561213_พ่อครูที่เวทีมัฆวานฯ
เรื่อง การเมืองที่แท้ต้องแก้ที่ “ง่านโด้”


        วันนี้เวทีบนรถเครื่องเสียง ได้ย้ายมาที่สะพานมัฆวานฯ อีกครั้ง

        พ่อครู..... จะว่าเป็นบ้านก็เป็นบ้าน จะเป็นห้องเรียนก็ได้ จะเป็นสนามรบก็ได้ ครบพร้อม หาที่ไหนไม่ได้อีกนะ สมบูรณ์แบบนะ ชีวิตพวกเรา และเป็นที่สังสรร สันทนาการด้วย ถ้าจะให้ครบ ก็เป็นจุดนัดพบ ทั่วประเทศเลย

        การเมืองที่ไม่มีธรรมะ นี่แหละ เป็นตัวร้าย ที่จะเอาเป็นเอาตายนี่ เพราะขาดธรรมะ จึงจำเป็น อย่างที่คานธีว่า ถ้าไม่นำธรรมะไปสถาปนาไว้ ในการเมืองแล้ว การเมืองนี้ จะทำลาย จะบรรลัยจักร จึงจำเป็นที่เราต้อง ตั้งใจฝึกฝน ทำให้เกิดธรรมะ ในการเมือง จะต้องเป็นการเมือง ที่มีธรรมะให้จงได้

        ที่เราทำนี่จะเรียกว่า ปฏิวัติ​ปฏิรูปหรือปตบ. พฤติกรรมสังคม เพื่อขอทวงอำนาจ คืนจากคณะรัฐบาล ที่ได้บริหารมาแล้ว เสียหายผิดพลาด แต่ไม่ยอมรับ ทั้งที่ศาล ได้ชี้ทุกอย่าง ก็เถียงไม่ออก แต่ว่ายัง โด้อยู่ เราต้องมาย้ำยืนยัน เหตุผลหลักฐาน เพื่อยืนยันว่า คุณผิดจริงๆนะ เราจะชี้เลย เราพูดไประบุไป เพื่อยืนยัน ต่อประชาคม ทุกวันนี้ เป็นโลกาภิวัตน์ พูดไปก็รับรู้ทั่วโลก เราแสดงความจริง ยืนยันกัน ใครถูกผิด ก็มาว่ากัน ถ้าเราไม่ถูก ก็มาย้อนเราเลย ถ้าเราถูก คุณก็ควรจะแก้ไขปรับปรุง  ถ้าไม่ทำ สังคมก็เลวร้ายต่อไป

        เรื่องที่ถกกันหนักคือเรื่อง อำนาจ อำนาจรัฐบาล พวกศึกษารัฐศาสตร์ ถ้าจะปกครองกัน ก็ต้องแย่งอำนาจรัฐบาล หลงผิดพลาดว่า อำนาจรัฐบาลนี้ คือ อำนาจรัฐชาติ อำนาจรัฐประเทศ เขานึกว่าเป็นอำนาจของเขา รัฐบาลเกิดจาก ประชาชน เลือกเขาไป ทำหน้าที่ ตามกฏหมาย เขาก็ทำได้ ตามที่กฏหมายระบุ ทำเกินไม่ได้ ทำขาดไม่ได้ ไม่ทำไม่ได้ ต้องทำตามหน้าที่สิทธิ​ ไม่ได้เป็นผู้เป็น รัฐาธิปัตย์เต็มๆ เขาก็เป็น ประชาชน มีรัฐาธิปัตย์ แต่เมื่อสวมหมวกรัฐบาล เขาไม่ได้มีอำนาจ รัฐาธิปัตย์ เมื่อเราพูด ด้วยวิชาการ ถ้าตราบใด ยังไม่เข้าใจเรื่องอำนาจ

        อำนาจเป็นนามธรรม แล้วอำนาจนี้ มีสองอย่าง คือ Force and Authority เป็นอำนาจ กดขี่บังคับ กับอำนาจโดยธรรม นามธรรมสูงสุด เป็นนามธรรม ถ้าใช้แต่ปืน อาวุธ หรือกำลัง เขาก็ทำกันมา แต่โบราณกาลมาแล้ว  แต่มาถึงวันนี้ โลกเจริญแล้ว เป็นโลก ที่พูดกัน ด้วยเหตุผล ความดีงาม ความควรไม่ควร ผู้ดีงามกว่า ผู้ถูกกว่าก็ชนะ ผู้ไม่ดีงาม ก็ต้องแพ้ การต่อสู้อย่างนี้ ด้วยอำนาจธรรม คือ Authority ผู้ทำก็จะได้จริง

        อย่างชาวไทย ที่เราปฏิบัติอยู่นี้ เรามาทวงคืนอำนาจ จากรัฐบาล ชี้ผิด เขาก็แถก ถูไถไปเรื่อย เขาก็ค่อยๆ ยอมๆๆ แล้วก็มาอ้อนว่าถอยสุดแล้ว แต่คุณก็ยัง ไม่จบหรอก

        การรบอย่างนี้ รบด้วยปัญญา เป็นคุณค่าสงบอบอุ่น จนถึงปวงมหาชน ในชาติ หรือในโลก ชาวต่างชาติ ก็จะแสดงความเห็นร่วม คุณค่าของคุณธรรม ดังว่านี้ ประโยชน์ เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว หรือพรรคพวก คุณค่านี้ คนผู้มีปัญญา จึงยอมรับอำนาจ ความมีคุณค่า ช่วยเหลือ สงบ ไม่รุนแรง ไม่บีบบังคับ ไม่มีลักษณะของ Force เป็นอำนาจ โดยธรรม หรือ Authority ในโลกนี้ ก็กำลังเรียนรู้อันนี้ เพราะสูงค่ากว่า อำนาจเรี่ยวแรง บังคับ

        ก็ค่อยๆพัฒนากันมา ทุกวันนี้ ก็ค่อยๆเบาลงมา แต่มีราศี แห่งการข่มในที โดยใช้มาด ท่าที ศักดิ์ศรี ไว้ท่า แต่ผู้รู้ดี ก็ลดตัวตน เช่น อย่างที่กำนันสุเทพทำ อ่อนน้อม ถ่อมตนเลย ทั้งที่เคยเป็นรมต.มาก่อน อ่อนน้อม หาคนที่เคยเป็นลูกน้อง ของเขามาก่อน แม้กลาโหม เขาก็เคยเป็น ผู้บังคับบัญชา ไม่มีท่าทีข่มเบ่ง ใครทำก่อน ก็งดงามก่อน ใครทำทีหลัง ก็ยังดี ลดเถอะกิเลสเช่นนี้ โดยสัจธรรม มันต้องลด

        แต่คนเรามักไม่รู้ว่า ตนยึดอัตตา ไม่เข้าใจ หรือแม้รู้แล้ว แต่กิเลสมันยังยึด ไม่ยอมวาง ยอมปล่อย ใครศึกษาได้ ก็ศึกษาเอา ใครเข้าใจรู้แจ้ง อำนาจราศีแห่งธรรม ก็ทำเอา ลดละอำนาจแบบเก่า มาใช้อำนาจโดยธรรม ก็รู้กิริยาที่ดีกว่าก็ทำ พยายาม ปรับตัวเองเข้ามา ความสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตน (อปจยะ) ก็เกิดขึ้นก็ดูดี ใครแข็งกระด้าง เบ่งไม่ดี

        การไว้ตัวบ้างอันเหมาะ ตามฐานะศักดิ์ศรี บางโอกาส ที่จะทำให้พอเหมาะ เป็นเรื่อง ยากมาก เพราะถ้าไม่มี ท่าทีดังกล่าว จะเสียประโยชน์ เป็นเรื่องลึกซึ้ง

        พลังอำนาจโดยธรรมนั้นสูงส่ง เจริญกว่าการบังคับ เรามาทำ เพื่อให้เป็นว่า เป็นอำนาจ โดยธรรม มีความสงบเรียบร้อย เป็นความถูกต้อง ดีงาม แต่ละวินาที แต่ละนาที ชั่วโมง เป็นเดือน ถ้านับตั้งแต่ สวนลุมฯมานี่ ก็เป็นร้อยกว่าวันแล้ว

        อำนาจโดยธรรม เป็นคุณงามความดี ความถูกต้อง เราก็ชนะรายทาง มาเรื่อยๆ มันยากส์... มาก แต่เราก็ชนะ มาเรื่อยๆๆๆ คนที่ไม่เข้าใจ จะเห็นว่า ทำไปทำไม ไม่ได้ผลหรอก แต่เราบังคับ ใจใครไม่ได้ เราไม่ได้ครอบงำ หรือหลอกล่อ แต่มาพูด สัจธรรม เป็นความเจริญ อันแท้จริง

        เราประท้วงมา มี BBCว่า มี ๕.๗ ล้านคน เขาคำนวณจาก ภาพถ่ายดาวเทียม BBC ได้ ๕.๗ ล้านคน ส่วน CNN ได้ ๕ ล้านคน มีหลักฐาน ที่เขาตรวจสอบกัน นิตยสาร Time ค้นหามา ๑๐ อันดับ แต่สรุปแล้วทั้ง ๑๐ รายการ มีคนมา ระดับหมื่น ระดับแสนคน แต่ของเรา ทิ้งเขาลุ่ยเลย เรามาเป็นล้านคน แต่เลี้ยงดู อยู่กันนาน เป็นหลายเดือนแล้วนะ  จงภูมิใจว่า เราได้สร้างสิ่งวิเศษ แก่สังคม มามีวิถีชีวิต ที่ดีงาม แบบนี้แหละ ที่เราทำนี้ เรียกว่า มาทำงานการเมือง ทุกคนที่มานั่ง อยู่ที่นี่คือ นักการเมืองหมดแหละ

        เป็นมวลประชาชน มาทำหน้าที่ตามรธน.​ เพื่อประโยชน์สังคม ต่างคนต่างช่วยกัน ไม่คำนึงถึงส่วนตัว ทิ้งการงานส่วนตัว มาช่วยกันตรงนี้ เพื่อประพฤติ ให้เป็นรูปธรรม จนมีการก้าวหน้า ของพลังแห่งการเมือง เป็น อำนาจโดยธรรม มีอำนาจ ทำให้เขาลด เขาเลิกไป เราก็จะมีสิ่งใหม่ มาทดแทนสิ่งเก่า เป็นการเปลี่ยนแปลง สังคมประเทศ เขาทำมานี่ มันเสียหาย

        ขอนำหลักการการเมือง ๑๐ ข้อ ที่อาตมาเคยนิยามไว้ มาอธิบาย
         1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล
         2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้ พระพุทธเจ้า เป็นนักประชาธิปไตย สูงสุด ตั้งแต่ยุคก่อน ที่เป็นสังคมทาส แต่พระพุทธเจ้า มาปลดแอกทาส ออกมาได้ คือ อิสรเสรีภาพ ทุกคนเท่าเทียมกัน
         3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน  (ประชาชน ก็ใส่ใจ ขวนขวาย เรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่า ไปเลือกตั้ง เท่านั้น) 
         4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว
         5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
         6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน  คุณคือคนที่คนเขา จะเลี้ยงไว้ ให้ทำประโยชน์ ต่อสังคม จะใช้อะไร ก็จะมีเครื่องไม้ เครื่องมือให้ใช้ คุณไม่กินใช้ เปลืองด้วย ประหยัด มัธยัสถ์ มักน้อย สันโดษ
         7. งานการเมือง ต้องเป็นงานอาสาเสียสละ  เรามาทำงาน รับใช้สังคม แล้วคน จะมารับใช้เรา เขาจะมาช่วยเราทำ โดยเราไม่ต้องจ้าง เราเลือกเอาด้วย คนไหนไม่ไหว ก็ไม่เอาได้
         8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ ๔)
         9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม ข้าราชการนี่คือ นักการเมือง คือนักรับใช้ ประชาชน ประจำเลย แต่เขาไม่รู้ตัว เขามีอคติ เพราะโลภ จนคอรัปชั่น โลภในยศตำแหน่ง สรรเสริญ​ เสพกาม บำเรออัตตา เมื่อไม่ศึกษาธรรมะ ก็เป็นเช่นนั้น เพราะทำงาน ไม่ได้รับใช้สังคม จริงๆ ทำงานเพราะไม่รู้พอ สะสมตะกละ ไปเรื่อยๆ ทั้งที่เขา ทำงานการเมือง เป็นอาชีพ คือรับใช้เป็นอาชีพ แต่ทุกวันนี้ เพราะกลัวเสีย โลกธรรม จึงเป็นข้าราชการ ที่ไม่ชอบธรรม
         10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงาน เพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่น ที่พ้นไปจาก ตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน ผู้มีคุณธรรม เป็นอรหันต์ คือนักการเมือง ที่สูงส่งที่สุด พระพุทธเจ้า ให้อรหันต์ ๖๐ รูปแรก ไปทำ พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)  นี่คือนักการเมือง ชุดแรกของโลก นี่คือ นักการเมืองตัวแท้ มีชีวิต เนื่องด้วยผู้อื่น พ้นการทำงาน ลาภแลกลาภ มีแต่คนเขา จะตอบแทน อนุเคราะห์ เลี้ยงเอาไว้ เขาก็จะทำประโยชน์ ต่อไป เป็นเนื้อนาบุญ

         งานการเมือง จึงคืองานเพื่อบ้านเพื่อเมือง แต่นักการเมือง ที่ทำอะไร เพื่อพรรค จึงห่างไกล ประชาธิปไตย ไว้มากเลย

        ที่เรามาทำงานการเมืองนี่ เป็นเรื่องใหม่มาก จนคนงง สงสัย คนก็ว่า จะเอาความสงบ ไปยึดอำนาจ ไปสยบอำนาจ มันมีที่ไหนทำได้ ทำได้อย่างไร ก็เห็นใจเขานะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราก็ชนะรายทาง มาเรื่อยๆ แม้จะต้อง เลิกงานนี้ไป โดยเขา ต้องครองอำนาจอยู่ เราก็ต้องเลิกไป ทั้งที่รัฐบาลเดิม ก็ยังครองอำนาจ บริหารอยู่ แม้เราจะต้องกลับไป จงทราบไว้ว่า คุณหาบความชนะ ไปด้วยนะ ไม่ใช่คุณไป มือเปล่านะ ได้แล้วบ้างแล้ว แต่มันน่าจะได้อีก เราก็เลยต้องอยู่อีก ด้วยความพากเพียร ต่อไป แม้ทางนั้น จะง่านโด้อย่างไร เราก็ได้อยู่นะ ก็อุตสาหะทำต่อ อนุโมทนา กับพวกเราด้วยนะ

        เรามีอยู่สามกอง
        กองอนุสาวรีย์ ก็ปลุกเร้าเอาเข้าไป พอมาถึงกองเรา ผ่านฟ้าลีลาศ อันนี้เราบุ๋น อันโน้นบู๊​ ส่วนอีกกองหนึ่ง คปท. กองนั้นก็หนุนเนื่องกัน สนับสนุน ทุกอย่าง จนบางที จับปูใส่กระด้ง ไม่ทัน ก็มีเป้าหมายเดียวกัน เป็นน้องเล็ก กองเรา เหมือนพ่อบ้าน แม่บ้าน ให้เข้าใจเป็นหลัก จะบอกว่า ที่อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย เป็นกองหน้า เราเป็นกอง พลาธิการ กองหลวง ส่วนอีกกองก็เป็น กองจรยุทธ์ บางที รบอย่างไม่รู้

        ที่เราทำนี่ ไม่ได้เสียหาย เรามีอัตราก้าวหน้า ได้ผลมาเรื่อยๆ เป็นการพัฒนา สู่อาริยะ ซึ่งเป็นเรื่องยาก มั่นใจว่าเป็น Best record เป็นการรบ ด้วยธรรมาวุธ ใช้ความสงบ เรียบร้อย ไม่รุนแรง เอามวลประชาชน เอารัฐาธิปัตย์ คืออำนาจรัฐ ที่เป็นของประชาชน ตามมาตรา ๒ ของรธน. มาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ เป็นหัวหน้า ที่ประชาชนยกให้ เรามีในหลวง เป็นผู้สูงสุด ถือว่าเป็นเจ้าของ ความมั่นคง เป็นผู้ถือ หลักเกณฑ์สูงสุด เป็นจอมทัพ มาถึงวันนี้ เราเป็นเจ้าของอำนาจ สังคมแผ่นดิน ทั้งหมด ที่เรามีสิทธิ์มาดูแล จัดแจงเอง นักวิชาการ ก็เถียงกันว่า มันไม่เคยมีตัวอย่าง ที่จะทำได้ สวยงาม ประเสริฐเลิศเลอ ขนาดนี้ จริง บางอย่าง อาจมีบกพร่องบ้าง เราเป็น รุ่นแรกๆ ก็เลยเป็นอย่างนี้ บางคนก็ยังมี เศษเสี้ยงความหลง ที่จะเอาแบบ Force อยู่บ้าง ก็ถือว่า งดงามมาก เป็นรุ่นหัวเจาะ บุกเบิก เป็นจารีตแบบใหม่ ที่เอาความสงบ มาเป็นอาวุธ มาขออำนาจคืน ซึ่งที่อื่นเขา กว่าประชาชน จะเอาคืนได้ ต้องมีการสูญเสีย มากมาย เพราะคนยึดติดอำนาจ มีกิเลส ไม่มีหิริโอตตัปปะ แม้รู้ผิด ก็ขอดันทุรัง จนถึงขั้น โด้ ก็จะเป็นอย่างนี้มาตลอด เราทำได้ขนาดนี้ เป็นโมเดลใหม่ ที่มาสู้ด้วยคุณธรรม ได้ผลก้าวหน้า

        ที่พวกเราทำมา ขอถามกันเถอะ
จ้างมาไหม?...ไม่มี....
แล้วมาด้วย ความสมัครใจไหม?... มาด้วยสมัครใจ...
มาด้วยการถูกหลอกไหม?.... ไม่

        เรามายืนยันคะแนนเสียงคราวนี้ มันคนละบริบท จากการเลือกตั้ง อันนี้เรามา ในบริบท ของการไล่ออก ทวงคืนอำนาจ เพราะคุณทำผิด ไม่ใช่บริบทของ การเลือก ตัวแทน เข้าไปทำงานนะ บริบทอันนั้น คุณได้ไปแล้ว แต่ทำงานไป มันผิดพลาด เสียหาย ขบถ เราก็บอกว่า คุณหยุดได้แล้ว มาสดๆเป็นๆ ไม่ใช่แค่ ไปลงคะแนนเสียง ไม่กี่วินาที แต่นี่ของเรา เสียสละ มากันทั้งตัว มาเป็นเดือนๆ เลยนะนี่ มากันตั้งเป็นล้านเลย คะแนนนี้ มันคนละ บริบทนะ ยืนยันได้ว่า วันนั้นเป็นวัน ออกคะแนนเสียง แข่งกัน เขาก็มาที่ รัชมังคลากีฬาสถาน เขามากัน ไม่เต็มสนาม ก็ไม่ถึงแสนคน แต่แถมให้ สองแสนเลยนะ แต่ของเรา มาเป็นล้านคนเลยนะ มันเทียบกันไม่ได้ กี่เท่านะนี่ แต่เขาก็จะเอา แค่เลือกตั้ง จบดร.มา ประชาธิปไตย มีแต่เลือกตั้ง อย่างนี้มันไม่ครบหรอก ในประชาธิปไตย

        ถ้าเข้าใจว่าประชาธิปไตย คือการออกมา ชุมนุมประท้วง กี่ล้านคนออกมา เป่าปรี๊ดเลย เอานกหวีด เป็นสัญญลักษณ์ก็ได้ อย่างนี้ ไทยเป็นมหาอำนาจแน่ เพราะเมื่อ รัฐบาล ทำผิดพลาด ไม่ดีเมื่อไหร่ ก็เป่าปรี๊ดออกมากันเลย ทำให้เขา ไม่กล้าทำผิด ทุกวันนี้  เขาก็มีวิธีการ ประชานิยม เป็นการแลกเปลี่ยน แบบทุนนิยม ให้ไปเพื่อ จะเอาคืนมาอีก มากกว่า ได้เปรียบมากเท่าไหร่ ถือว่าสูงส่ง ซึ่งเป็นความคิด ที่เลวร้าย อย่างมาก เราไม่ใช้

        ขณะนี้ที่เราพูดกัน คนเลือกตั้งเป็นผู้แทน มันต่างจาก การออกมาชุมนุม ประท้วง เพื่อเรียกอำนาจคืน มันต่างกัน คนละเรื่องเลย แค่นี้ พูดกันไม่เข้าใจหรือ?

        เรามาอยู่นี่ก็มีผัสสะ ได้ทำงานด้วย ได้สองอย่าง
        ๑. เราทำงานให้แก่สังคมก็ได้กุศล ๒.กิเลสเราก็ได้ลด
        ได้ประโยชน์สองส่วน เรียกว่า อุภยถะ ได้ประโยชน์ทั้งตนเอง เกิดญาณปัญญา มีวิปัสสนาญาณ เป็นอกุศลจิตของตน แล้วเห็นว่า ตนได้ปหานกิเลส ในปหาน ๕
๑.     วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)
๒.     ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .
๓.     สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .
๔.     ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .
๕.     นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

        ก็มาช่วยกัน คนละไม้คนละมือ ถ้าทำไปแล้ว สมมุติว่า มันล้มตาย สูญเสียมาก ไม่คุ้ม เราก็ต้องหยุด ก็ระมัดระวัง ตั้งแต่เราทำมา ยกตัวอย่าง พล.อ.ปรีชา พากลับ สวนลุมฯ ตอนไป ข้างทำเนียบ เราก็ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน ถอยกลับมาสวนลุมฯ จนกระทั่ง มารุกที่ผ่านฟ้า กันต่อ สู้ต่อมา จนทุกวันนี้ ขยับไปขยับมาอยู่นี่ มียุทธภูมิที่ดี รบไปเรื่อย จนกว่า จะได้ผลสูงสุด นี่คือ งานหลักของมนุษยชาติ พวกเราแต่ละคน ไม่เสียชาติเกิด ได้ฝึกฝน สิ่งที่ดีในชีวิต ไม่อย่างนั้น ก็จะหลง ทำมาหากินไป ไม่รู้จักจะ กตัญญูกตวเที ต่อสังคม

        งานการเมือง ต้องมีคุณธรรม และเป็นกุศล ถ้าเป็นงาน ที่เป็นอกุศล เป็นโทษ อย่างที่เขาทำกัน ทุจริตผลาญพล่า ไม่รับใช้ แต่มาสูบกิน เอาเข้าตัวเอง และพวกพ้อง อย่างนี้ห่างไกล งานการเมืองมาก เราก็ต้องให้เขา หยุดทำสิ่งผิด

        ที่เราทำนี่ เป็นงานได้บุญได้กุศล ทั้งนั้นเลย งานการเมือง ไม่ได้มาหลอกล่อนะ ให้เข้าใจ ความจริงอันนี้ ชัดเจนนะ
        จะอ่านบทกวี ที่แต่งล่าสุดให้ฟัง       
                                               “โง่”ยกกำลัง “ด้าน” = ง่าน-โด้
                                               “ด้าน”ยกกำลัง “โง่” = โด้-ง่าน   

                                   (๑) ห้าหกเพิ่งผ่านต้อง            ตรึงตรา
                                   มวลมหาชนออกมา                ต่อต้าน
                                   รัฐบาลและรัฐสภา                  เพียรกบฏ
                                   เพราะ “โง่” ยกกำลัง “ด้าน”  ง่าน-โด้ ตาใส
                                   (๒) ใครจักกล่าวโทษท้วง      ก็ไถล
                                   ทุจริตผิดขนาดไหน                ก็ด้าน
                                   โง่ขั้นขบถก็ไข-                      สือบอด บ้าแฮ
                                   ชนหลักล้านค้านต้าน             ก็ “ง่านโด้”โวเถียง
                                   (๓) อ้างเสียงข้า                       เลือกตั้ง มานะ
                                   ริบรัฐาธิปัตยะ                         เซ่อซ้ำ
                                   ข้าคืออำนาจจะ                       บังอาจ กำแหงฤา
                                   ยึดรัฐสภาค้ำ                           ข่มด้วยเผด็จการ
                                   (๔) พาลอ้างแต่ “เลือกตั้ง”      คือ ประชา- ธิปไตย์
                                   รัฐศาสตร์สั้นแคบคา              แค่นี้
                                   ชูคะแน “เลือกตั้ง” หา            มวลหมู่
                                   แล้วร่วมกันบดบี้                    ชาติให้ฉิบหาย
                                   (๕) ขายชาติปล้นชาติแล้ว      หลอกคน
                                   โง่หนัก(อวิชชา)ด้านหนาจน  ง่าน-โด้
                                   ขอดคำด่าขุดขน                     มาหมด แล้วเฮย
                                   มันสุดแล้วอกโอ้                     ชั่วร้ายเกินใด
                                   (๖) ได้ “โด้” ได้ “ง่าน”นี้        เป็นคำ
                                   ศัพท์ใหม่ไทยช่วยจำ               จดไว้
                                   “โง่” ผสมกับ “ด้าน” ยำ          เป็น “ง่าน”
                                    “ด้าน” หนักผสม “โง่” ไซร้   จึ่ง “โด้” ชี้อธรรม
                                   (๗) ชีพนำโชคได้พบ              พฤติการณ์ 
                                   ชาติถูกชั่วพร่าผลาญ              ยืดเยื้อ
                                   แต่ถูกประชาปหาร                 ด้วยสงบ ประหลาดแล
                                   ธรรมฤทธิ์พิชิตเชื้อ                  ชั่วได้ปาฏิหาริย์.

           
                                                                            สไมย์ จำปาแพง
                                                                             ๙ ธ.ค. ๒๕๕๖
                           [นัยปก “เราคิดอะไร”  ฉบับ ๒๘๑ ประจำเดือน มกราคม ๒๕๕๗]

 

 
๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.