_560926_รายการเรียนอิสระ ที่สวนลุมฯ โดยพ่อครู สมณะโพธิรักษ์
เรื่อง สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระอาริยะ ตอน ๑


อ.กฤษฎาดำเนินรายการที่สวนลุมฯ (วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖)
...ตอนนี้ที่บ้านราชฯน้ำท่วม...

พ่อครู...ได้เล่าถึงประวัติที่ชาวอโศก สามารถอยู่กับน้ำได้ อย่างปกติ ได้เล่าถึงประวัติ การใช้เรือ ที่บ้านราชฯ... ตั้งแต่มีเรือแจว เรือพาย จนบัดนี้ มีเรือเอี้ยมจุ๊น เกือบ ๓๐ ลำ เป็นเรือใหญ่ ... พอน้ำท่วม ก็มีการฉลองน้ำ สนุกสนานกันมากเลย ไม่มีกลัวน้ำ จนบัดนี้ ทางอบต. อบจ. มายืมเรือเราไปใช้  ก็ให้ใช้เลย

อ.กฤษฎาว่า... คราวที่แล้วกระบวนการคิด วิธีการแก้ปัญหา พุทธจะสอน ให้ใช้ปัญญา

พ่อครูว่า... เราไม่หนี เราจะอยู่เหนือมันให้ได้

อ.กฤษฎาว่า... วิธีคิดแบบพุทธ คิดแบบมรรคองค์ ๘ จะสามารถแก้ปัญหา ในมิติต่างๆได้

พ่อครูว่า... ตัวหลักของศาสนาพุทธ คือใจวาง แต่วางอย่างลึกซึ้ง ในโสฬสญาณ ถ้าไปสู่ระดับที่จิตเจริญจริง ข้อที่ ๖ มุลจิตตุกัมญญาณ ไม่ต้องบีบคั้นอะไร ปัญญา มันจะเกิดรู้จริงๆ จะปล่อยวาง โดยภูมิปัญญาเอง โดยวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ภูมิสมถะ ที่วางแต่ไม่วาง

มีคนส่งจดหมายน้อยมา บอกว่า โยมเป็นญาติธรรมหน้าจอมา ๓ ปี เป็นผู้ฟังรายการ ทุกข์ปัญหาชีวิตมาแต่ปี ๔๗ ก็คิดว่าได้สัมผัส หมู่กลุ่มดีๆ โยมคิดว่า การจัดตลาดอาริยะ เดือนละ ๒ ครั้งนั้น ถี่เกินไป โยมคิดว่า ควรจัดเดือนละ ๑ ​ครั้ง

พ่อครูว่า... ก็ได้เคยพูดคุยกันแล้ว ว่าตลาดอาริยะ เป็นทั้งสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ แล้วเราทำนี้ เราฝืนเกินไป ไม่มีเตี้ยอุ้มค่อม อยากดังหรือเปล่า หรือ เราเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า และมวลที่ร่วมจัด กระเบียดกระเสียน เกินไปหรือเปล่า แต่เราทำมา ๓ ครั้งแล้ว ก็เป็นไปได้ ผู้มาร่วม ก็เพิ่มอีก ไม่ใช่ถอยไปๆๆ ก็ขอบคุณ เป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นใจพวกเรา เราก็ขอทำไป อย่างนี้ก่อน แล้วถ้าทำไม่ไหว ก็จะลดลง ตอนนี้ทำ ๒ ครั้งไปก่อน ดีไม่ดี ก็ทำ ๓ ครั้งได้ เราก็เพิ่ม อันนี้เราไม่ฝืน ก็ขอบคุณ อย่างมาก

อีกเจ้าหนึ่งบอกว่า...ตอนนี้เข้าใจธรรมะแจ่มแจ้ง เคยสงสัยว่า ทำไมพ่อครูพาเรามา ทวนกระแสโลกนะ จนมาเจอคำ ในพระไตรฯ อยากให้ทุกคนรู้ว่า สิ่งที่พ่อครูสอน คือคำสอน พระพุทธเจ้าแท้จริง ให้เราเสียสละ อย่างมีพรหมวิหารแท้จริง ไม่สงสัยแล้ว “เมื่อเจอการเห็นของ พระอาริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นข้าศึกกับ ชาวโลกทั้งปวง บุคคลอื่น สิ่งใดว่าทุกข์ พระอาริยเจ้าว่าสุข จงเห็นธรรม ที่รู้ได้ยากนี้เถอะ เพราะคนพาลผู้หลง ย่อมไม่รู้แจ้ง ในการดับกิเลส”

พ่อครูว่า... การเกิดดับ ก็วนเวียนสุขทุกข์ การตัดวัฏฏะสงสาร คือตัดความวน ในโลก ระดับไหนก็ตาม ที่เราวนเวียน ดับได้เป็นรอบๆ ตั้งแต่อบายภพ กามภพ อรูปภพ เป็นคนไม่มีโลก อยู่กับโลก แต่ไม่ได้วนกับเขา อยู่อย่างลอยตัว

อ.กฤษฎาว่า... สภาวะนิพพานนั้น เราต้องอ่านความรู้สึก อารมณ์ของตนได้ เช่น เราต้องการให้จิตนิ่ง ไม่กระเพื่อมอีก

พ่อครูว่า... นั้นคือการกดข่ม ของพระพุทธเจ้านั้น ใช้ปัญญา ไม่กดข่ม เราใช้ปัญญา ตัดสินว่า เราควรออกไป ร่วมชุมนุม กับเขาหรือไม่ เป็นต้น

มี sms
- ม็อบต้องการความฮึกเหิม ดันเอาพระมาเทศน์ ม็อบก็หายหมด เซ็ง
- คุณเคยมาสวนลุมฯบ้างไหม มาช่วยกัน จะได้ไม่เซ็ง
- กราบขอบพระคุณ ท่านสมณะ สิกขมาตุ ที่ทำให้ได้เห็น มิสป่าตองในตัวเอง

พ่อครูว่า... คนที่ได้ฟัง แล้วเห็นตัวเองว่า เราบ้ากว่า มิสป่าตอง... พ่อครูก็ว่า มิสฯ เขาก็หลง ความสวยเขา คนๆหนึ่งในประเทศ เขาก็หลงความสวย ของเขาเหมือนกัน แต่คนละอย่าง เท่านั้น ก็คนเห็นตัวเอง ก็สาธุ อนุโมทนา คนไหนไม่เห็น ก็เห็นด้วยกันบ้าง

มีข่าวประชาสัมพันธ์ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น ขออนุญาตเสนอพ่อท่าน พิจารณา ประชาสัมพันธ์ "ท่านใดที่ต้องการ รับหนังสือ เราคิดอะไร ฉบับก้าวสู่ปีที่ ๒๐ พร้อมหนังสือแถม "รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ กรุณาส่งแสตมป์ จำนวน 35 บาท ต่อหนังสือ 1 ชุด สอดซองจดหมาย มาที่ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น ๖๔๔ ซอยนวมินทร์ ๔๔ แขวง คลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐"

อ.กฤษฎาว่า... คุณค่าหรือคุณภาพของคน ควรเป็นเช่นไร..

พ่อครูว่า... คุณค่าของคนอยู่ที่ไหน ... อยู่ที่คุณธรรม อย่าเข้าใจว่า คุณค่าของคน อยู่ที่มี ยศลาภสูงๆ ไปไหน มีคนชมชื่น อยู่เยอะแยะ เพราะไม่ใช่คุณธรรม ไม่ใช่คุณค่า เป็นโลกค่า หรือค่าทางโลก ราคาทางโลก ไม่ใช่คุณความดีงาม ใครเคยได้ยินคำว่า ทาน ศีล ภาวนา นั่นแหละคือ คุณธรรมของคน ผู้ใดมีพฤติกรรม มีใจเป็นทาน ยึดถือศีล มาเป็นเครื่องประพฤติ พอบรรลุแล้ว ก็เป็นคนมีศีล ศีลเป็นหลักเกณฑ์ ถ้าเริ่ม ทาน ศีล ภาวนา ศาสนาไหน ก็เหมือนกัน มีหลักวัด คือศีล ก็ปฏิบัติตามหลักของ ศาสดาบัญญัติ

ส่วนภาวนา คือการเกิดผล ผู้ใดปฏิบัติ แล้วเกิดผล ถ้าได้ผลทางกาย วจี ก็แค่ภายนอก ไม่ทำผิดศีล ๕ ได้ แต่ใจยังมีกิเลส จิตยังไม่สะอาด แม้กายวจีไม่ทำ ก็ถือว่า มีศีลอยู่ ระดับหนึ่ง เป็นคนมีคุณค่า แต่ผู้ใดปฏิบัติศีล แล้วทำให้กายวาจา ไม่ละเมิด แล้วใจ ทำได้ด้วย จิตหลุดพ้นได้ จากกิเลสที่มาบังคับ ล้างกิเลสได้เป็นอธิจิตสิกขา ก็คือ ความบริบูรณ์ของศีล ทำให้จิต เกิดหลุดพ้น ให้มันหมดจากจิตจริง และมีปัญญาด้วย
ศาสนาอื่นก็มี ตามแบบของท่าน แต่ไม่เหมือนของพุทธ สรุปก็คือ ​ศีล สมาธิ ปัญญา คือหลักวัด ความเป็นคุณค่าสมบูรณ์ การทาน ถ้าไม่รู้จิตว่า มีอาการให้แล้ว ก็ไม่ได้มรรคผล ทุกวันนี้ ให้ของกับมือ แต่ใจไม่ได้ให้ ทำอย่างไร ให้ใจมันให้ ถ้าเรียนรู้ผิด กายให้ วจีให้ แต่ใจไม่ได้ให้ ใจเป็นการเอา ทั้งที่บุญคือ การชำระกิเลส อธิบายกัน หลายสำนัก บางสำนัก มอมเมากัน สร้างสวรรค์วิมาน ได้ความหรูหรา มากมาย เขาเข้าใจออกแบบ

อ.กฤษฎาว่า... พ่อแม่ บางครั้งดูแลลูก แล้วก็ทวงบุญคุณลูกอีก

พ่อครูว่า... พ่อแม่ลูกนั้น เกิดมาใช้หนี้วิบาก ด้วยโกรธ พยาบาท ด้วยรักก็ตาม พยาบาท เข่นฆ่ากัน ก็ทุกข์ เกิดมาเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ทุกข์ทรมาน บางคน ก็เกิดมารักกัน อะไรนิดหน่อยก็ทุกข์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะก็ทุกข์ แต่ถ้ามีแล้ว ก็ต้องทำใจ ใช้หนี้ วิบากกันไป เกลียดมาก็ทุกข์ ทำดีมากเกินก็ทุกข์ จะมาเป็น พ่อแม่ลูก หรือ มิตรสหายกัน ก็ต้องเรียนรู้ จิตวิญญาณ อย่าไปผูกพันธ์ ด้วยโกรธ ด้วยรัก

ถ้าเราเรียนรู้ จนสามารถ ทำจิตไม่ให้เกิด อาการดูดผลัก ทั้งที่เรามีสัมผัสอยู่ เราก็ไม่เกิดรัก เกิดชัง คนที่สร้างรักชังใส่จิต ก็คือโมหะอวิชชา เราต้องล้าง ทั้งพยาบาท ทั้งกาม เราไม่ทำอันใหม่ เราจะมี อานิสงค์ของ พลังปัญญา เผาอกุศลจิต เป็นอจินไตย ทำได้จริง จะมีสมบัติทางจิต

พ่อครูว่า... เอาตามฐานะ เช่นศีล ๕ ก่อน เช่นศีลข้อ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ กระทั่ง ไม่กินเนื้อสัตว์ จะเห็นกิเลส ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ในการกินเนื้อสัตว์เลย คุณก็ได้เรียนรู้ ลดกามไปด้วย

อ.กฤษฎาว่า.. ศีลนี้ต้องมีทุกระยะ ทุกลมหายใจ หรือเราต้องมีศีล เมื่อไปรับศีล แล้วจริงๆ ควรเป็นเช่นไร

พ่อครูว่า... ศีลข้อ ๑ ล้างโทสะ ศีลข้อ ๒ ล้างราคะมูล
คุณจะถือ ศาสนาไหนก็ตาม ถ้าคุณฆ่าสัตว์ ก็ได้กรรมวิบาก ทำร้ายชีวิตสัตว์อื่น ให้ตกร่วงไป  เป็นกรรมวิบาก ที่ต้องมีการจองเวร คุณตบยุง บี้มด ก็อย่านึกว่า มันไม่โกรธคุณ มันจะอภัยเราได้หรือ?...
สัตว์แม้ตัวเล็ก ตัวน้อย ก็รักตัว ศาสนาไหน ก็มีกรรมวิบาก ถ้าคุณทำผิดศีล ก็บาปทุกครั้ง เช่นคุณลักของคนอื่น ก็เป็นกรรมชั่ว คุณจะอยู่ศาสนาไหน คุณจะสมาทานศีลหรือไม่ ก็บาป แต่ถ้าคุณสมาทาน แล้วทำก็ดี ถ้าไปลาออกจากศีล ก็โง่เลย ต้องทำไป จนตายเลย

ศีลแปลว่าปกติ คือ กาย วาจา เราไม่ทำ บางทีใจเราก็ต้องสู้ ใจมันอยาก ละเมิดศีล พอทำแล้ว กิเลสมันลด จิตหมดกิเลสจริง ปกติทั้งกาย วาจา ใจ ยังไงมันก็ไม่ละเมิด แม้มาแรง มาเบาอย่างไร ก็ไม่มีเลย หมดเชื้อกิเลส คุณก็เป็นปกติ คือคนมีศีล เป็นศีลปกติแล้ว เป็นศีลบุคคล ไม่ต้องปฏิบัติแล้ว แม้แต่กิเลสกาม ราคะก็หมดแล้ว ถอนอาสวะเลย ไม่มีทุกข์สุข กับมันเลย มันหยุดเลย แต่จิตไม่ได้นิ่ง มันไม่มีกิเลส ที่มาทำงาน เป็นสมาธิพุทธ มีลักษณะ
๑. ปริสุทเธ (จิตบริสุทธิ์ไม่มีอุปกิเลสเครื่องยียวน)
๒. ปริโยทาเต (ผ่องแผ้ว อย่างแข็งแรงอยู่กับผัสสะ)
๓. มุทุภูเต (แววไวด้วยจิตหัวอ่อน - ดัดง่าย แก้ไขไว)
๔. กัมมนิเย (ควรแก่การงานอันไม่โทษ ไม่มีกิเลส)
๕. ฐีเต (จิตถึงความตั้งมั่น)
๖. อเนญชัปปัตเต (จิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว)
จิตเป็นปกติ ที่ไม่ละเมิด สิ่งที่ผิดศีลเลย ทั้งกาย วาจา ใจ เพราะเหตุที่พาละเมิด ไม่มีแล้ว เป็นอัตโนมัติ

อ.กฤษฎาว่า...ที่พ่อครูพูดมานี้ คือ สัมมาทิฏฐิ ๑๐

พ่อครูว่า... ทิฏฐิ ๑๐ เป็นประตูแรกของ มรรคองค์ ๗ ถ้าเข้าใจไม่ได้ ทำไม่สอดคล้องกับ ทิฏฐิทั้ง ๑๐ ไม่รู้ความหมายของทิฏฐิ (ความเห็น ความรู้ ความเข้าใจ)

ในพระไตรฯล.๑๔  มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗)
[๒๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ
อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟัง สัมมาสมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจัก
กล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ
อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมา
อาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิต มีอารมณ์เป็นหนึ่ง
ประกอบแล้วด้วย องค์ ๗ เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์
ประกอบบ้าง ฯ
[๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิ ย่อมเป็นประธาน ก็สัมมา
ทิฐิ ย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิ รู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ
ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
[๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว
ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ...

ยัญพิธีก็คือศีลพรต
ศีลข้อ ๑ คุณไม่ฆ่าสัตว์ แล้วจิตคุณเมตตา ไม่อยากฆ่าหรือเปล่า
ศีลข้อ ๒ คุณเห็นของคนอื่น คุณอยากได้ คุณก็ต้องทำใจ มันไม่ใช่ของคุณ
ไตรสิกขาไม่ได้แยก ระหว่าง ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลข้อ ๓ ลดราคะ คุณอ่านจิต ของคุณเองหรือไม่ว่า เกิดจิตราคะ โทสะหรือไม่ …
เพลงหลายเพลง ตอนสมัยฆราวาส ที่เป็นเพลงรักๆโลกๆ พ่อครูก็นำมา เปลี่ยนเนื้อหา เป็นเพลงโลกุตระ เช่นเพลงกระต่ายเพ้อ เป็นต้น พ่อครูทำอัลบัม ก็ต้องสอนนักร้อง สอนนักเรียน เพราะพ่อครูทำมา ตั้งแต่เป็นฆราวาส พ่อครูตอนหลัง ก็ร้องเพลง ด้วยไม่มีกิเลส มีสัจจานุโลมมิกญาณ ร้องเพลงไม่มีกิเลสก็มี หรือพ่อครูมาทำ ท่าทางอย่างนี้ ก็บอกว่า ไม่ได้ทำด้วยกิเลส
ถ้าคุณปฏิบัติศีล ๘ ก็ต้องสูงขึ้น ไม่มีเพศสัมพันธ์ หยุดเมถุน เรื่องเพศเรื่องคู่ ก็ทำตามฐานะ สูงไปตามลำดับ ถ้าไม่ไหว ก็ทำตามศีลต้นๆก่อน เอาเท่าที่ได้ ก็ต้องให้พอเหมาะพอดี
สัมมาทิฏฐิข้อ ๑ ถึง ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง
.ทานที่ให้แล้ว มีผล (ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง)
.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
.สังเวย (เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)

คือคุณต้องทำ อย่างอ่านจิตเป็นว่า จิตคุณได้เสวยผล ได้ลดกิเลสหรือไม่ มีภาวนามัย หรือไม่ ถ้าไม่ได้ลดกิเลส ก็ต้องรู้หุตังของคุณว่า ไม่ได้ผล คุณอ่านจิตคุณ หรือไม่? บุญนี่คือ เขาให้เอาออก ให้ล้างทิ้ง แต่ถ้าคุณไปทำอะไรมาแล้ว ก็เอาบุญมาฝาก ทั้งที่ท่านให้ทิ้ง ทั้งที่กรรม เป็นของๆคุณ แบ่งใครไม่ได้ ที่คุณทำนั้น เกิดจากกรรมทั้งนั้น จะได้ผลอย่างไร ก็คือผลเป็นวิบาก จะดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด เป็นโลกียะหรือโลกุตระ ก็ฝากไว้ก่อน วันต่อไป จะอธิบาย
ใน ๓ ข้อแรก เป็นตัวปฏิบัติ แล้วตัวที่ ๔ ของทิฏฐิ ๑๐ คือกรรม

. ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ
. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
. มารดา มี (อัตถิ มาตา)
. บิดา มี (อัตถิ ปิตา)
. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ -ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ -โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

สรุปว่า.. ถ้าสามารถรู้จัก สมณพราหมณ์ คุณเจอไหม ท่านที่ประกาศ โลกนี้โลกหน้า ให้รู้แจ้งตาม ว่าสัมมาสมาธิ เป็นเช่นนี้หรือ ไม่ใช่ไปนั่งให้ก้นแตก อย่างนั้นหรือ? จะได้รู้กันว่า การทำสมาธิ ทั่วบ้านทั่วเมือง ทำนั้นไม่ถูก

ทำทาน ศีล ไม่เป็น ก็ไม่มีผลไม่มีภาวนา คุณอ่านจิตไม่เป็น ก็ทำอย่างงมงาย ผู้ตั้งใจ จะได้สิ่งประเสริฐ อยากได้นิพพานจริงๆ ก็ตั้งใจฟัง คุณจะเจอ ต้องขอประกาศว่า ตนเป็นโพธิสัตว์ เป็นสยังอภิญญา อย่างไม่ได้มี สาเฐยยะจิต ไม่ได้อยากให้ใคร มาเป็นบริวาร ให้ใครมายกย่อง อธิบายด้วยความจริงใจ ปรารถนาดี ให้คุณเห็น และได้ตาม คุณจะไม่เห็นด้วย ไม่เอาก็ไม่เป็นไร แต่ใครจะมา ยินดีเห็นดีก็อนุโมทนาด้วย ทุกวันนี้ เขาเห็นกันว่า ไม่มีอาริยะแล้ว ก็ปิดประตูบรรลุธรรมเลย ซึ่งค้านแย้ง คำสอน พระพุทธเจ้า ท่านว่า ตราบใดมี ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ คุณคิดเองไม่ได้ เป็นสาวก คุณต้องฟังจาก ผู้มีภูมิ ผู้เป็นบุคคล ๔ บุคคล ๘ คุณต้องฟังก่อน แล้วปฏิบัติตาม ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้เองได้ ต้องสืบทอด จากผู้รู้ พระพุทธเจ้า ก็ต้องรับจากองค์ก่อน พ่อครูก็รับมา จากองค์ก่อน

จบ

๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.