_561219_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่มัฆวานรังสรรค์
เรื่อง อาริยปฏิวัติ

           ที่เราทำนี่ เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน และสวยงามอย่างมาก ตอนนี้ ชมการปฏิวัติ มากเลย ชมบ่อยเลย ที่พวกเรา ร่วมทำปรากฏการณ์นี้ แก่ประเทศชาติ อวดโลกเขา มันอดชมไม่ได้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า ปัคคัณเห ปัคคหารหัง นิคคัณเห นิคคหารหัง คือติคนที่ควรติ และ ชมคนที่ควรชม ตอนนี้ต้องชม เพราะว่า มันเป็นเรื่อง เกิดได้ยาก และยังเกิดไม่ได้ดีง่ายๆ โดยเฉพาะมวลชน หลากหลายจริต หลากกิเลส แล้วทำให้ดี วิเศษอย่างนี้ได้

           การปฏิวัติของประชาชน ก็เหมือนกับปฏิวัติของ อำนาจกองทัพ หรือหมู่กลุ่ม ที่ใช้อาวุธ เขาก็ใช้อำนาจอย่างนั้น ทำมาตลอด เพื่อยึดอำนาจ ผู้ที่ครองอำนาจเก่ามา ผู้ทำสำเร็จ ก็ได้อำนาจไป ฉันเดียวกันกับ ที่ทำโดยอาวุธ การปฏิวัติ ของประชาชน ที่เราทำ ก็ต้องได้อำนาจนั้นมา เป็นแต่เพียง ผู้ยึดอำนาจเก่าอยู่ จะยอมไหม การใช้อำนาจอาวุธ คนกลัวตาย ก็ต้องยอมให้ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นการรู้แพ้ รู้ชนะ เหมือนเดรัจฉาน แต่คนเรา เป็นสัตว์ประเสริฐ ก็ควรได้สำนึก เข้าใจว่า สิ่งที่ประชาชนไทยทำ ไม่ได้ทำอย่าง เดรัจฉาน ทำมาได้ อย่างยืนนานมา มันน่าจะเห็นแก่ ประเทศนี้ไหม ผู้ที่ครองอำนาจเก่าอยู่ ถ้าเขาเอาอาวุธ ไปบังคับคุณ ก็ต้องยอมอยู่ดี แต่มันไม่งามเลย มันก็อย่างเก่า แต่คราวนี้ มาทำได้ขนาดนี้ มันไม่ง่าย จะเกิด ปรากฏการณ์ ประเสริฐ ที่ยาวนาน เป็นแบบอย่าง ประชาชนทั้งหลาย ออกมายืนยันว่า ประชาชนคือ เจ้าของอำนาจ ๑ คน ๑ เสียง โดยสิทธิสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ไปเลือกตั้ง ที่บางที เลือกหลายที เป็นวิธีการ ที่เขาทำมาแล้ว แต่นี่ของสด เสียงสดเลย

           ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว มีน้ำหนักของ มวลมหาประชาชน ก็มีแล้ว และ มีหลักฐาน ของความผิดความถูก ก็ปรากฏชัดแล้ว แต่ก็ดึงดัน อยู่นั่นแหละ จนต้องอุตริ สร้างคำว่า โด้ กับคำว่า ง่าน ขึ้นมาก

           เขาโง่ที่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งประเสริฐ ของประเทศไทย ของโลกนะ ไม่มีปัญญารู้ หรืออย่างไรว่า เป็นสิ่งประเสริฐ ถ้าได้สนับสนุนก็คือ ยอมแพ้เสียบ้าง เพราะว่าตนผิด หรือว่า พิสูจน์ด้วยมวลเช่นกัน หลายครั้งแล้ว ก็นับมวล คะแนนกัน ก็เห็นว่าแพ้นะ แม้แต่ตุลาการ ก็ชี้บ่งออกมา สารพัด ก็แสดงความด้าน ที่ยกกำลังโง่จริงๆ

           ที่เกิดเป็นการปฏิวัติที่วิเศษ เป็นอาริยชน เป็นอาริยะประเทศเลย ยังไม่เคยเกิด ถ้าเราเกิดได้นี่ ก็วิเศษเลย ถ้าคุณยอมรู้จักแพ้ คุณก็จะได้รับ การยอมรับ ได้รับ การชื่นชมด้วย สมมุติว่า คุณเป็นคนถูกด้วยนะ แต่ว่าประชาชน ออกมามากขนาดนี้ ก็ต้องยอม ให้ประชาชนเขาทำ อยู่ด้วยนะ คุณก็ยิ่งเยี่ยมยอดด้วยนะ แม้ฉันไม่ผิด ก็เสียสละ ยอมยกให้อีกนะ แต่นี่แท้ๆแล้ว คุณก็ผิดอีก ประชาชนที่รวมมวลมา และผู้รู้ ก็ชี้ชัดว่า ถูกผิดคืออะไร?

           มีคนถามว่า ทำไมคนเรา ถึงไร้จุดยืน เห็นผิดเป็นชอบ ขาดความมั่นคง ทางคุณธรรม ความไม่ดีก็กลับพูดว่าดี ความดีก็กลับพูดว่าไม่ดี ทำตามที่รัฐบาล จะให้ประโยชน์แก่เขา เปลี่ยนไป หากรัฐบาลเปลี่ยน?

           คำตอบคือ จิตของเขาชั่ว ตลบแตลง ไม่อยู่กับร่องกับรอย กิเลสพา หน้าด้าน หน้าทน อย่างนี้ทุกคน คนมีกิเลสอย่างนี้เหมือนกัน แต่เขาไม่กล้าทำ เพราะว่า จิตสำนึกเขาดี เขาบังคับตนเอง ไม่ตกเป็นทาสโลกธรรม คนที่พยายาม แม้มีกิเลส ก็กดข่มตน ไม่ทำตามกิเลส เขาก็เป็นคนมี หิริโอตตัปปะ เรียกว่า จิตมีเทวธรรม หรือ เป็นเทวดา ถ้าคุณตอนเป็นๆ มีเทวดาอย่างนี้ ตอนตาย คุณก็เป็นเทวดา แต่ถ้าคุณมีกิเลส แล้วกดข่มไว้ เป็นพฤติกรรม ปัจจุบัน ไม่แสดงออก ก็ได้กุศลบ้าง ไม่ทำเต็มรูป กาย วาจา ใจ ดีกับตัวเอง และไม่กระทบสังคม ยิ่งมีหน้าที่กับสังคม แล้วทำชั่ว ก็ยิ่งเสียหาย เดือดร้อน

           คนไหนเรียนรู้ว่า ตนมีกิเลส แล้วก็ได้ ลดละกิเลส แต่ละคน มีแต่ละ อัตภาวะ หมุนเวียน ไปตามกรรมวิบาก ตายไปแล้ว ไม่เรียกวิญญาณไปเกิด แต่จะเรียกว่า วิบาก พาเกิด ตายแล้ว ไม่มีกาย ที่เป็นรูปขันธ์ เป็นอุปกรณ์ ไม่มีอิทธโลก (กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก) แต่อำนาจของ พลังงานจิต ที่คนตายไปแล้ว ก็ยังออกผล เป็นวิบาก มีทั้งดีและชั่ว พาไปเกิด มันก็ทำงานได้เต็มที่เลย

           ตอนที่ยังไม่ตาย ก็ยังมี กาย วาจา ไปครอบพลังของจิต มันแรงกว่า พลังของจิต ก็กลบเกลื่อนจิต ที่มีวิบากทุกข์สุข นึกง่ายๆ เช่นเราทุกข์ ก็ไปเต้นระบำไป ทุกข์ก็คลาย แต่มันไม่หาย ไม่ดับต้นเหตุนะ กลบเกลื่อนไป ทำได้ ตอนมีขันธ์ ๕ แต่ตายไป ไม่มีรูปขันธ์ ก็จมอยู่กับ ทุกข์วิบาก ส่วนมาก ไม่อยู่กับสุขหรอก เพราะอารมณ์สุข เป็นของหลอก มันไม่จริง มันแล้วแต่ติดยึด สมมุติ แล้วปรุงแต่งว่าเป็นสุข สุขมัน เดี๋ยวเดียว หมดสัมผัส ก็หมดสุข ถ้าคุณล้างกิเลสได้จริงๆ แต่ก่อนเราสุข แต่ตอนนี้ ไม่สุขเหมือนเดิมนะ มันอาจพักยกได้ ไม่สุขแบบเก่า กิเลสเหลืออยู่ แล้วมันก็จะออก บทบาทใหม่

           พระพุทธเจ้า ให้รู้ตัวกิเลสให้ได้ แล้วกำจัดกิเลสด้วย ปหาน ๕ ยืนยันว่า ทำได้จริง ทำได้หมดจริง อาตมาทำได้ จึงกล้าพูดยืนยัน ไม่ได้เชื่อตามตำรา หรือใครพูดมา แต่เชื่อ เพราะว่า ตนได้ทำ จนได้ผลจริง พระพุทธเจ้า สอนให้เชื่อ สิ่งที่ตนทำได้ผลจริง เป็นสัจจะ เป็นแล้วไม่เป็นโทษภัย กับตนเอง และสังคมเลย จึงเป็นความประเสริฐ สุดยอด ของความเป็นมนุษย์

           วิชาเทคนิคต่างๆในโลก คุณก็ศึกษา เป็นสัมมากัมมันตะ เพื่อเลี้ยงตน และ ช่วยผู้อื่น บางคนก็ด้อยแรงงาน ด้อยประสิทธิภาพ ก็ต้องช่วยเขา คนแก่ เด็ก คนพิการ คนไร้สมรรถภาพ คนขี้เกียจ คนขี้โกง เราก็ต้องช่วย พยายามแก้ไข กำจัดคนขี้เกียจ ขี้โกง และบางคน ขยันโกงด้วยนะ เราก็ต้อง มาไล่ออกนี่แหละ รวมหัวกันโกงด้วย เขาทำเพราะ ไม่เชื่อกรรม ตามความเชื่อ ๔ อย่าง ของพระพุทธเจ้า ที่สอน

           ๑. เชื่อกรรม ว่าทำกรรมมีจริง
           ๒. เชื่อวิบาก มีผลอยู่กับเราพาเกิดพาเป็นไปได้ตามวิบาก
           ๓.​ เชื่อว่าทำแล้วเป็นของตน
           ๔. เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

           คนชั่วที่ไม่เชื่อกรรมวิบาก ก็ทำชั่วได้ แล้วใช้อำนาจเบ่งข่ม เมื่อความชั่ว ยังไม่ให้ ผลร้ายต่อเขา เขาก็ยังทำชั่วอยู่ ด้วยนึกว่า สิ่งชั่วที่เขาทำนั้น บันดาลความสุข ให้เขา แต่ถ้าคนมีปัญญารู้ว่า ชีวิตไม่ได้มีชาติเดียว ที่จะใช้อำนาจข่มเบ่ง ขี้โกง ก็ได้ในระยะหนึ่ง เท่านั้นที่มีคนยอม แต่พอตกจากตำแหน่ง หรืออำนาจนั้น คุณก็ไม่ได้แล้ว ก็รับทุกข์ โทษภัยไป แม้ไม่รับโทษภัย แต่กรรมไม่ได้หายไปนะ มันก็ต้องไปใช้หนี้ กันต่อไป ภายภาคหน้า คนไม่ศึกษากรรม ไม่เชื่อในวิบาก ก็เลยกล้าละเมิด เห็นว่า เป็นเรื่อง หลอกด้วย

           ความสุขมันไม่จริง เป็นเท็จ หายไปได้ ล้างตัวกิเลส ที่โง่อวิชชา ไปนึกว่า เป็นของจริง แต่ถ้าเราล้างตัวเหตุได้ ก็จะพบว่า เราไม่ได้มีสุขแบบเก่า แม้สัมผัสกับสิ่งเก่า สัมผัสโลกธรรม สัมผัสวัตถุเก่า ที่เราเคยมีสุข แต่เราได้ล้าง เหตุแห่งสุขแล้ว เราสัมผัส มันก็ไม่สุข จะเฉยๆได้

           คนก็เดาว่าหมดสุข นั้นชีวิตจะเหี่ยวแห้ง แต่ที่จริง ไม่เหี่ยวแห้งนะ ไม่จำเป็นต้อง มีอาการ อยากได้ อยากมีอยากเป็น ที่พอได้มาก็สุข ไม่ได้มาก็ทุกข์ ได้มาบำเรออัตตา บำเรอกาม บำเรอโลกธรรม เมื่อกิเลสไม่มี ก็สบายว่าง ไม่หนัก ว่างโปร่งเบาสบาย ไม่อึดอัด ไม่ลำบากเลย อารมณ์นั้น ของผู้ได้บรรลุแล้ว ก็บอกได้ อาตมา ก็มีอาการนั้น แต่ก่อน ก็เคยสุข ที่ได้ลาภยศ สรรเสริญ ได้กาม ได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วเราก็สุข เราเคยรู้สึก แต่ตอนนี้สัมผัส มันก็ไม่สุขแบบเก่า ก็อ่านเวทนาได้ ที่มันเคยปรุงแต่ง เป็นสุข แต่เมื่อเรากำจัด กิเลสได้จริง ก็จะได้วิมุติรส ไม่ใช่อย่างโลกียรส เราก็อ่าน ใจของเราว่า มันไม่มีรสอย่างเก่า ซึ่งไม่มีรูปร่างตัวตน ให้เห็นได้ แต่ว่าเราก็ กำหนดหมาย เอาได้ ว่าอาการโลภ อาการโกรธ เป็นเช่นนี้ เราก็อ่านอาการ จิต เจตสิกนี้ได้ เมื่อไม่มี สุขทุกข์ แบบโลกีย์ ก็เป็นวูปสโมสุข อยู่กับโลกเขาได้ ไม่แห้งเหี่ยวไป อย่างที่เขาว่าหรอก

           เมื่อก่อนหลายคน เราเคยหลงอบาย ที่เคยหลงว่า สุขที่ได้เสพ อบายมุข ได้ดื่มเหล้า เป็นต้น แต่ก่อนเคยสุข แต่พอเราเลิกละได้ ไม่ได้สุข ตามที่เคยเสพ สิ่งเสพติดยึด แล้วพอ ไม่ได้เสพ ไม่ต้องสุขอย่างนั้น แล้วมันเหี่ยวแห้งไหม แต่ก่อน อาตมา เคยถูกหลอกว่า กินพริก แล้วแซ่บสุข แต่พอมาเรียนรู้เลิก แล้ว มันก็หายไปจริงๆ รสแซ่บ มันมีแต่รสแสบ ขอบอกไปเลยว่า อาหารที่ทำให้อาตมา ไม่ต้องใส่พริกเลยได้นะ ซึ่งแต่ก่อนนี้ มันติดจริงๆ ข้าวคำหนึ่ง ก็กินพริกขี้หนูสวน ๑ เม็ด ฉุนขึ้นมาเลย รู้สึกว่า มีรสชาติ แต่ตอนนี้ ไม่ได้มีใจ รู้สึกเร้าอารมณ์ อย่างนั้นเลย สังขารจิต ก็ไม่ให้ สังขารกาย ก็ไม่รับ ไอเลย

           ผู้ที่ไม่ได้มรรคผลดังกล่าว ก็นึกไม่ออกหรอก แต่ผู้พอมีสภาวะ ก็นึกเอาตาม ก็จะรู้ได้ เหมือนกัน

           ถ้าเราล้างเหตุ คือสมุทัยได้ มันก็หมดเลย ระดับอบายภูมิ ก็ต่อมา ระดับกามภูมิ ไม่ต้องไปบำเรอมัน โลกเขามีเหมือนเดิม แต่เราก็ไม่มีเชื้อ ที่จะไปติด สุขทุกข์กับมัน แต่ศาสนาพุทธ ที่เรียนรู้ผิดๆ ถ้าได้อยู่กับโลกธรรม กับกามคุณ คุณก็ยิ่ง เสพติดมัน ก็ไม่เคยพอ หลงว่าได้สุขมา ก็ยิ่งสุข ได้ยศ ได้สรรเสริญ ก็ยิ่งบำเรอกิเลส ให้อ้วน เป็นปุถุ

           ที่เขาเรียนเรื่องเทคนิค หรือทางมหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้เป็นโลกุตระ แต่มีโลกียะมาก ก็เลยเอาความรู้เทคนิค เป็นอาวุธ ไปเอาเปรียบ เอารัดเขา แม้เรียนมา เป็นเพื่อนร่วมรุ่นมา พอมาทำงาน ก็แย่งลาภยศ สรรเสริญ จะฆ่ากันตาย

           พระพุทธเจ้า ไม่ได้ให้ทิ้งเรื่องความรู้เทคนิค แต่ก็ให้มีเวลา มาเรียนรู้ ศึกษาธรรม ปฏิบัติไปพลาง ก็ทำงานไปด้วย อยู่ในมรรคองค์ ๘ ทุกอย่าง ให้เป็นสัมมา แล้วสั่งสม ให้เป็น สัมมาสมาธิ เป็นฌาน เผากิเลส ตกผลึกให้จิต ไม่มีกิเลสตั้งมั่น แต่พุทธที่สอนกัน ทุกวันนี้ สอนให้นิ่งดับ ไม่คิดไม่นึก เป็นฌาน เป็นสมาธิที่ผิดทาง ผิดที่ควรเป็นแบบพุทธ

           ซึ่งการปฏิบัติแบบพุทธ จะมีข้อตรวจสอบ หลายสูตร เช่น วรรณะ ๘ พุทธพจน์ ๗ อ่านจิตออก ตามเวทนา ๑๐๘ ไหม และอีกมากมาย หลายสูตร ทำได้ตรงไหม

           เราทำงาน ออกมาทำงานกับสังคม ที่เรียกว่า การเมือง เป็นเรื่องที่ต้องทำ เพื่อให้พลเมือง เป็นสุข ไม่ใช่ว่า ทำแล้ว ทำให้บ้านเมือง เป็นทุกข์ร้อน ทำให้แตกแยก ที่เราทำนี่ ต่างจากที่เขาทำ

           ความต่างนี้ เรายืนยันว่าต่าง แล้วให้คนมาเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งสวนทางกับเขา ที่เป็นไป เพื่อโลกธรรม แต่ของโลกุตระนั้น สวนทางเขา เขาก็หาว่า เราทำให้แตกแยก แต่ที่เขาทำนี่ มันพาฆ่าแกงกัน เป็นโทษ เดือดร้อน ห้ำหั่นกดขี่ เราก็ว่า ไม่เข้าท่า ก็มาเสนอ ความต่าง เมื่อคนฝั่งโน้น เห็นของเราทำ ก็หาว่าแตกต่าง หาว่าเรา มาทำแตกแยก

           เราจะแยกว่าสิ่งไม่ดี มันพาทุกข์เสื่อม เราก็ไม่ส่งเสริมแบบนั้น เราก็ชวนกัน มาทำสิ่งดี นี่คือนัยสำคัญของ สภาวะกับภาษา

           ตอนนี้เขาว่า การเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง อย่างอื่น อย่ามายุ่ง แล้วคำว่า การเมือง เป็นคำที่น่ารังเกียจ ทั้งที่คนอยู่ในบ้านเมืองนั้น หนีการเมืองไม่ได้ คนที่กิเลสน้อย ก็จะยิ่ง ไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็จะเห็นแก่ส่วนรวม ทำงานเพื่อบ้านเมืองได้มาก พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) มันยิ่งแท้จริงเลย

           จะเป็นระบอบเผด็จการ หรือระบอบคอมมิวนิสต์ ก็ดีทั้งหมด ถ้าเป็นแบบพุทธ ระบอบเผด็จการ ก็เป็นไป เพื่อมวลมนุษยชาติ คุณทำไปเถอะ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง จะคอมมิวนิสต์ ก็คือ เผด็จการหมู่ อย่างประชาธิปไตย ไม่เผด็จการ ก็ตรงเปรี้ยงเลย ศาสนาพุทธ คือประชาธิปไตยสุดยอด มันคือสัจจะ

           ขณะนี้การเมืองเรา ได้เอาธรรมะ เข้ามาสู่การเมือง ที่เราช่วยกันทำ อาตมาว่า มีผลทางธรรม เจือเข้าไปใน พฤติกรรมสังคม แม้กระทั่งฝ่ายศัตรู ก็ยังมีสำนึกได้ลดละ ได้แปรสภาพไป เขายอมสงบ ยอมไม่รุนแรง แต่ก็ไม่สิ้นเชื้อ ยังดื้อด้าน ดึงดัน ทั้งที่เห็นว่าถอย ต้องระงับ ของฝ่ายตรงข้าม ที่ไม่ได้ว่าเป็นศัตรูอะไร แต่ก็ยัง ไม่สุดซอย แห่งซอย ก็ขอบคุณทุกคน ที่มาช่วยกัน แม้เล็กแม้น้อย ก็ช่วยกัน ไม่ว่าจะด้วยวัตถุ เรี่ยวแรง หรือสมองความคิด

           ยิ่งทำนาน ก็เป็นโอกาสนะ แต่มันยาก คนมันดื้อด้าน แต่ก็ได้ผล ชนะรายทาง มาเรื่อย แม้คราวนี้ ชนะสุดซอยเลยนะ เราก็ไปพักยก เรามาพัฒนา งานเปลี่ยนแปลง เป็นงาน ของบ้านของเมือง เปลี่ยนแปลง ให้เป็นระบบ หาคนมาทำงาน อย่างที่เป็น ระบบของโลก ที่เราได้รับมอบหมาย หรือว่าเราไม่ได้รับมอบหมาย ก็ไม่เป็นไร เราก็รับผิดชอบตามควร

           ความเป็นมนุษย์กับสังคม สูงสุดคือโลกุตรธรรม หรืออาริยธรรม เป็นอันเดียวกัน ใครจะมีทฤษฏี ที่ไปที่สุดแห่งซอย คือถึงนิพพาน ถึงอาริยะสูงสุด ขั้นที่ ๔ นิพพาน ก็เหมือนกันหมด ขอยืนยันเลย หรือศาสนาไหนก็ตาม อันเดียวกัน แต่มันเป็นไปได้ยาก คนที่จะมา เป็นอย่างนี้ ทั้งโลก เพราะกิเลสมันเก่ง ไม่ยอมให้คน นิพพานหรอก ผีหรือซาตาน มันมี

           ในศาสนาเทวนิยมนั้น ท่านไม่ค่อยสอนจิตผี หรือซาตานมา ท่านทำลืม ทำทิ้งไป ไม่ตั้งใจ เจาะลึก เรียนอันนี้ แต่ท่านให้ไปพบ พระเจ้า หรือเทพเจ้า ให้ทิ้งลืมซาตาน เลยไม่รู้ เนื้อแท้หัวใจผี ไม่ทำการตัดหัวใจผี ฆ่าหัวใจผี แต่พุทธ มีหลักสูตรเลย ให้รู้จักผี หรือ ซาตานเลย คือกิเลส ตัณหา อุปาทาน แล้วฆ่าหัวใจผีเลย ศาสนาพุทธ กลับไม่ค่อย ให้ไปอ้อนวอน ร้องขอกับเทวดา แต่ให้ฆ่าผี จิตอกุศลดับ จิตกุศลก็เกิดแทน ทันที ไม่มีการแปลงตัว อันนี้ดับ อันนี้ก็เกิดทันที

           เมื่อตายเมื่อเกิดเป็นโอปปาติกะเลย ไม่มีซากเหลือ จิตผีจิตซาตาน ตายเกลี้ยง ก็เหลือแต่ จิตเทวดาเกิดเลย โดยไม่มีซาก เกิดเต็มรูป เรียกว่า ผุดเกิด ในตัวมันเองเลย มันไม่ได้เกิดอย่าง ชราพุชโยนิ หรือ สังเสทชโยนิ หรือ อัณฑชโยนิ เลย แต่เป็น โอปปาติกโยนิ

๑.       ชลาพุชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)
๒.      อัณฑชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)
๓.       สังเสทชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)
๔.       โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณ เปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ ไม่มีอะไร มาคั่น เกิดแทนสิ่งดับ โดยไม่มีซาก) 

           จิตวิญญาณเป็นตัวบทบาทหลัก ของมนุษยชาติเลย มโนบุพพังคมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโนมยา จิตวิญญาณ เป็นประธาน สิ่งทั้งปวง จะดีเลว ก็อยู่ที่จิตวิญญาณ​ ยิ่งไม่รู้กิเลส ก็สั่งให้ทำเลว แล้วทำโดยไม่รู้ว่า ตนเอง มีจิตวิญญาณตัวนี้ บงการอยู่ แล้วหลงเชื่อ ให้มันบงการ น่าสังเวชสังคม เป็นอย่างนี้อยู่

           ใครคิดว่าสิ่งที่อาตมาพูดนี้ เป็นสิ่งควรฟัง ควรปฏิบัติ ควรมาละ สิ่งที่พาตกต่ำ ทำชั่วต่อตน และสังคม ก็มาทำ อาตมาบังคับใครไม่ได้ ผู้เห็นดีเห็นงาม ก็มาทำ ไม่เห็นดี เห็นงาม ก็แล้วแต่

           เราทำนี่ ก็ต้องตรวจสอบดูว่า เรามีความอยากได้ สิ่งแลกเปลี่ยนหรือไม่? ประพฤติ มิใช่เพื่อ... หลอกลวงคน ให้มาเคารพนับถือ (น ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคน มาเป็น บริวาร (น อิติ มัง ชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์ เป็นลาภสักการะ และเพื่อ เสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่อ จะได้เป็น เจ้าลัทธิ หรือค้านลัทธิอื่นใด ให้ล้มไป มิใช่เพื่อให้มหาชน เข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษ เราต้องตรวจสอบ จิตตนดูเสมอๆ

           อาตมาที่ออกมาจาก มหาเถรสมาคม ก็ประกาศต่อ สาธารณะว่า จะขอแยก ปกครองตนเอง เป็นนานาสังวาส มาตั้งร้าน ขายปาท่องโก๋ ที่อาตมาเข้าใจว่า เป็นสูตรของ พระพุทธเจ้า อาตมาว่า สูตรที่คุณทำอยู่แต่เดิม เป็นสูตรที่ คนกินแล้ว ท้องเสีย อาตมา ไม่ได้มาล้มล้าง ลัทธิใคร อาตมา มาเปิดร้านเล็กๆ ของคุณทำนั้น ร้านใหญ่ อาตมาไม่บังอาจแข่ง ….        


  

 
๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.