_5610013_รายการเทศน์หน้าศพ สิกขมาตุผุสดี สะอาดวงศ์
โดยพ่อครู
สมณะโพธิรักษ์

เรื่อง สิกขมาตุองค์แรก รูปสำคัญของชาวอโศก

       วาระนี้เป็นวาระ ที่สำคัญมากๆ คนทั่วไปก็คิดว่า มีงานศพ ก็มีคนมาฟังธรรม สวดศพ ก็ธรรมดา แต่เนื้อหา จะมีความสำคัญ ขนาดไหน ก็ติดตามดู

       สิกขมาตุชื่อ ผุสดี คำว่าผุสดี มีความหมายว่า ถูกต้อง, สัมผัส, ประกอบกัน, ประชุมกัน, สัมผัสไม่ขาดกัน, ยังรวมกันอยู่ , แปลว่าบรรลุ, ความได้รับ, เป็นประกาย, โปรย , พรม... ความหมายเหล่านี้ ลึกซึ้งมาก

       ก็ขอเกริ่นก่อนเลยว่า สิกขามาตุรูปนี้ เป็นองค์แรก รูปสำคัญ เป็นผู้บรรลุธรรม จะขั้นไหน จะใช้พระไตรปิฎก มาให้พวกคุณเทียบ วันนี้เป็นครั้งแรก ที่อาตมา จะประกาศว่า ผู้นั้นผู้นี้ บรรลุขั้นไหน จึงเป็นการบรรยาย ครั้งสำคัญ

       แม้แต่คำว่า ได้รับ , เป็นประกาย, พรม ก็เป็นความหมาย ละเอียดลึกซึ้ง เป็นชื่อเดิม ไม่ได้ตั้งให้ใหม่ สิกขมาตุรูปอื่น อาตมาตั้งชื่อให้หมด แต่รูปนี้ไม่เคยเปลี่ยน ท่านก็ไม่เคย บอกให้เปลี่ยน

       ก็ขอบรรยายถึง ปรากฎการณ์จริง Phenomenol ซึ่งมั่นใจว่า ชาวอโศก จะเป็น ผู้ยืนยันถึง ปรากฎการณ์วิทยา (Phenomenology) ตั้งแต่ญาณศาสตร์ (Prophecy) มาถึง ปรัชญา(Philosophy) มาถึง ญาณวิทยา (Epistemology) จนมาเป็น ปรากฎการณ์วิทยา

       ญาณศาสตร์ อันแรกเลย มันจะพัฒนาไปเป็นความรู้ ที่คนยอมรับ คือเป็น ศาสดาพยากรณ์ (Prophet) มีความรู้ลึกซึ้ง บอกได้หมด อย่างนอสตราดามุส ถ้า ญาณศาสตร์ (Prophecy) จะออกไป ทางเจโต ส่วนปรัชญา (Philosophy) จะออกไป ทางปัญญา ซึ่งแบบปรัชญา มีหลักฐานอ้างอิง แต่ว่าญาณศาสตร์ จะไม่มีเหตุมีผลอะไร เท่าไหร่

       แต่ปรัชญา ก็ยังไม่มีหลักฐาน อ้างอิง จริงเท่า ญาณวิทยา ซึ่งมีเหตุมีผล เป็นวิทยาศาสตร์ มากขึ้น ก็ถือว่าเป็นความรู้ ที่สูงแล้ว ส่วนปรากฎการณ์วิทยา ก็ไม่รู้ว่า มีใครบัญญัติ คำนี้ไหม ดูเหมือนมีการใช้อยู่เหมือนกัน แต่ว่าเราก็ใช้ของเรา ตามที่เราคิด ใครเห็นว่า มีสาระก็รับไป

       ปรากฎการณ์วิทยา (Phenomenology) อย่างเราไปทำงานการเมือง ก็ไปทำอย่าง ปรากฎการณ์วิทยา (Phenomenology) มีสิ่งจริงเกิด มีบุคคลร่วมกันทำ เป็นพฤติกรรม สังคม เราทำจริง ไม่ใช่เสแสร้ง ไม่เป็นมายาภาพ เป็นการฝึกตนด้วย ผู้ฝึกได้จริง ก็ได้เป็นของตน และมีผลต่อสังคมด้วย

       อาริยบุคคล (ขอไม่ใช้คำว่า อริยบุคคล, อารยะชน เราไม่ใช้ เพราะเป็นการเจริญ แบบโลกๆ หรือว่าก็เป็น แบบฤาษี) ซึ่งขึ้น ปรากฎการณ์วิทยานั้น เป็นสิ่งจริง มีทั้งรูป และนาม อยู่ครบ จนเป็นบุคคล เป็นสังคมอโศก ว่าเรามีเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เราอย่างนี้ แล้วเราเป็นภัยต่อสังคมไหม เป็น Phenomena ให้เข้าใจได้

       ผู้ที่ให้ข้อมูลมา เป็นผู้ใกล้ชิด ให้ข้อมูลมา บอกว่า สิกขมาตุผุสดี สะอาดวงศ์ ท่านเป็น ผู้จัดสมดุล ได้อย่างลงตัว สามารถทำกิจกรรม ของนักบวช ได้ตามวรรณะ ๙ คือ

. เลี้ยงง่าย (สุภระ) เราดูแลกันมา จนอายุ ๘๘ จนสิ้นลม เราพึ่งเกิดแก่ เจ็บตาย กันได้จริง เป็นไปตามบารมี จะได้รับความดูแล ก็ตามบารมี
.บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) ไม่เป็นภาระกับใคร ไม่เรื่องมาก ผู้ดูแล อยู่ใกล้แล้วมีความสุข ซึ่งหายาก ที่คนแก่แบบนี้มีอยู่
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) แม้ช่วงเป็นฆราวาส ทำงานถูกโกง ก็ไม่เอาเรื่องใคร ยิ่งมาเป็นนักบวช ยิ่งสมถะ
.ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) มีใจพอ ได้ลาภมาก็แบ่งปัน เอาเฉพาะที่กินใช้
.ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) อาอาหาร ปนรวมกันแล้วฉัน เป็นเรื่องปกติ จนวันสุดท้าย ของชีวิต งดฉันนม สาหร่าย วันพระไม่เด็ดผักฉันเอง ถ้าได้ปัจจเวกขณ์แล้ว ใครมาถวายอาหาร จะไม่รับ
.เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) ถือศีลกินเจ มาตั้งแต่ ๙ขวบ ฟังพระเทศน์ ครั้งเดียว ก็งดเนื้อสัตว์ แต่ยังกินไข่ ตอนหลังมา ก็งดไข่ด้วย รับประทาน อาหารมังสวิรัติ บริสุทธิ์มา ๗๕ ปี
.มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) บิกบานแจ่มใส อารมณ์ดีเสมอ สวดมนต์ก่อนนอน ตื่นนอนเสมอ ฉันอาหาร จะห่มชุดสิกขมาตุเสมอ ซักเสื้อผ้าเอง แม้ในวันสุดท้ายของชีวิต แม้ผู้ดูแล จะบอกว่า ไม่ต้อง ก็จะทำเอง
.ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ได้รับอะไร ก็แจกจ่ายหมด ไม่กักตุน
.ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) ระดมความเพียร หรือขยันเสมอ ต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน สบายใจ เหนื่อยก็พัก ไม่เหนื่อยก็ขยันทำงาน เราไม่พัก เราไม่เพียร ทำอะไร เสมอต้น เสมอปลาย บิณฑบาตตลอด ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ ตื่นมา ออกกำลังกาย แต่ตีสอง ตีสามก็จะสวดมนต์ ทำวัตร ทำงานเสมอๆ พับถุงปุ๋ย ที่โรงปุ๋ย ช่วงหลัง ไปลำบาก อาวุโสก็จะนำถุง มาให้พับ ที่ที่พัก ท่านบอกว่าอยากทำงาน ไม่อยากอยู่เฉยๆ จะอยู่เฉยๆ ไปทำไม?

       ท่านเป็นตัวอย่าง ของนักบวชหญิง ที่เคร่งครัด ทำอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างเบิกบาน แจ่มใส อยู่เสมอ

       สิกขมาตุผุสดี ถือว่า เป็นนักบวชหญิง รูปแรกของชาวอโศก อาตมาไปอยู่ที่ วัดอโศการาม บวชแล้ว สิกขมาตุผุสดี ไปอยู่ที่วัดตอนหลัง แล้วก็อยากถือศีล ๑๐ ไปขอ กับท่านเจ้าคุณ แต่ท่านเจ้าคุณไม่ให้ ก็เลยมา ขอกับอาตมา อาตมาก็เลย ให้ศีล ๑๐ เป็นคนแรก ในชุดขาวเป็นชีขาว แล้วทำจริง คือไม่สะสม เงินทองข้าวของ ปฏิบัติมา ตั้งแต่รับศีลมา จนสิ้นชีวิต ซื่อตรง เป็นคนอยู่ในศีลในธรรม อย่างบริสุทธิ์สะอาด เห็นนามสกุล สะอาดวงศ์ ญาติๆก็ดีใจเถอะ

       ที่จริงสิกขมาตุ บวชอยู่ที่ วัดอโศการามก่อน แต่สิกขมาตุนัยนา มาทีหลัง ซึ่งชื่อนั้น มีความหมาย ในนั้นหมด เป็นเรื่องที่อย่าไปคิด มันต้องเป็นเช่นนั้น เช่นพระพุทธเจ้าอุบัติ แผ่นดินต้องไหว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นอจินไตย เกินคาดคิด ในศาสนาเทวนิยม คือสิ่งที่ เขารู้ไม่ชัดว่า มีเหตุปัจจัยครบ ก็จะเป็นได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ นามธรรม ก็พิสูจน์ได้ พุทธรู้ได้ แต่ศานาเทวนิยม รู้ไม่ได้ เป็น ปรากฎการณ์วิทยา ที่ยืนยันสัมผัส พิสูจน์ได้ ใครมีนามธรรมถึง ก็จะสัมผัสได้

       สิกขมาตุนัยนา บวชก่อน แต่ว่าก็ยอมยกให้ สิกขมาตุผุสดี เป็นภันเต เพราะบวช เป็นชีขาวก่อน แต่ว่ามาเปลี่ยน เป็นชุดสีน้ำตาล ทีหลัง ก็มีสิกขมาตุ ที่เป็นนักบวชหญิง ของชาวอโศก

       สิกขมาตุผุสดี จะเข้าข่าย ตามอนุสาสนีย์ ของพระพุทธเจ้า ได้แค่ไหน อย่างไร?
       บุคคลในโลก ที่พระพุทธเจ้าแบ่งไว้ เรื่อง
บุคคล ๔
. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ     แต่ไม่ได้โลกุตร
. บุคคลผู้ได้โลกุตระ      แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .
. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ    และได้ทั้งโลกุตระ
. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

    ซึ่งบุคคลชนิดที่ ๔ มีอยู่มากทั่วโลก ส่วนพวกได้เจโตสมถะ ก็ไปนั่งหลับตา ทำสมาธิ ส่วนผู้ได้โลกุตระ คือได้ฌาน ที่เป็นวิธีทำให้ เกิดความสงบ เกิดสมาธิ

       บุคคล ๖ จำพวก
.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
.พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ มีนัยละเอียดคือ บุคคลใด มิได้ตรัสรู้สัจจะ ทั้งหลาย ด้วยตนเอง ในธรรมทั้งหลาย ที่ไม่ได้สดับมาก่อน ทั้งบรรลุ สาวกบารมีด้วย ก็คือ ยกตัวอย่าง มาสองรูป ที่เป็นแบบนี้ คือท่านรับช่วงจาก พระพุทธเจ้า องค์สมณโคดม ต่อจากนั้น จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ก็จะเป็นสยัมภูองค์ใหม่ ซึ่งจะเป็น พระสารีบุตร พระโมคัลลานะ หรือองค์พระโพธิสัตว์ องค์อื่นก็ได้ ดังนั้น ข้อนี้คือ ผู้มีสยังอภิญญา แต่ไม่ขาดจาก พระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่ง ที่จะต้องไปรับเอามา แม้พระพุทธเจ้า ปรินิพพานไปแล้ว พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ก็จะมีสยังอภิญญา อาจไปรับจาก พระพุทธเจ้า องค์อื่นอีก เหมือนพระพุทธเจ้า สมณโคดม ก็ได้รับจาก พระพุทธเจ้า องค์อื่นอีก ทางมหายานถือว่า พระสารีบุตร และโมคคัลลานะ เป็นโพธิสัตว์ แต่เถรวาทถือว่า เป็นอรหันต์ ตอนที่มาพบ พระพุทธเจ้า แต่ที่จริง ท่านเป็นโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ มาก่อนแล้ว
. พระอรหันต์ คือบุคคล ผู้มิได้ตรัสรู้สัจจะ ทั้งหลายมาก่อน แล้วมาบรรลุอรหันต์ ในชาตินี้
.พระอนาคามี
.พระโสดาบัน พระสกิทาคามี

       บุคคล ๙
.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
.พระปัจเจกพุทธเจ้า
.อุภโตภาควิมุติ
.ปัญญาวิมุติ
.กายสักขี
.ทิฏฐิปัฏฏะ
.สัทธวิมุติ
.ธัมมานุสารี
.สัทธานุสารี

คำว่าอุภโตภาค คือ ผู้บรรลุธรรมพร้อมครบ ทั้งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ

       ในบุคคล ๗ จะมี
       สายศรัทธา
๑. สัทธานุสารี
๓. สัทธาวิมุติ
๕. กายสักขี
(ต้องอาศัยวิโมกข์ ๘)
       สายปัญญา
๒. ธัมมานุสารี
๔. ทิฏฐิปัตตะ
๖. ปัญญาวิมุติ
(มีวิโมกข์ ๘ มาตลอด)
. อุภโตภาควิมุติ รวมทุกสาย ที่บรรลุครบครัน

       อุภโตภาควิมุติ ไม่ว่าสายศรัทธา หรือสายเจโต ก็ถือว่าครบ มีวิมุติพร้อม สองอย่าง แต่สิกขมาตุ ผุสดี เป็นสายศรัทธา มีกายสักขี

       กายสักขี คำว่า กายคือองค์ประชุม ทั้ง กาย วาจา ใจ เห็นได้ด้วยตา ยืนยันได้ว่า มีวรรณะ ๙ ในบุคคลนี้ มีเงื่อนไขว่า ต้องสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย มีสัมมัปปัญญา ต้องมีปัญญารู้ วิญญาณฐีติ สัตตาวาส ๙ มีปัญญารู้ว่า กายและเวทนา ต่างกันหรือตรงกัน องค์ประชุมของ สัจธรรมเหล่านี้ แตกต่างกัน

       สัญญาเหล่านี้ ต้องมีมิจฉาหรือสัมมา ต้องกำหนดให้รู้ได้ถึง เป็นสัตว์นรก หรือ เทวดา สมมุติเทพ หรืออุบัติเทพ หรือวิสุทธิเทพ มีภาษา แต่ภาษานั้น มีสภาวะรองรับ ต้องอ่านของตนออก

       ผู้เป็นสายเจโต ศรัทธา จะมีปัญญาลึกแหลมได้ยาก คนมีปัญญา แต่อ่าน เจโตวิมุติ ไม่ออก ท่านเป็นอรหันต์แล้ว แต่อ่านตนเองไม่ออก มีกายสักขีแล้ว แต่ไม่มีวิโมกข์ ๘ ท่านรู้ไม่ครบ ปฏิกิริยาของจิตวิญญาณท่าน รู้ไม่ครบ

       กายสักขีมี ผู้สามารถ ดับอาสวะบางอย่างได้ แต่อาสวะ สิ้นแล้วจริงๆ บอกเลย สิกขมาตุผุสดี มี เป็นของจริง อาตมารับรอง สายปัญญา ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่สัมมาทิฏฐิ แต่สายศรัทธา จะรู้ไม่ชัดหรอก

       ทิฏฐิปัฏฏะ ภาษาสันสกฤต คือทฤษฏี คือความเห็น ความรู้ ความเข้าใจ มาปฏิบัติ ให้เข้าถึง เป็นปัฏฏะ

       สัทธาวิมุติ มีวิมุติ อาจไม่สมบูรณ์ ต้องพิสูจน์ตนเอง ไม่มีครบพร้อม มีกาเยน ผุสิตวา วิหาริติ เป็นปัจจุบันนั่นเทียว สัมผัสอยู่ ก็อ่านออกหลัดๆว่า ว่างจากกิเลสอยู่ ไม่ใช่คาดคะเน เอาของเก่า แต่ว่านี่สัมผัสอยู่ บัดเดี๋ยวนั้นเลย เป็นปัจจุบันธรรมเลย สัทธวิมุติ คือทำวิมุติได้ ด้วยศรัทธา แต่ปัญญา ไม่ค่อยคล่อง จะทำกายสักขีได้ ยืนยัน ความจริงได้ เพียงแค่ไปฟังนิดหนึ่ง ใครรู้จัก คุณปรีชา กับคุณจำลอง คุณจำลอง สายปัญญา แต่คุณปรีชา สายเจโต

       ธัมมานุสารีย์ คือผู้หาธรรมะตามสาระ (สารีย์) ซึ่งต่างจาก สัทธานุสารีย์ คือผู้มีศรัทธา เป็นตัวทำ เป็นประธาน บุคคลผู้ได้ผล ในสายนี้ จะได้เป็น สัทธาวิมุติ และ ได้กายสักขี แต่ต้องตรวจสอบด้วยวิโมกข์ ๘ ครบด้วยกาย

       สิกขมาตุผุสดี มีบารมีเก่า แล้วมาแสดงหา พอมาฟัง ก็ได้เลย อาตมาเป็นสายปัญญา จะรู้ได้เร็ว อย่างพระสารีบุตร ทีไปฟังพระอัสสชิ ที่เป็นพระอรหันต์รุ่น ๑ เลย ก็เลยบอก พระสารีบุตรว่า “พระสมณโคดมกล่าวว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ ดับเหตุทุกอย่างก็ดับ” พระอัสสชิ พูดแค่นี้ ก็เข้าใจเลย ตอนนั้นพระสารีบุตร เป็นศิษย์ของ สัญชัยปริพาชก เป็นสำนักใหญ่ ๑ ใน ๖ ในสมัยนั้น เรียนเท่าไหร่ ก็ไม่บรรลุ แต่ฟังพระอัสสชิ แค่นิดเดียว ก็บรรลุเลย ซึ่งไม่ใช้ปิ๊ง ซาโตริแบบเซ็น

       สายศรัทธานั้น เข้าใจยาก แต่ถ้าได้เข้าใจแล้ว บางทีแรง จะมีปีติ บางที อุพเพงคาปีติ ปีติเวอร์เป็นได้ สายเจโตจะเป็นมาก สายปัญญามีปีติ ไม่หวือหวามาก

       ผู้ที่ปฏิบัติแล้ว อ่านจิตเป็น กำจัดกิเลสได้ มีตทังคปหาน หรือว่าด้วยปัญญา การข่มกิเลสนั้น พระพุทธเจ้าว่า ไม่สมบูรณ์ แม้เป็นกายสักขี ที่สะกด จนกิเลสแห้งตาย แต่พระพุทธเจ้าว่า ให้กระแทกสิว่า กิเลสจะฟื้นไหม ต้องมีผัสสะ เป็นปัจจัย มีทวาร ๖ สัมผัส แต่ว่าคนที่ทำ แต่ภายนอก แล้วไม่ได้จริง เป็นอรหันต์ลึกลับ ไม่รู้ จะช้านาน แต่ว่า คนที่ทำตาม เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย จะเร็วกว่า เขาจะคล่องจะเร็ว เหมือนคน เล่นดนตรี เรียนรู้ตัวโน้ต โดเรมีฯ จะเร็ว แต่คนเล่นไม่ลำดับ จะช้า ของพระพุทธเจ้า มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย จะเร็ว พระพุทธเจ้าสายปัญญา จะตรัสรู้เร็วกว่า พระพุทธเจ้า สายศรัทธา และ สายวิริยาธิกะ

       สิกขมาตุผุสดี มีกายสักขี เราจะดูจากการปฏิบัติดังนี้
       พระอรหันต์ขีณาสพ เป็นผู้อยู่จบพรหมจรรย์ มีปัญญาวิมุติ หรือ อุภโตภาควิมุติ ถือว่ามีจิต ที่มีกิเลสดับ ปัญญาก็รู้แจ้ง จึงไม่ต้องไปกล่าวว่า สายปัญญา จะต้องสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ท่านบอกว่า สายปัญญา หรือ ธัมมานุสารีย์ ไม่ต้องกล่าวว่าต้องมี สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย เพราะการปฏัติ มีการสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกายอยู่แล้ว ท่านทำมา ตั้งแต่ต้นแล้ว

       สายศรัทธาจะอ่านกิเลสไม่เก่ง อย่าง อุปกิเลส ๑๖ มี
. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)
. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)
. โกธะ (โกรธ)
. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)
. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)
. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)
. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)
. มัจฉริยะ (ตระหนี่)
. มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)
๑๐. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)
๑๑. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)
๑๒. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)
๑๓. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)
๑๔. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)
๑๕. มทะ (มัวเมา)
๑๖. ปมาทะ (ประมาทเลินเล่อ)

       สายปัญญาจะอ่าน อุปกิเลสออก แต่สายปัญญา จะอ่านออกรู้ได้ การปฏิบัติ ต้องมีสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย การปฏิบัติ ต้องมีผัสสะ อยู่ในป่าไม่มีผัสสะอะไรมาก เท่าอยู่ในเมือง พระอรหันต์ ๖๐ องค์แรก พระพุทธเจ้า ให้เข้าเมืองหมด ไม่ได้ให้เข้าป่า แม้สักองค์เดียว

       วิธีปฏิบัติ
       พระพุทธเจ้าบอกไว้ ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ อานาปานสติสูตร  
[๒๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็น พระอรหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว โดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นอุปปาติกะ เพราะสิ้นสัญโญชน์
ส่วนเบื้องต่ำ ทั้ง ๕ จะได้ปรินิพพาน ในโลกนั้นๆ มีอันไม่กลับ มาจากโลกนั้นอีก เป็นธรรมดา แม้ภิกษุเช่นนี้ ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุ ในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นพระสกคาทามี เพราะสิ้น สัญโญชน์ ๓ อย่าง และเพราะทำราคะ โทสะ โมหะให้เบาบาง มายังโลกนี้อีก ครั้งเดียวเท่านั้น ก็จะทำที่สุด แห่งทุกข์ได้ แม้ภิกษุเช่นนี้ ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีอยู่ ฯ
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นพระโสดาบัน เพราะสิ้นสัญโญชน์
๓ อย่าง มีอันไม่ตกอบาย เป็นธรรมดา แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ใน เบื้องหน้า แม้ภิกษุเช่นนี้ ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

       พระโสดาบัน จะบรรลุสังโยชน์ ๓ เหลืออีก ๗ สังโยชน์ เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมโสดาฯ
.    เอกพีชี เกิดอริยชาติ อีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุด แห่งทุกข์ได้ (พระบาลี ไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิด แบบเป็นตัวๆ เลย)
.    โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก ๒-๖ ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้)
.    สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพ หรืออริยชาติ อีกเพียง ๗ ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุด แห่งทุกข์ได้)
       แต่ไปแปลว่า สกิทาคามีว่า เหลืออีกชาติเดียว ก็ไปตรงกับ เอกพีชี ที่จริงก็ไล่ไป ตั้งแต่โกลังโกละ
บุคคล ๕
.โสดาบัน
.สกิทาคามี
.อนาคามี
.อรหันต์
.คือผู้ปฏิบัติ โพธิปักขิยธรรม ๓๗

       สรุปคือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ นี่แหละคือหลักปฏิบัติ จะอธิบายจน ปากเปียกปากแฉะ ตลอดเวลา
       แล้วสิกขมาตุผุสดี มีหลักธรรมเช่นนี้ ปฏิบัติเช่นนี้ไหม ก็มีผู้ยืนยัน มีและมีผลด้วย จากนั้นก็จะเกิด อัปปมัญญา ๔ หรือพรหมวิหาร ๔ เจริญด้วย นี่คือจิตพระเจ้า เป็นจิต อยู่ตามสภาพของพรหม จะอยู่กับความเมตตา ความกรุณา มุฑิตา อุเบกขา จะเป็น ที่จิตเรา ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม จะเกิดจิตพระเจ้า พระพรหมณ์ ตามชื่อศาสนา ฮินดู ศาสนาอื่น ก็มีพระเจ้าของเขา ก็มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา คนไปแยก พระเจ้า หลายชื่อ แต่ว่าที่จริงคือ พรหมวิหาร ๔ พุทธทำให้ได้ในจิต ก็แล้วกัน

       เมตตา คือ มีจิตต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขาเป็นสุข อย่างเจริญ อย่างโลกุตระด้วย อยากให้เขา เป็นสุขนิรันดร์ด้วย สุขกับทุกข์ มันทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้ทำลาย ทั้งสุขและทุกข์เลย ก็เป็นอุเบกขา แต่ไม่ใช่อุเบกขาแบบ เฉยโง่ๆ แบบช่างเขา เห็นคนทำผิด ก็อุเบกขา เป็นอุเบกขาเก แต่อุเบกขาพุทธ ไม่ต้องบังคับเป็น เนกขัมสิตอุเบกขา แต่เคหสิตอุเบกขา คือพวกเฉยเด๋อ หรือพวกอยู่ในป่า ไม่มีผัสสะ หรือ พวกที่มีคาถา แม้ลืมตาก็กดข่มได้ เราต้องแยก เนกขัมสิตอุเบกขา กับ เคหสิตอุเบกขา

       ส่วนสม.ผุสดี นั้นบอกว่า ไปแบกมันไว้ทำไม แต่ท่านไม่ได้เข้าป่า ท่านก็แสดง ออกมา ทุกอย่าง แม้กระทบอยู่ คนอื่นกระทบอยู่ ก็เห็นแต่ว่า อุเบกขาได้

       จะต้องอ่านสัญญา ๒ เป็น คือเจริญอนิจจสัญญา และ เจริญอสุภสัญญา คือไม่ได้มี ไม่น่าได้ ไม่น่าเป็น เป็นของเหมือนซากศพ เหมือนของเน่าเสีย ของทิ้งเหมือนฝี เห็นให้ได้ว่า มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างสม.ผุสดี สบายแล้ว ไม่ต้องมีเงินสักบาท จนตายเลย

       อนิจจสัญญา ทุกอย่างไม่เที่ยง มันต้องกำหนดรู้ อย่างเหล็ก มันค่อยๆ ละลาย ดูมันนาน แต่มันก็สลาย แม้โลกลูกนี้ก็สลาย เราก็ดูที่สลายง่าย หรือเปลี่ยนแปลง เรียกว่า อนิจจัง แต่ไปจ้อง สิ่งที่สลายยากมันก็นานสิ แต่อย่างอารมณ์อร่อย มันมีแวบเดียว ตอนแตะลิ้น แล้วมันหายไป มันไม่ใช่ของจริง ถ้าเป็นของจริง มันต้องอยู่ตลอดสิ หรือ อยากได้มะเฟือง กินแล้วอยากได้อีก แต่ว่าสัมผัสของเดิม มันก็ไม่เที่ยงแล้ว คุณหอมแก้ม แฟนคุณครั้งนี้ อร่อยชอบใจ แต่อีกวัน อารมณ์ไม่เหมือนเดิม ไปเคืองอะไรมานี่ ก็บ่งความไม่เที่ยงเลย มีสิ่งเที่ยงอย่างเดียว คือนิพพาน

       ผู้จะเรียนรู้ความมี ความไม่มี ได้ถึงระดับรู้ว่า จิตเรามีโลภ โกรธ หลงได้ ต้องมีปัญญา ระดับหนึ่ง แล้วกิเลสระดับกลาง ระดับละเอียดอย่างไร ก็ต้องมีปัญญารู้ได้  รู้รูปนาม ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เราทำได้ แม้ทีเผลอ หรือไม่เผลอ เราก็ไม่มี เราทำสั่งสม เป็นอดีต ปัจจุบันเราก็สูญได้ เราตัดสินอนาคตได้ว่า ไม่เกิด นี่คือสัจจะ พิสูจน์ได้

       ผู้จะนิพพาน ไม่ควรได้อะไรเลยในโลก เพียงแต่อาศัยใช้งาน ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อสังคม เราพึ่งตนได้แล้ว เราก็มีส่วนเกิน ทั้งแรงงาน ความรู้ ความสามารถ เป็นวิถีดำเนินชีวิตที่ พึ่งเกิด แก่ เจ็บตายได้

       ผู้มาเผาครั้งนี้ เป็นการมาเผา พระอาริยะ จะระดับไหน จะบอกตอนจบ

       จากนั้นก็เจริญ อานาปานสติ เป็นตัวปฏิบัติทีหลัง แต่คนทั่วไป ไปทำ อานาปานสติก่อน แต่ที่จริง ต้องปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ ก่อน ต้องเปิดทวาร ๖ ปฏิบัติด้วย ต้องมีทั้ง วิญญาณ ๖ อายตนะ ๖ เวทนา ๖ ผัสสะ ๖ ตัณหา อุปาทาน ๔ ภพ ๓ ชาติ ๕ จึงจะรู้วิญหญาณ ๖ อายตะ ๖ ผัสสะ ๖ แล้วจะอ่านตัณหา ๓ อุปาทาน ๔ เมื่อกำจัด ตัณหา อุปาทานได้ ภพก็ดับ ดับแล้วก็สบาย ตายอย่าง สม.ผุสดี มีกายิกทุกข์ ให้สัญญาณ นิดหน่อย ทำไมฉันร้อนนะ ผู้ช่วยก็ให้นั่งกึ่งนอน แล้วก็ไปเลย

       กายยิกทุกข์ ที่มันให้สัญญาณเล็กน้อย ไม่ต้องทรมาน ไม่ต้องเป็นมะเร็ง ๕ ปี ๓ ปี แต่ก็ละเว้น คนมีวิบาก อรหันต์บางรูป ก็มีวิบากนะ สิกขมาตุผุสดี ตายสบาย อย่าริสยา ต้องทำ ของตนเอง อาตมายังไม่รู้ว่า กายิกทุกข์ จะตายอย่างไร เป็นวิบากได้นะ

       เมื่อทำอานาปานสติเป็น ต้องไม่ทิ้งกาย แม้เหลือ ลมหายใจเข้าออก ก็ไม่ทิ้ง ภิกษุใด จะอยู่ป่า ก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี (พระพุทธเจ้า อนุโลมมาก เพราะเขานิยมเข้าป่า อยู่ป่ากันมาก) แต่สมัยเรานี้ ไม่ต้องเข้าป่า แต่ท่านต้องอนุโลม ปฏิโลมมากมาย แม้พระโมคคัลลานะ ก็ถูกศัตรู ทำร้าย จนตาย พระพุทธเจ้าว่าอยู่ป่าก็ดี ไม่ใช่ว่า ให้ไปอยู่ป่า แต่อนุโลม ไม่ให้แข็งเกินไป ถ้าแข็งเกินไป อยู่ยากนะ

( แต่ครั้งนี้ พล.อ.ปรีชา ยอมได้ แพ้ได้ พวกนั้นถือว่า ชนะนะ เอาคน ๓ หมื่น มาขู่คนแค่ สามพัน เอาเงิน ๑๗๕ ล้าน มาเป็นเบี้ยเลี้ยงอีก )

       จากนั้นพระพุทธเจ้า ก็บอกว่า ผู้เจริญอานาปานสติอยู่ อย่างที่เขานั่งกัน แต่ที่จริง เป็นผลในการทำจิต ให้สงบ ให้ร่าเริง ให้มีการงาน อันควรอยู่ แม้ลมก็เป็นกาย ยิ่งมี ดินน้ำ ลมไฟ ที่ประกอบกัน คุณก็ยิ่งรู้ชัด แม้จะหลับตาทำ คุณก็สัมผัส ลมหายใจ เข้าออก คุณก็ตามเห็น ความไม่เที่ยงของจิต ตามเห็นว่าราคะจางคลาย แต่การจางคลาย ตอนหลับตา ในภวังค์ ก็เอาของแห้งความจำ มาพิจารณา แต่ถ้าจางคลาย ตอนเราสัมผัส กระแทก กระเทือนอยู่ นี่สิของจริงกว่า สั่งสมเป็นอดีต ที่ตั้งมั่น ช่วยให้ปัจจุบันแข็งแรง ขึ้นเวที จนชำนาญ จนเก่ง พลังเยอะ ซักซ้อมมามากแล้ว แค่ขึ้นเวที แต่ดีดก็กระเด็น สุดท้าย สุดยอดกระบวนท่า คือความว่าง ใครทำร้ายเรา โดดมาผ่านที่ว่าง คุณก็ล้มเองเลย อธิบายเป็นหนัง กำลังภายใน

       สรุป เมื่อผู้ใดเจริญ อานาปานสติ สติปัฏฐาน ๔ ก็เจริญ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ก็เจริญ ทำให้ถูกกาย ให้ระงับเหตุ ให้ตัวการอกุศลจิต ดับเกลี้ยงเลย จิตสังขาร ก็ไม่มีกิเลสเกิด แล้วทำจิต ให้ร่าเริง ทำให้จิตตั้งมั่น และก็ทำให้เปลื้องออก เปลื้องปล่อย คุณอ่านแล้ว ก็ระลึกชาติได้ ว่ามีเหตุการณ์ เกิดร้อยทีพันที กิเลสก็ไม่เกิดแล้ว มีสภาวะจริง เป็น Phenomenol

       สามารถปฏิบัติธรรมตามนี้ จะมีของจริง เช่น สิกขมาตุผุสดี เป็นสายศรัทธา จึงไม่มี นิรุติ ปฏิภาณ มาแจกแจงอะไรได้เยอะ ไม่เหมือนกับ สิกขมาตุ รินฟ้า สิกขมาตุ กล้าข้ามฝันนี้ ใครจะเชื่อว่า ป.๔

       ผู้ได้คบคุ้นกับ สิกขมาตุผุสดี หลายอย่าง ก็มีบกพร่อง แม้อรหันต์ ก็มีข้อบกพร่อง แม้ยุคพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ก็มีดื้อด้าน มีคำหยาบ บางคนก็มีเพ่งโทส ข้อบกพร่อง แต่สม.ผุสดี มีข้อบกพร่องน้อย คนหนึ่ง อาตมาพยากรณ์แล้ว คือสมณะ พุทธชาโต เป็นอนาคามีภูมิ ส่วนผุสดีนั้น เป็นอรหันต์ นี่คือ อาตมาพยากรณ์ ส่วนคุณเอง จะไปพิจารณาเอง ก็ตามภูมิของคุณ ส่วนอาตมา ตัดสินตามที่ได้ คบคุ้นกันมา ตามหลักฐาน ยิ่งกว่ากรรมการตัดสิน คุณจะตัดสิน ให้ฝ่ายแดง เป็นอรหันต์ก็ได้ ก็เรื่องของคุณ ตัวใครๆแล้วแต่ ส่วนอาตมา ก็บอกของอาตมาสู่ฟัง เป็นอรหันต์องค์แรก ที่อาตมาพยากรณ์ จะมีข้อบกพร่องหรือไม่ ก็พูดแล้ว ว่าอรหันต์ ก็มีข้อบกพร่องได้ ในฐานะของ สมมุติสัจจะ แต่กิเลสส่วนตัวใคร คุณจะไปรู้กับเขา ได้อย่างไร เป็นอรหันต์ องค์แรก ของชาวอโศก ๑ แล้วใน ๙ เอวัง ...

จบ

sikkamat

สิกขมาตุ ผุสดี สะอาดวงศ์
นักบวชหญิงองค์แรก องค์สำคัญ ของชาวอโศก
มรภาพเมื่อ 22.10 น. ที่บ้านราชฯ สิริอายุรวม ๘๘ ปี
จัดงานศพที่ ปฐมอโศก
กำหนดเผาศพ บ่ายโมง วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ต.ค. ๕๖
สิกมาตุนอนอยู่ แล้วบอกว่าร้อน คนก็พัดให้ แล้วให้ลุกนั่ง
จากนั้นเปิดพัดลมให้ สิกขมาตุบอกว่า "ค่อยยังชั่ว"
แล้วก็มรณภาพ อย่างสันติสุข

 

 
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถาน ปฐมอโศก กทม.