_560916_รายการเรียนอิสระ ณ สวนลุมฯ โดย พ่อครูสมณะโพธิรักษ์
เรื่อง สัมมาทิฏฐิ ๑๐ และอุตริมนุสธรรม

อ.กฤษฎาดำเนินรายการ... (๑๖ กันยายน ๒๕๕๖)

เปิดคลิปพระราชดำรัสแบบคนจน...

แบบคนจน
“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย
เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่..ไม่เป็น ประเทศที่ก้าวหน้า อย่างมาก เราไม่อยากจะเป็น ประเทศก้าวหน้า อย่างมาก เพราะถ้าเราเป็น ประเทศก้าวหน้า อย่างมาก
ก็จะมีแต่ถอยหลัง
ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มี อุตสาหกรรมก้าวหน้า
จะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลัง อย่างน่ากลัว แต่ถ้าเริ่มมีการบริหาร ที่เรียกว่า “แบบคนจน” แบบที่ไม่ติด กับตํารา มากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคี นี่แหละ คือ เมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

“...คนที่ทํางานตามวิชาการ จะต้องพึ่งตํารา เมื่อพลิกไปถึง หน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น เขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่า ให้ทําอย่างไร ก็ต้องปิดเล่ม คือ ปิดตํารา ปิดตําราแล้ว ไม่รู้จะทําอะไร ลงท้ายก็ต้อง เปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรก ก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ตํารา “แบบคนจน” ใช้ความอะลุ้มอล่วยกัน ตํารานั้นไม่จบ.. เราจะก้าวหน้า “เรื่อยๆ”
(พระราชดํารัส ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔)

อ.กฤษฎาว่า... ทำไมเอาคลิปนี้มาเปิด เพื่อนำให้พวกเรา เข้าสู่การเรียนอิสระ (ตามสำนึก) วันนี้จะถาม ประเด็นปรมัตถ์ เรามาถอดรหัส ตามคลิป พระราชดำรัส ในหลวง อันนี้

วันนี้อยากให้พ่อครู ถอดเรื่องความคิด คือสังกัปปะ ๗ ในเรื่องของ ที่เรามาทำ แบบคนจน ตามในหลวง ที่สวนลุมฯ แห่งนี้

พ่อครูว่า... เรื่องนี้คงต้องพูดกันนาน ยาว เพราะเป็นเรื่อง ทวนกระแส ใจมนุษย์ ที่ปกติ จะมุ่งไปรวย ได้โลกธรรม หรืออัตตา และถ้าไม่เข้าใจลักษณะ ทวนกระแส โลกธรรมโลกีย์ ไม่เข้าใจจริงว่า ชีวิตคนเรา มันต้องไป ตามกระแสโลก อย่างนี้ ไปอีกกี่ชาติ แต่ละคน ก็มุ่งมั่นทำกัน ตามโลกีย์ ก็เลยเป็นคู่แข่ง คู่เข่น ฆ่ากัน เป็นอย่างนั้น ทั้งนั้น

ใครมีปัญญาเห็นได้ว่า เราทำไม ต้องเห็นตามโลกเขา แม้เราจะเป็นนัก ปชต. ที่จะเห็นแก่คน จำนวนมากกว่า ซึ่งแนวคิด ที่จะออกมาจาก วงวนนี้ได้ ก็ต้องเป็น คนพิเศษ ที่นอกจาก คิดได้แล้ว อย่างไร จึงปฏิบัติได้อีก

ผู้ที่คิดได้คือ พระพุทธเจ้า ส่วนศาสนาอื่นนั้น เท่าที่พ่อครูเข้าใจ ก็ยังวน อยู่ในโลกียะ แต่ว่าอย่าไปฆ่ากัน แย่งชิงกัน ก็ทำมาหากิน แต่ก็ต้องได้โลกธรรม นั่นแหละ แต่อย่าทุจริต ก็แย่งกันอย่างสุจริต แล้วก็สอน ให้เสียสละบ้าง เมื่อเราเก่ง เราทำได้มาก ก็มีเกิน ก็ให้คนอื่นบ้าง อย่าเอาหมด เขาก็ยังมุ่งหมาย สะสม การร่ำรวย อย่างสุจริตได้ ถือว่า เป็นคนดีที่สุดแล้ว ในสังคม

ความจริงคือ คนที่จะรวย ได้เกินสิ่งที่ควรเป็น คือคนที่จะใช้ความฉลาด ซับซ้อน เอาเปรียบ โดยนึกว่า ไม่ได้เอาเปรียบ และก็ยังหลอกอีกว่า เราช่วยคุณนะ อันนี้แหละ เจ็บแสบที่สุด คือ เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่า ช่วยเขา อันนี้แหละ เป็นความฉลาดฉิบหายจริงๆ คนฉลาดแบบนั้น ก็กอบโกย ร่ำรวยเกินจำเป็น เขาจะทุจริต ก็มีคนหลงเชื่อว่า มาช่วยเรา เพราะเขาหลอกว่า จะมาช่วยให้คนร่ำรวย ช่วยให้เกิด ปชต. และผู้รู้จะรู้ทัน ผู้ไม่รู้ ก็รู้ไม่ทัน โลกเป็นเช่นนี้ เขาสร้างเครือข่ายหมู่พวก มาเอาเปรียบกัน ซับซ้อน เราเห็นแล้ว ก็พยายาม อย่าให้เขาทำได้ ทำอย่างไร?

คำตอบแรก คือเราต้องหลุดพ้น จากวงจรโลกีย์ ที่เขาทำกัน ถ้าเราไปแย่ง ลาภยศกับเขา เราสู้ไม่ได้ ที่จะให้ไปทุจริตซับซ้อน มากกว่าเขา อีกห้าแสนชาติ ก็ทำไม่ได้ พ่อครู จึงเป็นผู้แพ้ อยู่ตลอดกาล แพ้โลกีย์นี่แหละ สู้ไม่ได้

เขาไล่ล่าลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข แต่เราต้องออกจาก วงจรนี้ให้ได้ ไม่ต้อง ไปแข่งเขา ไม่ต้องให้เขาใช้ เป็นวัวเป็นควาย หลักการพระพุทธเจ้า จึงชัดเจนที่สุด เราต้องหลุดออกมา ตามลำดับ เบื้องต้นคือ โลกอบาย ที่ต่ำสุด ของใคร อยู่ฐานไหน ก็แล้วแต่ ต้องรู้ว่า ตนมีความเสื่อมต่ำ ไม่ดีงามอยู่

เช่น เรายังต้องการโลภ ได้มากกว่านี้ ถ้าเราไม่พออยู่พอกิน ก็ว่าไป ต้องพากเพียร เอาก่อน แต่คนที่มีแล้ว แต่ก็ยังถูกหลอก ให้เฟ้อเกินอยู่ ที่ไม่น่าจะต้อง ไปอวดหรูหรา อย่างเขา เรามีขนาดนี้ ก็น่าจะสุขพอแล้ว ต้องตรวจฐานะตนเอง ให้พอเหมาะพอดี ในหลวง ได้พระราชทานมา คือ เศรษฐกิจพอเพียง หรือใครคิดว่า ตนเองมีมาก ในหลักพระพุทธเจ้า ก็มาลดลงๆ ให้มักน้อย อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ วิริยารัมภะ

มักน้อย พ่อครูแปลว่า กล้าจน ส่วนสันตุฏฐิ แปลว่า ใจพอ ไม่ใช่แปลว่า พึงพอใจ ในทรัพย์ที่มีอยู่ เพราะแปลเช่นนี้ ไปถามบิลเกตต์เขาก็ว่า เขาพอใจสิ แต่ว่าที่ฝากแบงค์ มันก็ออกดอก เราก็ว่า เราไม่ได้ไปทำอะไรนะ มันก็มีหุ้น มีปันผล เราก็พอใจอยู่อย่างนี้ คือเป็นการแปล เบี้ยวบาลีกัน ฟังแล้วฟังไม่ขึ้น มันแก้ไขปัญหาไม่ได้ ไม่สอดคล้อง กับพระพุทธเจ้า เพราะไม่มักน้อย เราต้องมีขีดความพอ ถ้ามากกว่านี้ ควรสะพัดออก ให้คนอื่น ถ้าคนเข้าใจ และมีจิตอย่างนี้จริง คือผู้บรรลุธรรม ตามขั้นตอน

คือ ปวิเวกะ อสังสัคคะ แปลว่าไม่หลงสวรรค์ แต่เขาแปลกันว่า ไม่คลุกคลี กับหมู่ชน ซึ่งแปลผิด ที่ว่าไม่ประกอบสวรรค์ คือไม่ทำสิ่งที่สมใจ คือสวรรค์ เขาถือว่า เจริญ เป็นโลกีย์ ได้โลกธรรมก็สวรรค์ ได้กามคุณเสพ ก็เป็นสวรรค์ พระพุทธเจ้าสอนให้ อย่าไปสร้าง หรือหลงสวรรค์ เพราะเป็นสวรรค์เท็จ เราต้องเรียนรู้จริงๆว่า สวรรค์มันของเก๊

เราเกิดมาชาตินี้ ได้ร่างมนุษย์ อย่าเสียชาติเกิด เห็นความสำคัญของชีวิต ต้องใส่ใจ พยายามเรียนรู้ ให้ได้อาริยะ

อ.กฤษฎาว่า สมมุติว่า ผมเป็นทหาร แต่ได้เลื่อนยศ แล้วเราควรมองอย่างไร

พ่อครูว่า... อันนี้ถึงขั้นจิตวิญญาณ แล้ววิจัย เรียกว่า ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ว่ากุศลธรรม คืออย่างใด อกุศลธรรมคืออย่างใด เรารู้ว่า เราได้สมใคร่ สมอยาก ได้ลาภ ได้ยศ ก็สมใจ การสมใจในกาม ก็เป็นกามภพ ถ้าเราอ่านจิตเป็น ถ้าเราจะทำงาน ก็ได้สิ่งแลกเปลี่ยน ตามเหมาะสมสังคม เราก็รับมาเถอะ ยศตำแหน่ง คือสิ่งบอกแจ้งงาน สิ่งกำหนด ขอบเขตงาน ยศสูงก็แบกภาระ รับผิดชอบเพิ่มขึ้น งานมากขึ้นโดยสัจจะ แต่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย

คนมียศเพิ่ม ต้องงานหนักขึ้น มีผู้เห็นผู้รู้ เขาก็ให้รับงานเพิ่มขึ้น ถ้าเรารู้ว่า งานเพิ่มขึ้น จะไปดีใจ สมใจทำไม นั่นคือสัจจะ ที่รู้ธรรม แต่ว่า ถ้าไม่รู้ ก็ควรทำใจ อย่าหลงดีใจ ต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ อ่านอาการชอบ อาการชังออก ในโลกธรรม แล้วพยายามยับยั้ง อย่าให้มันเกิดอาการ เรารู้ว่าอาการนี้ คือ อาการบำเรอกิเลส พอได้สมอยาก กิเลสก็อ้วน หรือปุถุ แปลว่าหนาใหญ่อ้วน คุณได้ยศลาภมา ก็ดีใจฉลอง กิเลสโตขึ้น ตลอดกาลนาน เขาได้มา ก็เจริญลาภยศ สรรเสริญสุข กิเลสก็หนาอ้วนใหญ่ ทุกเวลา ปุถุชน จึงกิเลสหนา ตลอดเวลา ตายไป ก็สะสมกิเลส แต่ตายไปก็ดิ้นสิ เพราะในโลกนั้น ไม่มีให้คุณเสพ ยิ่งติดมากเท่าไหร่ ก็ ดิ้นมากเท่านั้น ตกนรกเท่านั้น

ต้องมาศึกษาปรมัตถธรรม อ่านใจเป็นอย่าง โยนิโสมนสิการ (ลงไปถึง ที่เกิดกิเลส) ทำใจให้ถึง กิเลสตัณหา อุปาทาน คำว่าโยนิโสฯ คือวิจัยความจริง เมื่อผัสสะ ก็อ่านอาการ ให้เห็นรู้ได้ ผู้ใดมีดวงตา เห็นกิเลสได้ ก็พ้นสักกายทิฏฐิ ซึ่งคนที่ไม่มีความรู้ ความเห็นอย่างนี้ ก็เมินเสียเถอะ

ต้องเรียนรู้ไปถึงต้นตอ การเกิดกิเลส เราเรียนทฤษฎีไปแล้ว ก็ฝึกอ่านว่า เวลาได้สมใจ ก็ดีใจ เราก็ต้องรู้ว่า อันนี้คือกิเลส การได้ลาภคือ ได้สิ่งแลกเปลี่ยน คุณทำดี ก็ได้ลาภ ได้ยศมา ก็เป็นเรื่องที่โลกเขา ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องฝึก ไม่ให้ดีใจฟูใจ ในสิ่งเหล่านี้ นัยกลับกัน เวลาคนที่อยากได้มาก แต่ไม่ได้ ก็ทุกข์มาก คือตกนรกนั่นแหละ คุณไปติดยึดว่า ต้องได้ ต้องมี ต้องเป็น สิ่งที่คุณเคยเสพ แต่ตอนตาย คุณไม่มีให้เสพ คุณก็ต้องดิ้น จะเอา แต่คนตายไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตนตาย เหมือนอยู่ในฝัน คุณก็ดิ้นไป ตามอยาก แต่ไม่ได้ เพราะไม่มีให้เสพ ก็ดิ้นอย่าง งง งง คนที่ติดยาเสพติด เขาดิ้นพราดๆ ก็เหมือนกัน อย่างนั้นเลย ดำฤษณาเลย มันจะจมอยู่อย่างนั้น คิดไม่ออกหรอก ไม่รู้วันคืน ตายไปแล้ว ไม่มีวันคืน ก็เหมือนนอนหลับ ไม่รู้วันคืน ไม่มีเวลา คุณไม่รู้ แต่เวลาในโลก ก็มีเดินไป มันก็ทุกข์อย่างแท้จริง ด้วยความไม่รู้ นี่คือของจริงเลย

มีคนว่าพ่อครูว่า ไม่สอนนรกสวรรค์ เอาแต่ปัจจุบัน สวรรค์ในอก นรกในใจ ว่าพ่อครูตีทิ้ง แต่ว่าพ่อครูว่า ให้เรียนรู้สวรรค์นรก ในตอนเป็นๆนี้แหละ ตายไป ก็ได้อย่างนั้น แบ่งให้ใครไม่ได้ แย่งใครก็ไม่ได้ คิดให้ดี ถ้าจิตคุณ เป็นอย่างนี้ตอนเป็นๆ ตอนตาย ก็เป็นจริงยิ่งกว่า นรกตอนเป็น ๑ ส่วน นรกตอนตาย ๑๐ ส่วน ๑๐๐ ส่วนเลย เพราะตอนเป็นๆ มีทางออก เวลาทุกข์ ก็หาเรื่องบำบัดไป แต่เวลาตาย คุณอยากแต่ไม่ได้ ติดมาก ก็ดิ้นมาก แต่ก็ไม่ได้อะไรซักอย่าง ยิ่งกว่าหมา ถูกน้ำร้อนเลย

สวรรค์คือ สิ่งที่ได้เสพสัมผัสตอนนี้ แต่ว่าตอนตายไป ไม่มีให้เสพแล้ว เพราะไม่มีทวาร ให้เสพแล้ว คุณก็ไม่รู้ตัวหรอก ตอนตายไปแล้ว เพราะจิต มันฝังลึก อยู่ในอุปาทาน ตายไปก็ไม่ค่อยมีสวรรค์หรอก เป็นสวรรค์ลวง นิดๆหน่อยๆ แต่ว่านรก จะมีมาก เพราะดิ้นมาก ตามอุปาทานตัณหา ที่ฝังลึกอยู่

ถ้าไม่เรียนรู้ตอนเป็นๆ ตอนตายไป จะหนักกว่า หลายร้อยเท่า เพราะตอนเป็น มีการบำบัด ได้ หมุนเวียน นั่งไม่สบายก็ไปเดิน เดินไม่สบายก็ไปนอน นอนไม่สบาย ก็ไปเต้น เสียงนี้ไม่ได้ ก็ไปเสียงอื่น มากมาย ที่คุณ ต้องไปหาสิ่งทดแทน บำบัดอยู่ ตลอดเวลา

คนหาว่าพ่อครู อวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งพ่อครูว่า คำว่าอวด เป็นบาลี เรียกอกุศลจิต คือ สาเฐยยะ คนมีจิตอกุศล เขาก็โชว์ เพราะอยากอวด แล้วไปโชว์อวด สิ่งที่ไม่มีจริง พระพุทธเจ้า จึงบอกว่า เลวที่สุด คือไปโชว์มรรคผล ที่คุณไม่บรรลุ คนก็จะนับถือ สิ่งผิดว่า เป็นมรรคผล เขาก็ต้องดูจากคุณ แต่คุณไม่เป็นจริง เขาก็ต้องยึด สิ่งไม่ถูก เท่ากับว่า คุณหลอกเขา ผิดศีลอาริยธรรม หลอกคนอื่น จึงบาป ทำลายศาสนา ทำลายสัจธรรม โลกุตรธรรม คนไม่รู้ก็ไม่กลัว ก็หลอกคนอื่น แต่ก็ได้บาป ไปตามสัจจะ

แต่คนที่มีอุตริมนุสธรรมจริง แล้ว ต้องแสดงความจริง ให้รับรู้กัน แต่จิตไม่มี สาเฐยยะจิต ไม่มีอยากอวดโชว์ ให้คนยกย่องนับถือ ไม่ปรารถนา ให้คนนับถือ พ่อครูมีสิทธิ์ พูดความจริง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ แต่ที่พูดนี้ เพื่อยืนยันความจริง และบอกให้รู้ว่า สิ่งที่เป็นแล้ว ได้แล้ว คุณไม่เชื่อ คุณมาศึกษาตาม แล้วคุณทำตาม แล้วได้ตาม ก็จะรู้ว่า สัจธรรมพระพุทธเจ้า เอหิปัสสิโก โอปนยิโก พระพุทธเจ้าว่า ตราบใด มีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ก็เชิญให้มาพิสูจน์ได้ มันเป็นสิ่งสูง ควรได้ คือโอปนยิโก ผู้ได้แล้วควรเคารพ พ่อครูอวดอุตริมนุสธรรม เพื่อยืนยัน คำสอน พระพุทธเจ้า ไม่สาเฐย และไม่มังกุ คือเก้อเขิน ตะขิดตะขวงใจเลย

พระพุทธเจ้าว่า ถ้าผู้ที่สนใจธรรม หรือ สหพรหมจรรย์มาถาม ด้วยอยากรู้ เรื่องอุตริมนุสธรรม แล้วคุณมาปฏิบัติ ได้บรรลุบ้างไหม มีอยู่ใน อภิณหปัจจเวกขณ์ ท่านให้ระลึกเสมอ ใครมาถาม จะได้ไม่มังกุ จะได้ไม่เก้อยาก พ่อครูก็บอกเองด้วย

คนที่อวดด้วยไม่มี ก็ปาราชิก แต่คนที่อวดด้วยมีในตน ก็สามารถบอกได้ กับอุปสัมปัน คำว่าสัมปันนะ คือผู้เข้าถึง เป็นปรมัตถธรรม จะเป็นฆราวาส หรือ นักบวชก็ได้ คือผู้มีภูมิธรรม พอรู้กันได้ แต่ถ้าอนุปสัมปัน คือคนที่พูดกันไม่เข้าใจ แต่ถ้าไปพูดแล้ว ก็ปรับอาบัติ ปาจิตตีย์ เพราะพูดไปแล้ว คนไม่เข้าใจ

พ่อครูว่ามีจริง ก็ไม่อาบัติปาราชิก และสอง คือ พูดตามกาละ เห็นสมควรแล้ว แต่ว่า ถ้าไปแปล อุปสัมปันว่า แค่นักบวช ก็แน่อยู่แล้ว ที่จะพูดกัน แต่ที่พูดนี่คือ แม้ฆราวาส ก็เป็นอุปสัมปันได้

ก็มั่นใจโดยสัจธรรม ไม่เช่นนั้น คุณจะไม่พบคนจริง สมมุติว่า ผู้นี้เป็นอรหันต์ แต่ว่าแท้จริง ไม่ใช่ แล้วเขาก็เข้าใจว่า เป็นอรหันต์ แล้วบอกใครไม่ได้ ถ้าบรรลุแล้ว ต้องบอกว่า ตนไม่บรรลุ มีผู้บอกว่า ผู้ที่ว่าตนบรรลุ คนนั้นไม่บรรลุ ว่างั้นเลย

สมมุติว่าเขาไม่บรรลุ แต่เขาเข้าใจว่า การบรรลุแล้ว บอกใครไม่ได้ เพราะถ้าบรรลุแล้ว จะไม่เข้าใจอย่างนี้ เขาจะไม่ติดพยัญชนะตื้นๆ ผู้ที่เข้าใจสัจธรรม ท่านก็จะทำตรง ส่วนผู้ที่เข้าใจผิดว่า ตนเป็นอรหันต์ เขาก็ไม่มีพฤติกรรมอรหันต์ เขาอาจแกล้งทำได้ ก็เป็นพฤติกรรมฤาษี เขาก็หลอกว่า เป็นอรหันต์ แล้วบอกไม่ได้ คนก็เดาเอาว่า อันนี้อรหันต์ เป็นศาสนาเดา พระพุทธเจ้า ไม่สอนให้เดา ถ้าไม่ใช่คนจริง แล้วมีพฤติกรรม กายวาจาใจ ที่ไม่จริง ยิ่งอยู่ด้วยกันนานๆ จะรู้ว่า อรหันต์เป็นอย่างไร

มีเรื่องเล่า เป็นเถรส่องบาตร หลวงพ่อก่อนไปบิณฑบาต ก็จะส่องบาตร ดูว่า บาตร ก้นรั่วหรือไม่ แต่ก็ได้อาหาร มามากมาย ส่วนเณร ก็สังเกตว่า ทำไมหลวงพ่อ ได้ของมาก แต่เณรไม่ได้ ก็สังเกตว่า ท่านเสกมนต์ ท่านส่องบาตรก่อน แล้วเณร ก็เอาบาตร มาส่องบ้าง แต่เณรบิณฑบาตยังไง ก็ไม่ได้ เหมือนเดิม

อันนี้คือ ศาสนาเดา ศาสนาเถรส่องบาตร ก็ให้เดาเอา บอกไม่ได้ ถ้าบอก ไม่ได้แล้ว พระพุทธเจ้าจะให้ อภิณหปัจจเวกขณ์หรือว่า เมื่อเพื่อนสหพรหมจรรย์ ถามถึง อุตริมนุสธรรม เราต้องไม่เก้อเขิน ที่จะบอก นี่คือ ลัทธิเถรส่องบาตร คนยิ่งลือว่า นี่อรหันต์ ก็ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่

ที่จริงอรหันต์ จะเหมือนคนธรรมดา ไม่ไว้ท่า แอ็คท่า จริง ผู้ปฏิบัติธรรม ท่านให้ ระมัดระวัง สมณะสารูป แต่ผู้บรรลุแล้ว ไม่มีอัตตา ก็จะเป็น สัจจะย้อนสภาพ แสดงออกได้ แต่ไม่เกิน สมณสารูป ถ้าจะแสดงเกินกว่า ก็ต้องบอก อธิบายเขา อย่างพ่อครู ต้องปรุงมาก จัดจ้าน เพราะในยุคกาลนี้ ต้องทำเช่นนี้ เพื่อสื่อเป็น องค์ประกอบศิลป์ ให้คนรับได้ แล้วเกิดผลดี ทางจิตวิญญาณ ทำแล้ว ก็ไม่ได้ทำด้วย อารมณ์กิเลสพาทำ เพราะมันเหนื่อยนะ ต้องใช้กำลัง เส้นเสียง ใช้คอ แต่ปรารถนาผล ที่สื่อไม่สูญเปล่า ไม่ได้ติดใจ ไม่มีตัวตนว่า ใครจะมาดูถูก ดูแคลน ก็ทำตาม พอเหมาะพอดี

วันนี้มาพูดถึง อนุปุพพิกถา (ทาน ศีล สัคคะ (สวรรค์) กามาทีนวะ โทษของกาม เนกขัมมะ การออกจากกาม)

ทาน ศีล ถ้าปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิจะได้ สัคคะ (สวรรค์) เป็นสวรรค์อุบัติเทพ แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิ จะได้สวรรค์โลกีย์ สวรรค์ลวง เต็มบ้าน เต็มเมือง

ทานต้องทำใจในใจ ให้ถูก จึงจะได้สวรรค์อุบัติเทพ ต้องทำทาน ให้ใจ มันลดกิเลส แต่ถ้าทำทานแล้ว ใจมันจะเอาให้ได้ มากมาย ให้ได้ผบ.ทบ. คุณก็ไป ทำทานที่ไหน ก็ขอให้ได้ ลาภยศ สรรเสริญ ให้ได้แฟนสวยๆ ได้เสียงไพเราะ ใจคุณได้จริง แต่ไม่ได้ให้ ตั้งใจตะกละ เอาเกินที่ให้ ตักบาตร ๑ ทัพพี แต่ขอ พันล้าน แสนล้าน อย่างนี้ ทำทาน ไม่ได้สวรรค์ ได้แต่นรก

ต้องมีสัมมาทิฏฐิ
๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล (ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง)
๒. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
๓. สังเวย(เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) คือผลจากข้อ ๑ และ ๒
๔. ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
๕. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ
๖. โลกหน้า  มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
๗. มารดา มี (อัตถิ มาตา)
๘. บิดา มี (อัตถิ ปิตา)
๙. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ -ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ - โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

คนทั่วไป ทำกิเลสโต อยู่ตลอดเวลา ตายไปมีแต่ตกนรก ส่วนจะขึ้นสวรรค์นั้น น้อยมาก พระพุทธเจ้า ให้เรียนรู้ทางออก ให้เห็นของจริงในตนเอง ไม่ต้องไปเชื่อใคร ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ปฏิบัติเอง พิสูจน์เอง หลุดพ้นเอง กิเลสลด เป็นเช่นนี้ ไม่ต้อง ไปวนเวียนอีก แต่ก่อน เทียวไล้เทียวขื่อ ไปเอามาเสพ แต่ตอนนี้ ไม่ต้องไปลำบากแล้ว

อ.กฤษฎาว่า... วันนี้หวยออกก็หาเลขกันตั้งแต่เช้า

พ่อครูว่า... นี่แหละคือที่วนเวียน ติดอยู่อย่างนั้น นี่คือโลกโลกีย์ ไม่ได้หลุดพ้น ออกมาเลย หลงติดสุขทุกข์ ไม่มีจบ วนเวียน อาจลืมอันนี้ไปก่อน เก็บเป็นอุปาทาน เก็บใส่เซฟไว้ ๑๐๐ ชั้น แล้วก็ไปหา อันใหม่เสพ พอนานเข้า ก็เอามาเสพใหม่อีก เพราะไม่ได้ละล้าง อนุสัย อุปาทาน มีเซฟนี้มีเก็บไว้ ไม่มีที่จบด้วย เป็นเซฟโง่ๆด้วย คุณไม่รู้จักความวน ก็ออกมาไม่ได้ เหมือนนกไม่รู้จักฟ้า ปลาไม่รู้จักน้ำ ต้องมาศึกษาโลกเก่า แล้วหลุดมา สู่โลกใหม่ (ปรโลก) คือโลกโลกุตระ โลกที่พระพุทธเจ้าค้นพบ คุณจะรู้ และออกมาได้ คุณต้องรู้ เหตุปัจจัย ที่ทำให้ออกได้ คือ ต้องมีพ่อกับแม่ (มาตา ปิตา)

พ่อแม่ในที่นี้ ไม่ใช่พ่อแม่ที่ให้กำเนิด เป็นร่างกาย เนื้อหนัง ซึ่งถ้าสัมมาทิฏฐิ จะรู้ว่า พ่อแม่นี้คือ พ่อแม่ทางจิตวิญญาณ ที่ทำให้เกิด โอปปาติกสัตว์ คือจิตตนเอง ที่มีลักษณะ พ่อและแม่ นั่นเอง

ส่วนโอปปาติกสัตว์นั้น เขาก็มักแปลกันว่า ต้องตายไปแล้ว ตกนรก ขึ้นสวรรค์ มีอาจารย์พร ไปสร้างเจดีย์ให้ว่า สัตว์นี้ไม่มีที่อยู่ ไปสร้างศาลให้ อาจารย์พร ก็หลงไป อย่างนั้น และต้องไปช่วย อุทิศส่วนกุศลให้ จนตั้งโรงพิมพ์ตนเองว่า โรงพิมพ์วิญญาณ นี่คือ ไม่สัมมาทิฏฐิ

ต้องเข้าใจพ่อแม่ อย่างศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ช่วยกันทำคลอดลูก คือจิตวิญญาณ มาเป็นสัตว์เทวดา อุบัติเทพ และต้องรู้ อิตถีภาวะ (แม่) และ ปุริสภาวะ (พ่อ) อย่าง มรรคองค์ ๘ (แม่) กับ โพชฌงค์ ๗ (พ่อ) คุณก็ต้องเข้าใจอาการ ภาวะสิ่งปรากฏ ที่ถูกรู้ รู้ภาวะรูป ๒

ถ้าอ่านอาการอิตถีภาวะไม่ออก ก็ไม่รู้จักแม่ ถ้าอ่านปุริสภาวะไม่ออก ก็ไม่รู้จักพ่อ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า มีสารีบุตรเป็นพ่อ มีโมคคัลลานะเป็นแม่ ก็ช่วยกันสร้าง อาริยบุคคล จะรู้มรรค องค์ ๘ ต้องเรียนรู้ แสงอรุณทั้ง ๗ ก่อน เป็นต้น

สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ในมรรค ๘ ถ้าเข้าใจผิดว่า ทำสมาธิคือ นั่งหลับตา ก็ทิ้งมรรค ๗ องค์ หมดเลย คุณก็สุญโญเลย เปล่าดาย แต่ธรรมะพระพุทธเจ้า คือปฏิบัติ มรรค ๗ องค์ ให้สั่งสมเป็น สัมมาสมาธิ ทำกรรม การงาน ลืมตาตลอดเวลา แต่อ่านจิต สั่งสมมรรคผล ในจิต ได้ตลอดเวลา ทุกวันนี้ ไปนั่งหลับตา จนเกือบหมด ดีที่มีพระไตรฯ เป็นสิ่งอ้างอิง

ในข้อที่ ๑ ต้องรู้ต้องเห็นว่า นี่คือ ผู้มีมรรคผล ถ้ารู้ผิด ผู้นั้นไม่ใช่ ผู้สัมมาทิฏฐิ ไม่มีมรรคผล ตนไปเรียนด้วย ก็ไม่ได้มรรคผล ไปด้วยสิ ถ้าไม่เจอ คนที่มีของจริง ก็ไม่ได้ของจริง ธรรมะพระพุทธเจ้า รู้เองไม่ได้ ต้องเรียนรู้ ต่อกันมา ตั้งแต่ผู้มี ปัจเจกภูมิ สยังอภิญญา หรือ ผู้สยัมภู แต่ถ้าไม่เจอ ไม่มี คุณก็ไม่มีสิทธิ์ ได้มรรคผลหรอก ไม่สามารถ ปฏิบัติเอง รู้เองได้ ถ้าคุณไม่มีภูมิรู้เอง เป็นปัจเจกภูมิ เป็นสยังอภิญญา เป็นสยัมภู คุณต้องหาผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบให้เจอ ถ้าไม่เจอก็เจ๊ง หาเจอแล้ว ก็เข้าไปใกล้ ไปนั่งฟัง ไปเงี่ยโสต สดับฟัง

อ.กฤษฎาว่า... ในสัมมาทิฏฐิ มีกระบวนการ เรียงร้อย เป็นปัจจัยการ กระบวนการเกิด ที่เป็นปรมัตถ์ คือการเกิด ทางจิตวิญญาณ เป็นโอปปาติกสัตว์ เกิดเป็นอาริยบุคคล (โสดาฯ สกิทาฯ... อรหันต์)

พ่อครูว่า... ถ้าไม่ได้ศึกษาสัมมาทิฏฐิ ก็ไม่มีทางไปสู่ นิพพานได้ เพราะพระพุทธเจ้า ยืนยันว่า ทางนี้ทางเดียว เอเสวมัคโค นัตถัญโญ คือต้องศึกษา ให้สัมมาทิฏฐิ จึงปฏิบัติ มรรคองค์ ๘ ได้มรรคผล และท่าน ก็ให้ปฏิบัติ แสงอรุณ ๗ ข้อ จึงได้มรรคองค์ ๘

แสงอรุณ ๗
.มิตรดีสหายดี คือสัตบุรุษ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือผู้บรรลุธรรมเอง
.ศีล ต้องรู้กำหนดศีลของตน ต้องทำศีล ให้เกิดสมาธิ ปัญญา คืออย่างไร ต้องรู้ รู้ปรมัตถธรรม รู้กิเลส แม้ละเอียด ถึงอากาศ และละเอียดกว่า อากาศธาตุ เป็นความว่าง ก็ต้องอ่านไปอีก
.ฉันทะสัมปทา คือยินดีในการถือศีล ปฏิบัติศีล ตามฐานะ เอาพื้นฐานก่อน อย่าข่มเขา โคขืน ให้กลืนหญ้า คือต้องยินดี ขนาดยินดี ยังยากเลย แต่ถ้าคนไม่ยินดี ก็ยาก
.อัตตสัมปทา ต้องเข้าถึงนิมิต แห่งอริยมรรค ถึงพร้อมด้วย ความรู้ว่าของตน พอรู้อัตตา ตัวสักกายะก็คือ พ้นสักกายะทิฏฐิ ว่าเราวนเวียน ในโลกอะไรอยู่ ต้องแย่งชิง เข่นฆ่า อะไรอยู่
.ทิฏฐิสัมปทา ต้องทำอย่าง สัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญาความรู้ ความเห็น
.อปมาทสัมปทา คือต้องพากเพียร ประมาทไม่ได้ ต้องพากเพียร อุตสาหอดทน ต้องตั้งตน บนความลำบาก กุศลกรรเจริญยิ่ง อย่าบำเรอกิเลส
.โยนิโสมนสิการ คือเข้าถึง การทำใจในใจ อย่างแยบคาย คือการทำใจเป็น ต้องอ่านใจออก ทำให้กิเลสลดเป็น ถ้าทำให้กิเลสลดไม่เป็น ก็โยนิโสมนสิการไม่เป็น ไม่ใช่แค่คิดเอา พิจารณาเอา ตามตรรกะ แต่ต้องทำ ให้กิเลสลดละ จางคลายได้ ตามลำดับ จนเที่ยงแท้ แน่นอน เป็นปหาน ตามปหาน ๕

การทำตลาดอาริยะ ทำให้เกิดพฤติกรรมสังคม มีทายก ปฏิคาหค มีทั้งผู้ให้ผู้รับ จึงสมบูรณ์ จึงบอกให้พวกเรา ตั้งโรงบุญ แจกอาหาร ให้ไหว้ผู้รับนะ เขามาทำให้เราได้ ฝึกฝนเรียนรู้ ทำทาน ก็ทำแล้วได้ประโยชน์

อ.กฤษฎาว่า... ตลาดอาริยะนั้น พัฒนาทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย

พ่อครูว่า... ตลาดอาริยะ เป็นบทฝึกหัด ของนักปฏิบัติธรรม ผู้มาซื้อ ก็ร่วมเป็นวงจรด้วย เจตนาให้ผู้ซื้อ ได้แสดงน้ำใจ แบ่งปัน ไม่โลภ ซึ่งตลาดอาริยะ มีอุดมการณ์ ๓ ข้อ คือ

ตลาดอาริยะคืออย่างไร มีหลัก ๓ ข้อ
๑.กำไรของชีวิต คือการให้ การเสียสละ
๒. สินค้าที่ขาย ต้องราคาต่ำกว่าทุน การยอมขาดทุน นั่นคือ การเสียสละ
๓. เจตนาให้ผู้ซื้อ ได้แสดงน้ำใจ เปิดโอกาสให้ผู้อื่น ซื้ออย่างแบ่งปัน ไม่โลภ
เป็นกรรมกิริยา ที่ลึกซึ้ง สวยงาม ช่วยเศรษฐกิจสังคม ยกระดับจิตใจ ทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย

จบ

๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.