่าโอฬาริก - มโนมย - อรูปอัตตา เป็นอย่างไร  และได้ปฏิบัติ จนหมดสิ้นอัตตา ได้จริง และรู้แจ้ง เห็นจริงด้วย สัมมัปปัญญา คือปัญญาอันยิ่งของตน ว่าอัตตาของตนสิ้นแล้ว ไม่มีอยู่จริง เป็นอนัตตาจริง เห็นแล้วว่า มันไม่ใช่อัตตา เพราะล้างอัตตา ได้หมดจริง มันเป็นของสมมุติ จึงรู้แจ้งว่า ผู้ยังมีอัตตาอยู่ คือคนเช่นไร และรู้ว่า คนที่มีแต่ อัตตวาทุปาทาน คือคุณ ๘๗๐๕ ไง

       อัตตา ๓
       ผู้อมตะแล้ว จะมีอัตตาหรือไม่ก็ได้ มีอตัมยตา ไม่ติดยึดอัตตา มีอัตตาเฉพาะอาศัย ไม่ลึกลับในอัตตา คืออรหัตตา มีอัตตาสูงสุด โดยไม่ลึกลับแล้ว ทั้ง โอฬาริก - มโนมย - อรูปอัตตา

       โอฬาริกอัตตา คืออัตตาหยาบ และอรูปอัตตา คืออัตตาละเอียด การเรียนรู้ ต้องทำ ตั้งแต่หยาบ เป็นตัวช้างก่อน ต้องทำสิ่งหยาบไปก่อน จากสักกายะ ก็ลดละลงไป ตามล้าง ไปเรื่อยๆ จนเหลือหางช้าง เป็นอรูปอัตตา ก็ล้างอีกให้เกลี้ยง หมดอัตตา ก็ไม่ลึกลับ ในอัตตา ที่สุดจบเป็นอรหันต์

       เมื่อเรายังรู้ว่า ตนเองยังมีอยู่ ก็ต้องมีอาหารรูป คือสิ่งอาศัย ทั้งหมดคือ กายและใจ กายคือองค์ประชุม ทั้งดินน้ำไฟลม และอากาศและวิญญาณ จะไม่พรากจากกัน จนกว่า จะปรินิพพาน ผู้อรหันต์จะไม่พรากธาตุ ๖ นี้ ท่านมีไว้อาศัย แต่ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา และที่คุณ ๘๗๐๕ ว่าย้อนพ่อครูมาว่า

       0888705xxx คำโกหคมีอยู่จริง แต่คำโกหคนั้นไม่จริง! ฉันใด.. โอฬาริกะอัตตา, มโนมยอัตตา, อรูปะอัตตา.. ก็มีอยู่จริง (โดยสมมุต) แต่ว่า.. อัตตาทั้ง3นี้ ย่อมล้วนไม่จริง! (โดยปรมัตถ์) ฉันนั้น! OKไม๊จ๊ะ?

       พ่อครูว่า ตั้งแต่อรหันต์นั้น คำโกหกจะไม่เกิดในตน ตลอดกาล พ่อครูเคยโกหก มาก่อน อย่างหยาบ - กลาง - ละเอียด อย่างใด โกหกตั้งแต่โคโล (หยาบใหญ่) คอลอ (ลดลงมาอีก) แคแล (เล็กแล้ว) คีลี (แทบจะไม่มี) และได้เรียนรู้ ที่จะทบทวน ตรวจสอบ ในอรูปฌาน แม้อากิญจัญฯ ที่ไม่ให้มีเศษ แม้เล็กแม้น้อย ทวนแล้วทวนอีก ในเนวสัญญาฯ ให้บริบูรณ์ ไม่ตกหล่นเลย เป็นสมบัติสมบูรณ์ พิสูจน์ทุกปัจจุบัน สั่งสม เป็นอดีต ที่แน่นอน จนมั่นใจว่า อนาคตไม่เปลี่ยนแน่เป็น นิพพานที่ คือ   นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) ท่านจะทำ อย่างไม่ประมาท ไม่งั้น หน้าแตก ไปนานหลายร้อยชาติ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้เป็นอรหันต์

         ในธาตุแห่งความเพียรนั้น  ๑ คือ "ธิติธาตุ" ส่วน ๘ คือ "อุปักกมธาตุ" เป็นแกนหลัก เป็น Falcum  เป็นแรงที่จะพุ่งไปตาม "ถามธาตุ” (กำลัง) ที่จะเป็นศร ที่พุ่งออกจากแล่ง 

         ที่ว่าคำโกหกมีจริง แต่คำโกหกไม่จริงนั้นถูก และพ่อครูเคยโกหก แต่ได้ทำใจ ให้แข็งแรง จนคำโกหก จะไม่มีในพ่อครู ไปจนนิรันต์ ถ้าโกหกก็คือ มีอัตตา พ่อครู ได้ศึกษาแล้วว่า มันคือ อกุศลจิตแท้ๆ ไม่ต้องโกหก ก็อยู่สบาย ไปรอด และ ไม่ต้องฝืนด้วย นี่คือไม่มีอัตตา แต่คุณอ่านอัตตาของคุณ ออกหรือไม่ แล้วคุณ จะหมดอัตตาได้ ส่วนคนที่ ยังล้างอัตตาไม่สิ้น ก็พูดอย่างไร ก็ไม่จริงหรอก ซึ่งคุณเคยพูดเองว่า คุณก็ยังมีอัตตาอยู่ พ่อครูยังเก็บ sms ไว้อยู่เลย ก็ขอบคุณ ที่ค้นมาให้ดู หลายอย่าง ก็ทำให้ได้ประโยชน์ พ่อครูไม่ได้รังเกียจหรอก

         ถ้าพ่อครูอายุไปถึง ๑๕๑ ปี ก็จะมีอัตตาไว้อาศัย ไปอีกถึง ๑๕๑ ปี ซึ่งพ่อครูว่า จะมีอัตตา ช่วงต้น ๓๖ ปีแรก ยังไม่ได้ทำลายอัตตา ไม่ได้ล้างอัตตา แต่ตอนนี้ ได้ล้างอัตตา ไปหมดแล้ว ซึ่ง ๓๖ ปีนี้ เป็นอัตตาแบบ "ลิงลมอมข้าวพอง" ซึ่งท้าวความ ไปถึง พระพุทธเจ้า ท่านก็มีอัตตา ลิงลมอมข้าวพอง ไป ๓๕ ปี ซึ่งพ่อครู ก็มีอัตตา แบบนี้มา ๓๖ ปี พอพระพุทธเจ้าเลย ๓๕ ก็มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ส่วนพ่อครู ก็เลย ๓๖ ปี ก็เป็นโพธิสัตว์ แล้วก็อาศัย อัตตานี้ทำงาน เป็น "อตัมมยตา" พ่อครูก็ทำงานไป จนกว่า จะอายุถึง ๑๕๑ ปี ถ้าเก่งจะรักษาขันธ์ไว้

         พ่อครูรู้ว่า เรามีเวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ เป็นเรา หรือเราเป็นเวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ หรือไม่

         ถ้าธาตุรู้ของ ๘๗๐๕ ที่ส่งมาให้พ่อครูรู้ได้ แล้ววิญญาณของ ๘๗๐๕ ที่จะมาทิ่ม พ่อครูทุกด้าน พ่อครูจะรับวิญญาณของ ๘๗๐๕ มาเป็นเรา ว่าเขามาเสียบเรา นิดหรือมาก แต่ก็เสียบไม่เข้าเลย ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกระคายผิวเลย แม้วิญญาณอันแหลม หนามยิ่งกว่า ทุเรียน มาทิ่มอย่างแรง ทุกมุม ก็ไม่ระคายผิว ก็ไม่ได้รับ  เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ มาเป็นเรา เป็นของเราเลย เสียบไม่เข้า ไม่ระคายผิวเลย จึงมีแต่อุเบกขาเวทนา ทั้งๆที่รู้ว่า เขาเสียบ ทั้งเราไม่เป็นแบบคุณ พ่อครูไม่เคยไปใช้ เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ ไปเสียบคุณ มีแต่อธิบายธรรม ให้เป็นอาหาร ที่เป็นกุศลแก่คุณ พ่อครูให้คุณ อาจเข้าหู แต่ปิดประตูใจ มันเลยไม่เข้า พ่อครูก็ว่า เปิดนิดหนึ่งนะ อยากเข้าไปในใจคุณ เอาไปไว้ในใจคุณ หน่อยเถอะ

         สู่แดนธรรมว่า เขากลัวเสียหน้าหรือไม่?  พ่อครูว่า... เขากลัวเสียอัตตา ซึ่งมันรวม ทั้งหมด ไม่ใช่แต่แค่เสียหน้า ที่เป็นรูปธรรม นี่คือ การตีงูให้กากิน

         มาลงลึกใน อัตตา
         ชีวิตของอมตบุคคล จะอยู่กับมโนมยอัตตา คือสำเร็จด้วยจิตของเราเอง ตามพระพุทธเจ้า สมมุติ และที่สมมุติเอง ในสิ่งที่เป็นกุศล แต่ต้องรู้ว่า กุศลหรืออกุศล ชัดเจน ไม่มีเจตนาร้าย แม้จะใช้สำนวน แหลมคม ใส่คุณ ๘๗๐๕ บางครั้ง จะถือว่าแรง ว่าหยาบก็ได้ ก็ได้ขออภัยแล้ว

         โอฬาริกอัตตา คือสิ่งหยาบต้องรู้ก่อน ต้องเกิดจาก ทวาร ๕ จึงเรียกว่า "รูปกาย" ประกอบด้วย มหาภูตรูป เรียนรู้จากสัมผัส เป็นวิญญาณที่ เป็นธาตุรู้องค์รวม ที่มีเจตสิก ๓ คือ เวทนา สัญญา สังขาร ต้องศึกษาความเกิด ตั้งแต่หยาบก่อน และในหยาบ ก็รู้ให้สุด ได้เหมือนกัน แล้วจะรู้หยาบ - กลาง - ละเอียดของหยาบ และไปถึง หยาบ - กลาง - ละเอียดของกลาง แล้วไป หยาบ - กลาง - ละเอียดของละเอียด แล้วก็ หมดละเอียด ของละเอียด เป็นณิปุนา คือนิพพานแล้ว

         โอฬาริกอัตตานั้น พระอนาคามี ศึกษาในกามภพ จบกิจในกามภพ คือทวาร ๕ กระทบ อะไรๆ พระอนาคามีย่อมไม่ปรุงแต่ง ร่วมกับอันนั้นแล้ว เหลือเศษภายใน เป็นกายในกาย ของตน เป็นเวทนา สัญญา สังขารในตน เป็นหลักประกันว่า อนาคามี จิตจะไม่แสดง อกุศลภายนอกทางทวาร ๕ แน่นอน จนสุดท้าย เป็นอรหันต์ ก็จะลบอีก ทั้งรูปอัตตา และอรูปอัตตา สิ้นหมดเลย ในภวตัณหา ที่มีรูปภพ อรูปภพ  มีอวจร ในกามภพ แต่ก็มีในภายใน แล้วล้างรูปภพ เมื่อล้างรูปภพ ก็เหลืออรูปภพ แล้วล้างอรูปภพ ก็เป็นอรหันต์ แม้อรูปจิต ก็ไม่เกิดอีกจริง แต่ถ้ายังเกิดอยู่ ก็เป็นอรหันต์ ตกหล่นอยู่นะ เกิดนิดหนึ่ง ก็เป็นของคุณอยู่นะ

         ผู้ใดปฏิบัติผิด ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไปเอาหางช้าง ออกก่อน คุณจะไม่ละเอียดหรอก และทำไม่ได้จริง แต่ถ้าสมมุติ คุณเป็นอนาคามี แต่ชาติก่อน คุณก็มาเรียนรู้ หางช้างได้เลย

         ผู้อมตบุคคล อย่างโพธิสัตว์ หรือพระพุทธเจ้า เมื่อมาเกิดอีกที จะถูกโลกีย์ หุ้มห่อ ไปตามธรรมชาติ ยังไม่เป็น ตัวของตัวเอง และมีเรื่อง กรรมวิบาก มาร่วมด้วย ผู้สยังอภิญญา หรือสยัมภู นั้น ใน ๓๕ ปี ของพระพุทธเจ้า ก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ท่านจะเป็น ตัวของตัวเอง ตื่นเต็ม ในวันตรัสรู้ มีพุทธการกธรรม ท่านได้แล้ว อย่างสมบูรณ์แล้ว ได้แล้วก็มา ทบทวนตัวเอง เสวยวิมุติอยู่ ๔๙ วัน ท่านก็ทบทวน คุยกับเทวดาของท่าน ตลอด ๔๙ วัน จากนั้นไป ท่านก็ไม่มีสมมุติ ที่เป็นลิงลม อมข้าวพอง อีกเลย แต่ก่อนนั้น ๓๕ ปี ท่านก็ไม่รู้ว่า นี่คืออัตตา แล้วอรหัตตาของ พระพุทธเจ้า เป็นอย่างไร อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอย่างไร ก็ไม่รู้ แต่พอตรัสรู้ ก็ดึงเอามาใช้ ได้หมดเลย ในเวลาไม่กี่ชม. แต่พ่อครูต้องใช้เวลา ดึงเอาเพชรออกมาใช้ ซึ่งพ่อครู ยังมีอีกมาก ที่ดึงออกมาใช้ไม่หมด ผู้ที่มีอัตตา เป็นเครื่องอาศัย เท่านั้น มีขันธ์ ๕ ไว้อาศัย ไม่ใช่เพื่อกามเพื่อโลกธรรม หรืออัตตา

         ผู้ที่เป็นอมตบุคคล ในมูลสูตร คนจะสนใจศาสนาพุทธ ต้องมี ฉันทะ ถ้าคุณไม่มี ฉันทะ ก็อย่าเลย ต่อให้คุณมี มิตรดีสหายดี ยัดเยียดให้ แต่ถ้าคุณไม่เริ่มต้นปฏิบัติ โดยตั้งศีล ให้พอเหมาะแก่ตน ทำเรื่องนี้แหละ ที่เราจะทำจริงจัง ถ้าคุณยังไม่เข้าถึง ศีลของตน ใครไม่รู้จักเกณฑ์ของตน ก็เลอะยาก แต่ถ้ากำหนดได้ดี ก็ไปได้เร็ว แล้วยินดี ในการปฏิบัติ ยิ่งถ้าไม่มีมิตรดี ยิ่งช้า นี่เข้าพรรษาแล้ว ไปอยู่ไหนกัน ไม่ทำตาม

สุริยเปยยาลสูตร
[๑๒๙]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[๑๓๑]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[๑๓๒]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 
[๑๓๓]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[๑๓๔]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .คุณจะเจริญเป็น สัมมาทิฏฐิ ที่เป็นสาสวะ และอนาสวะ
[๑๓๕]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค  ถ้าประมาทแล้ว ล้มเหลวหมด พระพุทธเจ้าเทียบ เหมือนเท้าช้าง ที่เท้าของสัตว์ทุกชนิด รวมลงไปได้
[๑๓๖]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ทำใจในใจไม่เป็น ไม่รู้จัก เวทนาในเวทนา ทำเนกขัมมะไม่ได้ หรือไม่รู้สังกัปปะ ๗ มันปรุงเป็นกามแล้ว ซึ่งหยาบกว่า รูปและอรูปนะ คุณไม่สามารถรู้ เป็นลำดับ หยาบกลางละเอียด คุณผิดแต่ต้น คุณไปเอาหางช้าง ออกเลยนั้นผิด ไม่ทำตามพระพุทธเจ้า แต่คุณอาจเก่งกว่า พระพุทธเจ้า ก็เอาสิ แต่นอกรีต นี่เขาเรียกว่า “เดียรถีย์”นะ

       เมื่อสามารถอ่าน อัตตาตนได้ ดับโอฬาริกอัตตา ดับมโนมยอัตตา (รูปที่สำเร็จ ด้วยจิต) จนครบถึง อรูปอัตตา ครบทำได้เป็นอรหัตตา เป็นอัตตปฏิลาโภ เป็นลาภของเรา แล้วหนอ ที่ได้อัตตา ที่ไม่ลึกลับ อาศัยรูป ที่ไม่ลึกลับนี้ อยู่ทำงาน เพื่อสัตวโลก โดยไม่มี อัตตา เป็นเราเป็นของเราแล้ว จึงเป็นอมตบุคคล คือผู้สำเร็จอัตตา หรือเทวะ โดยไม่ติดเทวะ เป็นยอดของเทวะ อาศัยอัตตา ทำประโยชน์ท่านเป็น ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ชีวิตนี้ เนื่องด้วยผู้อื่น แล้วเราก็ทำงาน ที่เหมาะควร เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร

       ก็ถือว่าคุณ ๘๗๐๕ เป็นมิตรดีสหายดี ทำให้ได้แสดงธรรม อันลึกซึ้ง คุณเป็นเหตุ ปัจจัย ทำให้เกิดนิทานเรื่องนี้

       ใน มูลสูตร นั้น มี
.  มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
.  มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
.  มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
.  มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) ทำเนกขัมมะออกมาจนได้ เนกขัมมสิตอุเบกขา สามารถเรียนรู้ เวทนาในเวทนา สั่งสมฐานนิพพานเรื่อยๆ ก็เป็นสมาธิ
.  มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) เป็นหัวหน้าใหญ่ เป็นตัวเจ้าแห่งจิตของเรา โดยมีบริวาร คือสติ และปัญญา
.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)
.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ)
.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) โอคธานั้นหยั่งลงเป็นบุคคล ส่วนโอกกันติ คือ หยั่งลงเป็นจิต สั่งสมนิพพัตติ เป็นอภินิพพัตติ เป็นอรหันต์เป็น อมตบุคคล
๑๐. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) เหมือนพวงมะม่วง ที่หล่นลงมา แตกกระจายแล้ว ไม่สามารถ ติดกลับคืนมาได้แล้ว....
         มีคนส่งประเด็นมาว่า วันนี้พ่อครูมาแสดงธรรม เมื่ออายุได้ ๗๙ ปี ๑ เดือน ๑๘ วัน ที่ศีรษะอโศก....

เอวัง

 
อังคาร ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ แสดงธรรมก่อนฉัน ที่ศีรษะอโศก