570323_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬฯ
เรื่อง ความถูกสองฝ่ายเผชิญกันอย่างไร จึงไม่เกิดโศกนาฏกรรม

     วันนี้เราก็มาพูดเรื่องโลก เรื่องธรรม ร่วมกันไป วันนี้จะพูดถึงเรื่อง ความถูก ความผิด ในคอลัมน์ ทรรศนะ โดยคุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ วันนี้กัน....เรื่อง “ชัยชนะที่แท้จริง”

     นายเฮรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรี ตปท.สหรัฐอเมริกา ในยุคสงครามเย็น ซึ่งอันที่จริง ก็ไม่ได้ถึงกับมี เครดิต อะไรมากมายนัก ในแง่ของความคิด ความอ่าน ด้านสร้างสรรค์ เพราะตลอดชีวิต ที่ผ่านมา แกดูจะหนัก ไปทางเก่งกาจ สามารถ ในทางทำลาย ซะมากกว่า แต่ในหนังสือ คำคม-บ่มชีวิต ของ อ.กรุณา_เรืองอุไร กุศาลาศัย ได้ไปหยิบ เอาคำพูด คำพูดหนึ่ง ในวาทะ ที่ต้องเรียกว่า น่าคิด และน่าจะได้สติ สำหรับใครต่อใครได้ ไม่น้อยทีเดียว

     คำพูดที่ว่านั้น...มีอยู่ว่า The great tragedies of history occur not when right confronts wrong but when two rights confront each other. ถอดความเป็นไทย โดยท่านอาจารย์ ทั้งสองว่า โศกนาฏกรรม ครั้งสำคัญๆ ในประวัติศสาสตร์ มิได้เกิดขึ้น เมื่อฝ่ายถูก เผชิญหน้ากับฝ่ายผิด แต่เกิดขึ้นเมื่อ ฝ่ายถูกสองฝ่าย ประจัญกัน และไม่ว่าใคร จะเห็นควรด้วย หรือไม่เห็นควรด้วย กับคำพูดประโยคนี้ ของนายคิสซิงเจอร์ ก็ตาม แต่คงปฏิเสธ ไม่ได้ว่า เป็นคำพูดที่น่าคิด หรือน่าเก็บเอามา ใคร่ครวญ พิจารณา อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับ สถานการณ์บ้านเมือง ของบ้านเรา ในอีกไม่นาน ไม่ช้านับจากนี้ หรืออีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า...

     พูดง่ายๆ ว่า...หลังจากที่ ฝ่ายดี กับฝ่ายชั่ว ได้เอาชนะกัน แบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์ แล้ว ซึ่งออกจะเป็นเรื่อง เชยซ์ซ์ซ์​ไปหน่อย ถ้าหากมัวแต่ จะไปตั้งคำถาม ประเภทว่า... ใครชนะ ใครแพ้ หรือจะชนะ เมื่อไหร่ จะแพ้เมื่อไหร่ เพราะไม่ว่าใครต่อใคร ดูจะให้คำตอบแบบ กำปั้นทุบดิน ไปตั้งนานแล้วว่า ยังไงๆ ธรรมะย่อมต้อง ชนะอธรรม อยู่แล้วแหงมๆ ส่วนจะชนะเมื่อไหร่ หรือแพ้เมื่อไหร่นั้น ถ้าหากคิดจะดำรงตน เป็น ฝ่ายธรรมะ กันจริงๆ คงไม่ต้องเสียเวลา ตั้งคำถาม ให้ต้องปวดเศียร เวียนเกล้า โดยใช่เหตุ เอาเป็นว่า สู้ไปเรื่อยๆ ยืนหยัดไปเรื่อยๆ ท่องคาถา ลุงจำลอง อันว่าด้วย เมื่อยเราไม่เมื่อย... เหนื่อยเราไม่เหนื่อย..เราไล่ไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อย เราไม่เหนื่อย ...เดี๋ยวเดียว ทุกสิ่งทุกอย่าง มันย่อม ต้องดีเอง ชนะไปเองกันจนได้แล...

     เพราะมาถึงยกนี้ ไม่ว่าจะเรียกว่ายกห้า ยกหก ยกสุดท้ายหรือไม่สุดท้ายก็ตาม โดยลักษณะอาการของฝ่ายชั่ว หรือฝ่ายอธรรม นั้น ต้องเรียกว่า...ออกอาการ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น อย่างเห็นได้ โดยชัดเจน ถึงจะอัดฟอร์มาลีน นอนแช่อยู่ใน ฟอร์มาลีน ทั้งโอ่ง ทั้งไห ก็ตาม แต่โดยสภาพศพ ออกไปทาง น้ำเหลืองเยิ้ม เนื้อตัว กะรุ่งกะริ่ง ยากซ์ซ์ซ์​ ที่จะเปิดฝาโลง ออกมาใช้ชีวิต อย่างมนุษย์มนา โดยปกติ ได้อีกแล้วแน่ๆ แต่ชัยชนะ ระหว่าง ฝ่ายดี กับฝ่ายชั่ว หรือ ฝ่ายถูก กับ ฝ่ายผิด นั้นก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง หวนคืนมาสู่ความสุข ความสงบ ความมีสันติภาพ สันติธรรม สุโขสโมสร โชติช่วงชัชวาล ขึ้นมาได้โดยฉับพลัน ทันที..

     พ่อครูว่า...โศกนาฏกรรมครั้งสำคัญๆของประวัติศาสตร์ มิได้เกิดขึ้น เมื่อฝ่ายถูก เผชิญหน้ากับฝ่ายผิด แต่มันเกิดขึ้น เมื่อฝ่ายถูก สองฝ่าย ประจัญหน้ากัน ...นี่เป็นความคิด ความเห็นของ คิสซิงเจอร์

     คุณชัชรินทร์ได้ขยายความไป ทีนี้เป็นความคิดของ อาตมาบ้าง ตอนนี้ เรื่องราวบ้านเมือง เป็นการต่อสู้ ระหว่าง ฝ่ายถูกกับฝ่ายผิด ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะแพ้ มันเคยมีที่ฝ่ายถูกแพ้ก็มี เช่นอาตมาเป็นต้น

     คำว่าแพ้ชนะเป็นภาษาทางคดีโลก แต่ความจริงที่ว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม นั้นมีหนึ่งเดียว สัจจะมีหนึ่งเดียว ธรรมะมีหนึ่งเดียว ก็ย่อมชนะ ในรูปร่างลักษณะทางโลก อาจดูว่าแพ้ แต่ความดีถูกต้อง ก็ยังเป็นถูกต้อง วันยังค่ำ ทางโลกว่าแพ้ ก็ต้องยืนยัน สัจจะเดียวกัน ความถูกต้อง มีหนึ่งเดียวแท้จริง ไม่มีสอง

     อาตมาเคยพูดไว้แต่พศ. ๒๕๑๒ เขียนไว้ในหนังสือ คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก มีคำเกริ่นว่า...ผู้รู้จริง จะเห็นความผิดของคนผิด ว่าเป็นความถูกแล้ว ส่วนผู้ยังไม่รู้จริงเท่านั้น ที่จะเห็นความถูกของคนถูก ว่าเป็นความผิดอยู่ ผู้ยังไม่รู้จริง จะเห็นความถูก ของคนถูก เป็นความผิด

     ขอยกตัวอย่างอาตมา อาตมามีความถูกของคนถูก แต่ได้รับตัดสินว่าแพ้หรือผิด ผู้ที่เห็นว่าอาตมาผิด ก็ยังไม่รู้จริง แต่คนที่ถูกและดีเป็นสัจธรรม มีความถูกต้องจริง เป็นสัจธรรม ท่านไม่มีปัญหาว่าจะแพ้หรือชนะในทางโลกก็ไม่มีปัญหา อาตมาไม่มีปัญหา เข้าใจเหตุปัจจัย ก็รู้ว่า เขาเข้าใจไม่ได้ แต่บางทีเราผิดจริงๆ แล้วเขาตัดสินว่าเราผิด เราก็ต้องรู้ว่าเราผิดอะไร เราถึงเป็นคนมีปัญญารู้ความจริง แต่ถ้าเราไม่ผิด คนก็ประกาศว่าเราผิด เปิดเผยไปทั่วเลย

     คนที่มีคุณธรรม ท่านถูกก็จะอยู่ในส่วนถูก แล้วท่านต้องมีความถูก ต้องดีงาม จนกระทั่ง ถึงจิตใจ ก็ต้องดีงาม อาตมาเห็น ก็ย้อนแย้งกับ คิสซิงเจอร์ ที่ว่าโศกนาฏกรรม จะเกิดเมื่อฝ่ายถูกประจัญหน้ากัน …. อาตมาไม่เห็นด้วย เพราะคนถูก ก็เป็นคนดี มีปัญญา เมื่อคนถูก ก็มีปัญญา เผชิญหน้ากัน คนถูกไม่ห้ำหั่นกัน อาตมาถึงเห็นขัดแย้ง คนถูก เผชิญหน้ากัน ไม่เกิดโศกนาฏกรรม แต่ถ้าเกิด มีฝ่ายผิด ร่วมด้วย ก็เป็นเรื่อง ความที่ฝ่ายผิดทำ เพราะคนถูก ฝ่ายถูก ก็ไม่ทำให้เสียหาย แต่คนถูกเผชิญกันนั้น ดูเหมือนเอาชนะคะคานนั้น เป็นจริงแน่ มันก็เลยเกิดโศกนาฏกรรมได้ คือเป็นแบบโลกๆ มีกิเลส แล้วก็ตัดสินคนถูกว่าถูก

     เขามีมานะอัตตาด้วยกันทั้งคู่ ยอมแพ้ไม่ได้ทั้งคู่ ห้ำหั่นกัน เป็นอย่างนั้นจริง ในไทยกำลังเกิด กำลังมองว่า สองฝ่าย คือฝ่ายแดง หรือรัฐบาล หรือทักษิณ ยิ่งลักษณ์ กับฝ่ายพวกเรา ก็อีกฝ่ายหนึ่ง

     เมื่อวานนปช.ก็ชุมนุมกันที่พัทยา มีเยอะ ให้เห็นว่า มวลเขามาก จตุพรก็ว่า ทางกปปส. เหลือไม่ถึงพันคน

     คนกลางๆก็มองว่า ทั้งสองฝ่ายถูก มีคุณงามความดีทั้งคู่ คล้ายๆกับ คิสซิงเจอร์มอง แต่อาตมามองว่า ฝ่ายผิดที่เลวจัด กับฝ่ายถูก ที่เจริญขั้นโลกุตระ สู้กัน คนละเรื่องเลย อาตมาเห็นเช่นนั้น ฝ่ายผิดเลวจัดเลย

     ฝ่ายถูกตอนนี้ก็พอชนะฝ่ายเลวจัดได้ คือฝ่ายถูก ที่มีพลังสัจธรรม มีพลังงานลึกซึ้ง ธรรมะย่อมชนะอธรรม เป็นโลกุตระ จึงสามารถชนะ ฝ่ายผิดชั่วหนักได้ ถ้าไม่เช่นนั้น ฝ่ายถูกที่เป็นโลกีย์นั้น แพ้ฝ่ายชั่ว มานานแล้ว

     นักเลงโตที่เลวหยาบในแดนเขา คนดีโลกีย์ จะหงอหมดแหละ ในย่านนั้น ก็ต้องหงอ นักเลงแล้ว ดีเอาชนะเขายาก มายุคนี้เมืองไทย อันธพาลชั่ว แรงจัดเลย เขาชนะมาเรื่อย จนท้าทายเลย สร้างค่ายกล ยึดอำนาจ ให้คนเป็นบริวาร เยอะเลย เขาถึงถือวิธีเลือกตั้งเ ข้าค่ายกลเขา ส่งไม้จิ้มฟันลง ก็ชนะ เขาก็ชนะจริงๆ เพราะตก ในค่ายกล ที่เขาชนะหมดแล้ว

     มาถึงตอนนี้แล้วสุดทนสำหรับผู้มีปัญญา จึงเกิดกรณี รวมตัวกันได้ ทั้งผู้นำและผู้ตาม รวมตัวกันมา ก็เลยมีผล ที่จริงเราก็ร่วมมาเรื่อยๆ ปูทางมาเรื่อยๆ ไม่ใช่ปุปปับๆ มาถึงวันนี้ ขณะนี้ ตอนนี้ ถึงขีดของมัน พลังงาน หรือความสามารถ ในการต่อสู้ กับอธรรม หรือฝ่ายผิด เราถือว่า เราเป็นฝ่ายธรรมะ ฝ่ายถูก เรามั่นใจว่า เราเป็นฝ่ายธรรมะโลกุตระด้วย เช่นเอาความสงบ สยบความรุนแรง เป็นความดีงาม ถูกต้อง จะบอกว่า ความถูก เผชิญหน้า ความถูก จะเป็นโศกนาฏกรรมไม่ใช่ เรากำลังเป็น ความถูกเผชิญความผิด แล้วเราถูก ระดับโลกุตระด้วย แต่ความเลวร้าย มันมากมาย เป็นเจ้าอำนาจด้วย

     ความดีกับความดี ในที่บทความ เป็นความดีระดับ โลกียะ ก็ยึดมั่นถือมั่น ก็โศกนาฏกรรม หรือ ความชั่ว กับความชั่ว ก็เป็นโศกนาฏกรรม บรรลัยจักรแน่

     ในความถูกกับความถูกมีความแข่งดีกัน ไม่ยอม ยึดมั่น ตัวกูของกู ทั่งคู่ แต่ถ้าความถูก ระดับโลกุตระ ต่อให้อีกฝ่าย ดีระดับโลกุตระ อีกฝ่ายเป็นโลกียะ ก็ตาม แม้ฝ่ายดีโลกียะ จะทำสิ่งร้ายแรง ก็เกิดโศกนาฏกรรม แต่ถ้าโลกุตระกับโลกุตระ จะไม่เกิดสิ่งเหล่านั้นแน่

     ส่วนโลกุตระธรรมนั้นมี ๙ ขั้น

     ซึ่งคนเขาเข้าใจว่า โลกุตรบุคคลต้องหนีเข้าป่าเขาถ้ำ อันนั้นเป็น ออกนอกรีต ของพระพุทธเจ้าสอนแล้ว แสวงบุญ นอกขอบเขตพุทธ เข้าใจว่า บุญคือการได้มา ไม่ใช่การลดละกิเลส

     ต้องยกตัวอย่างชาวอโศก ที่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า แบบพวกเรา

     ซึ่งไม่เหมือนกับความเข้าใจส่วนใหญ่ กระแสหลัก เถรสมาคม เขาไม่เข้าใจ อย่างที่ชาวอโศกทำกัน อโศก มีโลกุตระบุคคล ในโลกุตรธรรม ๙ ไม่ใช่คน ออกป่าเขาถ้ำ อยู่เหนือโลกธรรมไม่ได้

     ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกิน บำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กิน ระหว่าง ออกแสวงหาอาจารย์ในป่า สร้างเรือนไฟไว้ ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟ รออาจารย์ สร้างเรือน มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่ สี่แพร่ง แล้ว สำนัก รอท่านผู้อยู่มีวิชชา และจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม ๙ ข้อ ๑๖๓)

     เรือนมีมุขใหญ่นี่ไม่ใช่ลักษณะธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกคนมาวัด ตั้งหลักแหล่ง ตัวเอง ก็ไม่บรรลุอะไร แต่อยู่ด้วยกิเลส กิเลสก็ต้องการ ลาภยศสรรเสริญ ก็เรียกคนมา ให้มาก เลือกที่ทางที่คนไปมากๆ สำนวน ทางสี่แพร่ง นี่ที่เจริญมากนะ เหมือนในเมืองเลย แล้วลัทธิแบบนั้น เข้ามาในเมือง จากโลกียะ ก็มาในเมือง เป็นวัดเมือง วัดป่า ผสมกัน สรุปแล้ว แสวงบุญ นอกขอบเขตพุทธ

     ศาสนาพุทธที่ถูกต้อง แล้วอาตมาก็ขอพูดอีกว่า อาตมาว่า อาตมาพาพวกเรา เป็นชาวพุทธที่ถูก เมื่อประกาศ ก็ต้องต่างกับที่ผิด เห็นตรงกันข้าม เช่นเขาเห็นว่า ออกป่า เราก็บอกว่า ต้องเข้าเมือง ทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่ตรงกัน ฌานและนิโรธ ก็ไม่ตรงกัน ก็เลย คนถูกก็ต้อง อย่างหนึ่ง ทางโน้นก็ว่า เขาถูก เราก็ว่าเราถูก

     ทุกวันนี้เราออกมาทำงานกับสังคม ประกาศเผยแพร่เลย เป็นโลกุตรธรรม

     โลกุตระคืออยู่เหนือโดยจิตใจไม่เป็นทาส อยู่เหนือนี่ ไม่ได้ข่มนะ เช่นอยู่เหนือ อบายมุข มีการพนัน ยาเสพติด มีจัดจ้าน ของโลกธรรม ลาภ ยศ จัดจ้าน แม้แต่อัตตาหรือกาม ก็จัดจ้านใหญ่มาก อยู่ในโลกนี้แหละ ไม่ได้หนี จากกัน เขามีอบายมุข เราก็อยู่กับเขาได้ เขาจะผยองอยู่ เลยท้าทาย หลงใหล แม้แต่ทางรัฐบาล ก็ยังยอม อนุญาตให้เลย มีแต่บางสิ่ง บางอย่าง ที่ไม่อนุญาต กฎหมายห้ามไว้ เช่นโป๊เปลือย กฎหมายห้ามไว้ แต่ก็ฝ่าฝืนอีก เป็นสุดยอด อบายมุข จัดจ้านด้วย พวกโป๊เปลือย ผู้บรรลุโสดาบัน ไม่สุขทุกข์ด้วย พวกนั้น ไม่มีฤทธิ์เดช ให้ไปยินดีด้วย แต่โสดาบัน จะไม่ชอบใจบ้าง แต่ไม่ไปทำร้าย แต่ใจตน ยังชังไม่ชอบใจ มีหอกปากได้ ในญาณปัญญาโสดาบัน ยังมีปากหอกได้

     มีโลกธรรมและกามบ้าง แต่ก็ลดละไปได้เรื่อยๆ จนเป็น สกิทาคามี ก็ลดได้อีก จนเป็นอนาคามีก็ไม่มีสุขทุกข์ กับการผัสสะภายนอก มีวิโมกข์ ๘ สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย

๑. ผู้มีรูป(รูปฌาน) ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (๑๐/๖๖) ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย ในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่า มีสัญญาใส่ใจในอรูป คือ รู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูป ก็ต้องใส่ใจกำหนด)

๓. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่า เป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงาม ที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้น ได้ยิ่งขึ้น)

     โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็ มีสัมผัสภายนอก ฌานนั้นลืมตา แต่อ่านเป็นจิตเป็นฌาน ไม่มีกิเลส เผากิเลสได้ ขณะผัสสะ และพระพุทธเจ้าว่า พระอุบาลี ปรารถนา จะไปอยู่ป่า และราวป่าอันสงัด พระพุทธองค์ ตรัสว่า... ป่าและราวป่า อันสงัดอยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลาย เห็นจะนำใจ ของภิกษุ ผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

     ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือน กระต่าย หรือเสือปลา ลงสู่ห้วงน้ำใหญ่ หวังจะเอาอย่าง ช้างใหญ่สูง ๗ ศอก หรือ ๗ ศอกกึ่ง กระต่าย หรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลง หรือจักลอยขึ้น !!

     ลอยคือฟุ้งซ่านไปทางโลกีย์ ทั้งสองอย่าง ไม่ได้อะไรหรอก จมก็ไม่รู้เรื่อง ลอยก็ออกมาก็สึก ไม่ได้ผลอะไรหรอก แต่ต้องได้สมาธิก่อน คือมีมรรคผล เป็นสัมมาสมาธิก่อน ไม่อย่างนั้น ไม่จมก็ลอย หรือจะออกป่า ก็ไปเช็คผลว่า เราจะลอยหรือจม ไปอยู่ป่า สัมผัสว่า เราจะตกภพ ถีนังมิทธัง หรือติดสงบไม่ออกมาเลยก็จม ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วคุณไม่ใช่ หรือลอยก็คือ จิตฟุ้งออกมาหา โลกธรรม กามคุณ ก็ไปเช็คผล แต่จิตต้องเป็นสมาธิก่อน

     ไปนั่งสมาธิหลับตาออกป่าเขาถ้ำ ไม่ได้แม้แต่โสดาบัน

     โสดาบันต้องมี ญาณ ๗ หรือทิฐิที่นำบุคคลออก
๑. รู้จักปริยุฏฐานกิเลส (ได้แก่ นิวรณ์๕ , การวิวาทกันด้วย หอกคือปาก ฯลฯ) แม้ละปริยุฏฯ ยังไม่ได้ ก็รู้ ไม่มีที่จะไม่รู้ และมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้ เพื่อไปสู่การตรัสรู้ สัจจะทั้งหลาย

๒. อริยสาวกเมื่อได้ความระงับเฉพาะตน (ลภามิ ปัจจัตตัง สมถัง ลภามิ ปัจจัตตัง นิพพุตตินติ) ย่อมเสพคุ้น (อาเสวนา) ทำให้มีผลเจริญ (ภาวนา) ย่อมทำให้มาก ในทิฐินี้ (พหุลีกัมมัง)

๓. อริยสาวก เชื่อมั่นในทิฐิเช่นนี้ ไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน หรือ ไม่อาจหาทิฐิเช่นนี้ได้ จากลัทธิอื่น นอกธรรมวินัยนี้เลย

๔. อริยสาวกผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ มีธรรมดาของผู้สำนึก รีบออกจากอาบัติ เปรียบเหมือน กุมารอ่อน นอนหงาย ที่ถูกถ่านไฟด้วยมือ หรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็ว โดยฉับพลัน คือทำผิดแล้วก็จะรีบปลงอาบัติ จัดการทันทีเลย จะรู้จักชั่ว-ดี เราได้โลกุตระแล้ว จะรู้คุณค่า เมื่อแปดเปื้อน บกพร่อง จะรีบแก้กลับ เป็นธาตุ ที่ได้ชำระแล้ว เป็นความเห็นความรู้ ของผู้นั้น จะไม่ประมาท ประมาทเป็นทางเสื่อม สู่ความตาย

๕. อาริยสาวก ถึงความขวนขวาย ในกิจใหญ่น้อย ที่ควรทำ ของเพื่อนสพรหมจารี โดยแท้อย่างไร ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้า ในอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของอาริยสาวกนั้น ก็มีอยู่ เปรียบเหมือน แม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วย ชำเลืองดูลูกด้วย ฉันนั้น

๖. มีพลังทำประโยชน์ ทำไว้ในใจ กำหนดด้วยจิตทั้งปวง  เงี่ยโสตฟังธรรมวินัย ของตถาคต อันบัณฑิตแสดงอยู่ จะพอในสิ่งควรพอ และจะอยากเจริญ ในสิ่งเจริญต่อไป

๗. ได้ความรู้อัตถะ-รู้ธรรม ปราโมทย์ รู้จริงครบถ้วนธรรม

(โกสัมพีสูตร ทิฐิที่เป็นนิยายิกธรรม ล.๑๒ ข. ๕๔๓ – ๕๕๐ เป็นญาณมีองค์ ๗ เพื่อตรวจสอบดีแล้ว แก่ผู้แจ้ง ในผลโสดาบัน)

     คุณอาจอธิบายไม่ได้อย่างอาตมา แต่ว่าก็จะฟังรู้เข้าใจได้ ถ้ามีสภาวธรรม ว่าเรามีๆ เป็นภูมิโสดาบันนะ ก็มั่นใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ยังมีผู้มีธุลี ในดวงตาน้อย ยังปฏิบัติได้

     สรุปว่า..ถ้าธรรมะของพระพุทธเจ้าเกิดจริง มีจิตผู้บรรลุธรรมได้ มีพลังอำนาจ ที่อยู่เหนือ อาตมาพยายาม เรียบเรียงให้สั้น ว่า อำนาจในโลกจะมีอำนาจของเงินทอง หรือลาภ อำนาจของยศ อำนาจ สรรเสริญ อำนาจของกาม นี่คืออำนาจโลกีย์ ผู้บรรลุ จะเหนืออำนาจเหล่านี้ เช่นโสดาบัน จะเหนือในอำนาจหยาบ เช่น ลาภทุจริต ได้มาเกิน ไม่เหมาะสมทุจริต ผู้ปฏิบัติได้ จิตจะมีอำนาจแข็งแรง เหนือ อบายมุข อำนาจลาภทุจริต เราไม่ทำเด็ดขาด พลังจิตเราอยู่เหนือเลย เด็ดขาดเลย มีอำนาจสู้ได้ รวมแล้วเช่นอยู่เหนืออบายมุข เหนือสังคม

     โสดาบัน มีความประเสริฐคือ...ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆ ในโลกทั้งปวง คือ พระโสดาปัตติผล

อำนาจ ของ ลาภ หรือข้าวของเงินทองในโลก
อำนาจ ของ ยศ หรืออำนาจ ของตำแหน่งหน้าที่ในสังคม
อำนาจ ของสรรเสริญ หรือ เด่น โด่ง ดัง
อำนาจ ของกามคุณ ๕ หรือ รูป กลิ่น เสียง รส สัมผัส

     นั้น คืออำนาจ ที่ คนฉลาด ใช้เป็น โลกาธิปไตย ผู้ที่ยังหลงใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม เป็น "อำนาจ" หรือให้มี "อำนาจ" กับผู้อื่น และกับตนอยู่ นั่นแหละคือ อำนาจที่คน "ผู้ไม่รู้" (ผู้อวิชชา) ใช้เป็นอัตตาธิปไตย

     ผู้ไม่ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็น "อำนาจ" และไม่หลงให้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะหลงกาม ลำบากเพราะหลงอัตตา มามีฤทธิ์เป็น "อำนาจ" ทำให้ใจตนต้องหวั่นไหว เป็น "อารมณ์ ชอบ _อารมณ์ ชัง" ได้

     แต่อยู่กับ ลาภ_ยศ_สรรเสริญ_สุข โดยไม่เป็นทาส ตกอยู่ใน "อำนาจโลก" (โลกาธิปไตย) และไม่เป็นทาส ตกอยู่ใน "อำนาจอุปาทาน" (อัตตาธิปไตย) เพราะยังหลงยึดว่ามี "อำนาจ" จริง

     ผู้ไม่ใช้ "โลก" ไม่ใช้ "อัตตา" และ
    ไม่ให้ "โลก" ไม่ให้ "อัตตา" เป็น "อำนาจ" แก่ "ตน" แก่ "สัตว์อื่นคนอื่นในโลก"
    ผู้นี้แหละ คือ ผู้มี "ธรรมาธิปไตย" หรือผู้ชอบธรรมแล้ว ใช้ "ธรรม" และให้ "ธรรม" เป็น "อำนาจ"

     คือทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ไม่ใช้อำนาจกามหรืออัตตา เรามาประท้วงไม่ใช้อำนาจอาวุธ กดขี่ ที่คนต้องกลัว ไม่ใช้ลาภ เงินทอง มาสั่งการ ให้คนมาร่วมทำด้วย ปฏิบัติธรรมะ เรามาชุมนุม ไม่ขึ้นอยู่กับลาภ ยศ ไม่ใช่อำนาจสรรเสริญ หรือกาม เราไม่ใช้ และเราก็ไม่ได้อยากได้ ไม่ออกจากเรา และเราก็ไม่ใช้มันเพื่อเรา

     มีคนที่ชื่อว่าประธานคนใหม่เขากล่าวว่า รัฐบาลต้องเป็นคน ในตระกูลชินวัตร เท่านั้น หากไม่ได้ตามนี้ จะไม่ยอมให้สงบ นี่คือประชาธิปไตย ของเขา แล้วเขาก็ประกาศว่า นี่คือประชาธิปไตย ของเขา ล็อคสเปคยิ่งกว่า ล็อคหวยด้วยนะ แม้โตวิจักไชยกุล ก็เป็นไม่ได้ ถ้าไม่พานทองแท้ หรือคนอื่นก็ไม่ได้ มิน่ายิ่งลักษณ์ ถึงไม่ยอมเปลี่ยน นามสกุล คุณล็อคสเปคไว้แล้ว ทั้งที่มีลูก มีสามีแล้ว ก็ขอนามสกุล ชินวัตรอยู่ นี่คือ ประชาธิปไตยของเขา ชัดเจนนะ

     ที่ถูกต้องมันก็คงจะต้องเฉลี่ย ให้คนอื่นบ้าง...

   www.asoke.info