_561215_พ่อครูที่มัฆวาน
เรื่อง การประท้วงอย่างโลกุตระ

            พ่อครูว่า.... เรื่องของสังคมเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ เรามาใช้เวลาแรงงาน เพื่อให้เกิด ธรรมะ คำว่าธรรมะ เป็นคำรวม ที่ครบทุกอย่าง ถ้าใครตามข่าวคราว ก็จะเห็นว่า มีเวที หลายเวที จะถกกันว่า จะเลือกตั้ง ก่อนปฏิรูป หรือจะปฏิรูป ก่อนเลือกตั้ง ทุกเวทีเลย

            เราก็พูดตามที่เราถือ แม้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร จะเป็นอะไร ก็ไม่ว่ากัน ประเด็นสำคัญคือ ให้สังคมมีบทเรียน มีความรู้มีธรรมะ มีกุศลขึ้นเท่านั้น ตอนนี้เแม้แต่ ทางรัฐบาล เขาก็จะสำเหนียก ก็ดีขึ้นๆ รัฐสภาที่ขาหักขาเป๋ เป็นต้น ทั้งประเทศ ตอนนี้ ตื่นรู้ ประเทศนี่ คนทำเลวทำชั่ว ก็ได้บาปหนัก แต่ก็พอมา เฉลี่ยกันได้ มีการพัฒนา ความรู้ความเข้าใจ มีความสำนึก มีคุณค่า มีราคาขึ้น

            อาตมาพูดซ้ำพูดซาก แล้วว่ายังงง ว่าท่านผู้รู้ ผู้ที่เรียนกันมาสูงๆ มาแย้ง เถียงคอ เป็นเอ็นว่า ที่มหาประชาชน ออกมาประท้วงนี้ ไม่มีในรธน. การที่ประชาชน ออกมา หลายล้านคนนี่ ไม่มีในกฏหมาย รธน.นะ

            อาตมาก็ดูในรธน. ๗ มาตรา แรก

            มาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
            มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญนี้

            ประชาชนเรา เป็นเจ้าของอำนาจ แล้วเรายกให้ในหลวง เป็นประมุข ลงพระปรมาภิไธย แต่งตั้งตุลาการ ทำงานถ่วงดุลร่วมกับ รัฐสภาและครม. นอกนั้น ก็กระจาย การบริหาร ไปตามมาตราต่างๆ

            ที่เราออกมาแสดงสิทธิ เขาก็แย้งอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่มีๆๆ เขาว่าทำไม่ถูก เราก็ว่า เราทำตาม มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ และ ปราศจากอาวุธ โดยไม่มีการสร้าง ข้อมูลเท็จ เอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชน ให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับ และไม่จ้างวาน กลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

            ออกมาแสดงตัวเป็นๆสดๆ แสดงทางตรง แท้ๆเลย อาจมีพกพร่องบ้าง ก็แค่ไม้ หรือ เล็กๆน้อยๆ แต่ว่าเราทำโดยรวม เป็นสันติวิธี แล้วมาบอกว่า เรามาประท้วงนี่ ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ว่าประชาธิปไตย คือการออกมา ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

            เขาว่าอำนาจอธิปไตย คือมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แล้วจบ เราก็อ่าน หนังสือออก อยู่นะ ว่าเรามาทำหน้าที่ ถูกต้องตามรธน.นะ และตามมาตรา ๗๐ และ ๗๑ นะ เรามาบอกว่า คุณผิดอันนั้นอันนี้ คุณใช้อำนาจหน้าที่ ผิดมาตรา ๓ จนตุลาการ ชี้ว่าผิด คุณก็ไม่รับ อย่างนั้น มันใช้ไม่ได้แล้ว เราก็ไม่รู้ จะทำอย่างไร เราก็ว่า ทำตาม รธน.นะ ไม่ได้ขัดแย้งกับรธน. ประชาชนออกมา แสดงสิทธิ์อำนาจอธิปไตย ตามมาตรา ๒ และ ๓ นี่เขาก็แย้งอีก เขามีสมอง หรือว่า ข้างในกลวงๆไม่รู้

            คำว่า ประชาธิปไตย นี่มีคำว่า ประชา กับอธิปไตย มันแปลว่าอะไร หมายถึงอะไร ทั้งที่มี ความสำคัญมาก ในมาตรา หลักๆเลย

            แม้ประชาชนคนเดียว ก็มีสิทธิออกมาประท้วง แสดงสิทธิของคุณได้ แม้คุณ จะออกมา แย้งผิด คุณก็ผิดไปเอง ไม่มีผลได้อะไร เพราะแย้งผิดๆ แย้งไปเขาก็ว่า บ้าๆบอๆ ไม่ผิดกฏหมายด้วยนะ แล้วเราออกมา เป็นแสนเป็นล้าน ประเด็นที่เราท้วงนี่ ไม่ผิดด้วย สังเกตดีๆว่า ที่เราท้วงไปนี่ เขาไม่เถียงไม่แย้ง พูดแต่ว่า ประชาธิปไตย คือการเลือกตั้ง แล้วบอกว่า ไม่มีในรธน. อีก มาตรา (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

            คุณต้องคุ้มครองพวกเราด้วย ตามรธน.ไม่ใช่ว่า มาจัดการเรา มาปราบเรา คุณมากวาดล้างเรานี่ คุณทำตามรธน. มาตราไหน ทั้งที่เรานี้ ทำถูกตามรธน. เราทำมา องค์รวม ถูกต้องตลอด เราทำให้เขาสำนึก แล้วจะมาตีกินอะไร เอาอำนาจ มาเบ่งข่มอะไร เราทำอย่างชอบธรรม ให้ทำสิ่งดีงามควรเป็น

            พล.ร.อ.ชัย สรุปเมื่อกี้นี้ ว่าเราทำนี้ ถูกต้องดีงาม ชนะมาเรื่อยๆ เกิดผลดีงามเรื่อยๆ เป็นกำไร ของสังคม ประเทศชาติ ประเทศไทยเจริญขึ้นนะ แม้ว่าอำนาจ บาตรใหญ่ ที่มีคนถือนี้ สุดท้าย สมมุติว่าเขาชนะ เราต้องถอยเลยนะ เราก็ยังทำให้ ประเทศชาติ ก้าวหน้า แต่คนชั่ว เขาก็เลวได้เพิ่ม เขาได้ใจย่ามใจเพิ่มอีก ก็ง่านโด้เพิ่มขึ้น เราก็ไม่ต้อง ไปทะเลาะ ดันทุรังเกินเหตุ ถึงเวลาเราก็มาอีก

            คนทำชั่วไม่ถูกต้อง เขาทำออกมา คนก็เห็น โลกก็เห็น จะมองให้ลึกๆ คือ เขาประจาน ตัวเองนะ แม้ปล่อยให้เขา ทำชั่วต่อไปอีก ยกตัวอย่าง ที่เขาทำปู้ยี่ปู้ยำ เงินของชาติ กู้มาเป็นหนี้ อีกเรื่อยๆ ผู้รู้ก็บอกว่า ทำรถไฟความเร็วสูง ใช้เงินไม่กี่แสนล้าน แต่นี่กู้มา เป็นล้านๆ ทำให้เป็นหนี้ไปอีก หลายสิบปี มันส่อทุจริต คนก็ไม่ฉลาดนัก ก็ยังมองออก นี่คนฉลาดมาบอก ยิ่งเขาทำ ยิ่งประจานตัวเอง จะบอกว่าเขาฉลาด ที่จริงเขา “ง่าน” คือโง่ยกกำลังด้าน

            เมื่อประชาชนได้ตื่นรู้ ที่ทำนี่เป็นประโยชน์มาก ที่ประชาชนไทย ได้ตื่นรู้มากมาย พล.ร.อ.ชัย สรุปว่า ไม่เคยมีในโลก ที่มีคนออกมามาก เป็นหลายล้านคน แล้วสงบ เรียบร้อย เอาระเบียบอะไร มาควบคุม ไม่ให้อลเวง ไม่รู้จักมักจี่กันด้วย แล้วมารวมกัน อย่างไร ให้เรียบร้อย ไม่เกิดเรื่องราวไม่ดี เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ออกมามากขนาดนี้ มายืนยันสัจจะ

            เรื่องนี้ กำนันสุเทพ จะพาทำต่อไป อาตมาตีกลองส่งเลย เชิดกลอง ให้ทำ ต่อไปเลย เอากันให้สุดซอย แห่งซอยให้ได้ เพราะมันดีงาม สุดยอด สุดประเสริฐแล้ว ก็เชียร์เต็มที่

            เราได้มาประเทืองปัญญา วันๆคืนๆผ่านไป เราก็เป็นไปได้ ไม่หนักหนา สาหัส เกินไป ก็มีเหนื่อยบ้าง อาจไม่สะดวกสบาย เหมือนอยู่บ้าน ไม่เรียบร้อย สมบูรณ์แบบ ก็ลำบากบ้าง แต่เราก็ว่าได้ผล นี่คุ้มกว่าผลเสียนะ

            อาตมาสรุปมาได้ ๕ ข้อว่า
            ๑. เป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แบบนี้
            ๒. ความสงบเป็นอำนาจที่แปลกใหม่ เอาความสงบเป็น ธรรมาวุธ ไม่ต้องใช้ เรี่ยวแรง
            ๓. ไม่ความสงบนั้น มีความถูกต้องดีงาม เป็นเครื่องตัดสิน หรือเป็นบุญญาวุธ หรือ ธรรมาวุธสำคัญ
            ๔. ทำไมมันไม่จบซักที
            ๕.​เป็นโลกุตระ 

            เป็นเรื่องใหม่ไม่เคยเกิด ที่เราทำนี่ เกิดได้ก้าวหน้า มาเป็นประชาธิปไตย สวยสด งดงาม ที่ประกอบด้วยคุณธรรม ไม่งงไม่สงสัยเลยว่า ผู้รู้จะหมุนสมอง ไม่ทันสมัย เราก้าวพ้นเลยเขา ล้ำหน้าเขาไปแล้ว เขายังไป ไม่ถึงไหนเลย สิ่งที่เราช่วยกันทำนี่ จึงยาก แล้วใหม่ เราทำได้ดี สงบดี เหมือนกับเรายอมแพ้ ยอมอ่อนไม่แข็งกร้าว ไม่กดดันแข็งสู้ แต่ใช้คุณงามความดี มาช่วยอธิบาย สิ่งถูกสิ่งผิด เราทำสงบเรียบร้อย เอาความถูกต้อง มายืนยัน จนกระทั่ง เราสามารถมีความรู้ เพิ่มเติมขึ้นมามาก ถึงขั้นมีอาริยะ มีโลกุตระ

            โลกุตระต่างจากโลกียธรรมอย่างไร โลกียะคือตกอยู่ในห้วง ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข สุขด้วยกาม ด้วยอัตตา บำเรอกามคุณ บำเรออัตตา ส่วนโลกุตระนั้น พ้นจาก สิ่งเหล่านั้น ล้างตัวเหตุ กิเลสตัณหาอุปาทานได้

            กิเลสตัวนิ่งคือ “อุปาทาน” Potential energy พอมันเคลื่อนไหวออกมา ตัวนี้ ตัวเดียว นี่แหละ มันเป็นอนุสัย อุปาทาน แล้วพอมันเคลื่อนไหวออกมา ก็เป็นตัณหา มันจะมีอาการที่รู้ได้ ว่าอย่างนี้ราคะ อย่างนี้โทสะ แล้วเราสามารถ จัดการกิเลส ให้ตายสนิทเลย อย่าง นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

            อย่างมีญาณปัญญา ไม่ใช่กดข่ม อย่างนั่งสมาธิ ทำฌานแบบฤาษี เราทำได้อย่าง ไม่ใช่สามัญลักษณ์ แต่เราทำได้ อย่างที่เป็น ปัจจัตลักษณ์ คุณมีญาณเห็น อนุปัสสี ๔
            ๑. อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา).
            ๒. วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 
            ๓. นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)
            ๔. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)

            แล้วเพียรทำอย่าง
            ๑. สังวรปธาน (เพียรระวัง ไม่ให้บาปเกิดขึ้น)
            ๒. ปหานปธาน (เพียรละบาป ที่เกิดขึ้นแล้ว) .
            ๓. ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้าง ให้กุศลเกิดขึ้น)
            ๔. อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศล ที่เกิดขึ้นแล้ว  ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)

            ทำนี่ไม่ใช่แค่ภาษา แต่ว่ามีสภาวธรรมด้วย แม้ไม่รู้ภาษา แต่ว่ารู้สภาวะ มีเอง เป็นของจริง ก็ไม่ต้องท่องมา ก็จำได้ ไม่สับสนเลย มันเป็นของจริง

            โลกุตรธรรมนี้ ยืนยันว่าเราได้ แม้แต่ละคน ไม่รู้ภาษาธรรม ที่มาปฏิบัตินี้ แต่ว่าได้จริงๆ เป็นผลงานจริง ที่เกิดในมนุษยชาติ ไม่มีปัญหาเลย เพราะการศึกษาแบบนี้ ผลประโยชน์ของ การศึกษาแบบนี้ ราคาแพง มหาวิทยาลัย ที่จะมาเรียนแบบนี้ แม้แต่ มหาวิทยาลัย ทางพุทธศาสนา กว่าจะเรียน เป็นโลกุตระนั้น ก็ยาก อาจจะมีบ้าง แต่หายาก ที่จะชัดว่าถูกต้อง อย่างสัมบูรณ์ หาที่เรียนยาก มันเป็นสิ่งที่ต้องการ เป็นอุปสงค์ของ มนุษยชาติมากมาย ที่เรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ก็แค่แสดงหาโลกธรรม แสดงหากาม และอัตตา เป็นโลกียะ หาได้มากมาย แต่มหาวิทยาลัยโลกุตระ หายากมาก ในสังคม มันเป็นอุปสงค์มาก ของสังคม หาคุณสมบัติอันนี้ ในมนุษย์ยาก หาได้ยาก ในโลกมนุษย์ ถ้าได้จริง ก็เป็นประโยชน์ ต่อตนและสังคม

            ๑.ได้แล้วมันถาวร ถึงรอบแล้วไม่กลับกำเริบ มีแต่ได้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก
            ๒.ไม่แย่งลาภยศสรรเสริญ กับสังคม แต่เป็นสุข เป็นปรมังสุขัง ยอดเยี่ยมแห่ง สุขสงบ ไม่ใช่สุขอย่างจัดจ้าน รสสุขของธรรมรส กับโลกียรส นั้นต่างกัน ของโลกีย์นั้น จ่ายพลังงาน แต่ของโลกุตระนั้นสดชื่น สุขสงบสบาย ไม่ได้จ่ายพลังงานอะไร แต่สุขโลกีย์นั้น สุขร้อนนะ สปาร์คแรงๆ ก็ช็อต ช็อคตายได้ ดีใจมากๆ นี่ช็อคตายได้ เป็นเรื่องจริงเลย
            สิ่งที่เกิดเป็นคุณต่อตน
            ๓.การลดกิเลสของพุทธ กิเลสลด แล้วไม่ขี้เกียจ แต่กลับมี พลังปัญญา หรือ ปัญญาพละ อนวัชชพละ วิริยพละ สังคหพละ

            อนวัชชพละ จะมีการคัดเลือกเฟ้นงานที่ดี รู้เหมาะควร ที่เป็นสัมมาอาชีพ มันรู้ชัดเลย อ่านออกเลือกเฟ้นได้ จึงมีพลัง ๔ มีกำลังช่วยเหลือ สงเคราะห์ หรือ สังคหพละ ช่วยเหลือสังคมโลก ไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เรามาสร้างสรรงาน เป็นคุณสมบัติ ที่จริงที่แท้ จะเป็นคนดีจริง เจริญแบบนี้ สร้างสรรมากแล้วไม่กักตุน มีแต่สะพัด แจกจ่าย เจือจานไม่หวงแหน เป็นคุณสมบัติแท้ๆ ของความเป็นจริง ไม่เปลืองผลาญ ตามที่เขาล่อหลอก ให้งมงาย เราตื่นรู้ ไม่ถูกหลอกแล้ว แต่ก่อน เราต้องวิ่งไปเสพ บันเทิงเริงรมย์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง แค่นี้ก็พอ มันเกินเหลือแล้ว เป็นสัจจะ ความเป็นจริง

            กำลังที่จะมาทำงาน ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คนๆนี้อยู่ในโลก ก็พ้นภัย ๕
            ๑. อาชีวิตภัย (ภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไม่กลัวแม้เศรษฐกิจจะแย่)
            ๒. อสิโลกภัย (ภัย คือ  การติเตียนจากคนโลกๆ)
            ๓. ปริสสารัชภัย (ภัยคือ  การสะทกสะท้านต่อสังคม) 
            ๔. มรณภัย (ภัยคือ  ความตาย)
            ๕. ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ  เช่น อบายภูมิ  นรก เดรัจฉาน  ฯ)

            ยิ่งมีระบบระบอบ ที่อยู่กันอย่าง สาธารณโภคี ก็ยิ่งดี สร้างสรร แต่ละคนมีมาก แต่ไม่เอา นำมาเติม แก่ส่วนกลางให้มาก ก็ยิ่งเหลือ แบ่งแจกแก่สังคมได้ เป็นรัฐศาสตร์ และ เศรษฐศาสตร์แก่โลก

            เรามีแต่ทำดี ไม่กลัวจะมีภัย ต่อการตำหนิ คนโง่เท่านั้น จะตำหนิเรา ว่าเราอยากได้ อยากมีอยากเป็น ทั้งที่เรา ไม่ได้อยากเป็นอย่างเขา เราเลิกละ มานานแล้ว เขาก็เข้าใจไม่ได้ เราก็ไม่กลัว คนตำหนิ ไม่สะทกสะท้าน ในการมาช่วยสังคม เรามั่นใจว่า เราได้ทำดี เป็นประโยชน์เกื้อกูลสังคม แม้ว่าที่สุด จะสูงไปถึงขั้น ไม่กลัวตาย เราทำดี ตายในตอนทำดีนี่ก็ยิ่งดี คนหลบในรูตาย ไม่ได้ช่วยใครกับคน ออกมาช่วยคน แล้วตาย คนไหนจะมีค่า มากกว่ากัน ...ง่ายๆ

            ก็คนออกมา ก็น่าภาคภูมิใจกว่า แล้วใครจะไม่ตายบ้าง เราก็รู้หลบบ้าง แต่มันสุดวิสัย หวยออกเราก็ตาย เราตายเพื่อความอยู่รอด ของประเทศชาติ เสียสละ เพื่อประเทศชาติ ชาติอยู่รอด เพราะคนเหล่านี้

            คนที่ตายด้วยคุณค่า คุณงามความดี คุณได้กุศล อิสลามบอกว่า คุณตาย เพราะทำความดี ทำเพื่อชาติ คุณก็ไปอยู่กับพระเจ้า

            ไม่ได้มาหลอกล่อนะ แต่เป็นสัจจะ คุณงามความดีนะ แล้วราคาแพงนะ เราไม่ถึงที่ตาย ก็ไม่ตายหรอก พล.อ.ปรีชา ผ่านตายมา กี่สนามรบ จนได้ ๑๖ ขั้น แต่คนถึงที่ตาย นอนอยู่ในมุ้ง เครื่องบินตกมาใส่ตายก็มี ทำไมมาตกใส่ตายได้ นั่งอยู่บนเรือ รถยนต์ดันวิ่งไปชนตาย บนเรือก็มี เห็นว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ

            ทุคติภัย ถ้าคุณทำแต่ดีไม่เสื่อม คุณจะกลัวเสื่อม คุณละชั่ว ทำดี แล้วคุณจะเสื่อม ได้อย่างไร คุณจะกลัวชั่วทำไม เพราะคุณไม่ได้ทำชั่ว ตายไป ก็ไม่กลัวจะไปสู่ที่ เสื่อมต่ำ เราไม่ได้ทำ ยิ่งทำดีมาก ก็ยิ่งมั่นใจ

            มีกำลัง ๔ จะพ้นภัย ๕
            พยายามพากเพียร ให้พอเหมาะ พอดีตามขั้นไม่อย่างนั้นเกินตัว พระพุทธเจ้า ให้ทำอย่างเป็นขั้นตอน ราบเรียบ อย่างกับฝั่งทะเล

            เราปฏิบัติไป เราก็ยิ่งอยู่เหนือกิเลส ลาภ ยศ สรรเสริญ เหนือกามเหนืออัตตา เราก็รู้ทัน มันทำอะไรเราไม่ได้ แล้วเราก็ได้ช่วยโลก เป็นโลกานุกัมปา เป็นคุณสมบัติของ ผู้ที่มีธรรมะ

            พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

            พระอรหันต์ ไม่เบื่อในการฟังธรรม พระพุทธเจ้าท่านว่า ให้สมบูรณ์ในโพชฌงค์ ๗ ก็จะมีฐานแห่ง ความดีงาม สงบของพุทธนั้น สงบจากกิเลส โลภ โกรธหลง ลดลง นี่คือปัสสัทธิ ยิ่งสงบมาก พลังสร้างสรร ยิ่งเร็วยิ่งแรง ไม่ใช่สงบ แล้วไม่ทำอะไร หนีจากโลก อย่างลัทธิฤาษี พุทธทำแล้ว จะมีคุณลักษณะ ที่ช่วยเหลือโลก มีความรู้ทันโลก

            ปีตินั้นไม่ใช่ว่า ไปดีใจที่ได้ลาภยศ เราดีใจ ที่เห็นกิเลสลด มันมีคุณค่ามากกว่า สั่งสมเป็น สมาธิสัมโพชฌงค์ จิตอันนี้ ตกผลึกตั้งมั่น สมาธิไม่ใช่นั่งหลับตา แข็งทื่อ ไม่ทำอะไร แต่คุณลักษณะพิเศษของจิต ที่บรรลุธรรม แบบพุทธนั้น มีความวิเศษ มากหลายกว่านั้น

            อุเบกขาคือความเป็นกลาง ถ้าเป็นกลาง คือเข้าข้างสิ่งอกุศล หรือไม่เข้าข้างใคร ก็คือ กลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ โลกธรรม หรือเพราะกลัว
            ๑. พ้น ฉันทาคติ  (ไม่ลำเอียงเพราะ รัก)
            ๒. พ้น โทสาคติ   (ไม่ลำเอียงเพราะ ชัง)
            ๓. พ้น โมหาคติ   (ไม่ลำเอียงเพราะ หลงผิด)
            ๔. พ้น ภยาคติ      (ไม่ลำเอียงเพราะ กลัว)

            ที่คนไม่ออกมา เพราะว่า เป็นคนที่เข้าใจว่า ความเป็นกลางไม่ถูกต้อง มีอยู่ ๓ อย่างคือ      
            ๑. ไม่รู้เลยว่า ใครดีใครชั่วหรือโง่ ไม่มีปัญญา ไม่รู้ เลยเข้าข้างไม่ถูก
            ๒. รู้ มีปัญญาเข้าใจ แต่กลัว กลัวจะเสีย ลาภยศสรรเสริญ มีเยอะเลย ให้เขา รบกันไปเถอะ เดี๋ยวมันตีกันตายเลย คนนี้เห็นแก่ตัวมากเลย กลัวเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง รู้ว่าอะไรผิด แต่ว่าบางทีต้องยอม เข้าข้างคนผิด คนผิดมันมีอำนาจใหญ่ เดี๋ยวมันปลด คนประเภทนี้ มีเยอะมากเลย ตั้งแต่สูงจนถึงต่ำ
            ๓. ประเภทมิจฉาทิฏฐิ คือความเป็นกลางต้องอยู่เฉย คือสอนมาผิดๆ เข้าใจผิด ว่าเป็นกลาง ต้องไม่เข้าข้างใคร

            พระพุทธเจ้า สอนให้อยู่กับคนดี อย่าไปคบคนชั่ว แล้วพระพุทธเจ้า สอนให้ใช้ นิคคันเห นิคคหารหัง คือติเตียนวิจัยวิจาร กดข่ม ตำหนิ พูดให้รู้ว่าผิด เสียหาย ท่านแปลว่า ตำหนิคนชั่ว ยกย่องคนดี (นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคันเห ปัคคหารหัง) ข่มคนชั่ว ยกคนดี คำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ปิดปาก แต่พูดให้ดี พูดไม่ดีปาก เป็นสีนะ คุณจะตำหนิ แรงเท่าไหร่ให้ชัด แต่ละคนก็มี สัปปุริสธรรม ๗ ให้ชมคนที่ควรชม

            การยกย่องนี่ ไม่ต้องยกมาก เพราะเขาทำดีอยู่แล้ว ไม่เสียหาย แต่ว่าสิ่งชั่วนี่สิ ต้องชี้ ต้องบอก เพราะ ยิ่งสิ่งชั่ว มีอยู่นานเท่าไหร่ ก็เสียหายเท่านั้น

            คนที่ช่วยตำหนิสังคม คือคนที่ช่วยสังคม คนที่เอาแต่ยกย่องสังคม คือคนที่ ทำลายสังคม

            กายกรรม วจีกรรม ก็ล้วนแล้วไม่ได้สอนไม่ให้เข้าข้างใคร ทางจิตวิญญาณ ให้ทำเป็น ปัญญาปาสาโท ให้มองอย่าง ปัญญารอบกว้าง ใช้ปัญญาที่รู้แจ้งรู้จริง เราพยายาม รวมคนดี มีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ

            เราออกมานี่ ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน เราไม่ไปเสี่ยง ถ้าไม่จำเป็นหรอก ถ้าไม่ได้ผล ๗๐ % ขึ้นไป ไม่พาทำหรอก เราทำอย่าง จิตที่มีความแววไว รู้เร็ว ปรับจิตใจ ตนเองได้ไว ไม่ใช่ตอแหลนะ แต่เอาตามสถานการณ์ ไม่แข็งกระด้าง เปลี่ยนยาก

            การปฏิบัติ อย่าทำเกินตัว และก็อย่าทำให้น้อยเกิน จนไม่ก้าวหน้า มันเป็นมานะ อย่างหนึ่ง เราก็ทำเต็มที่ แต่ไม่อ้าขา ผวาปีก ทำจนเสีย เริ่มต้นแต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐
            ศีล ๕ เป็นโสดาบัน
            ศีลข้อ ๑ เราต้องไม่แย่กว่าสัตว์ สัตว์มันไม่รู้ มันก็ทำร้ายเรา คุณก็อย่าไป ตอแยมันสิ เราไปโทษสัตว์ไม่ได้ เราก็ต้องหลบหลีกมัน สัตว์มันก็ต้อง ทำอย่างสัตว์ เราต้องฉลาด เราไม่ฆ่าสัตว์ แต่ถ้ามันทำร้ายเรา เราหลบไม่ได้ ก็ให้อภัยมัน

            ศีลข้อ ๒ ไม่เอาของคนอื่นเขา คุณเอาของเขา คุณเป็นหนี้เขา แต่ถ้าคุณให้เขานี่ คุณเป็นเจ้าหนี้เขานะ คุณต้องลดละลงมา ในกรอบศีล ลดมาตามลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน
            ศีลข้อ ๓ ก็ลดกาม
            ศีลข้อ ๔ โกหก คุณฆ่าสัตว์ตายตัวหนึ่งบาป โกหกก็บาป
            ศีลข้อ ๕ คุณเสพสิ่งเสพติด ก็มอมเมา เปื้อนจิตวิญญาณ
            อบายมุข มอมเมา สุราก็มอมเมาหยาบ เมรยะก็มอมเมาอย่างกลาง มัชชะ ก็มอมเมา อย่างละเอียด เป็นต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ คุณไม่ฆ่าสัตว์ คุณก็ไม่ฆ่าคนหรอก สัตว์เล็กก็ไม่ฆ่า เราไม่กินเนื้อสัตว์ก็อยู่ได้ปกติ

            บรรลุธรรมในศีล ๕ คือ กาย วาจา ไม่ทำก็ได้ขั้นหนึ่ง ไม่ถือว่า บรรลุธรรม แต่ว่าถ้าใจ มีหิริโอตตัปปะ ละอายต่อ การทำผิดศีล จิตมันเกิดจริง ไม่โหดร้ายรุนแรง ไม่ฆ่าสัตว์ จนจิตมันเป็นเอง ไม่ฆ่าได้ อย่างปกติเลย ไม่เอาของเขา เราก็รู้ว่า ไม่ใช่ของเรา จิตเรา ไม่อยากได้ของเขาเลย มันไม่สุจริตมันบาป แม้แต่เอาเปรียบเขา ตามระบบ ทุนนิยม เราก็ไม่ทำ เรารู้แล้ว มันจะเป็นจริง สุดท้าย มาเสียสละไม่เอาเปรียบ ชาวอโศก ไม่เอาเปรียบ แล้วยังมาเสียสละอีก เข้าใจมีปัญญาจริง ทำได้นานยาว เป็นนิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

            มาเสียสละทำให้เขา แล้วก็ไม่ดีใจเสียใจ อุเบกขา เหมือนคน ไม่รู้ไม่ชี้ ให้เขาได้เลย อย่างไม่เสียดาย เราก็ทำขึ้นใหม่ แล้วเสียสละอีก คือสัจจะที่เป็นจริง

            ศีล ๘ สูงขึ้นมา เป็นสกิทาคามี ก็ลดละมากขึ้น วิกาลโภชนา เราก็รู้จัก การบริโภค รู้จักประมาณ มีโภชเนมัตตัญญุตา สำรวมสังวรใน นัจจะคีตะวาทิตะ ก็เอาที่เป็นสาระ ไม่ปรุงแต่งจัดจ้าน เหมือนกับทางโลก แต่อาตมาต้องปรุงแต่ง ให้คุณบ้าง เพราะคุณ ติดรสอยู่ ก็ต้องปรุง ไม่ให้คุณหนี

            ปฏิบัติธรรม ก็จะรู้จักการประมาณ ในการแสดงออก ไม่แสดงออกอย่าง ในความหรูหราฟู่ฟ่า ไม่อุจจาสยนมหาสยนา  แต่ให้มักน้อยสันโดษ นิพพานพุทธนั้น ไม่สะสมกิเลส จนกิเลสสูญ เป็นคนจนมหัศจรรย์ ที่ไม่งอมืองอเท้า อย่างในหลวง ที่มีพระราชดำรัสเรื่อง เอาแบบคนจน ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา มันคือภาษาของ พระโพธิสัตว์ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่ตรัสเล่นนะ เป็นเรื่องจริง ไทยเรามีสิ่งดี มากเลย แต่คนรับสนอง ทำไม่ได้ พวกเราก็พยายาม ทำให้เกิดได้ เป็นให้ได้ เรามาแบบ คนจนจริง แต่ไม่อดอยาก แต่จนมหัศจรรย์ เราไม่สะสม เอาเปรียบเอารัด เกื้อกูลเผื่อแผ่ แต่ละคนไม่สะสม แต่มีสร้างสรร ให้สังคมมาก เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ที่ยอดเยี่ยม มาสร้างประเทศ ด้วยการไม่เป็นหนี้ แต่ที่เขาทำนี่ มาสร้างหนี้ ให้ประเทศ อย่างนี้ ล่มจมแน่ๆ  กู้มาก็ไม่ได้มาทำประโยชน์ แต่กู้มาเพื่อโกงอีกต่างหาก ไม่ได้เอามา ทำงานอะไร มันเลวร้ายเหลือเกิน ไม่เคยมีคนเลวร้าย ทำขนาดนี้ ขอถามจริงๆ ผู้ชาย อกสามศอก บริหารมา ๘๐ ปี ผู้หญิงมาบริหารแค่ ๒ ปี กล้าหาญชาญชัยอย่างไร กู้มาก ๒.๒ ล้านๆ ได้อย่างไร... งงมากเลย ….        

 

 
๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.