_570118_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่เวทีป้อมมหากาฬ
เรื่อง ความเกี่ยวเนื่องของสังคมและจิตวิญญาณ

        พ่อครูว่า... เราออกมาประท้วงทางการเมือง เป็นงานการเมือง ภาคประชาชน ซึ่งถูกนักการเมืองดูถูก คำว่า “การเมืองภาคประชาชน” เขาบอกว่ามันไม่มี เขาดูถูก ว่าเป็น การเมืองข้างถนน ไม่มีในสารบบ ฟังแล้วก็เศร้าใจ เป็นนักการเมือง อดีตนายกฯ นะ นักการเมืองใหญ่ หลายคนก็พูดว่า การเมือง ต้องในรัฐสภา เท่านั้น นอกสภาฯ ไม่ใช่การเมือง ประชาชนไม่มีหน้าที่การเมือง ถือว่าเป็นพวกข้างถนน ฟังแล้ว อนาถใจ ผู้ทำหน้าที่ นักการเมืองแท้ๆ

        ในรธน. มีบอกไว้ว่า หน้าที่ของประชาชน มีหน้าที่สิทธิจะประท้วง ป้องกันรักษา ผลประโยชน ์ของชาติ ปฏิบัติตามกม. เรามารักษา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบปชต​.

        มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ โดยไม่มี การสร้าง ข้อมูลเท็จ เอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชน ให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับ และไม่จ้างวาน กลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

        จะมาตัดเสรีภาพของประชาชน ไม่ให้ทำประท้วงไม่ได้ ดังนั้น นักการเมือง ที่มาพูดว่า การเมืองนอกสภาฯ ทำไม่ได้ ก็เป็นผู้ไม่รู้ หรือรู้ไม่รอบของ นักการเมืองผู้นั้น

        ประชาชนได้ออกมาทำ อย่างถูกต้องตามรธน. โดยนักการเมือง อย่างกำนัน สุเทพ ก็คงได้เข้าใจ มาเปลี่ยนเป็น นักการเมือง ที่แท้จริง จนลาออกจาก สส.มา จนมาวันนี้ ก็คงจะเข้าใจกันแล้วว่า เราทำถูกตามรธน. ศาลก็ออกมาชี้บ่งว่า เราทำอย่างถูกต้อง ไม่ผิดกฏหมาย

        เรื่องนี้ถูกปกปิดไว้ มากว่า ๘๐ ปี แต่ถึงวันนี้ เขาก็พยายามใส่ความ ครอบงำบางพวก ให้เข้าใจผิด ว่าเราผิดกฏหมาย เป็นกบฏ แต่ความจริงก็คือ ความจริง ความถูกต้องก็คือ ความถูกต้อง เราทำถูกต้อง ตามหลักธรรม ตามสังคม แล้วที่สำคัญคือ จิตวิญญาณ เป็นธรรมะแท้

        จิตวิญญาณที่เราออกมา เหน็ดเหนื่อยหนักหนา ไม่สะดวกสบาย เหมือนอยู่บ้าน เราออกมาตั้งแต่เดือน สิงหาคม มาถึงวันนี้ เกือบจะชนะ สถิติเดิมแล้ว เรามาตั้งแต่ ๗ ส.ค.​๕๖ ซึ่งเป็นวันที่ ตรงกับที่ ชาวอโศก ประกาศนานาสังวาส แยกตัวจาก มหาเถรสมาคม วันที่ ๖ ส.ค. ๒๕๑๘ เราลาออกจาก มหาเถรสมาคม เป็นเอกเทศ

        มาถึงวันนี้แล้วก็ ๑๖๔ วันแล้ว อีกกี่วันจะถึง ๑๙๓ วัน ,แค่อีก ๒๙ วันเอง อีกเดือนเดียว ก็ทำลาย สถิติแล้ว เราไม่ทำรุนแรง เราเอาทำอย่างสงบ สุภาพ ทำดี เราไม่เอา อย่างผู้ร้าย ที่ทำอย่างเมื่อวานนี้

        เราไม่อยากให้เกิดเลย แต่สุดวิสัย เราก็ทำงานกับคนเลว พูดให้ชัดๆ ไม่พิรี้พิไร คนเลว เขาต้องทำเลวทำชั่ว เราก็เลยรับเคราะห์ไป ซึ่งสุดวิสัยจริงๆ เราไม่ได้เป็นผู้ทำ ความรุนแรง เราไม่ใช่ผู้ผิดเลย แม้เกิดความรุนแรง ก็ไม่ได้หมายความว่า การประท้วงนี้ ทำให้เกิด ความรุนแรง ไม่ใช่เราทำ เราทำด้วยวิธีการเจตนา เท่าที่เราจะสามารถ ให้เป็น การประท้วง อย่างดีงาม เป็นสากล คือสงบ ปราศจากอาวุธ เราก็ทำได้

        เรารักษาสถานะมาได้เรื่อยๆ ถูกใส่ความ ใช้เล่ห์กล มาเรื่อยๆ แต่เราก็บริสุทธิ์ สะอาด มาได้เรื่อยๆ ทุกวันนี้ ความเจริญก้าวหน้า ของการประพฤติ มาปฏิบัติการเมือง ภาคประชาชน เราทำเต็มที่  เรารักษาคุณธรรม สงบเรียบร้อย และเอาผู้รู้ ที่ซื่อสัตย์สุจริต เอาหลักฐาน ความรู้ถูกต้องมาแฉ ให้เข้าใจ  รับรู้สิ่งจริง เราทำมาตลอด ผู้มาสาธยายที่นี่ ล้วนแล้วแต่ เป็นผู้ที่รัก ความถูกต้อง เป็นผู้มีความรู้ถูกต้อง ไม่มีอคติ เป็นเจตนาให้ไม่ผิด ไขความจริง ก็ได้รับผลก้าวหน้า มาเรื่อยๆ จนมาทำร่วมกัน หลายเวที ก็ช่วยกันทำ การเผยแพร่ ประกาศความจริง ก็เลยมีมากขึ้น

        สื่อสารข้างนอก ก็ไม่ค่อยร่วมมือ แต่ผู้รู้ ก็ช่วยกัน มีโทรทัศน์วิทยุ ที่เราพอมี มีโทรทัศน์ ชุมชนด้วย ของ FMTV นอกนั้นก็มี Blusky ,  RSU TV ,Tnews,  ASTV นสพ. ก็มีแนวหน้า ,ไทยโพสต์เป็นหลัก

        เกิดพัฒนาการ เป็นความถูกต้อง ดีงาม เป็นธรรมะ เป็นกุศลธรรม เราเผยแพร่ กุศลธรรม แม้อาตมาเอง และชาวอโศก เราก็เอาโลกุตรธรรม มาแทรก แม้เป็นของ สูงละเอียด แต่ดีแน่ เพราะเป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ โลกุตระ อเทวนิยม เข้าถึง ความรู้ความจริง ที่สุดถึงที่สุด เป็นนิโรธ นิพพาน หรือหมดเห็นแก่ตัว แก่ตน สิ้นเกลี้ยงเลย อยู่เหนือโลกียธรรม

        ต้องมีญาณปัญญา ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ​แยกจิต เจตสิก ออกได้จริง ถ้าไม่มี ก็ไม่เข้าถึง โลกุตรธรรม ผู้มีปัญญาอ่าน จิตเจตสิกออก รู้กายในกาย เวทนาในเวทน จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้วแยก จิตอกุศล และกุศลออก

        จิตที่เป็นโลกียะมีเหตุ แล้วเราลดเหตุ ที่ไปหลง กาม หลงโลกธรรม หลงอัตตา อยู่ใต้อำนาจ สิ่งเหล่านี้ ปุถุชนทุกคน อยู่ใต้โลกธรรมนี้ เป็นโลกธรรม ๘ ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เสพกาม ก็สุข เมื่อเสื่อมโลกธรรม ก็เสียใจ ไม่ได้เสพกาม ไม่ได้บำเรออัตตา ก็เสียใจ

        ผู้เรียนรู้โลกธรรม แล้วเรียนรู้ การติดหลง ฆ่ากิเลสได้ กำจัดได้จริง ฆ่าอย่างเห็นๆรู้ๆ เรียก วิปัสสนา มีญาณเห็น อาการกิเลส แล้วทำให้กิเลส ลดละจางคลาย วิราคานุปัสสี แล้วให้มันหมดไป เป็นนิโรธานุปัสสี อย่างเห็นๆ รับรู้แจ้งชัด ไม่ใช่ดับหลับตา ไม่รับรู้ เป็นสุภกิณหะ ไม่ใช่ ซึ่งไม่ใช่นิโรธพุทธ

        ของพุทธ นิโรธไม่ได้ดับจิต แต่ดับกิเลส ดับอย่าง มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เป็นจักขุมา ปรินิพพุโพติ มีญาณปัญญา รู้แจ้งสว่าง ซึ่งต่างจาก นิโรธ ที่หลงผิดกัน

        ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่รู้สิ่งเหล่านั้น ผู้มีญาณจะรู้ว่า กิเลสตั้งอยู่ แล้วกิเลสดับไป แล้วดับไป ของกิเลส อย่างไม่เป็นตักกะ แต่เห็นกิเลสเกิด แล้วทำให้มัน จางลง มันไม่จาง มันมากขึ้นก็รู้ อ้วนขึ้นก็รู้ เห็นอย่างมีญาณ อ่านออกเลย ไม่มีรูปร่าง สีสัน สรีระ ต้องมีญาณรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เห็นเครื่องหมาย แล้วรู้ว่า อย่างนี้คือโกรธ อย่างนี้คือโลภ กิเลสมากหรือน้อย ก็รู้ว่ามันต่าง มันหนักมันเบา ก็รู้ว่าต่าง คืออินทรีย์ต่าง แม้ต่างกัน คนละตระกูล ก็รู้ว่า โทสะต่างกับราคะ

        รู้ในนิมิต ว่าอาการแตกต่างกันอย่างไร ในแต่ละชนิด ของกิเลส เป็นของตน ปัจจัตตัง วิญญูหิติ แม้มันดับชั่วคราว ก็รู้ว่า ดับได้ชั่วคราว ถ้าดับได้ถาวรก็รู้

        การรู้การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างนี้เป็นไตรลักษณ์ ซึ่งไม่ใช่สามัญลักษณ์ แต่เป็น ปัจจัตตลักษณ์ การรู้อย่างนี้ เรียกว่า ผู้มีไตรลักษณ์ แบบปัจจัตตลักษณ์ คือ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ส่วนสามัญลักษณ์ นั้นก็ทั่วไป ที่คนรู้ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสามัญ

        ยังทำให้เหตุแห่งทุกข์ ดับไปได้ ก็เป็นเพียงผู้รู้ สามัญลักษณ์ ในวงการศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ รู้เพี้ยนไปจาก ที่อาตมาอธิบาย ไว้มากเลย ไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่อธิบาย ความจริง

        ผู้ทำเหตุแห่งอริยสัจ ดับได้จริง จึงเป็นผู้สัมมาทิฏฐิแท้ แต่ส่วนใหญ่ ในวงการ พุทธศาสนา เพี้ยนไป เข้าใจเพี้ยน เพราะว่า ถ้าวงการพุทธ สัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติ จนมีอาริยบุคคลได้จริง เหตุการณ์ในไทย จะไม่เกิดเลวร้าย เช่นนี้เลย ถ้าพุทธศาสนิกชน ในไทย มีมากมาย แต่สงสาร ที่ทำมิจฉาทิฏฐิ ก็เลยไม่ได้ผล เป็นพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

        ไปเข้าใจว่า บรรลุธรรม ต้องปลีกไปป่าเขาถ้ำ หากมาเกี่ยวข้องการเมือง เป็นเรื่อง ที่ผิดอีกด้วย นี่คือ ความเข้าใจผิด แล้วไปทำเป็น ศาสนาหากิน คือมาอาศัยศาสนา สร้างโลกธรรม สร้างโลกียสุข บำเรอตน แม้ปาราชิก ก็ปกปิดไว้ ส่วนสังฆาทิเสส นั้นมากเลย ผิดวินัย ก็ไม่เอาถ่าน

        จึงไม่เกิดเนื้อแท้ในศาสนา ก็เลยไม่มีผลต่อ มวลมนุษยชาติ ไม่พาให้เกิด พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างที่เป็น แล้วเป็นทุกข์ด้วย ศาสนา ไม่เกิดประโยชน์ ต่อสังคมด้วย พูดไปก็เกรงใจ

        เราออกมา ก็เป็นงานการเมือง งานประท้วง เราทำอย่างสงบสุข เป็นสุข ที่ยากจะเข้าใจ เช่นเป็นสุข อย่างภราดร อยู่อย่างพี่น้อง ไม่ได้อยู่อย่างศัตรู หรือชิงแย่งกัน ช่วยกันอย่าง ไม่ต้องจ้างต้องวาน อยู่กันไม่นาน ก็มีภราดรภาพ มาด้วยสมัครใจ ไม่มีใคร ถูกบังคับมา เสียสละงานการบ้านช่อง ลูกหลาน พี่ป้าน้าอา มา

        สรุปแล้ว มาอย่างอิสรเสรีภาพ อยู่ที่นี่ แล้วก็เกิด ภราดรภาพ แล้วอยู่อย่าง สันติภาพ เรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม เป็นคนมักน้อย สันโดษ ไม่ฟุ้งเฟ้อ มีสมรรถภาพ ต่างคน ต่างช่วย ตามถนัดสามารถ ต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างทำ เป็นสมรรถภาพ แล้วพัฒนาเป็น บูรณภาพ เป็น อิสรเสรีภาพ สมรรถภาพ ภราดรภาพ บูรณภาพ

        ที่นำมาพูดนี้ เป็นสิ่งที่เราได้ประพฤติมา ได้ธรรมะอย่างไร ได้รับการฝึกฝน ปฏิบัติ อบรมอย่างไร เกิดสมรรถภาพ มีความรู้ มีทักษะ เกิดรูปธรรม เป็นองค์รวม เป็นมวล แล้วเผยแพร่ ประชาชน ก็สัมผัสก็รู้ เป็นพลังให้เกิดความรู้ เข้าใจชัดเจน เพราะเป็น รูปลักษณ์ มีองคาพยพชัดเจน ทำจนก้าวหน้า แล้วมีผู้สื่อ ได้เพิ่มขึ้น

        พวกที่โต้ต้านก็ยิ่งทำผิด ก็เลยมีสิ่งขัดเกลา เปรียบเทียบ ได้ชัดเจน คนทำผิด ยิ่งทำผิดชัด ก็เลยก้าวหน้าขึ้น จากแสนเป็นล้าน จากล้าน เป็นสองล้าน แล้วเป็นห้าล้าน แล้วเป็น สิบล้าน ไม่ได้มาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด แต่มาแต่เหตุ

        อย่าคิดว่า เรามาเสียสละ แล้วไม่เกิดผล เกิดผลดี แล้วเป็นผล ที่เกิดยากด้วย คิดราคา แพงมาก เพราะสังคม ต้องการคุณธรรม เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว อย่างนี้แหละ เป็นอุปสงค์ ที่สูงมาก หาคนทำได้ยาก เราก็เลยสร้างอุปทาน (ความต้องการ) ได้มาก

        เราทำเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่มีความก้าวหน้าทางธรรม ที่เจริญมาได้ เพราะธรรมะ เราชนะ ด้วยสัจธรรม เราชนะด้วยธรรม ไม่ได้ชนะด้วยแรง หรืออำนาจเงิน ยศศักดิ์ เบ่งข่ม คุกคาม ทำร้ายแรง หรือใช้อะไร มาล่อ อย่างโลกีย์ ไม่ใช่ เราไม่ได้ทำเลย มันเป็น เรื่องความจริง ที่เป็นสัจจะ เห็นแก่สังคม หมู่กลุ่ม เป็นการลด เห็นแก่ตัว ลดกิเลส ลดโลกียสุข มานี่ไม่ได้เสพโลกีย์ อย่างเก่า แต่เรามาเสียสละอดทน ดีไม่ดี ก็เสียสละ สังขาร ร่างกายชีวิต ซึ่งก็สุดวิสัย เราก็ได้แต่ แสดงความเห็นใจกัน

        เป็นการก้าวหน้า ที่เราได้อย่างนี้ เป็นคุณภาพ และปริมาณ ก็มากขึ้นด้วย เพิ่มอัตรา ก้าวหน้า ยังไม่เคยมีคนไทย จะออกมาร่วมมือ ใช้เวลายาวนาน เป็นแสน เป็นล้าน ยังไม่เคยมีมาเลย แล้วหนักหนา อดทน เสียสละ ก็มีน้ำใจ ของคนที่เสียสละ ทั้งเงินทอง ข้าวของ ที่ช่วยกัน ก็พอเป็นไป ผู้เสียสละ อย่างมาก ก็กำนันสุเทพ ก็ขายที่ มาช่วยประท้วง

        ของเราก็ อย่างอุปกรณ์ เราก็สะสมใช้งาน ของเรามีไว้ ก็เพื่อทำงานสังคม ของเรา ไม่ต้องใช้ ขนาดนี้หรอก แต่เราสร้าง เช่น เต๊นท์ใหญ่ ๑๕ เต็นท์ เราก็ทำมาใช้ ในงานส่วนรวมนี่ ข้าวของต่างๆ นานา แม้แต่ส้วม ก็ต้องสะสมไว้

        คนที่มาทำนี่ ก็เห็นใจ ต้องเช่า อย่างกำนัน ก็ต้องเช่า ต้องซื้อ เพราะทำงานไม่ได้ เหมือนที่เราทำ เพราะเราทำมา ตั้งแต่เริ่ม หลายปี ก็สะสมมา เราก็ทุ่น ไม่แพง ไม่เปลืองมาก ทางโน้นเขาเช่า แล้วเช่าแพงด้วยนะ อย่างจอนี่ วันหนึ่ง หลายหมื่นบาทนะ เราก็สะสมมา ได้เท่านี้ ก็บุญแล้ว ขออภัย ที่บางคนอาจหาว่า อวดโอ่ ทวงบุญคุณ แต่เราเล่า ให้เข้าใจความจริง เป็นงานที่เราต้อง ช่วยกันทำ เป็นการพัฒนาบุคคล แต่ละคน มีน้ำใจ เข้าใจ ช่วยกัน เป็นพฤติกรรมสังคม หล่อหลอมทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

        โดยเหตุการณ์ การเมืองนี่แหละ เป็นชาติ เป็นการเกิด ในข้อ ที่ ๔ การเกิดรัฐ ประเทศชาติ มีองคาพยพ ทั้งวัตถุ และมนุษย์ ที่มีพฤติกรรม อันมาจากจิต เป็นประธาน ใครฟังได้ยินเข้าใจ เกิดศรัทธาก็มาร่วม แล้วมาร่วม ก็มีกรรม ๓ ได้ฝึกฝน ทำร่วม ร่วมเกิดก่อ ร่วมทำให้เกิด อุปัติ หรือปฏิสนธิ หรือประสูตื หรีอโยนิ ก็เป็นการเกิดใหม่

        ถือกำเนิดขึ้นมา แล้วสืบสานต่อเนื่องมาเรื่อย ค่อยๆปฏิสนธิ อุปัติ ค่อยเป็นรูปร่าง เรียกประสูติ มาจากจิต เรียกกว่า โอปปาติกโยนิ เกิดจากจิต เป็นประธาน

        พอฟังเข้า ก็เชื่อถือ แล้วฟังไปอีก ก็เชื่อฟัง เป็นศรัทธินทรีย์ เป็นศรัทธา ที่มีกำลัง มาปฏิบัติร่วม มาร่วมช่วยประท้วง ร่วมผนึก ใครมีความรู้สามารถอะไร ก็มาช่วยกัน คนละไม้ละมือ ก็เกิดอุปัติ เกิดขึ้น มีการพัฒนาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของจิต ก็เกิด อภิวัฒน์พัฒนา จะรู้เข้าใจจิต ทำไป ทำได้ ทำเป็น ตอนแรก อาจฝืน กดข่ม พอทำไป ก็ลดฝืน ลดข่ม ทำได้แคล่วคล่องขึ้น ตัวปัญญาก็จะรู้ว่า เกิดคุณค่าประโยชน์

        โดยเฉพาะรู้ว่า ที่ฝืนเพราะกิเลส แล้วเห็นกิเลส จางคลาย เมื่อจางคลาย ก็จะรู้ว่า ทำอย่างนี้ดีกว่า ก็เกิด การเปลี่ยนแปลงจิต ซึ่งการเปลี่ยนแปลง มีสองทาง มีทั้งไปทางชั่ว หรือตกต่ำ หรืออีกด้าน คือเจริญ อย่างถูกต้อง ดีงาม เป็นการเกิดขึ้น หรือหยั่งลง เป็นกุศลจิต โอกกันติ หยั่งลง

        ถ้าหยั่งลงเป็นสิ่งผิด ไปศรัทธา เชื่อสิ่งชั่ว ฉลาดในสิ่งชั่ว ก็ทำชั่วได้มาก อย่างที่เขา อธิบายกัน เขาก็จะไม่พูดว่าชั่ว เขาก็จะพูดว่าดี แต่ความจริง สาระมันชั่ว มันผิด ต้องใช้ปัญญา แยกเอง ต้องเห็นชั่วเป็นชั่ว เห็นดีเป็นดี คือ ผู้เห็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งตรงกันข้ามกับ ผู้มิจฉาทิฏฐิ

       
      

 
๑๘ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาส กทม.