560902_ รายการเรียนอิสระฯ โดยพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ และอ.กฤษฏา
เรื่อง ยิ่งเล็กยิ่งใหญ่ ยิ่งจนยิ่งรวย ตอน ๓ (คานธีและตลาดอาริยะ)

 

        อ.กฤษฎาดำเนินรายการที่สวนลุมฯ... (๒ตุลาคม๒๕๕๖)

ความเข้าใจในธรรม มีเพิ่มขึ้น จากคำถาม ที่ส่งมาในรายการนี้ มีคำหนึ่งคือ ธรรมะย่อมชนะอธรรม เราต้องเชื่อ ในธรรมฤทธิ์ เมื่อวานพ่อครู ได้ยกตัวอย่าง มหาตม คานธี เรามาสู้ด้วยธรรม พ่อครูได้พูดถึงอหิงสา ในการชุมนุม แล้วจะทำเป็น รูปธรรม อย่างไร

        พ่อครูว่า คำว่าอหิงสา แปลว่า ไม่รุนแรง เราทำมาตั้งแต่ ข้างทำเนียบ เริ่มต้น ที่สนามหลวง เปิดตัวเราใช้คำว่า สันติ อหิงสา อโหสิ แต่เขารับกันได้แค่ สันติ อหิงสา แต่ว่า อโหสิ เขาไม่ยอมรับ เขาว่า ต้องเอาให้ถึงที่ แต่ได้แค่สันติ อหิงสา ก็ไม่ว่า เมื่อวานได้นำเอา มหาตมาคานธี มานำร่อง อธิบาย เพื่อให้ศึกษา ใช้ปัญญาไตร่ตรอง รับเอาสิ่งที่ดี ไปพัฒนาตนเอง

        ที่คานธีได้ทำสำเร็จแล้ว แม้เป็นเรื่องยาก แต่มนุษย์ต้องพากเพียร ไปสู่สิ่งที่ยาก เมื่อวานได้อธิบายถึง ความรวย ความจน มีเรื่องคารโว - นิวาโตของคานธี ว่า...

คาระโว...นิวาโตของคานธี 
            ข้าพเจ้าไม่เคยอวดอ้างว่า ตนเองมีสิ่งใด วิเศษว่าผู้อื่น ข้าพเจ้ามิใช่ ศาสดาพยากรณ์ ข้าพเจ้า เป็นผู้แสวงหาสัจธรรม ด้วยความเจียมใจ เจียมกาย และ มีความมุ่งมั่น ที่จะแสวงหาสัจธรรม ให้จนพบ ข้าพเจ้ายอมเสียสละ ทุกอย่าง เพื่อจะได้ เผชิญหน้ากับ พระผู้เป็นเจ้า พฤติกรรม ทุกประการของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของสังคม การเมือง มนุษยธรรม หรือ จริยธรรม ล้วนมีเป้าหมาย ในอันที่จะได้ เผชิญหน้ากับ พระผู้เป็นเจ้า และโดยเหตุที่ ข้าพเจ้าทราบดีว่า พระผู้เป็นเจ้านั้น มักจะประทับกับ ผู้ที่ต่ำต้อยน้อยหน้า ที่พระองค์ ได้ทรงประทาน กำเนิดมา มากกว่า ที่จะประทับกับ ผู้ที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าจึงพยายาม ที่จะเข้าถึง ผู้ที่ต่ำต้อย น้อยหน้า ข้าพเจ้า จะเข้าถึงเขาเหล่านั้น โดยปราศจาก การรับใช้เขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงฝักใฝ่ ที่จะรับใช้ ชนชั้นที่ถูกกดขี่ บีฑา แต่ข้าพเจ้า จะกระทำเช่นนั้น โดยไม่ยุ่งเกี่ยว กับการเมืองไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงต้อง เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ด้วยประการฉะนี้ จะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้านั้น หาใช่เป็นนายไม่ หากเป็นคนใช้ ของอินเดีย และของมนุษยชาติ โดยผ่าน การเป็นคนใช้ ของอินเดีย และเป็นคนใช้ ที่เจียมใจ เจียมกาย คนใช้ที่ดิ้นรนต่อสู้ และยังหนี ความผิดพลาด บกพร่อง ไปไม่พ้น

            ข้าพเจ้าทราบดีว่า ทางที่ข้าพเจ้าจะต้องเดินต่อไปนั้น จะทุรกันดาร ข้าพเจ้าจะต้อง ลดตนเอง ให้เหลือแค่ศูนย์ ตราบใด ที่คนเรายังไม่ทำตน ให้เป็นคนสุดท้าย ในบรรดา เพื่อนมนุษย์ ด้วยกันแล้วไซร้ ตราบนั้น เขาจะไม่มีทาง บรรลุความหลุดพ้นได้ อหิงสา เป็นขอบเขต สุดท้าย แห่งการเจียมใจเจียมกาย

            ข้าพเจ้าไม่ปรารถนา ที่จะได้ชื่อเสียง หรือเกียรติยศใดๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นเครื่องตกแต่ง ประจำสำนัก ของพระราชา ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ ของชาวมุสลิม ชาวคริสต์ และ ชาวปาลาซี เช่นเดียวกับที่เป็นคนรับใช้ ของชาวฮินดู คนรับใช้นั้น ต้องการเพียง ความรัก ความเมตตา หาใช่เกียรติยศ หรือชื่อเสียงไม่ และตราบใด ที่ข้าพเจ้า เป็นคนรับใช้ ที่ซื่อสัตย์ ตราบนั้น ข้าพเจ้าก็คงได้รับ ความรัก ความเมตตา เป็นแน่นอน

อหิงสา...อโหสิ ของคานธี 
            "หากโลกไม่ยึดอหิงสา เป็นหลักแล้ว มนุษยชาติ จะทำลายล้างกันเอง ตายหมดแน่"
             “อหิงสาของผู้ที่แข็งแรงเท่านั้น ถึงจะเป็นพลังที่แข็งแกร่ง ที่สุดในโลก”
            มูลเหตุที่ข้าพเจ้า แนะนำให้เพื่อน ร่วมชาติของเรา ใช้อหิงสา เป็นอาวุธต่อสู้ เพื่ออิสรภาพ มิใช่เป็นเพราะ ข้าพเจ้าเห็นว่า ประชาชนของเราอ่อนแอ ไม่มีกำลัง และ ไม่เคยได้รับ การฝึกหัด ให้ใช้อาวุธ แต่เป็นเพราะ ประวัติศาสตร์ ได้สอนข้าพเจ้าว่า การใช้กำลัง และความเคียดแค้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเหตุ หรือภาระหน้าที่ ที่ประเสริฐสุด เพียงใดก็ตาม มีแต่จะก่อให้เกิด การใช้กำลัง และยังให้เกิด ความเคียดแค้น มากขึ้น เป็นลำดับ การใช้กำลัง จะไม่ก่อให้เกิด ความสงบสุข ตรงกันข้าม การใช้กำลัง มีแต่จะทำลาย ความสงบสุข และก่อให้เกิด ความวุ่นวาย โดยไม่มีที่สิ้นสุด

            พ่อครูว่า... ขอยืนยันเลยว่า นี่เป็นความจริง ที่สูงสุด ขอเล่าประสพการณ์ ของตนเอง คนเรามันไม่มีอะไร แล้วถ้าได้อะไรมา นิดหนึ่งก็มีค่า ซึ่งมันหายากมาก คือ “ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว” หรือ “ความสงบ สยบความรุนแรง” เป็นเรื่องที่ เหมือนงมเข็ม ในสี่มหาสมุทร พ่อครูพาพวกเรามาทำ ซึ่งเคยเล่าถึง ปรากฎการณ์นี้ ได้ดีแค่นี้ ก็สำเร็จแล้ว ในเหตุการณ์ที่ ไปนั่งชุมนุม หน้าทำเนียบ ถ.พิษณุโลก มีตำรวจ จะมาปราบ มาทำลาย ตอนนั้น มีผู้การแต้ม เป็นผบ.ชน. นำคณะตำรวจไป เจรจา กับพวกเรา จะใช้หลายวิธี จนในคืนนั้น ก็เห็นเลยว่า จะมาจัดการ กับกองทัพธรรมแน่ พาตำรวจ มามากหลาย ประมาณตีสอง เราก็ค่อยรู้ตัว เราก็ออกมากัน พอตีสอง เราก็ออกมา พรึ่บเลย มานั่งประนม มือสงบนิ่ง เสร็จแล้วตำรวจ เขาก็ไม่กล้าทำอะไร เราก็นิ่งสงบ อยู่อย่างนั้นแหละ ปรากฎว่ารุ่งสาง สว่างเห็นหน้าเห็นตากัน ตำรวจ ก็นั่งอยู่ข้างนอก เหมือนกัน ประมาณ ๗ โมง ตำรวจก็ควักห่อข้าวมากิน เสร็จแล้ว ก็กลับไปกันเลย พ่อครูภาคภูมิใจมากว่า ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ได้เท่านี้ ก็ภาคภูมิใจแล้ว เป็นจุดเล็กๆ ในขอบฟ้ากว้าง

            พ่อครูมั่นใจว่า พลังสงบ เป็นพลังนิวเคลียร์ ทางจิตวิญญาณ จากนิวเคลียส แตกตัวเป็นพลังงาน นั้นเป็นเรื่องรูปธรรม แต่พลังเมตตานั้น เป็นพลังเย็น พลังแห่งความรัก เป็นความประเสริฐเลิศยอด ที่คนคิดไม่ออก ถ้ามีปริมาณ ถึงระดับ คุณค่า มันจะสูง เราต้องพยายาม มาสร้างธาตุนิวเคลียส มาล้างความไม่ดีไม่งาม มาเป็นนิวเคลียส ที่เป็นความบริสุทธิ์ ไม่ให้ออกอกุศล หยุดอำนาจอกุศล ให้มันแผ่พลัง ของกุศล ของเมตตา เต็มที่เลย เป็นพลังงานนิวเคลียร์ ของความบริสุทธิ์ ของเมตตา

            ไทยเรามีตระกูล มีเชื้อของพุทธศาสนา ตั้งแต่ก่อนสร้างประเทศ ก่อนเป็น สยามประเทศ ก็เป็นพุทธ มี ดีเอ็นเอ พุทธ โครโมโซมพุทธ เชื่อว่าจะพัฒนาได้ แม้จะมีโลก ที่มาแปร ดีเอ็นเอไป แต่พ่อครูมั่นใจว่า ยังไม่ทำลาย ไปถึงรากพุทธนี้ ดังนั้น เราควรได้ทำลาย อกุศลได้หมด ได้พัฒนาจิต อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ทางจิตวิญญาณ

            มีคุณ ๙๓๐๘ ได้ sms มาเมื่อวานว่า ถ้าคนไม่เข้าใจธรรมะ จะเป็นคนดีแท้ไม่ได้ ต่อให้ล้มได้ ทุกรัฐบาล ก็ทำให้ประเทศไทย เจริญไม่ได้

            ต้องเข้าใจในสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นประธานของ มรรคองค์ ๘ ต้องปฏิบัติ มรรค ๗ องค์ เพื่อสั่งสมเป็น สัมมาสมาธิ ซึ่งเขาเข้าใจผิด กันมากแล้วว่า สมาธิคือ ต้องไปนั่ง หลับตา ทำสมาธิ พระพุทธเจ้าก็เคยทำผิดมา ไปเข้าป่า ฝึกแบบทุกรกิริยา มา ๖ ปี ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก ดังนั้น ต้องทำให้เกิด สัมมาทิฏฐิก่อน

            ซึ่งความเห็น หรือทิฏฐิทั้ง ๑๐ มีทั้งที่ มิจฉาและสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นหัวใจ ของศาสนาพุทธเลย

            ที่เรามาชุมนุมนี้ มีความก้าวหน้า เพราะรัฐบาล เขาทำสิ่งที่แย่ลง อย่างวันนี้ ได้ฟังปรากฏการณ์ ขึ้น ๓ ลง ๑ ซึ่งก็เดาว่า ขึ้นคือ ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าทางด่วน แล้วอันที่ลง ๑ คืออะไร คือราคายางพารา

            นี่คือเรื่องของ การเกิดหมู่กลุ่ม ชุมนุมประท้วง ก็ขอร้อง ไปยังสื่อสารนะว่า กรุณาอย่าเรียก ผู้ที่มาชุมนุม อย่างถูกนิติรัฐ นิติธรรม อย่างพวกเราว่า ม็อบ จะใช้คำ เรียกว่า โพรเทส ก็ได้ เพราะความหมายต่างกัน คำว่าม็อบก็คือ ออกมาก่อ ความรุนแรง วุ่นวาย เราไม่อยาก ให้เรียกว่าอย่างนั้น เราอยากให้นำพา ไปสู่ความสงบ โดยเฉพาะ ท่านสื่อสารมวลชน ท่านต้องการให้เกิด ความรุนแรง หรืออย่างไรกัน

            เรามาชุมนุม เพราะมันเดือดร้อนกันจริง ประชาธิปไตย คือออกมา ชุมนุม ประท้วง ถ้าผู้บริหารทำงานได้ดี เขาก็ออกมาเหมือนกัน แต่เขาจะเอา ดอกไม้ไปให้ ไปบูชาเชิดชู เคารพ สนับสนุน แต่นี่มันไม่ดี เขาเลยออกมาประท้วง เป็นปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ออกมาประท้วง ก็อย่าก่อความรุนแรง แต่ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ ก่อความรุนแรง เสียเอง ไม่กล้าเดาว่า รัฐบาลสั่งหรือไม่ ไม่อยากให้เกิด แต่ว่าเกิดแล้ว ตายไป ๑ ศพ อีกคนอยู่ใน ICU สิ่งเหล่านี้ เราควรช่วยแก้ไข ถ้าจะเรียกว่า ต่อสู้ ก็ต้องสู้ ด้วยความดี จะแรง ก็แข็งแรง อย่างอหิงสา คือไม่รุนแรง จึงจะเกิดความเจริญ อย่างแท้จริง

            คานธ ีพาคนสงบ ถึงยอมตาย ยอมเสียสละ ไม่โต้ตอบ ท่านเรียก ของท่านว่า “สัตยาเคราะห์” เขารุนแรงมา เราก็สู้ด้วยความยอม อดทน จนต้องตายต้องเจ็บ ก็ว่ากันไป คนไทยเรา ไม่น่าจะรุนแรง อยากให้สัญญาณ ไปถึงท่าน ที่จะทำรุนแรงนั้น คุณจะแพ้นะ มีตัวอย่างแล้ว
            เรามาชุมนุม มันต้องอดทน เสียสละความสบาย ไม่เหมือนอยู่บ้านเรา จะอยู่สบาย มุมไหน ก็รู้หมด สัจจะแห่งวิบากกรรม เป็นเรื่องสัจจะลึก ลึกที่ว่า เหมือนกันกับ หลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อดีมาน สูง ซัพพลายก็สูงด้วย ยิ่งต้องการมาก สิ่งที่จะมาตอบสนอง ก็จะต้องแพงด้วย ถ้าสิ่งที่จะทำร้ายแรง บาปก็จะแรง สิ่งที่จะมา แก้บาปแรงนี้ บุญกุศล ก็ต้องสูงด้วย

            สังคมประเทศไทย เราตอนนี้ เดือดร้อนมาก พ่อครูเกิดมาในยุค กินก๋วยเตี๋ยว ชามละสลึง กินลอดช่อง ชามละครึ่งสตังค์ เขาไม่มีตังทอน เขาบอกว่า วันรุ่งขึ้น ให้มากิน อีกชามหนึ่ง

            เราออกมา แสดงสิทธิ์ อำนาจอธิปไตย อันดับหนึ่ง ออกมา ๑ คน ๑ เสียง ล้านคน ล้านเสียง เราจะพยายาม ให้มีที่กินที่อยู่ รับรองกันได้ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง กันออกมา ให้มากๆหมดๆ เป็นประชาธิปไตย ระดับปรมัตถ์ พยายามพก จิตวิญญาณ ที่เป็นสันติ อหิงสา เอาความรุนแรงเก็บใส่เซพไว้ ๗ ชั้นเลยที่บ้าน เรายินดี ต้อนรับ ผู้ที่ไม่รุนแรง อย่างวันเสาร์ วันอาทิตย์ ก็ออกมามาก นร.อาชีวะก็มา นร.ปฐม มัธยม ก็มา เป็นมัธยมกลาย ไม่ใช่มัธยมปลาย ก็สนุกกันไปบ้าง มีความสนุกสนาน กันบ้าง ดีกว่าเครียดๆ

อ.กฤษฎาว่า เขาแก้ปัญหาอาชีวะไม่ได้ แต่มาที่นี่ มาอยู่ร่วมกันได้

            พ่อครูว่า มันมีจุดร่วม คือช่วยประเทศชาติ เขาก็มีปฏิภาณรู้ เขาจึงมาทำ พ่อครู ก็ขออนุโมทนา กับลูกๆ หลานๆด้วย พ่อครูว่า ตอนพ.ศ.๒๔๙๙ พ่อครูได้รับเลือก เป็นประธาน อาชีวะสัมพันธ์ ก็พยายาม สร้างสิ่งที่ดีๆกัน ยุคโน้นก็มี อุเทนถวาย กับช่างกลปทุมวัน ก็ซัดกันเหมือนกัน แต่เราก็พยายาม มาทำสิ่งที่ดีๆกัน ในฐานะที่เป็น ประธานอาชีวะสัมพันธ์ รุ่นโน้น มาถึงวันนี้ ก็มีลูกๆ หลานๆอาชีวะ มาถึงวันนี้ ก็ขอขอบคุณ ลูกๆหลานๆด้วย ทำดีไปเถอะ ลูกๆหลานๆเอ้ย เห็นเด็กรุ่นนี้ เขาปรับเปลี่ยน แล้วมันภาคภูมิใจดีใจ พ่อครูขออภัย ที่จะเล่าเรื่องส่วนตัว เล็กน้อย พ่อครูตอนนั้น เรียนเพาะช่าง เป็นประธาน แผนกศิลปะก่อน เรียนถึงปี ๕ พ่อครู เรียนถึงปี ๕ ก็ได้รับเป็นประธาน ของเพาะช่างก่อน รุ่นนั้นรุ่นสมบัติ เมธนี เขาเป็น นักกล้าม อยู่อุเทนถวาย เป็นรุ่นน้องพ่อครู

            ก็เห็นว่ามนุษยชาติ พยายามรวมตัวกัน มาทำสิ่งที่ดีๆกัน พ่อครูเป็นประธาน ของเพาะช่าง อ.ใหญ่ จะเป็นคนแต่งตั้งเองเลย พ่อครูก็มาพัฒนาใหม่ เสนอต่อ อาจารย์ใหญ่ ขอให้มีการ จัดการเลือกตั้งขึ้นมา ตอนนั้น มีหลายแผนก เอาหัวหน้า ของแต่ละแผนก มาสมัคร แล้วให้นร. มาเลือกตั้ง พ่อครูก็เลย ได้รับเลือกตั้ง เป็นประธาน เพาะช่าง คนแรก จากนั้น ก็มีการรวมกัน จัดอาชีวะสัมพันธ์

            พ่อครูทำงาน กับสังคมมาตลอด นำพาทำอะไรกันมา จะเป็นคนนำมาเสมอ เชื่อไหมว่า พ่อครูเป็นดีเจ คนแรก ของประเทศไทย ไม่มีใครรู้หรอก สมัยโน้น เมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว พ่อครูเรียนม.๗ ม.๘ ก็เรียน แต่ตก ก็ไปเรียนอาชีวะ ตอนอยู่ ม๗ ม๘ ก็ไปจัด รายการวิทยุแล้ว กรมประชาสัมพันธ์, ๑ปณ., และรักษาดินแดน พ่อครูเป็นคน ไปจัดเพลง เป็นคนแรก ตอนนั้น อยู่กับคุณล้วน ควันธรรม ก็มีแผ่นเสียง ไปเปิด ให้ประชาชนฟัง พ่อครูก็ทำเป็นคนแรก มีการแนะนำเพลง ก็แต่งกลอนกวี ประกอบ นำเพลง มีสปอนเซอร์ ก็พยายามเอาแผ่นเสียง ของแต่ละค่าย เอามาโชว์ แต่ก่อน เขาไม่ค่อยให้ เราต้องไปขอ แต่ตอนนี้ เพลงใหม่ๆ เขาไปยัดเยียดให้ออกเลย พ่อครูก็เป็นคนจัด คนแรก

            พ่อครูเป็นคนที่ทำ เพลงไทยสตริง เป็นคนแรกที่ทำ วงดิอิมพอสซิเบิล เพลงแรก คือ เพลงเริงรถไฟ พอแต่งเสร็จ คณะดิอิมพอสซิเบิล เขาเล่นที่โรงแรม แม้แต่เป็นสตริง หรืออเรนจ์ อย่างปราจีน ทรงเผ่า เขาไม่เคยอเรนจ์ พ่อครูก็บอกเลยว่า ให้ทำเลย ให้ไปนอนฟัง เสียงรถไฟ ก็อเรนจ์ออกมาได้ ที่เล่านี้ พ่อครูพาทำ อะไรแรกๆเลย

            สรุปคือ ประชาธิปไตย อันสุดสวย สุดประเสริฐในโลก พวกเราคงจะเป็น คนทำคนแรกเลย น่าจะสำเร็จเลย สุดวิเศษ เราจะปฏิวัติ (เร็วหักโค่น) หรือจะปฏิรูป ก็คือค่อยเปลี่ยน อย่างเรามาทำตลาดอาริยะ เรามาเจตนา ค้าขายขาดทุน มีใครในโลก จะมาค้าขายขาดทุน เราภาคภูมิใจดีใจ ที่ได้ขายขาดทุน เราพูดอย่างจริงใจนะ เราทำมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ ๒๕๒๓ เป็นปีแรก ปี ๒๕ ก็ย้ายไปทำปฐมอโศก เพราะที่แคบ ก็ทำที่ปฐมฯ อยู่เป็น ๑๐ ปีเลย จากนั้น ย้ายไปทำที่ ราชธานีอโศก มาถึงวันนี้ก็ ๓๓ ​ปีแล้ว เราไม่ทำเล่น เราทำจริง ในสิ่งดีงาม เป็นกำไร เป็นบุญกุศล เราได้ล้างกิเลส ได้ทำดีต่อ มนุษยชาติ เป็นกุศลกรรม ของเราแท้ๆ ได้ประโยชน์ตน-ท่าน ไปด้วยกันเลย เต็มใจทำ ไม่ได้ทำเล่น ไม่ได้ทำโอ่อวด หรือหาเสียง ประชานิยม

            สินค้าที่เราขายมีอะไร? เรารู้ว่าสังคมไหน ต้องการสินค้า แบบไหน เราก็ดูดีมาน ซัพพลาย ว่าสินค้า ที่เรามาทำในกรุง จะต้องมีสินค้าอะไร เราก็พยายามให้ตรง ก็มีทั้งที่ เราผลิตเอง หรือเราสั่ง

            ถือว่าเป็นอาริยะ ของการค้า ไม่ใช่ทำเล่นชั่วคราว เราทำให้นานๆ รับรองร้านธงฟ้า หายไปเลย ธงฟ้าทำโชว์ เอาเงินเรา ไปทำด้วย

            คุณหมีตอบว่าที่ลง หนึ่ง คือนายกยิ่งลักษณ์ ลงต่างหาก ยิ่งลักษณ์ลง ไม่ใช่ราคายางลง ก็ส่งข้อความมาให้

            ก็มีจากร้อยเอ็ดว่า การที่พ่อครู นำชาวอโศกมาก็ เราไม่ได้มายึดติดว่า เฉพาะหมู่กลุ่มอโศก แต่ว่าให้มาปฏิบัติ สัมมาทิฏฐิแบบพุทธนี้ จะทำอยู่โลกอังคาร หรืออยู่ที่ไหน ก็เหมือนกัน ทำให้แข็งแรง

            ที่ท่านว่า จนที่สุดคือรวยที่สุด หมายความว่าอย่างไร เมื่อวาน ก็เอากวีที่ว่า ยิ่งใหญ่ยิ่งเล็ก ยิ่งจนยิ่งรวย ก็ขยายความว่า มันเป็นความลึกซึ้ง ของสัจจะย้อนสภาพ เป็นเรื่องของปรมัตถ์ ถ้าเราไปจนของเรา อยู่ในเขาในถ้ำ เป็นฤาษีอยู่ป่าเขาถ้ำ แต่ของ พระพุทธเจ้า เป็นคนจน ไม่ได้จนความสามารถ ไม่ได้จนการงาน ไม่ได้จนความรู้ เป็นคนรู้จักสังคม มีพลัง ๔ อย่าง แท้จริงเลย พลังปัญญา คือมีพลังสูง รู้จักดีมาน ซัพพลาย อะไรที่จะช่วยสังคม เราทำ ขยัน ทำแล้วให้แก่สังคม จนคนเดียว ก็ไม่เกิด ผลตอบแทน แต่การทำที่เป็นอุปสงค์ เกิดผลผลิต ที่เป็นรูปธรรม คนรวมกัน เป็นหมู่กลุ่ม ๑๐๐​ คน หมื่นคน ต่างคนต่างทำ มีผลผลิตสูง เป็นสาธารณโภคี เสียภาษี ๑๐๐ เปอร์เซ็น เมื่อมีผลผลิตเหลือเฉลี่ยต่อสังคม เรียกว่า GDP ของกลุ่ม ทุกคนรวมเป็นก้อนใหญ่ จึงเหลือแก่สังคม อันนี้เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่

            ทำไมชาวอโศก จึงตั้งโรงบุญ มาตลอด คือเหลือจากมวลรวม เราจึงได้ทำ สิ่งยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องจริง เป็นทฤษฏีหลักเลย ชูเม็กเกอร์ เขียนเรื่อง small is beautiful ก็ให้แปลกันมา อันนี้เป็นทฤษฏี ที่คนตื่นตัวกันทั้งโลก แต่นี่เราทำ อย่างมีปฏิบัติด้วย ทั้งทฤษฏีด้วย ก็มีคน มาทำวิจัย ไปเรื่อย

            สาธารณโภคี คือเรามา ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ก็เกิดจิต ที่เสียสละ เกิดจิตวิญญาณ ที่ร่ำรวยเพราะได้แจก แต่พวกที่รวย และดูดเข้าหาตัว คือพวกกระจอก พวกจนไม่เสร็จ จนไม่รู้แล้วรู้รอด แต่พวกนี้รวยพอแล้ว มี ๐บาทก็แจกได้ นี่คือ คนรวยแท้ คนแจกคนอื่น คือคนรวย คนเอาของคนอื่น คือขอทาน คนให้แก่คนอื่น คือคนรวย

            ทำอย่างไร จึงจะให้พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ
            พ่อครูก็ว่า เขาพยายามดิ้นรน แต่พฤติกรรมไม่เป็นพุทธ จะตราไปทำไม ทำอย่างไร ก็มาทำ ให้มีมรรคผล ของศาสนาพุทธ เกิดมาแล้ว ก็เป็นประจำชาติเอง มาช่วยกัน ก็มาๆๆๆ ที่ไหนสัมมาทิฏฐิ ก็ไปเลย เอาใจใส่ธรรมะบ้าง ขอให้ตั้งสติให้ดี ชีวิตเกิดมาเป็นคน แทนที่จะไปนั่ง ไล่ล่าโลกธรรม ไปโกงทุจริต เกิดมาได้แต่หนี้บาป เกิดมาทำไม เสียชาติเกิด แทนที่จะใช้ร่างนี้ ไปลดโลภโกรธ ไม่เห็นแก่ตัวแล้วเสียสละ และเมื่อทำได้ลดได้ ก็มารวมกัน เป็นหมู่มวล สร้างสรร เป็นสาธารณโภคี ก็จะเกิด การได้ประโยชน์ เป็นคนเจริญ สังคมก็จะเจริญ สังคมก็เป็นสุข ถ้าประเทศ ทำตามหลักธรรม พระพุทธเจ้า มหาวิทยาลัย เอาสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ใส่เข้าไป ไม่ใช่เอาออก เอาออกแล้วก็ซวย ไม่ต้องกลัวว่า จะไม่ทันโลก โลกพาดิ่ง ลงนรกแล้ว ไปรวมหัวกันทำ ทำเหมือนจะช่วยๆ แต่ที่จริง เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่าช่วยเขา คือช่วยเขา แต่เสแสร้ง คือเป็นทั้งโลกเลย เราช่วยคน ด้วยบริสุทธิ์ใจ มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ที่จะขัดเกลา จิตใจเรา ที่มารวมตัว หมู่กลุ่ม หมู่กลุ่มจะนำพา ขัดเกลาเราไป พระพุทธเจ้าว่า มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์
            อ.กฤษฎาว่า ที่นี่ทุกคน มีเจตจำนงค์ร่วมกัน ถ้าเราเห็นตรงกัน ก็มารวมกัน เป็นมหามวลที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ดูจากบนเวที มวลเพิ่มขึ้นๆ ถ้าแต่ละคนมา ก็จะทวีมวล เพิ่มเรื่อยๆ...

จบ

 


 

 
๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สันติอโศก กทม.