561127_เทศน์หลังดาวกระจายไปก.พลังงาน โดยพ่อครู
เรื่อง ประชาชนทวงคืนอำนาจจากรัฐบาลขบถ

       คนเรามีกรรมดีกรรมชั่ว คนเราควรทำกรรมดี ไม่ทำกรรมชั่ว ซึ่งมันจะออกฤทธิ์แก่เรา ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว กรรมชั่วจะออกผล ให้เราทุกข์ร้อน ศาสนาทุกศาสนา รู้ทุกข์สุข นรกสวรรค์ แต่ว่าความจริง ที่จริงยิ่งนั้น พุทธบรรลุสูงสุด

       เรื่องที่เรากำลังเผชิญ พวกเราก็แยกย้ายกันไปทำงาน ที่เป็นเรื่องจริงเกิดจริง เราไปทำงาน เพื่อควรคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ หรือไปปิดทาง ให้คนไม่ดี หยุดทำไม่ดี อย่างที่เขาทำกัน ก็มีการทำร้าย ฆ่า ตัดแขนขาเลย อย่างนั้นโบราณ แต่ถ้าพูดกันด้วยดี อย่างผู้มีปัญญา ว่าคุณหยุดเถอะ คนมีปัญญาก็จะรู้ หรือว่ามีกิเลส แม้รู้ก็ไม่หยุด ดันทุรัง ไปด้วยอำนาจ ตัวเองก็เดือดร้อน สะสมวิบากใส่ตน อันนี้แหละที่เขาไม่เชื่อ ก็ให้พิสูจน์กันไป คุณจะรู้เอง

       ตอนนี้เราใช้วิธี การควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ อย่างที่ในหลวงตรัส ให้คนดี ได้ทำงาน ท่านตรัสสวย แต่อย่างที่เราทำนี้บอกว่า ไปยึดกระทรวงนั้นนี้ ก็ดูน่ากลัว แต่ที่จริง เราไปบอกเขา พูดกัน ขอร้องให้ทำดี ไม่ไปแย่งชิง บุกรุก คุกคาม เราพยามยามทำ ให้ดีที่สุด ตอนนี้ประเทศไทย กำลังจะปฏิวัติ เปลี่ยนแปลง จากการบริหาร ที่เลวร้าย ที่เขาจะรู้ตัว หรือไม่ก็ตาม เขาก็ดึงดัน เราได้ทำรุกคืบ รุกศอก ไปเรื่อยๆ จนไประงับ คนที่มีปัญญา ที่ยอมเข้าใจ ต่างประเทศ เขาเรียกพวกเราว่า โพรเทสต์ ทั้งนั้น แต่ว่าเมืองไทย ใช้คำว่า ม็อบ ที่แปลว่า กลุ่มชนที่บ้าคลั่ง เราก็ยืนยันว่าเรา โพรเทสต์ ไม่ใช่ม็อบ เราทำมาหลายปี ตอนนี้ก็สมบูรณ์ ด้วยพฤติกรรม และภาษา เป็นความไม่รุนแรง เป็น Peace full เราก็ต้องเปลี่ยน ภาษาเสียบ้าง ไม่ใช้ภาษาว่า ไปยึดที่นั้นนี่ ก็เปลี่ยนเสีย เราไปหยุด ห้ามกั้น ไม่ให้เขาทำชั่ว ไม่ใช่ภาษาว่าบุก ไปยึด เป็นภาษาเสีย

       ที่เราทำนี่ ต้องใช้กำลังไปทำ แต่ว่ากำลังมีสองทิศทาง กำลังที่บังคับไม่ดี เรียก Forced แต่ว่ากำลังที่ดี คือ Authority ภาษาไทยเรียกว่าอำนาจ ถ้ามากๆๆๆ ก็เรียกว่า เผด็จการ ถ้าเป็นเพียงกดขี่ เขาถือว่า อำนาจนี่ชอบธรรม อย่างรัฐบาลทำนี่ อาตมาก็สาธุ อย่างนายกฯปูเขาว่า จะไม่ใช้ความรุนแรง ก็ขอบคุณ ให้เขาทำ สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้ดี ที่เราทำนี่ เป็นเพียงความเคลื่อนไหว จนเราได้ยืนยันชัดเจน ถ้าคุณจะไป อยู่ฝ่ายโน้นก็ไป ตอนนี้ แกนนำฝ่ายแดง ก็พูดอย่างนี้ แต่ของพวกเรานี่ ก็ทำแรง ด้วยคำพูด เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันตรงที่ พวกเราไม่โกหก หรือโกหกน้อยกว่าพวกเขา หลักฐาน มีมากมาย เขาอาจโง่ ได้ข้อมูลผิด แต่อาตมาว่า เราถูกมากกว่า ก็แล้วแต่ใคร จะมองว่า อันไหน ถูกมากกว่า ตัดสินเอง เห็นข้างไหน เป็นธรรมวาที ก็เข้าข้างนั้น คุณตัดสินเอง เราก็ต้องบอกว่า ข้างเราเป็นธรรม เขาก็ต้องบอกว่า เขาเป็นธรรม อำนาจโดยธรรมนี้ แสดงออกทาง วิญญัติรูป ทั้งกายและวจี

       คนที่เขาจะทำแบบ Forced ก็ต้องสร้างโดยกดดัน แต่ของเราทำแบบ Authority คือใช้ปัญญา ใช้สัจธรรม หรือนิติรัฐนิติธรรม มาเป็นพลังอำนาจ อย่างที่ในหลวง ทรงมีภูมิปัญญาทำ มาถึงวันนี้แล้ว ในหลวงเรา เป็นยอดปชต.แล้ว แม้ควีนจากอังกฤษ ก็ยังตรัสว่า ชาตินี้ไม่คิดว่า จะได้พบพระเจ้าแผ่นดินจริง คือกษัตริย์ไทย ท่านทรงยอมรับ ในหลวง ของเรามาก

       แต่คนเรา บังคับปัญญากันไม่ได้ เราจะเห็นลักษณะสองอย่าง อย่างที่โลกชอบทำ ก็ทำแบบ Forced เขาพยายามสร้าง ทำตนให้คนเกรงกลัว หรือแม้จะสร้างเมตตา แต่ก็ไม่สนิทหรอก จนคนไม่กล้าค้านแย้ง ไม่กล้าตำหนิติเตียน แต่พระพุทธเจ้าสอนว่า ..ภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... หลอกลวงคน ให้มาเคารพนับถือ (น ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น อิติ มัง ชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์ เป็นลาภสักการะ และเพื่อเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือ ค้านลัทธิอื่นใด ให้ล้มไป มิใช่เพื่อให้มหาชน เข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้ ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

       ที่เราทำมานี่ ในวันที่ ๒๔ มีคนทำสถิติ บอกจำนวนคนเลยว่า มี 2,360,475 คน เขาใช้หลักวิชาการ ในการคำนวณ

       เราทำอย่างเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่เศร้า สิ้นโศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส คนชนิดนี้ อยู่ในโลก มีแต่รับใช้สังคม แต่คนจะยกย่องเขา เพราะเขาเป็นคน รับใช้สังคมจริงๆ แม้จะหนัก จะเหนื่อยอย่างไร คนที่ยังไม่ออก นอกกรอบโลกีย์นั้น จะไม่เข้าใจหรอก การเอาความสงบ สยบความรุนแรง เขาไม่เข้าใจหรอก ที่เขาพูดมา ก็ไม่เชื่อหรอก แต่ว่าขณะนี้ ประเทศไทย กำลังเกิดเหตุการณ์นี้ ซึ่งในสังคมโลกีย์ เขาใช้พลังอำนาจนี้ เอาชนะกันทั้งนั้นแหละ เป็นนามธรรม สามารถครอบงำกดขี่ ให้มนุษย์ กระทำได้ตามนั้นๆ บังคับคน ให้ทำอย่างใดได้ แต่ก็ทำให้คนอัดอั้น ไม่ชอบใจ

       ปัจจุบันนี้ เมื่ออำนาจที่ถูก คณะบริหาร & สภานิติบัญญัติ หรือ สส. ๓๑๒ คน ง่ายๆก็คือ รัฐบาลที่รวบ “อำนาจ” ทั้ง บริหาร และ สภา มาเป็น เผด็จการในสภา นั้น แถมประกาศ ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลแล้ว ปฏิเสธคำตัดสินของศาลด้วย เป็นต้น และข่มขู่ คุกคามตุลาการอีกซ้ำ ก็เท่ากับขบถ จึงหมดอำนาจที่จะบริหาร และ ทำหน้าที่ในสภา ลงไปแล้ว

       ดังนั้น ประชาชนเจ้าของอำนาจ ก็ต้องมีสิทธิ์ ที่จะเอาอำนาจคืน ซึ่งเป็นไป โดยธรรมนั้น อำนาจก็ต้องคืน ไปสู่ประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจ โดยอัตโนมัติแล้ว เพราะเมื่อทำผิด ซึ่งๆหน้า ปรากฏชัด แต่ก็ยังดื้อดึงดัน ประชาชนจึงได้ ปฏิบัติการ ทวงอำนาจคืน และได้ทำการ ประกาศขอยึดอำนาจ คืนต่อประชามคม สาธารณะชนแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พ.. ๒๕๕๖ จากผู้บริหาร-จากผู้แทน ที่ประชาชน ได้เลือกขึ้นไป ทำหน้าที่ แทนตัวเอง อันเป็นการปฏิบัติของประชาชน ที่จะต้องปฏิบัติ ขออำนาจคืน แล้วจัดการปฏิบัติ ไปตามขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงาม ซึ่งประชาชน ก็ได้ทำแล้ว อย่างงดงาม ถึงขั้นได้นำ พระราชอำนาจ ที่เรียกว่า “รัฐาธิปัตย์” ของประเทศ เทิดทูนถวาย ให้แด่องค์พระประมุข ซึ่งทรงเป็นพระประมุข แห่งอำนาจของรัฐ หรือ ของประชาชน ไปแล้วเรียบร้อย

       แต่ฝ่ายหาเรื่องคือ ฝ่ายตรงกันข้าม ก็พยายามตลบตะแลงว่า พวกเราทำให้ระคาย เบื้องยุคลบาท ดึงเอาสถาบัน มาแปดเปื้อนการเมือง ทั้งๆที่เป็นไปตามวิสัย แห่งความเป็นจริง อันเกิดขึ้นโดยตนเองเป็นผู้ทำตน ทำลายอำนาจตนเอง แล้วแท้ๆ

       ซึ่งที่แท้ถูกต้อง ตามสัจธธรมนั้น พระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น “กฎหมายสูงสุด” (Supreme law) เหนือกว่า Rule of law กฏหมายรัฐธรรมนูญ เหนือกว่า principle law เหนือกว่า common law แน่นอนอยู่แล้ว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒ ก็ตราไว้ด้วยชัดๆ

       เพราะองค์พระมหากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตย ๒ ขา นั้น กษัตริย์ย่อมทรงไว้ ซึ่งประมุขความมั่นคงแห่งชาติ (national security) ทรงเป็นจอมทัพของประเทศ สัมบูรณ์สุด

       เมื่อความผิดของสถาบันแห่งชาติ วิกฤติแล้ว ชัดเจนปานนี้ และประชาชนออกมา ปรากฏตัวตน แสดงร่วมกัน ครบถ้วนสัมบูรณ์แล้วด้วย ทุกพฤติกรรม ขององค์กรแสดง

       ความผิด-ความถูก ชัดแล้ว เช่น ๒ สถาบันประพฤติผิด สถาบันตุลาการ ตัดสิน ๒ สถาบันนั้น ก็ขบถต่ออำนาจศาล คุกคามศาล

       มวลมหาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจ และเป็นเจ้านายของ ๒ สถาบันนั้นโดยตรง ก็ออกมา แสดงคะแนนเสียง สำทับอีก อย่างมืดฟ้ามัวดิน เป็นประวัติการ ว่า ขออำนาจคืน จากที่ได้ลงคะแนนเสียง เลือกตั้งไปนั้น ประชาชนขอคืน มันผิดบริบท จากการเลือกตั้ง

       ทั้งๆที่วันที่ ๒๔ พ.. ๒๕๕๖ นั้นเป็นการออกมา แสดงคะแนนเสียงสดๆ ในการไล่ออก ของประชาชน เป็นการยึดอำนาจคืน จากผู้แทน ที่ได้เลือกไปแล้วก่อนนั้น ออกมาลงคะแนนเสียง สดๆนี้ไม่ใช่การเลือกตั้ง ไปทำงานแทนเลย มันคนละเรื่องแท้ๆ

       คนอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ยังหลงงมโข่ง อยู่กับเรื่องคนละเรื่องนั้น มาเป็นเรื่องเดียวกัน หลงเอาคะแนน จากเรื่องหนึ่ง มาอ้างอีกเรื่องหนึ่ง ตามที่เคยหลงอ้างผิด แบบนี้แหละ บ่อยๆ

       ทำกันมาแล้วๆเล่าๆ ไม่รู้จักกาละเทศะ มาจนนับไม่ถ้วน จนจำไม่ไหวแล้ว หลงใหลเหลือเกิน กับการได้คะแนน ๑๕ ล้าน ที่เป็นการได้คะแนนไป แบบโกงๆชั่วๆ ไม่บริสุทธิ์นั้น

       แท้ๆก็.. ความรู้ทางการเมือง มันฟั่นเฝือ จนเลอะเทอะอยู่แบบนี้ มามากต่อมากแล้ว 

       แม้ประชาชน ที่ยังหลงผิด ยึดฝ่าย ๒ สถาบันนั้นอยู่ ก็ได้ออกมาแสดงมวล ของตนบ้าง ในวันที่ ๒๔ พ.ย. ๒๕๕๖ ก็ปรากฏชัดแล้วว่า แพ้คะแนนเสียง แต่ประชาชน ผู้หลงผิด ก็ยังหลงผิด เมาอยู่กับคะแนนเสียงเลือกตั้ง อันเป็นคนละเรื่อง คนละกาละ คนละบริบท ยังดึงดัน อ้างคะแนนเสียง ในบริบทเลือกตั้งผู้แทน ที่เป็นคนละเรื่อง คนละกาละ จึงเป็นคนละบริบท กับการออกมา ไล่ออก ไม่ใช่ เลือกตั้ง แต่มาเอาอำนาจ ที่ให้ไปทำแทนนั้นคืน จะเอาคะแนนเก่า ในการเลือกตั้งนั้น มาอ้างกับ คะแนนเสียง ที่เป็นเรื่องใหม่ คือไล่ออกนี้ ตอนนี้ ที่เป็นการออกคะแนนเสียง เอาอำนาจคืน มันคนละเรื่องกัน

       แต่กระนั้นก็ดี แม้วันที่แข่งขันมวลชน ในวันที่ ๒๔ พ.ย. ๒๕๕๖ ที่แข่งขันว่า ฝ่ายไหนจะมีคะแนนเสียงมาก ในฝ่าย ๒ ฝ่าย ซึ่งก็คือ การเลือกระหว่าง รัฐบาลกับประชาชน นั่นเอง ตนเองก็ออกมาแข่งขัน ในวันที่ ๒๔ พ.ย. ๒๕๕๖ นั้นแล้ว แพ้แล้วชัดๆ ก็ไม่ยอมแพ้ เชื่อแล้วล่ะ..ว่า ดีเอ็นเอพวกนี้ “แพ้ไม่เป็น” ยอมรับว่าเป็น ดีเอ็นเอ “หน้าด้าน”ตลอดกาล จนมีวลีเด็ดเรียกว่า “คนรักเท่ารัชมังฯ คนชังเท่าราชดำเนิน”

       พฤติกรรมขององค์กรก็ดี พฤติกรรมของมวลมหาประชาชน ที่ปรากฏต่อ ประชาคม ได้ประท้วง และแสดงแจ้งความผิด ออกมาชัดแจ้งก็ดี และได้แสดงการ ขออำนาจคืนแล้ว มีพฤติกรรมในสังคม ชัดแจ้งชัดเจน จนปานนี้ “สูญญากาศทางการเมือง จึงเกิดแล้วบริบูรณ์ ครบถ้วนขบวนการ” ทั้ง “ตุลาการภิวัฒน์” และทั้ง “ประชาภิวัฒน์”

       เพราะ...เมื่อไม่มีบัญญัติ ในนิติรัฐ ตามมาตรา ๗ เราก็ปฏิบัติตามนิติธรรม หรือ วินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข อันเป็นการปกครอง ของประเทศไทย ที่เรามี “รัฐาธิปัตย์” ระบุไว้ใน มาตรา ๒

       นั่นคือ เราผู้เป็นมวลมหาประชาชน ที่มีความผูกพันกัน ตามระบอบประชาธิปไตย อันประชาชนทุกคน ล้วนเป็นเจ้าของ ก็ได้ปฏิบัติไปตาม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มี และได้ออกมา แสดงสิทธิ์ เป็นที่ปรากฏแล้ว ชนะอีกฝ่าย แล้วในวันที่ ๒๔ พ.ย. ๒๕๕๖ แล้ว เสร็จลงแล้ว

       เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน ที่สงบเรียบร้อย ไม่ได้ใช้อาวุธเลย

       เมื่อไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๗ เราก็ทำตาม รัฐธรรมนูญนี้ ครบถ้วน ออกมาแสดงสิทธิ์ ประท้วงทวงอำนาจคืน อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ออกนอกบริบท ที่ระบุไว้ใน รัฐธรรมนูญเลย

       เมื่อประชาชนได้ปฏิบัติแล้ว ตามครรลองครองธรรม อันสุจริตธรรม เป็นสูงสุด ถึงขั้น “นิติธรรม” ซึ่งอยู่ในมาตรา ๓ วรรค ๒ และธำรงไว้ ซึ่งมาตรา ๔-๕-๖ องค์กรเอกชน นิติบุคคล มวลมหาประชาชน หรือ คะแนนเสียงส่วนใหญ่ ของประชาชน ตามบริบทนั้นๆ  

       ซึ่งเมื่อเป็นไปตามมาตรา ๗ แล้ว คือ ไม่มีบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

       และ“อำนาจ”ทั้ง ๒ สถาบัน ที่ได้มาจากประชาชน ไปลงคะแนน เลือกให้เป็น “ผู้แทนประชาชน” โดยตรงคือ สส. และทั้งโดยอ้อมคือ นายกรัฐมนตรี ทั้งรัฐมนตรี ฯลฯ ได้ร่วมกัน ประพฤติผิด ซึ่งๆหน้า สื่อสารออกไป ให้เป็นที่ปรากฏ ประกาศแจ้งต่อสังคม กระจายไป แม้แต่นอกประเทศ ก็รู้ก็เห็น กันทั่วหมดแล้ว ตามสังคมโลกาภิวัฒน์

       อีกทั้งตุลาการก็ได้แจ้งความผิด แก่สถาบันทั้ง ๒ สถาบัน แต่ทั้ง ๒ สถาบัน กลับไม่เคารพสิทธิ์ และอำนาจศาล ซ้ำเข้าไปอีก ผิดซ้ำผิดซ้อน

       แม้..บัดนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดกระทำผิด ยังปล่อยองค์กรทางราชการ ออกมาส่งเสริม ความผิด ซึ่งๆหน้าอยู่อีก ไม่ห้ามปรามข้าราชการ ตามสิทธิ์และหน้าที่

       ซึ่งมาถึงบัดนี้ ประชาชนทวงอำนาจคืนสำเร็จ ตามหลักฐานต่างๆ บันทึกด้วยภาพ ด้วยเสียง ด้วยพฤติกรรม ด้วยอักษรไว้ ซึ่งมีทั้งการกระทำ ทางกายและวาจาครบ มีเป็นที่ประจักษ์ กันทั่วแล้วด้วย มวลประชาชน ที่ออกมาสนับสนุนฝ่าย ๒ สถาบัน ที่ผิดนั้น ก็ออกมาแสดงคะแนนเสียง ในวันที่แสดงความจริง แข่งขันกัน คือ วันที่ ๒๔ พ.. ๒๕๕๖ ก็ปรากฏผลของคะแนนเสียง ของประชาชนแล้ว 

       สรุป องค์กร และบุคคล ที่ทำหน้าที่การเมือง ที่ผูกพันใน ๒ สถาบันนั้น สถาบันหลัก ในสภาทั้ง ๒ ได้กระทำผิดแล้ว ย่อมผูกพันทุกองค์กร และบุคคลที่มีหน้าที่ แม้แต่ประชาชน ย่อมมีสิทธิ์ตามหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพ ของชนชาวไทย ส่วนที่ ๑๐ สิทธิในข้อมูลข่าวสาร และการร้องเรียน มาตรา ๕๖-๖๒ เราก็ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่บัญญัติไว้ อย่างเคารพใน รัฐธรรมนูญ ส่วนผู้ที่ทำผิด หรือฝ่าฝืนสิทธิ ในข้อมูลข่าวสาร ก็ควรสังวร และเลิกปฏิบัติ

       ส่วนที่ ๑๑ มาตรา ๖๓ บุคคลย่อมมีเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ และ ปราศจากอาวุธ เราก็ทำตาม อย่างเคร่งครัด ได้งดงาม โปรดอย่าทำลาย ความงดงามนี้เลย ให้เกิดในประเทศไทย ประกาศไปทั่วโลกเถิด

       แม้มาตรา ๖๔ ผู้ที่มีอำนาจในหน้าที่ ก็ไม่ควรหลงผิดสั่งการ หรือกดดัน หรือ จำกัดเสรีภาพ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ให้ทำผิด

       และในหมวดที่ ๔ หน้าที่ของชนชาวไทย มาตรา ๗๐-๗๑ เราก็ได้ออกมา ปฏิบัติหน้าที่ อันควรนี้ อย่างเคารพต่อ รัฐธรรมนูญ ด้วยสำนึกคุณของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

       ดังนั้น ตามมาตรา ๗๔ บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการ ให้เป็นไป ตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และให้บริการ แก่ประชาชน ตามหลักธรรมาภิบาล ของการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี
ท่านผู้มีหน้าที่ ก็ควรจะทำตาม ให้ดีๆเถิด

       ในการปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติการอื่น ที่เกี่ยวข้องกับประชาชน บุคคลตามวรรคหนึ่ง ต้องวางตนเป็นกลาง ทางการเมือง

       ไม่เช่นนั้น เราก็อาจจะร้องเรียนได้ตามวรรค ๓ ของมาตรา ๗๔ นี้นะ

       เหตุการณ์การเมือง ที่เกิดขึ้น อยู่ในขณะนี้ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ด้วยดีเหลือเกิน จนน่าจะเรียกได้ว่า เป็นปาฏิหาริย์ ของประเทศ   

       เพราะ... สูญญากาศทางการเมืองเกิดขึ้นแล้ว ตามความเป็นจริง กลุ่มบุคคล ที่ได้ออกมาประท้วง ต่อต้าน และก็ได้ปฏิบัติ ตามขนบอันดีงาม ทูนเกล้า ถวายฎีกา ขึ้นไปแล้ว อย่างงดงาม บริบูรณ์  

       ต่อจากนี้ก็สุดแท้แต่ พระราชวินิจฉัย ด้วยเศียรเกล้า “ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด”

....จบ

 

 
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.