570217_พ่อครูและอ.กฤษฎา ที่ป้อมมหากาฬ
เรื่อง การเกิดกาย การเกิดจิตวิญญาณ


           อ.กฤษฎาว่า...ประเด็นที่สำคัญคือ วันนี้มวลมหาประชาชน มามากมาย ไปปิดล้อมทำเนียบฯ ก็ประสพ ผลสำเร็จ และที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ มีความเชื่อว่า ต้องเข้าทำเนียบให้ได้วันนี้ ก็เลยไม่เป็นผล มวลมหาประชาชน ก็เลยแก้เคล็ดเล่นของ มัน เป็นสภาพ ที่ย้อนกลับคืน ลบล้างได้

           พ่อครูว่า...อธรรมหรือธรรมดำนั้น ความจริง มันมีเหตุ ทุกอย่าง มาแต่เหตุ ในมหาจักรวาลนี้ ถ้าไม่มีเหตุ ก็ไม่มีการเกิด นี่คือ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาลนี้ เหตุที่เกิด แม้วัตถุ ก็เช่นเดียวกัน นักวิทยาศาตร์ ก็ใช้หลักเช่นนี้ ทุกอย่างมาแต่เหตุ พอมาถึง นามธรรม คนตามนามธรรมไม่ได้ คนย้อนไปถึง เหตุที่เป็นอรูป มันไม่มีสรีระ แต่ละเอียดกว่าสสาร ซึ่งเดาไม่ได้ คนก็เลยไปหลง สิ่ง ที่เป็นเท็จ ว่าเป็นจริง

           เช่น คนที่เกิดสุขเวทนา แล้วคนก็อาศัยสุขนี้ ตลอดมา มันก็เป็นจริง สำหรับคนที่หลงสุข แต่เป็นสุขัลิกะ หรือสุขเท็จ นึกว่ามันเป็นจริง แต่มันเป็นเท็จ ถ้าล้างเหตุได้ มันก็ไม่มี

           ไสยศาสตร์นั้น เป็นจริงสำหรับ คนที่ยึดว่าจริง แม้หยาบ เขาก็เป็นสุข มันเป็นจริง แต่เป็นจริงหลอก ไม่ลึกซึ้งเท่า สุขโลกุตระ มันเป็น สุขขัลลิกะ แต่ทุกข์นั้นเป็น อาริยสัจ ผู้ดับเหตุได้ ก็มีนิโรธ สูงสุด นี่คือสัจจะ เป็นปรมัตถ์ เหมือนคนหลงไสยศาสตร์ คนก็เป็นจริงของเขา แต่เราพิสูจน์ได้ แล้วก็ไม่หลงใหล ในไสยศาสตร์ คนเขาเข้าไม่ถึง ไปยึดอุปาทานไว้

           แม้จิตวิทยา ของแพทย์ ก็เข้าไปดูว่า โรคนี้ ที่เขาหลงเห็นว่า นี่เป็นภาพจริง หรือเสียงที่เขาได้ยิน ก็ได้ยินจริงๆ ในทางจิตวิทยา เขาก็ต้องรักษาโรคนี้ แล้วมันเห็น มันได้ยินอยู่คนเดียว มันเป็น มโนมยอัตตา เช่นเห็นผี เดินโย่งๆ คนนี้ตายแล้ว วิญญาณออกจากร่าง แต่ที่จริง เป็นนามธรรม มองไม่เห็น ไม่มีรูปร่าง

           อ.กฤษฎาว่า...มันเป็นอุปาทานที่คนเห็น หรือรู้หรือได้ยิน ตามๆกันมา ก็ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ

           พ่อครูว่า.. คนเขาหลงเขายึดอย่างนั้น ก็เห็นไปตามกัน อย่างนั้น เหมือนอย่าง ภาพหลอน คนทั่วไป ที่ยึดจริง เป็นอุปาทาน ก็นึกว่า มันมีจริง ที่จริงมันคือ โรคอุปาทาน เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต เป็นมโนมยอัตตา คนเขาก็ว่า เห็นผีจริงๆกับตา แล้วว่า คุณไม่เคยเห็นน่ะสิ อาตมาก็ว่า วิธีพิสูจน์จริงๆ ให้เดินไปหาผีตัวนั้น แล้วตัดใจสู้เลย ใช้คาถาว่า แค่ตายๆ เดินเข้าไปหา ผีตัวนั้น เดินไปจับ ตัวมันเลย แล้วจะรู้ว่า มันคืออะไรจริงๆ มันไม่ใช่ ยืนยันได้ ให้รู้ความจริงว่า มันคืออะไรกันแน่วะ แม้แต่ผี ที่มันปลอมตัว มาหลอกคน เอาผ้ามาคลุมอย่างไร ก็จะรู้ว่า มันคือ คนมาหลอก

   อ.กฤษฎาว่า.. มโนมยอัตตา นั้นคือคนนั้นไปเห็น ไปหมกมุ่นเอง คนอื่นไม่เห็นด้วย

           พ่อครูว่า ... เป็นอุปาทานหมู่ได้ เช่นคนเห็นหลวงปู่แหวน นั่งอยู่บนเมฆ ​ก็ชี้ให้คนอื่นดู คนอื่นก็ว่า เห็นเหมือนกัน เป็นอุปาทานหมู่

           อ.กฤษฎาว่า..ให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้น คือมโนมยอัตตา ให้มองความจริง ตามความเป็นจริง

           พ่อครูว่า...ผู้ศึกษาตามพระพุทธเจ้าแล้ว แม้หลับตาเข้าภวังค์ เป็นสมาธิ หลับตา แล้วมองเห็น สัตว์นรกเทวดา ก็คือเห็น มโนมยอัตตา คืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต

           ผู้ใดนั่งสมาธิหลับตาเข้าภวังค์แล้วไปตั้งจิตว่าเราจะเห็นผี รูปร่างอย่างนี้ เทวดารูปร่างอย่างนี้ ก็จะเห็นตามนั้น ยกตัวอย่างเทวดา ที่แกะสลัก เทวดาของฝรั่ง ก็มีปีก แต่เทวดาไทย ก็ใส่ชฎา ก็เป็นจินตนาการ แบบจีน ก็เป็นเทวดาแบบจีน ถ้านอนฝัน ก็เป็นภาพฝัน ตามที่เรายึดถือ

           อ.กฤษฎาว่า..ได้เคยเจอหลายท่าน มีอาการอย่างที่ว่า ดูเหมือนท่านเหล่านั้น มีอุปาทานซ้อน เหมือนว่าตนเอง มีคุณวิเศษ ที่ได้เห็น เทวดาหรือผี แล้วคิดว่าตนแน่ ตนพิเศษ แล้วตั้งตัว เป็นเจ้าลัทธิ

           พ่อครูว่า...ก็จูงนำให้คนศรัทธา แล้วคนก็จะเกิดอุปาทาน เช่นนั้น หรือบางสำนัก ก็ให้ไปนั่งสมาธิ แล้วปั้นสร้างในจิต สำนักฤาษีลิงดำ เป็นต้น หรือบางสำนัก ก็ปั้นสร้าง ให้คนเห็นว่า เทวดา เทพ เป็นเช่นนี้ ถ้าใครเห็น ก็ถือว่าได้ผล ก็ทำให้อุปาทาน เพิ่มอีก

           รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ ถ้าขาดมหาภูตรูป นั้นแล้ว คุณไปเห็นรูปร่างเหมือน มหาภูตรูป ทั้งที่คุณ ไม่ได้สัมผัส ทางทวารนอกแล้ว แต่คุณก็มีภาพได้ นั้นคือ มโนมยอัตตา ทั้งสิ้น เป็นภาพอุปาทาน

           อ.กฤษฎาว่า.. .เราสร้างนาม ให้กลายเป็นรูป แล้วนึกว่า นั่นคือรูปจริง

           พ่อครูว่า..มันเป็นองค์ประชุมของจิต เรียกว่า นามกายก็ได้ ถ้าสัมมาทิฏฐิ แล้ว วิญญาณนั้น อสรีรัง ไม่มีรูปร่าง ให้เห็นได้ ถ้ายังปั้นให้เห็นอยู่ ก็เป็นของลวงทั้งสิ้น ถ้าศึกษาได้แล้ว ก็จะรู้ความจริง รู้รูปนามด้วย

๑. รู้ด้วยอาการ (สภาวะขณะนั้นของจิต-กุศล-อกุศล)
๒. ลิงคะ (ความต่างกันของนัยยะต่างๆ ในสภาวะจิต)
๓. นิมิต (เครื่องหมายชี้บอกสภาวะจิต) . .
๔. อุทเทส (การยกหัวข้ออธิบายขยายความหมาย)

           แม้หลับตาไป ก็เป็นสัญญา จำได้ ยึดไว้ ก็เห็นได้อยู่ พระอรหันต์ก็เห็นได้ แต่ท่านรู้แล้วว่า มันไม่ใช่ของจริง อธิบายง่ายๆ ถ้าเข้าใจว่า วิญญาณไม่มีตัวตน มันมีธาตุรู้ รู้หมด ตั้งแต่ภายนอก รูปร่างเรา ขาวดำ ต่ำสูง ก็รู้ได้ พอตายเสร็จ ร่างกายตาย คุณก็บอกว่า วิญญาณออกจากร่าง คนที่นึกว่า วิญญาณก็คือ รูปร่าง เป็นวิญญาณล่องลอย ไป นี่แหละคือ มโนมยอัตตา มันไม่มี วิทยาศาสตร์ ก็เอากล้อง มาถ่ายภาพพิเศษ ติดเป็นโครงร่าง รูปร่างเลย ก็ไม่ใช่

           แล้วถามว่า ถ้าวิญญาณออกจากร่าง ก็เป็นรูปร่าง อย่างเดิม แล้วถ้าไปเกิดใหม่ ก็ต้องรูปร่างเดิมสิ นี่ไง มันไม่ใช่ หรืออย่างกรณี สึนามิ ถ้าวิญญาณมีรูปร่าง ก็มาบอกได้ว่า นี่ศพฉันอยู่ที่นี่ แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่มีมาบอก เป็นต้น

           เวทนาที่เป็นทุกข์ก็คือ สัตว์อบาย เวทนาที่เป็นสุขก็คือ สัตว์สวรรค์
๑. สมมุติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ). .
๒. อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ) .
๓. วิสุทธิเทพ (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)
(พตปฎ. เล่ม ๓๐ ข้อ ๖๕๔)

           เทวดาหลอก นั้น เมื่อเรากำจัดกิเลสได ้สัตว์นรกก็ตายลง ก็ค่อยๆลดละ จางคลาย ก็จะอุบัติ เกิดเทวดาโลกุตระ ซึ่งเทวดาโลกตายลง เกิดเทวดาโลกุตระ พอตายจบสนิท ก็หมดความเป็นสัตว์นรก เหลือแต่เทวดาวิสุทธิ เป็นโสดา ฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ตายอย่างไม่มีซาก ตายสมบูรณ์ ให้สัตว์นรกตายสมบูรณ์ เหลือแต่เทวดา วิสุทธิเทพ เป็นความเกิด อันเป็นวิทยาศาสตร์ อันยิ่งใหญ่

           พระพุทธเจ้าได้แบ่งการเกิดได้ ๔ อย่าง
๑. ชลาพุชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)
๒. อัณฑชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)
๓. สังเสทชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว) มันละเอียดเล็ก เกิดในหนองน้ำ ในน้ำต่างๆ เช่นยีสต์ เป็นต้น จุลินทรีย์
สามอย่างนี้ วิทยาศาสตร์ทางโลก ศึกษามาได้ แต่อีกอันหนึ่ง ที่มีศาสนาเดียว ที่ค้นพบ คือ
๔. โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณ เปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ ไม่มีอะไรมาคั่น เกิดแทนสิ่งดับ โดยไม่มีซาก)

           ซึ่งสัตว์โอปปาติกะนี้ เป็นสัมมาทิฏฐิ ข้อที่ ๙ ในสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ตายเกิด อย่างไม่มีซาก นี่คือ ความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิต ของพระพุทธเจ้า ที่เหนือชั้นกว่า ทางวิทยาศาสตร์

           อ.กฤษฎาว่า...โอปปาติกโยนิ นั้นเกิดในคนเท่านั้น

           พ่อครูว่า...คนเท่านั้น ที่จะเรียนรู้ธรรมะได้ และต้องสามารถ เรียนรู้กายได้ เรียนรู้สักกายะได้ คำว่า กายคือ องค์ประชุม เช่น ขวดแก้วนี้ คุณจะรู้กายได้ ก็คือ คุณต้องใช้ตา มอง ขวดนี้ก็ปรากฏเป็นรูปกาย ให้คุณเห็น หรือเสียงกระทบหูคุณ คุณต้องมีวิญญาณ ที่เป็นธาตุรู้ รับรู้ ก็เกิดเป็นรูปของเสียง เรียกว่า สิ่งที่ถูกรู้เป็นเสียง หรือกลิ่นก็ตาม เมื่อถูกรู้ ก็เป็นรูปกาย เมื่อขณะสัมผัส ก็เป็นวิโมกข์ ข้อที่ ๒ แล้วคุณก็ตามรู้ ในภายใน เฉพาะกายในกาย ก็เป็นนามธรรม ที่จริง รูปกายก็ต้องมีนามธรรม มาประกอบด้วย ถ้าแค่ขวด อย่างเดียว ตัวมันเอง กำหนดรู้ไม่ได้ เช่น เอามะเขือเทศ ไปเทียบกับขวด มะเขือเทศ มันก็ไม่รับรู้ แม้ติดกันเลย ก็ไม่รู้ สัมผัสอยู่ ก็ไม่รู้ มันไม่มีวิญญาณ ไม่มีรูปกาย

           คุณหลับตา คูณนอนหลับ ก็ไม่เห็นรูปกายนี้ วิญญาณนั้น ต้องตื่นรับรู้สัมผัส ดังนั้น รูปกาย ต้องมีนามธรรม เป็นองค์ประกอบ

           จากกายนอกกาย ก็พิจารณากายในกาย เป็นเวทนา คุณก็กำหนดรู้ว่า นี่สุข นี่ทุกข์ การสมมุติ หรือสัญญา กำหนดหมายของคน ไม่เหมือนกัน

           ซึ่งกายนั้นมี กายของรูป กายของรส กายของกลิ่น กายของเสียง สัมผัส คุณไปยึดว่า รสมะเขือเทศ ต้องประกอบด้วย อย่างนี้ๆ ถ้าได้รสนี้นะ ก็สะเด็ดเลย ตามสเปคของฉันเลย พอคุณแตะรสนี้ ความรู้สึกของคุณ ตรงเลย ก็ว่าอร่อย แต่ถ้าไม่ได้ตามสเปค ก็ว่าไม่อร่อย ไม่ชอบ

           เป็นกายต่างกัน หรืออย่างเดียวกัน ก็ตาม แต่สัญญาต่างกัน ถ้าคุณไม่เรียนรู้ ก็จะไม่รู้ว่า มันเกิดสุขเกิดทุกข์ ตามสเปค คุณชอบ ก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็โทสะ คุณรู้เหตุ ก็จะไปลด องค์ประชุมของเหตุ คือผีร้าย หรือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่ทำให้เรา มีความเป็นสัตว์ เราต้องฆ่าเหตุ แห่งความเป็นสัตว์

           ถ้าคุณทำเหตุให้ตายไป ฆ่าสัตว์โลกีย์ได้ ก็จะเป็นเทวดา อุปัตติเทพ แต่ถ้าคุณยึดอยู่ ก็ยังไม่พ้นความเป็นสัตว์ ต้องปล่อยสัตว์ที่สูงไป แล้วจะเป็น วิสุทธิเทพได้

           มาร เทวดา พรหม ก็ต่างกันไป ตามสมมุติ การจะไปเรียนรู้ สัตว์โอปปาติกะได้ ก็ต้องเรียนรู้ เมื่อสัมผัส แล้วเกิดวิญญาณ แต่ถ้าคุณ ไปดับสัญญาเสีย ก็กลายเป็น อสัญญีสัตว์ หรือเป็นสัตว์ ในสัตตาวาส ๙

๕. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์ เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบส ทำนิโรธสมาบัติ ดับจนไม่รับรู้อะไร)
๖. สัตว์บางพวก เข้าถึง..อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)
๗. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น..วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง
๘. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น.. อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร) อาฬารดาบส ได้ถึงขั้นนี้
๙. สัตว์บางพวก.เข้าถึงชั้น.. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ) อุทกดาบสได้ถึงขั้นนี้

           ของพุทธเท่านั้นที่จะมี สัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาที่เคล้าเคลียอารมณ์ ผู้ที่รู้แจ้งนิโรธ ย่อมอาศัยอายตนะ เพื่อรู้การสิ้น อวิชชาสวะ

           ผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิ จะเรียนรู้ความเป็นกาย ได้อย่างถูกต้อง โดยเอาสัญญา ไปกำหนดได้ถูกต้อง ในความเป็นสัตว์ เทวดา มาร พรหม ในรูปฌาน อรูปฌาน ได้อย่างถูกต้องพุทธธรรม

           การดับ สัญญา หนึ่ง แต่สัญญา อย่างหนึ่งเกิด เป็นนิโรธลืมตา เห็นเลยว่า สัตว์สุขทุกข์ไม่มี มีแต่สัตว์ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นสัตว์อุเบกขา
. ปริสุทเธ (จิตบริสุทธิ์ไม่มีอุปกิเลสเครื่องยียวน)
. ปริโยทาเต (ผ่องแผ้ว อย่างแข็งแรงอยู่กับผัสสะ)
. มุทุภูเต (แววไวด้วยจิตหัวอ่อน - ดัดง่าย แก้ไขไว)
. กัมมนิเย (ควรแก่การงานอันไม่โทษ ไม่มีกิเลส)
. ฐีเต (จิตถึงความตั้งมั่น)
. อเนญชัปปัตเต (จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว)
(พตปฎ.เล่ม ๙ ข้อ ๑๓๑)

           แม้แต่โสดาบัน ก็มีความเป็นกามสัตว์เหลือ สกิทาก็ฆ่ากามสัตว์ จนหมด ก็มีแต่รูปสัตว์อรูปสัตว์ เป็นอนาคามี จนฆ่าสัตว์อรูป รูป ได้หมดก็เป็นอรหันต์ จบสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ปล่อยสัตว์ไปหมดเลย ไม่ขังสัตว์

           อ.กฤษฎาว่า... การได้พบพุทธศาสนา เป็นสิ่งประเสริฐ เพราะการเกิดตาย แบบโอปปาติกะนั้น มีแต่พุทธสอน พ่อครูสอน ให้เราทบทวน มองตนเอง อ่านสภาวะภายในให้ออก ว่าตอนนี้ สภาวะสัตว์ตัวไหนเกิด มองให้ขาด แล้วค่อยจัดการ ให้มันหมดไป

           พ่อครูว่า...ใช่ เรากำจัด สัตว์ทางจิตวิญญาณ ให้ตายลงไป จะเห็นของจริง เห็นกาย คือองค์ประชุม ของรูปนาม ซึ่ง รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้ รู้ได้ด้วยญาณ สัมผัสได้ว่า มีความจริง แม้มีความว่าง ก็สัมผัสได้ จิตนิพพานของอรหันต์ มีสภาวะเป็นกุศลจิต มากมาย เช่น เมตตา กรุณา กตัญญู ช่วยเหลือผู้อื่น วิเศษ มันก็เป็นสภาพนั้นได้ อรหันต์มีได้ เป็นพลังงาน ที่สามารถใช้ได้ อย่างสร้างแล้วใช้งาน เสร็จ จะปล่อยไปก็ได้ ไม่ปล่อย ก็ใช้งานต่ออีกได้ เป็นลักษณะที่ อรหันต์จะรู้ วิการรูป ได้

           จะมีบารมีกำหนดได้ อรหันต์จะกำหนดให้มี หรือไม่มี ได้ อย่างสมบูรณ์
ฏ. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลก ให้พิเศษได้ )
18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบาบาง)
19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนไว ยืดหยุ่น elasticity, เร็วไว จิตหัวอ่อน ปรับได้ทั้งปัญญา และเจโต)

           ยามแสดงออกก็จะรู้ ญ. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหว ให้รู้ความหมาย)
16. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหว ให้รู้ความหมายด้วยกาย)

           ทั้งหมดมาจาก ใจ

           อ.กฤษฎาว่า..เมื่อเราปฏิบัติไปจะเกิดพละ ๔ (ปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ) พ้นภัย ๕
. อาชีวิตภัย (ภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไม่กลัวแม้ศ..จะแย่)
. อสิโลกภัย (ภัย คือ การติเตียนจากคนโลกๆ)
. ปริสสารัชภัย (ภัยคือ การสะทกสะท้านต่อสังคม) ออกสู่หมู่ชน บริษัทก็จะไม่กลัว หรือสะทกสะท้าน ไม่ว่าที่ไหนๆ
. มรณภัย (ภัยคือ ความตาย)
. ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ เช่น อบายภูมิ นรก เดรัจฉาน ฯ)
(พลสูตร พตปฎ. เล่ม ๒๓ ข้อ ๒๐๙)

           อ.กฤษฎาว่า ความไม่กลัว ทำให้สามารถยืนยันได้ว่า การยอมเสียชีวิต เพื่อรักษาธรรม เป็นจริงได้

           พ่อครูว่า...ในสุภาษิตของโพธิสัตว์ที่ทำงานให้แก่สังคม ประมาณได้เลยว่าพึง เสียสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ
พึง เสียสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต พึง เสียสละชีวิต เพื่อรักษาธรรม

           อ.กฤษฎาว่า...พ่อครูจะขออภัย เกรงใจคนที่จะพูดถึง แต่ก็กล้าพูด ถึงแม้ว่าคนที่เขาฟังอยู่ ก็อาจไม่พอใจ

           พ่อครูว่า.. หรือเขาอาจดูถูกดูแคลน เราไปว่าเขา เช่น เขาชั่วไม่ดีอย่างนี้ เราก็ว่า เราข่มมากๆ ตำหนิอย่างแรง แต่ใจเราไม่ได้ทำ อย่างโกรธเคืองเลย เป็นกายวิญญัติ กับวจีวิญญัติ

           อ.กฤษฎาว่า... เมื่อเราเห็นภายในของเรา ว่าเราพ้น สัตตาวาส ๙ แล้วเราก็ไม่มี ความเป็นสัตว์แล้ว

           พ่อครูว่า... อบายสัตว์ กามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์ ไม่เหลือเลย สิ้นอรูปอัตตา เกลี้ยงเลย ตั้งแต่หยาบ จนละเอียดมาก เป็นอากิญจัญฯ เนวสัญญาฯ คุณก็ตรวจสอบ ทุกปัจจุบัน ทุกผัสสะว่าเราไม่มีความเกิด เป็นสัตว์เลย มีผัสสะเป็นปัจจัย ด้วย อายตนะ ๖ ผัสสะ ๖ วิญญาณ ๖ อย่างลืมตารู้ๆ และมันรู้แล้ว ก็ต้องรู้ให้หมด คำว่า เนว คือเศษที่ไม่รู้

           เราทำให้เศษที่ไม่รู้ ไม่มีเลย ต้องพ้นความไม่รู้เลย ผู้ที่บรรลุ สัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วง เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง (สัพพโส เนวสัญญานาสัญญายตนัง สมติกกัมมะ สัญญาเวทยิตัง นิโรธัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ) หรือพ้น อวิชชาสังโยชน์

           อรหันต์ท่านจะไม่มีความไม่รู้เลย กิเลสตัณหาอุปาทาน ตายไปอย่าง
. นิจจัง (นิพพานเที่ยงแท้แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง) .
. ธุวัง (ถาวร, คงที่ ไม่มีเสื่อมอีก) . .
. สัสสตัง (ยั่งยืนตลอดกาล ไม่กลับกลอก)
. อวิปริณามธัมมันติ (ไม่แปรปรวนเป็นอื่นอีก)
. อสังหิรัง (ไม่มีอะไรๆ จะมาเอากลับคืนไปได้)
. อสังกุปปัง (ไม่กลับฟื้นกำเริบอีก)
. นัตถิ อุปมา กวจิ (ไม่มีอุปมาในที่ไหนๆ)

           สรุปว่า...คนจะต้องเรียนรู้ ตัวแรกเลยคือ สักกายะ ถ้าไม่รู้อันนี้ ก็จบเลย ซึ่งจิตประกอบด้วย รูปกาย และ นามกาย คุณก็ต้อง ล้างกิเลส ให้สมบูรณ์ ด้วยวิโมกข์ ในกายต่างๆ ในสัตตาวาส ๙ อย่าง มีสัมผัสในวิโมกข์ ... คำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่แค่ ให้ฟังเฉยๆ แต่ว่าสามารถ ทำให้เกิดผล ทั้งปรยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ... จบ

 

www.asoke.info