570324_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬฯ
เรื่อง ประชาชนปฏิวัติตามรัฐธรรมนูญ

            ทุกวันนี้เป็นการต่อสู้ที่ใช้ Force ไม่ใช่ Authority ใช้กันมาอย่างนั้น ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งบางเดรัจฉาน ก็มีคุณงามความดี ไม่ทำร้ายผู้ที่แพ้ ดังนั้น คนต้องมีคุณธรรมให้ได้ รู้กันทั่วโลกเลย ไม่ใช่ระดับลึกเลย เป็นเรื่อง สามัญธรรมดา

            sovereignty คืออำนาจของประชาชน อำนาจดีๆ ไม่รุนแรงโหดร้าย เป็นโทษ มีแค่อำนาจเป็นคุณ ถ้าผู้ใดสามารถสร้าง คุณงามความดี เป็นAuthority เป็นคุณงามความดี สั่งสมถึงขีดก็เป็น Sovereign เป็นอำนาจ สมบูรณ์สูงสุด ของอำนาจอธิปไตย

            แล้วอำนาจ Authority คืออย่างไคก็คือคุณธรรม มีเมตตากรุณา ไม่โลภ ไม่โกรธไม่หลง ก็คือ โลกุตระธรรม นั่นแหละ

            อำนาจที่จะใช้บริหารปกครองประเทศ มีอยู่ ๕ อย่าง
๑. อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข  ซึ่งเป็น"รัฐาธิปัตย์" ของระบอบ ประชาธิปไตย ๒ ขา

๒. อำนาจรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ อำนาจนี้ ใช้ในการรับใช้ ประชาชนด้วย ประชาชน เป็นนายของเขา แต่เขาผยอง แข็งข้อต่อประชาชนอยู่นี่ ไม่ได้เข้าใจ ประชาธิปไตยเลย เป็นเพียงอำนาจ รับใช้รับจ้าง มีรายได้เงินเดือนด้วย มีสวัสดิการ เยอะแยะเลย แต่ละกรมกอง หน้าที่ ทำผิดก็ไม่ได้ ทำมาก ทำเกิน ทำน้อย ก็ไม่ได้ มีความผิด การปกครองให้มี ๓ สถาบัน ไว้คานอำนาจกัน แล้วหาว่า ตุลาการลำเอียง ไม่มีสิทธิ์ตัดสิน อันนี้เป็นความไม่รู้ เป็นความไม่ถูกต้อง ตามหน้าที่ ไม่ยอมรับกัน ในหลักการ กฎหมาย ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ เพราะโง่ไม่รู้ผิด

๓. อำนาจคณะทหารที่ได้มาจากการปฏิวัติ หรือรัฐประหาร อย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง ไม่เป็นไป ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้

๔. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติ หรือรัฐประหาร อย่างไม่สงบ มีอาวุธ รุนแรง ไม่เป็นไป ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้

๕. อำนาจประชาชนที่ปฏิวัติ หรือรัฐประหาร อย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง เป็นไปตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้

            เมื่ออำนาจที่ ๒ ได้ทำผิดประชาชนก็ต้องออกมาทำหน้าที่ได้ ตามมาตรา ๖๘ (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิ และเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้าง การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มา ซึ่งอํานาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

มาตรา ๖๘ (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคล หรือพรรคการเมืองใด กระทําการ ตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบ การกระทําดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่อง ให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อ เท็จจริง และยื่นคําร้องขอ ให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการ ให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือน การดําเนินคดีอาญ าต่อผู้กระทําการ ดังกล่าว”

            ส่วนมาตรา มาตรา ๖๙ (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อ ให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

            อนุญาตให้ทำได้ เมื่อมีผู้ได้ใช้วิธีการ ในการบริหารปกครองประเทศ โดยมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ ย่อมทำได้ เราทำจนได้พิทักษ์ อำนาจนี้ไว้ได้ อย่างชอบธรรม เช่นที่เขา ทำอยู่นี่ เป็นนายกฯรักษาการ ก็ทำละเมิด เราก็พยายาม พิทักษ์รักษา ถือว่าชนะ ก็สามารถปฏิบัติตาม มาตรา ๗ ได้ เป็นแต่เพียง อีกฝ่ายหนึ่ง ดันทุรัง

            เราทำนี่ทำตามมาตรา ๓ และต่อต้านตาม มาตรา ๖๙ ก็ทำได้ และมาตรา ๖๙ ก็ทำได้แล้ว

            มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้

            คุณวีรกานต์ เสื้อแดงพูดถึงมาตรานี้ แต่ไม่ได้พูดถึงว่า ทางรัฐสภา ครม. นั้นได้ยุบไปแล้ว ทำผิดจนกระทั่งต้องยุบสภา ไปแล้วด้วย

            แล้วเขามีการกระทำลบหลู่ศาล แถมยังเอาระเบิดเอาปืนไปใส่ แต่คุณไม่พูด

            อำนาจที่ครม.หรือสภาใช้ก็คือใช้แทนประชาชน จึงเรียกว่า สภาผู้แทนราษฎร เป็นอำนาจแทน ประชาชน ไม่ใช่อำนาจเต็ม sovereignty เป็นอำนาจ ที่ใช้ทำงานเท่านั้น ถ้าใช้ทำแบบ Force ทำแบบข่ม อย่างที่ทำ แทนที่จะไป เป็นลูกน้อง ประชาชน ก็ไปเป็นนาย ไปข่ม นี่คือ Force พวกทั้งข้าราชการ การเมืองและประจำ มาข่มประชาชนไม่ได้ ใช้กันทั่วโลก เพราะเป็นกิเลส แต่ถ้าเป็นอำนาจ คุณงามความดี เป็นอำนาจ Authority ได้ก็จะดีมาก แต่ถ้าใช้Force อยู่มาก ก็ไม่ได้เรื่อง

            ผู้ทำหน้าที่รับใช้ปปช.อย่างไม่กดขี่ได้เท่าใด ก็ตรงตามหน้าที่ ในประชาธิปไตย ที่ได้รับมอบหมาย จากมวลประชาชน เพราะได้ใช้อำนาจ อย่างดีงาม ถ้าใช้ได้สูงสุด ก็เป็นSupreme เป็นอำนาจให้อิสระ ตัวผู้บริหารปกครอง ก็ไม่กดข่ม ให้อิสระเต็มที่ เป็นเอกราชเต็มที่ ทุกคนได้เรียกว่า Independence แต่ถ้ายังทำ ไม่เข้าขั้น ก็ยังไม่ใช่อำนาจที่เป็น อำนาจอธิปไตย sovereignty เต็มที่ ถ้าใครทำได้เป็นAuthority ถึง supreme เป็น sovereign right

            ในรัฐธรรมนูญของทุกประเทศ ที่ไม่ออกโดยคนเกเร ก็ต้องพยายาม ออกมาให้ดี รับใช้ประชาชน อย่างชอบธรรม ให้อำนาจ ครม. และรัฐสภา ไปทำงานแทนประชาชน เพื่อรับใช้ประชาชน ประชาชน คัดเลือกไป ส่วนศาลเป็นอำนาจแทน พระมหากษัตริย์

            แต่ที่จริงไม่ใช่ว่า ศาลคือพระมหากษัตริย์เป็นผู้เลือก แต่ว่าประชาชน เป็นคนเลือก เป็นคณะเจ้าหน้าที่ ตั้งแต่เรียน แต่สอบ จนคัดเลือก มีความรู้สามารถเพียงพอ แล้วก็ทูลเกล้า ให้ในหลวง ลงพระปรมาภิไธย ให้ทำงาน เป็นสายที่ ไม่ได้เลือกตั้ง มาจากประชาชน มันจึงมีนัยละเอียดต่างกัน

            อำนาจประชาชน จึงมีอยู่เต็ม เลือกตั้งไปแล้วก็ตาม ทิ้งไม่ได้ เราต้องคอยสอดส่อง ตาม มาตรา ๗๐  บุคคล มีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

มาตรา ๗๑ บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์ชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย

            ทุกคนควรสำนึกอย่าดูดาย อย่าไปตกอยู่ในภาวะ แห่งความกลัวมากไป แต่ประชาชน ก็กลัวน้อยกว่า ข้าราชการประจำ หรือการเมือง ในกาละสังคม เดือดร้อน แสนสาหัส ก็ให้แต่ละคน ระดมกันเต็มที่ ให้เรียบร้อยก่อน ให้มาพิทักษ์รักษา ประท้วง ต่อต้าน จนยกระดับถึง ขออำนาจคืน หรือล้มล้างอำนาจเก่า ของสภา หรือรัฐบาลเก่า ที่ได้ทำผิดแล้ว ทำเสียหายมากแล้ว ประชาชน เห็นร่วมด้วยมาก ไม่ได้อคติ ออกมาเป็น หลายล้าน ๑๐ ล้านคน

            ลองดูซิวันที่ ๒๙ นี้เอาให้ทั่วประเทศเลย จะเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ประชาชน จะแสดงอำนาจ อธิปไตย

            ถ้าทำได้ริบอำนาจจากรัฐบาลคืน แล้วมาจัดการ จัดการอะไร เพื่อที่จะ ให้ได้นายกฯ ประชาชน เราจะตั้งสภา ประชาชน แล้วหานายกฯ ของประชาชน ​จะหาวิธีเอาอย่างไรกันดี ให้ประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจ จะเลือกโดยตรง เหมือนปาร์ตี้ลิสต์

            ถ้าเราได้มาแล้วทูลเกล้าฯเสร็จ ก็มีนักรู้ผู้รู้มาทำ จนสมบูรณ์ได้ เมื่อทำเสร็จ ประชาชนทำให้เสร็จ ไม่ต้องเดือดร้อน วุ่นวายในหลวง ทำให้เสร็จ อย่างดีงามเรียบร้อย ไม่ใช้อาวุธ เหมือนกับที่ ทหารทำ คณะปฏิวัติทำ อย่างคณะราษฎร์ทำ แต่เราไม่ได้ใช้ force แต่เราทำด้วย อำนาจประชาชน ถูกต้องตาม รัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจ Authority เป็นsoverigh power แท้จริง ทำได้สำเร็จ แต่เขาเถียงว่า ไม่ได้มีบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ แต่ในเนื้อหา นัยของรัฐธรรมนูญ

            อย่าไปเลี่ยงคำเลย พวกเรามาปฏิวัติล้มล้าง อำนาจเก่า อำนาจรัฐบาลที่ล้มเหลว เลวร้าย เราทำอย่าง เป็นอำนาจโดยธรรม ถูกต้องตามประชาธิปไตย ตรงสู่ประชาธิปไตยทุกอย่าง เป็นการกระทำ ที่ปฏิวัติโดย ประชาชน ที่วิเศษที่สุด สำเร็จแล้ว แต่มันไม่จบเพราะ

            ๑.ฝ่ายครองอำนาจไม่ยอมทิ้งอำนาจที่เป็นอำนาจลวงไม่จริงไปรวมมวลประชาชนที่เข้าใจไม่ได้ เขาใช้ลาภยศ สรรเสริญไปใช้ ให้เชื่อว่าเขามีอำนาจอยู่

            ๒.ไม่เข้าใจว่าประชาชนทำสำเร็จแล้วอย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ แล้ว ทำการปฏิวัติสำเร็จ เขาไม่เข้าใจไม่ตื่น แม้นักวิชาการนักรู้ ก็ไม่เข้าใจ

            แม้เราจะมากันแล้วถูกทำร้ายอย่างนี้เราก็สงบได้ เป็นความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง จนศาลรับรองเรา เป็นลายลักษณ์ อักษร และคณะรัฐบาล ที่ใช้อำนาจเถื่อนกับเรา ไม่ให้สลายเราอีก ต่างหาก

            ประชาธิปไตย มีฝ่ายค้าน กับฝ่ายเสนอ เราก็ยืนยันเสนอไป ฝ่ายไหน มีคะแนนถูกต้อง ก็ชนะเป็นธรรมดา อย่าสงสัย ประชาธิปไตย ต้องมีการถ่วงดุล ถ้าขืนไม่มีฝ่ายค้าน จะกลายเป็นเผด็จการ ทำตามอำเภอใจ เหลิงอำนาจ ประชาธิปไตย จึงมีวิธีที่สวยงาม

            เรื่องสุญญากาศนั้น คือสุญญากาศ จากอำนาจเก่า ถ้าผู้ปกครองเก่า ก็ลาออกไป แล้วไม่มีใครทำต่อ แล้วไม่มีใคร แสดงตัว จะรับผิดชอบ นี่คือสุญญากาศ แต่นี่ไม่ใช่ ประชาชนแสดงตัว มารับผิดชอบ ว่าจะปฎิวัติ ปฏิรูป ให้ดีขึ้น มันควรต้องประกาศศักดา ให้โลกรู้เลย

            เรามาชี้ความถูกให้รู้ตัว ว่าอย่างไรแค่ไหน ตอนนี้มีอยู่สองฝั่ง ก็เป็นการตัดสิน ถ้าจะดึงดัน ดื้อด้านอย่างไร ก็เป็นพฤติกรรมสังคม ลองทำดูสิ ไม่ต้องใช้อำนาจ ฆ่าแกงกัน เราเป็นพวกอาริยกะแล้ว เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ยุคที่ จะใช้มีดใช้ปืน ไปห้ำหั่นกันแล้ว พวกเราที่ทำงาน แม้ในรัฐธรรมนูญ หมวดทั้ง๗ ข้อแรกนี้ ครบแล้วนะ

            แม้ในม.๔ เราก็ต้องได้รับการคุ้มครอง ตำรวจก็ควรคุ้มครองเรา ทหารก็ออกมา คุ้มครองเราแล้ว นอกนั้นเราก็มีการ์ด ช่วยกันเองอยู่

มาตรา ๔ (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

มาตรา ๕ (ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย) ประชาชนชาวไทย ไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ใน ความคุ้มครอง แห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

มาตรา ๖ (กฎหมายสูงสุด ของประเทศ) รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุด ของประเทศ บทบัญญัติใด ของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้น เป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา ๗ (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ) ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัย กรณีนั้น ไปตามประเพณี การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

            สรุปมาตรา ๗ นี้เมื่อไม่มีบทบัญญัติใดแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ก็ให้ประชาชนปฏิวัติได้ ... ทหาร จะมาช่วยปฏิวัติ แบบประชาชนได้ ไม่มีในบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนปฏิวัติ หรือทหารปตว​. แต่การปฏิวัติ รัฐประหารนั้น เมื่อไม่มีกรณีใด ก็ให้ทำตามประเพณี ซึ่งประเพณีปฏิวัติก็มี ซึ่งไม่ได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ เราทำนี้ ไม่ใช่วิธีการ แบบทหารทำ แต่ว่าเป็น วิถีทางที่ได้มา ซึ่งการปกครอง ในการบริหาร ประเทศเหมือนกัน เรากปปส. ก็มีจุดมุ่งหมาย ให้ได้อำนาจ การปกครองประเทศ เหมือนกัน แต่วิธีการเรา สันติวิธี ต่างกันตางวิธีการ แต่วิถีทางต่างกัน อย่างของทหาร ที่เคยทำมาแล้ว หรือ ประชาชน เคยทำมาแล้ว ไม่มีในบัญญัติรัฐธรรมนูญนี้ ไม่อนุญาต แต่อย่างของเรา ประชาชนนี้มีบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ อนุญาต

            ถ้าไม่ติดในภาษา ก็วินิจฉัยตาม Minority rule แม้จำนวนน้อยคน ออกมาต่อต้านประท้วง แม้คนเดียว ให้คุณเลิกล้ม บอกว่า รัฐบาลนี้ผิด ให้ออกไป ถ้ารัฐบาลนี้ ซื่อสัตย์สุจริต แล้วเขาตรวจสอบว่า ผิดจริง อย่างที่คน มาท้วง แม้คนเดียว ผู้บริหาร เช่นนายกฯ ที่ผิดจริงก็ออก ไม่ต้องเอา Majority หรอก เราเรียกมวลออกมา ตั้งหลายครั้งแล้ว ก็สงบเรียบร้อยดี

            แล้วเรากปปส. ออกมานี่ ทำได้ในประเทศไทย เราทำมาเรื่อย ตั้งแต่ปี ๔๙ มาถึงวันนี้ ก็เก็บรายละเอียด มาตั้งแต่นานแล้ว เก็บสั่งสม ในจิตวิญญาณ มีคุณธรรมรู้ว่า อย่างนี้ ต้องมาช่วยกัน ช่วยแล้ว สังคมเรา จะดีขึ้น เราก็ดีขึ้นด้วย คนมีปัญญารู้ ก็มาช่วย เสียสละออกมา ผู้มีปัญญา ศรัทธาเสียสละ เพียงพอ จะนานเท่าไหร่ก็ทำ ทำแล้ว มีพลังงาน ที่มองไม่เห็น ด้วยตาเปล่า เป็นพลังงาน จิตวิญญาณ เชื่อถือศรัทธา ของแต่ละคน รวมกัน เรียกธรรมฤทธิ์ แม้คนละเล็ก ละน้อย ก็มีความจริง ยังดีคนไทย ยังมีธรรมะ

            ขอสรุปเรื่องหนึ่ง คือเรื่องความถูกความผิด อาตมาเคยพูดไว้ แต่พศ. ๒๕๑๒ เขียนไว้ในหนังสือ คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก มีคำเกริ่นว่า...ผู้รู้จริง จะเห็นความผิด ของคนผิด ว่าเป็นความถูกแล้ว ส่วนผู้ยัง ไม่รู้จริง เท่านั้น ที่จะเห็นความถูก ของคนถูก ว่าเป็นความผิดอยู่ ผู้ยังไม่รู้จริง จะเห็นความถูก ของคนถูก เป็นความผิด

            พวกแดงเห็นพวกเราทำ เขาก็หยิบไปพูดว่าพวกเราทำผิดหมด เขาไม่รู้ความจริง ก็เลยเห็นความผิด ของคนถูก เป็นความผิด อาตมาเห็นอย่างนี้ ไม่งงไม่สงสัยเลย คนโง่ก็ยังโง่อยู่ น่าสงสารด้วยซ้ำ ก็ช่วยกัน บอกเตือน ให้เข้าใจ พูดดีเท่าไหร่ ก็ไม่ฟัง ก็เลยต้อง พูดร้ายกระแทก ด่าไปบ้าง ก็ยังไม่สะดุ้ง สะเทือนเลย ตอนนี้ เขาก็โกรธ จะเอาตายเลย

            คนเขาก็เข้าใจว่า สสาร พลังงาน ได้แค่ฟิสิกส์ ส่วนพระพุทธเจ้านั้นรู้ถึง metaphysics  มีสามอย่าง ของอำนาจ พลังงาน คือ ดูด_ผลัก_กลางๆ

            ศาสนาพุทธก็สอนสามอย่างนี้ อำนาจนี้เกิดที่ใจ หรือจิตวิญญาณ แล้วก็สร้างอำนาจนี้ เช่น ตาเรากระทบรูป จิตเราก็มีลีลา บทบาท ชอบ ไม่ชอบ ถ้าชอบก็อยากได้ ดูดมาให้แก่ตน ไม่ชอบก็ผลัก ไม่ชอบมากๆ ก็ทำลาย หายวับไป ต่อหน้าต่อตา ก็ว่าไป หรือไม่อย่างนั้น ก็สร้างพลัง อย่าไปผลัก หรือดูดมาก เหมือนศาสนาทั่วไป แต่ละลัทธิศาสนา ก็ทำพอได้ ด้วยวิธีการแต่ละศาสนา และศาสนาพุทธก็ทำ สามารถทำให้เกิด ความเป็นกลาง หรือ อุเบกขาได้ ที่เป็นเริ่มตต้น หากทำได้สูงสุด เรียกว่า มัชฌิมา ทำโดยรู้เจตนา จนจิตเก่ง สามารถน้อม ให้ดูดหรือผลักได้ เท่าไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะ ไม่ให้แรง จนเกินการณ์

            โดยเฉพาะผลักอย่างแรง จนเสียหายแตกพัง เป็นต้น ก็ไม่ทำ ฝึกตนเรียนรู้พลังงานแบบนั้น จิตวิญญาณ จะไม่สร้าง พลังงานแบบนั้น ร้ายแรงไม่มี เหลือแต่พลังงาน รับไว้อาศัย ปรุงแต่ งเป็นประโยชน์ ได้อาศัย ใช้งาน ส่วนจิตนั้น ยิ่งใหญ่ ที่ทำแล้ว ก็ใช้งาน แต่ไม่ติดยึด ใช้ประโยชน์แล้วก็วาง เป็นอุเบกขา มัชฌิมาสูงสุด

            ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่เปิดศาสนาพุทธ เป็นสูตรแรกเลย บทแรกของพุทธธรรม ของพระพุทธเจ้า ก็สอน เรื่องสองข้าง กามนั้นเป็นสุขขัลิกะไม่ใช่ของจริง เป็นสุขเท็จ กามคือได้มาเสพรส แต่อัตตานั้น ได้มาแล้ว ฝังในจิต

            จิตที่ตั้งหรือหยั่งขึ้น เป็นวิจาร ถ้าไม่มีปัญญา มันก็ทำงานบังคับเรา ถ้ามีปัญญาก็บังคับเราไม่ได้

            เราทำได้แล้วเป็นคนประหลาดของโลกทำชั่วไม่เป็น ทำต่อไป จนเป็นอรหันต์ แล้วก็สืบทอดต่อไป เป็นฟิสิกส์ ของพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นนามธรรม ที่ลึกซึ้ง

๑.         คัมภีรา (ลึกซึ้ง)
๒.        ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)
๓.        ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
๔.        สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .
๕.        ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
๖.         อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)
๗.        นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)
๘.        ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม ๙  ข้อ ๓๔)

            ต้องพิสูจน์ให้เข้าถึงจิตวิญญาณเอง จิตที่อุเบกขามีคุณสมบัติ
๑.         ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ ๕) .
๒.        ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรง แม้ผัสสะกระแทก)
๓.        มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุง ให้เจริญ) .
๔.        กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) . 
๕.        ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 
(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม ๑๔   ข้อ ๖๙๐)

            อย่างที่โกณทัญญะได้แล้ว การทำงานอย่างโลกุตระ จึงเป็นการงานที่ บริสุทธิ์ เหมาะควร แม้จะมีผัสสะอย่างไร ก็ผุดผ่อง แจ่มใส เป็นคุณสมบัติของ อาริยบุคคลเป็น พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

   www.asoke.info