580527_มหาจัตตารีสกสูตร ตอน ๑

วันพุธที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๗ ปีมะแม รายการ ธรรมาธรรมะสงคราม จากราชธานีอโศก  เริ่ม ๑๘.๒๐ น. จบ ๒๐.๒๐ น.

พ่อครูว่า...วันนี้จะได้เอา มหาจัตตารีสกสูตร ที่ถือว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้า ทิ้งไว้ให้อาตมา อธิบาย ถือว่าเป็นเพชร ที่มีความหมดจดงดงาม มีเหลี่ยมมุม ครบพร้อม เรื่องอาริยสัจ ๔ ​ที่มีมรรคองค์ ๘ แล้วมรรคองค์  ๘ นี้จะหยั่งถึง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ

เราได้ใช้ภาษาสื่อถึงสภาวะ ถ้ายังไม่มีสภาวะ เราก็รู้ชื่อ (อธิวจนะ) ว่าอาการนี้ นามนี้ เจตสิกเป็นเช่นไร มีความแตกต่างกันอย่างไร จนอาตมา เอาชื่อทางวิทยาศาสตร์เขามาเรียก ชีววิทยาเรียกเพศ อย่างฟิสิกส์ ก็เรียก บวก/ลบ เป็นเคมีก็ธาตุต่างๆ ใช้ชื่อ อธิวจนะไปเรียกแทนสภาวะ ที่อาตมามี อาตมามีเนื้อ สภาวะ เพียงแต่ว่า ไม่เก่งภาษาบัญญัติ แต่ก่อนนี้ ภาษาก็ผิดพลาดเยอะ แต่ตอนนี้ ก็ลงตัวมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ก็ ๔๕ ปีมาแล้ว ที่ใช้ภาษาสื่อสภาวะ มาถึงขนาดต่อภาษา ทางโลกกับทางธรรม

ภาษาที่ทางโลก เขาหมายอย่างนี้ แล้วทางธรรมจะเป็นอะไร มันลงตัวหมด แม้ที่สุด รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อมีกระทบสัมผัส ปฏิฆสัมผัสโส ก็เกิดเข้าใจรู้แจ้ง เป็นเช่นนั้นเลย แม้เป็นนามธรรม เล็กละเอียด เท่าใด มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต จึงสามารถทำให้ ชีวิตินทรีย์นี้ หมดพลังงานชีวิตได้ ดับชีวิตคือดับชาติ ดับพลังงานชีวิต

พระพุทธเจ้า จะเรียนรู้ชีวิตเต็มๆ จากหยาบ โอฬาริกอัตตา แล้วลดพลังงาน โอฬาริกอัตตา ลงไปถึง พีชนิยาม จนไปรู้พีชนิยาม ที่ประกอบด้วย ธาตุสองธาตุ คือ โปรตอน กับนิวตรอน  ก็จะเกิดภาวะ ๒ แล้วจะรู้ว่า อาการ คือโปรตอนกับนิวตรอน เป็นนิวเคลียส ที่เล็กสุดท้าย มีอิเล็กตรอน วิ่งรอบๆ เราก็รู้มาตั้งแต่ อิเล็กตรอน ที่เป็นพาหะ (โคยาน) ที่จะวิ่งออกไป ทำอะไรต่ออะไร เป็น potential energy พลังงานศักย์ แต่ถ้าโคจร (คือพลังงานจลน์ ก็สามารถเรียนรู้ ทั้งพลังงานศักย์/จลน์

เมื่อมีอะไรกระแทก นิวตรอนจะแตกแทรก ไปร่วมกับอิเล็กตรอน แล้วกลายเป็นตัววิ่ง อปรโคยาน ไปเรื่อยๆ ผู้อวิชชา ก็ไม่สามารถควบคุมตรงนี้ได้ เป็นอุกกาบาต คนก็ไม่เก่ง ในการกำหนด วงโคจร ของตัวเอง แต่ถ้าเก่งมาก มีอำนาจเหนือ ก็จับวงโคจรของตัวเองได้ เป็นวงรี เป็นดาวหาง นิวเคลียส คือหัวดาวหาง วิ่งสะเปะสะปะไป ไปถามถึงใครต่อใคร ก็ว่าดาวหาง มีอิทธิพลอย่างไรๆ

มันเป็นนิวตรอน ที่วิ่งออกไป เมื่อไปจับตัว ก็จะมีโปรตอนไปจับด้วย กลายเป็นชีวะ ที่มีครึ่งเดียว คือ half life ทั่วไปวิทยาศาสตร์ เขาก็รู้แล้วว่า มันไม่เที่ยง อะไรก็ลงไปที่ อนัตตาหมด

วิทยาศาสตร์รู้จัก อนิจจัง อนัตตา แต่เขาจะไม่รู้ทุกข์ เพราะทุกข์เป็น อาการนามธรรม เกิดจาก จิตนิยาม แม้แค่พีชนิยาม ไม่รู้จักทุกข์

พีชนิยาม มีแต่ สัญญา กับสังขาร ซึ่ง มันก็มีปรุงแต่ง ตามกำหนดรู้ ในสัญชาติญาณของเขา เขาก็เกิดชาติ ตามสัญญะ พีชะก็มีปรุงแต่ง ไปตามกรรมพันธุ์ เกิดเป็นขันธ์ ของตนเอง ยังไม่มีเวทนา มีแต่ รูป สัญญา สังขาร สามตัวนี้ ก็เป็นรูปร่าง สภาพพีชะ เป็นชีวะแล้ว

ศาสนาพุทธ เรียนรู้จิตนิยาม จัดการทำลายตัว อปรโคยาน ตัวเคออส ที่วิ่งไปตามประสา พลังงาน ถูกอิทธิพลอื่น บังคับ ไม่มีอำนาจในตนพอ ที่จะยืนหยัดยืนยัน ของตนเอง แต่พระพุทธเจ้า ท่านเรียนรู้ ของตนได้ รู้พลังงาน ที่ออกนอกทาง แล้วจับให้มาอยู่ ในทางเดียว ไม่ให้พลังงานแหกคอก ใน chain reaction ปฏิกิริยาลูกโซ่นี้ จึงจัดการพลังงาน พวกนี้ได้ เหมือนที่เขาใช้ พลังงานปรมาณู เพื่อสันติ ทางนามธรรมนี้ จับของตนเองได้

มีพลังงานไฟฌาน ที่เหนือกว่า พลังงานปัญญา ที่รู้ว่าเอ็งดิ้นไปนี้ มีอุปาทาน ยึดติด หลงเทวดา กินง้วนดิน ไปหลงนึกว่า ง้วนดินมีรสชาติ หอมหวน ก็แล้วแต่ มันก็มีรูปรส กลิ่นสัมผัสธรรมชาติ แต่คุณไปยึดติด พระพุทธเจ้าเลยให้ทำลาย รสชาติที่ยึดติด พอใจชอบใจ ซึ่งไม่เหมือนกัน ของคนนั้น คนนี้ ก็ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ตนถูกครอบงำ พอใจยึดเป็นเรา เป็นของเราว่า น่าได้น่ามี ก็เอามา แต่เมื่อไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น มันก็เป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาติ

มันรู้ธรรมะสองอย่าง อันหนึ่งเป็นรสธรรมชาติ อันหนึ่งเป็นรสทิพย์ สุขทิพย์ คุณก็ต้องการสุขทิพย์ ให้ได้นานๆ ควบแน่นยึดให้ได้นานๆ ก็ติดยึดเข้าไป กลายเป็นสภาพที่ สองธาตุ ที่ผนึกเข้าในอนุสัย

เอาของตนเอง ก็เป็น XX แต่เอาอย่างอื่นมาด้วย ก็เรียกว่า XY แล้วผสมส่วนกันไป เป็น Gene เป็น DNA ไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้ารู้ทัน ก็ไม่ได้เกิด ไม่ให้มันเป็นเพศ​ เพราะเมื่อเป็นเพศ จะเสพรส แต่เมื่อไม่เป็นเพศ ​เป็นเอกบุรุษ ก็ไม่เสพรส แม้เป็น xx ก็ไม่เสพรส เอาพลังงานมาใช้ได้ดี แม้ xy ก็ทำเป็น xx ได้ ทำอิตถีลิงค์ มาเป็นปุงลิงค์ได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับ เวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ทำให้มันรวมตัวกัน เป็นหนึ่งให้ได้ มันก็กลายเป็น ชาติใหม่ แม้เรียกว่า นิวตรอน ก็เป็นตัวใหม่

หรือเป็น genome ตัวใหม่ ซึ่งเป็นเพศ บุรุษเพศ เป็นปุงลิงค์ เป็นบุรุษเพศ ​เป็นสองหน่วย xx แล้วผู้ควบคุมได้ จะทำ xy เป็น xx ได้ เป็นชีวะ ไม่ได้หยุดพลังงาน เพราะเรียนรู้ แล้วทำให้มันเกิด ภวันติ กลายเพศ​จากเพศหญิง มาเป็นเพศชาย จึงได้พลังงาน ปฏิภาคทวี

ส่วนสายดับไม่รู้ จะดับทั้งเวทนาและสัญญา ไม่มีบทบาท เป็นสัตว์ที่ ไม่มีธาตุรู้ ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนเพศด้วย ไม่มีพลังงาน แล้วก็หลงว่า การทำให้เกิด หยุดเวทนา หยุดสัญญา ก็เกิดความหนัก แน่น ข้น สะสมตัว กลายเป็น นิวตรอน ที่แน่นๆๆๆๆ พอมีปฏิกิริยา ตัวเองก็ ควบคุมไม่ได้ หรือเป็นพลังงานกิเลส ร้อนแรงข้างใน มันต้องการมากพอ มีเหตุปัจจัย กระทบปัง ถ้าพลังงาน ควบแน่นมาก กระทบนิดเดียว ก็ระเบิด ความต้องการของตนเอง ออกมาอย่างแรง เป็นนิวเคลียร์ มีกัมมันภาพรังสี อันควบคุมไม่ได้ แต่ตัวไป ตนเองไม่มีความรู้ ไปควบคุม ก็เลยแตกตัว ซ้ำซ้อน นี่คือลักษณะ พลังงานในโลก

แล้วพลังงานปัญญา เป็นพลังงานที่สูงมาก มีประสิทธิภาพ มีความรู้ด้วย รู้อะไรควรไม่ควร รู้อะไร เป็นคุณ เป็นโทษ ตัวไหนเป็นโทษ ก็ทำให้เป็นกลางได้ สามารถทำให้ y เป็น x ได้ เอามาเสริม จึงเป็นพลังงาน ปัญญาสุดยอด เป็นพลังงาน ๔ อย่าง สุดท้ายคือ
๑.        ปัญญาพลัง  (กำลังคือ ปัญญา)
๒.        วิริยพลัง  (กำลังคือ ความเพียร ขยัน)
๓.        อนวัชชพลัง  (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)
๔.        สังคหพลัง  (กำลังคือ  การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น) 

ผู้ใดเห็นสัมมาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ ผู้นั้นก็สัมมาทิฏฐิ

สรุปแล้ว ทั้งหลายแหล่ ก็มีสภาพธรรมะสอง ถ้ามันแตะกันเฉยๆ ก็ไม่เกิดอะไร แต่ถ้าเกิดปฏิฆะ คือการทวนกระแสไปมา กระทบกันไปกันมา ถ้ามันเป็นแค่พีชะ จะไม่มีองศา ไม่เกิดวงวนอะไร แต่พอมี isotope แตกตัวไปอีกมาก ที่คุณจับได้ รู้ไม่ได้ ก็เป็นพีชนิยาม มันไม่มีแรงมาก ไม่มีธาตุหนักอะไร ไม่เป็นธาตุแน่นอะไร เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ไม่ถึงนิวเคลียร์ฟิวชั่น

เราสามารถเข้าใจ isotope ที่แตกตัวนิวเคลียส ออกไปมี genome ต่างๆ ของทางโลก เขาไม่มีวิธีการ จัดการ genome หรือลืมๆทิ้งๆ แต่ไม่ได้เรียนรู้ว่า อะไรทุกอย่าง ก็อนัตตา แม้แต่ที่แตกตัวเป็น half life มันก็เป็นชรตา พระพุทธเจ้าถึงตัดสิน ตัวทายคือ ลักขณรูป ของตัวตน อณู ปรมาณู เป็นพลังงาน นิวตรอน สุดท้ายแล้ว ที่แตกตัวจาก isotope ที่แตกตัวไป มีครึ่งชีวิต ไปเรื่อยๆ แม้มันจะไม่มีทาง สูญตลอด แต่มันก็มีแนวโน้ม ที่จะลดลงไปเรื่อยๆ หากแตะกันเบา ไม่มีปฏิกิริยาลูกโซ่ ตรงนั้น ก็เป็นทศนิยม ที่น้อย สุดท้ายก็สูญ เท่ากับ อนาคามีเป็น อันตราปรินิพพายี คือจะปรินิพพาน ในระหว่างไหน ก็ไม่รู้ แต่ถ้าผู้ใดพอมีความรู้บ้าง ก็สามารถระงับหรือหยุด ไม่ให้ไปไกล เรียกว่า อุปหัจจปรินิพพายี ในอนาคามี ๕ อย่าง
๑.        อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
๒.        อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
๓.        สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพาน โดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบ ปุญญาภิสังขาร             ในภพตน ให้มากๆ)
๔.        อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพาน โดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่ง อภิสังขารให้มากนัก)
๕.        อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรม ไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็น น้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว) อันนี้เป็นยอดแห่งพรหม เป็นยอดแห่งพระเจ้า จะตาย หรือจะอยู่ต่อ ก็ได้ กำหนดวันตาย วันเกิดได้

ถ้าไม่มีอาการ ๓๒ มาใช้เป็นอุปกรณ์ จะเป็นเช่นนี้ แต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันมีแต่รูป ไม่มีนาม มาต่อเชื่อมเลย มันพ้นรัศมีของ ปลายประสาทแล้ว เป็นวัตถุธาตุ ไม่เรียกว่า อาการนาม แต่เป็นอาการรูป ไม่มีธาตุรู้ มาร่วมด้วย ไม่เรียกว่ารูปกาย เพราะคำว่ากาย ต้องมีนาม มาประกอบด้วย เพราะฉะนั้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่กาย สามารถรู้ได้ แต่มันเอง ไม่มีเจ็บปวด ไม่สุข ไม่ทุกข์ สามารถยืนยัน พิสูจน์ได้ ผมที่ยาวมานี่ตัดได้ ไม่เจ็บ  แต่มันยึดเป็น เจ้าเข้า เจ้าของได้ โดยเฉพาะผู้หญิง ผู้หญิงนี่ อิเล็กตรอน มันดีดดิ้น ผมก็ของกู เล็บก็ของกู หนังก็ของกู ประคบ ประหงมมัน ตกแต่งมัน รักษามัน ผู้ที่อยากร่ำรวย จงหาเรื่อง หลอกผู้หญิง เอาเครื่องประเทือง ไปขาย ก็รวยกันทั่วโลก เพราะผู้หญิงหลง วรรณะทิพย์ อายุทิพย์ หวงแหนเป็นชีวิตเลย ทั้งเล็บ ทั้งผิว ทั้งผม ต้องให้สดเสมอ

สามารถรู้องค์ประกอบ ในการปรุงแต่ง ให้ได้สัดส่วน ก็ค่อยๆรู้ไป แล้วจะได้ไปช่วย ปรับปรุง ก็ไม่เป็นปัญหา สรุปคือ พระพุทธเจ้า สามารถแยก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามได้ สามารถทำ ความลึกของ x ธาตุ y ธาตุ ให้มาเป็นเพศชาย เป็นเพศที่มีพลังงาน ไม่มีอปรโคยาน สามารถทำ ให้เป็นเพศที่เป็น อปรโคยาน ควบคุมตนไม่ได้เคออส จนมารู้ว่า ทุกหน่วยของพลังงาน จะเกิดเป็น  ๐ ๑ ๒ หรือว่า ๑ ๒ ๓ ก็ได้

๐ กับ ๑ คือนิวเคลียส ๒ คืออิเล็กตรอน แต่ถ้าควบคุมนิวเคลียสไม่ได้ มันก็มีพลังเหมือนดาวหาง ไปกระทบทั่ว แต่ถ้ากระทบได้ ก็ไม่เป็นดาวหาง วนไม่เป็นวงร ีก็มี cyclic order แต่ถ้าสะเปะสะปะ จะเป็นเคออส แล้วแต่อะไรมากระทบ ก็เบี้ยวไปกับเขา แต่เมื่อมีพลังงานตน จัดสรรให้เป็นวงวน ที่เป็นระบบระเบียบ นี่คือพลังงานปัญญาที่รู้ แล้วมีพลังเจโต ที่จับ cyclic order สำเร็จ สามารถควบคุมได้ด้วย จะมีพลังงาน ที่ทำงานต่อไปได้ ก็ปล่อยให้เกิด ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ หรือ ๙ ก็แล้วแต่บารมี ของผู้มีบารมี น้อยหรือมาก ควบคุมการเกิดได้ ให้เกิดวงวน ที่เป็นลำดับๆไป ซ้อนๆ จนเป็นหลาย cyclic order เป็นจักรวาลใหญ่ ที่มี ๙ หน่วย เหมือนโลกเรา มีดวงดาว ๙ หน่วย เป็นนพเคราะห์ แล้วมีดวงดาว หมุนวนในวงโคจรของตน ไม่สะเปะสะปะ ไม่เป็นเคออส

พลังรวมของพวกเรา เป็นผู้มีปัญญา สามารถทำพลังงาน ระดับ นิวตรอน โปรตอน อิเล็กตรอน คือ ๑ ๒ ๓  แล้วจัดโคจร ให้มันไม่มีทิศทาง นอกเส้นทาง แต่จะมีเส้นทางโคจร ไม่สะเปะสะปะ เป็นพลังงานเอกภาพ ที่สูงส่ง ใช้งานได้ดี มีประโยชน์มาก จะให้มีชีวะก็ได้ ไม่ให้มีชีวะก็ได้ เพราะรู้จัก ความเป็นอมระ

จาก อประ มาเป็น อมระ คือผู้ควบคุมให้สู่ cyclic order จะให้มันรี นิดหนึ่งก็ได้ จัดวงกลมสองอัน ให้มาสู่กันได้ ติดกันได้ หรือจะแยกกันก็ได้ สามารถควบคุม nuclear  fission หรือ fusion ได้

ตัว fission คือแบ่งกระจาย แล้วหายไปครึ่งหนึ่ง เป็นลูกโซ่ สุดท้ายคือ ชรตา

ส่วน นิวเคลียร์ fusion คือทำให้รวมตัว มีน้ำหนักได้ เป็นพลังงานที่รวมกัน หลอมกัน เรียกภาษาอย่างเร็ว ว่าหลอมละลาย รวมกันเป็นธาตุหนัก แต่ fission มันแตกกระจาย มี half life ยังไงก็เข้าสู่ ชรตา

มันมีปฏิกิริยา คือกลางๆ ปฏิฆะคือกระแทก ส่วนปฏิสัมพัทธ์ คือ harmony ไปด้วยกันอย่างดี เราจะรู้การดำเนินไป เราเรียนรู้ของจริง เรามีสิ่งที่ถูกรู้คือรูป นามธรรม เราก็อ่านมันด้วย อาการ ลิงค นิมิต ว่าอันนี้คือ จิต เจตสิก อันนี้คือรูป เป็นปสาทรูป สัมผัสแล้วเกิดอย่างไร ก็เข้าใจภาษา และอาการ

ปสาทรูป กระทบโคจรรูป ก็เกิดวิญญาณ เกิดธรรมะสอง เป็นภาวรูป ๒ เป็นอิตถีเพศ หรือบุรุษเพศ มีชีวิตินทรีย์ ขึ้นมาก็รู้ รู้หทยรูป รู้ชีวิตรูป รู้อาหารรูป ที่เป็นอาหาร ๔ อย่าง ถ้ามันอาศัยกาม เป็นอาหาร ก็รู้ว่ามันยังหยาบอยู่ หรือในกามนี่แหละ มันเป็นอาการของ ความต้องการหยาบ มันมีเจตนา แล้วเจตนามันแรง เป็นกามตัณหา ก็รู้มันหยาบ ต้องฝึกฝน ไม่ให้มันมีผลต่อเรา ถ้าเราอยู่เหนือกาม ภายนอกได้ ก็ควบคุมจัดการ รูปภพ อรูปภพได้ จัดการ xy ให้เป็น xx ได้ก็สมบูรณ์แบบ ไม่มีภวภพ เป็นวิภวภพได้ เจตนาที่มี จึงไม่เป็นพิษ ควบคุมได้สมบูรณ์แบบ

สามารถควบคุมได้ถึง พลังงานนิวเคลียร์ ให้ทำงานเป็น กัมมันตะ เป็นรังสีที่คุมได้ เอามาใช้ได้ ไม่เป็นพิษ เป็นโทษ รังสีที่ออกไปเป็น isotope สุดท้าย ก็จะเข้าสู่ ชรตา ส่วนที่เอามาใช้ ก็รวมพลังงาน เป็นปฏิภาคทวี นี่คือ E = mc2 + A ซึ่ง A คือ Abstract เป็นอรูป ที่มีพลังงานสูง จะเรียนรู้ได้ ต้องรู้กรรม เกิดจากปฏิกิริยา การเคลื่อน ถ้าแตะกันเฉยๆ ก็เป็นธาตุสอง ที่อยู่เฉยๆ แต่ถ้ากระแทก มีปฏิฆผัสโส หรือมีปฏิกิริยา ถ้าทำให้ไม่เกิด ฆ ไม่เกิดแรงเป็นก้อนข้น คือ ฆ ระฆัง ยิ่งถ้าอวิชชา ก็เป็นแรงทำลาย แม้แต่เป็นแรงเสพรส ก็เป็นซาดิสม์ หรือ มาซูคิสม์ ต้องแรงให้ถึง climax ต้องมีเวทนา ที่แรงถึงจุด พวกนี้อำมหิตมาก

ซาดิสม์ คือเห็นแก่ตัวอยู่ แต่มาซูคิสม์ ไม่มีตัวตนเลย กูเจ็บนี่แหละกูมัน กู climax นี่คือสัจจะ ที่ทางโลกก็พอรู้ ถึงมีศัพท์ ที่เป็นอารมณ์ที่พอรู้ได้ แต่มันมีต้นทางอณูของชีวะ พระพุทธเจ้า ให้เรียนรู้ ลีลาอาการ ที่จะเกิด กุศล/อกุศล การเกิดดี ก็เรียกว่าสุข แต่เลวก็เรียกทุกข์ สุกฏทุกตานัง ทุกอย่าง เกิดจากกรรม พระพุทธเจ้า ควบคุมปฏิกิริยา พวกนี้ได้หมด จึงไม่มีปฏิฆะ ที่เป็นความแรงเป็นโทษ แต่ใช้แรงนี้ เป็นธรรมฤทธิ์ เป็นบุญฤทธิ์ ที่กำจัดกิเลสได้ เป็นธรรมฤทธิ์ เจริญขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมได้

ยิ่งเป็นปฏิกิริยาที่แรง เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ก็รู้ความแรงความเบา ที่ควบคุมได้ จะให้เบา ลหุ หรือจะให้แรง ขึ้นมาเท่าไหน ก็ประมาณได้ มีอำนาจของมุทุตา จะให้เบาให้อ่อน หนักข้นแรง ก็ทำได้หมด เพราะรู้ทุกสภาพ ของจิตวิญญาณ เป็นจิต มุทุ หัวอ่อน จะให้มีคุณสมบัติ สมรรถภาพ อย่างไรก็ได้ ควบคุมต้นทางได้ ก็เป็นกัมมัญญตา ให้เป็นสุจริต ให้เป็นจรณะ ให้เป็นการดำเนินไป อย่างดี เดินสู่สุกฏะ แต่ถ้าทำชั่ว ก็ได้ทุกตทุกตานัง ผลัง วิปาโก เป็นผลวิบาก ตกในอนุสัย อาสวะ

อนุสัยกับอาสวะ ต่างกัน อนุสัยเป็นพลังงานเพศผู้ ส่วนเพศเมีย เป็นอาสวะ ยังมีโยนิ มีการเกิด มีที่เกิด เป็นตัวบ่อเกิด เป็นโอปปาติกโยนิ เป็นสัตว์ที่ยังเกิด ส่วนอนุสัย เป็นสิ่งรวมตัวกันอยู่

อนุสัย คือ สิ่งที่ยังตกเป็นตน โดยอวิชชา แต่ถ้าพ้นอวิชชา ตนก็เพียงอาศัย สย เพื่ออาหาร เพื่ออาศัย ทำประโยชน์ ให้ทำงานไปได้ตลอด จบในตัว ทำแล้วก็เสร็จ มีพรหมวิหาร ๔ เมตตา ผู้ใดควรช่วย ก็ช่วย กรุณาลงมือช่วย ช่วยได้เสร็จก็มุทิตา แล้วก็วางได้ อุเบกขาไม่มีเรา เขา ไม่มีอาลัย ไม่มีอาศัย แต่ถ้าอาลัยอยู่ ก็ยังเป็นอนุสัย

ผู้สามารถวิเคราะห์วิจัยจิตได้ จึงสามารถรู้แหล่งเกิด (โยนิ) ที่เกิด คือสัมภาวะ แต่ที่เกิดแหล่งที่เกิด คือโยนิ หรือโยนี สามารถที่จะแยก genesis doing ทำตัวเกิดเป็นชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติได้ ก็ควบคุมการเกิดได้ แต่ผู้มีโยนิเอง ก็พร้อมให้เกิด มีรูปธรรม ของแหล่งเกิด ส่วนผู้ไม่มีโยนิ ก็ไม่มีแหล่งเกิด แต่เป็นผู้เป็นเหตุปัจจัย ทำให้เกิด ถ้าพลังงานสองพลังงาน อวิชชา มีกามด้วย ก็ดิ้นทั้งเพศหญิง ชาย แสวงหาก็มีการเกิด แต่ถ้าเรียนรู้ สามารถไม่ให้เกิด ปฏิกิริยา ปฏิฆสัมผัสโส จนเกิดแตกตัว เกิดอณูใหม ่ก็ไม่เกิดตัวใหม่

ถ้าอยู่กันไปเฉยๆ เป็นปฏิกิริยาธรรมดา ก็ไปได้สบาย อย่างที่อาตมา จับพยัญชนะ ชื่อต่างๆนี้ มาให้รู้สภาวะ นัยพวกนี้มีเยอะ

ผู้สามารถมี psycho analysis สามารถจัดการ genome มี genesis doing ได้ ทำ genesis killing ได้ ประหาร รากเหง้าของ อกุศลจิตได้ ส่วนผู้เรียนรู้ไม่ได้ ก็ไม่สามารถจบ ไม่สามารถ เอาพลังงานนี้มาใช้ เป็นพลังงานดีได้ เพราะ isotope จะแตกตัวไป ไม่สิ้นสุด เพราะกามคุณไม่ลด isotope ของคุณ ก็แตกตัวไป นับไม่ถ้วน ปฏิฆสัมผัสโส ทีหนึ่ง isotope มันแตกตัวไปมากมาย มีนิรันดร แต่ถ้าใครสามารถ genesis killing ก็จะได้จบ คนที่ทำ selfishness killing ได้ ก็คือจบ

ทำสมาธิ คือทำจิต ให้รวมเป็นหนึ่ง เป็นเอกบุรุษ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ
อาตมามีหนึ่งเดียว ทำให้มีหลากหลาย ได้มากขึ้น คือพวกเราได้นี่แหละ แต่ระวัง อย่าหลง รูปเรซิ่นหล่อนะ หลงว่าตนได้ อนาคามี อรหันต์ แต่ได้แค ่รูปหล่อเรซิ่นนะ แต่ไม่ได้สภาวะจริง ก็ค่อยๆ ทำให้สมบูรณ์ ทำหลากหลาย ให้เป็นหนึ่ง

หลากหลาย ก็แตกตัวเป็นเวทนา ซึ่งเวทนานั้น เป็นตัวรวม ถ้าผู้ใด อ่านเวทนา ไม่ออก ทั้งที่ตนมี แล้วหลงว่า ต้องเสพ เวทนาสุข จนเป็นคนวิตถาร ไปหลงเสพ เวทนาทุกข์ว่าเป็นสุข เป็นซาดิสม์ หรือมาซูคิสม์ เกินขอบเขตนี้ถือว่าแรงแล้ว เป็นพลังงานเกินขอบเขต โดยเฉพาะ เป็นพลังงานเป็นโทษ แต่ถ้าเป็น พลังงานมีประโยชน์ แม้แรงก็ทำได้ แต่ถ้าแรงมากไป กลายเป็นทำลาย แต่เป็นทางเสียยาก แต่ถ้าเป็นโทษนี่เสียเลย แม้น้อยหรือมาก ยิ่งมากยิ่งฉิบหาย สามารถรู้คุณโทษนี้ได้ อย่างซื่อสัตย์ คนที่เห็นว่า สิ่งไหนผิด ตนเป็นคนซื่อตรง ก็ไม่ทำ แต่คนหลงผิด ก็ทำผิดได้ แต่คุณไม่หลงผิด ก็ไม่ทำผิดหรอก

รู้ แล้วไม่อวิชชาด้วย สรุปแล้ว ต้องทำให้เป็นหนึ่ง เป็น X แล้วทำปุงลิงค์ ให้เป็น นปุงสกลิงค์ หมดเพศเลยได้ แล้วเอาอะไรเติม เอา ๐ เอา ๑ ไปเติมได้ รู้ได้ว่า เอา ๐ ไปเติมหน้า ก็ลดค่า แต่ถ้าเอา ๐ ไปเติมหลัง ก็เพิ่มค่า เป็นผู้รู้ ๐ ๑ ๒ ที่เอาไปใช้ได้ อย่างรู้ๆ คือเอาพลังงาน ที่ควบคุมได้ แต่ละหน่วย ที่เป็นวงวน ไปใช้ได้ จะเติมอะไรก็ได้

๐ นี่อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง แต่ถ้าเริ่มเป็น ๑ ก็มี ธาตุแห่งความเพียร ๗ คือ ...​ เป็นพลังงาน ยิงลูกศร ออกจากแล่ง เมื่อดึงลูกศรเต็มที่แล้ว อุปปักกัมมธาตุ ก็รู้ว่าจะดึงแรงเท่าไหร่ แรงมาก ไปไกลมาก แรงน้อยก็ไปใกล้ๆ ก็กำหนดได้หมด จะให้ลูกศร ไปไกลแค่ไหน ก็ตามพอควร เป็นสัปปุริสธรรม ประมาณอย่างได้สัดส่วน กัมมัญญตา คือการงาน ที่เหมาะควร ส่วน กัมมนียะ คือภาคมรรค ที่ฝึกคุมอยู่ แต่พอได้ผล ก็เป็นกัมมัญญตา เป็นกัมมัญญา เป็น ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

ทำงานไป ศึกษากรรมไป สามารถควบคุมกรรมได้ สมบูรณ์แบบ กรรม พระพุทธเจ้า ถึงรวบรวมไว้ เป็น มรรคองค์ ๘

๗.  มหาจัตตารีสกสูตร  (๑๑๗)
[๒๕๒]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงสัมมาสมาธิ ของพระอริยะ
อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  แก่เธอทั้งหลาย  พวกเธอจงฟัง สัมมาสมาธินั้น  จงใส่ใจให้ดี  เราจัก
กล่าวต่อไป  ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

[๒๕๓]  พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ
อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมา
อาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่ จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
ประกอบแล้ว ด้วยองค์  ๗  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์
ประกอบบ้าง  ฯ

(พ่อครูแทรกว่า ...ในองค์รวมทั้งหมด ท่านรวมไว้ที่ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
วิตก คือจิตตัวต้น ตัวแรกเลย เริ่มดำริขึ้นมา ใครสามารถจับได้ ตัวต้นเท่าไหร่ คนนั้นก็เก่งเท่านั้น เป็นวิตักกะ แต่ถ้าใครจับไม่ได้ ก็เป็นตักกะ คือความรู้ไม่หยั่งลง ถึงความจริงเท่านั้น มีเหตุและผล มีตัวหนึ่งกับตัวหนึ่ง เป็นปัจจัย จนสามารถจัดการ สองตัวนี้ได้ เกิดตัวที่ ๓ เป็นวิจาร แต่ถ้าไม่เกิดวิจาร คุมไม่ได้ ก็เกิด วิกล เป็นเรื่องเสีย ไม่ควรเกิด แต่ถ้าทำให้ดีเป็นวิเศษ เป็นวิการที่วิเศษ เป็นวิกลก็เครื่องจักรดี ไม่เป็น genius  ก็เป็น idiot คือเป็น genius คืออย่างดี แต่ idiot คือเป็นอย่างไม่ดี สองอย่างนี้ ใกล้กันมาก)

[๒๕๔]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  ๗  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมาทิฐิ ย่อมเป็น ประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิ ว่ามิจฉาทิฐิ รู้จักสัมมาทิฐิ ว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

(พ่อครูแทรกว่า ต้องศึกษาอย่างไม่ตัดทวาร ต้องศึกษาอย่างเปิดทวาร แล้วรู้ทั้ง สิ่งนอกและใน ประกอบกันเป็น สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ไม่ใช่ไปหลับตา ไม่ทำอาชีพเลย หยุดนิ่ง ไม่ให้ทำกรรมกิริยา อะไรเลย แม้ความคิด สังกัปปะก็ไม่ให้คิดเลย เป็นคนเฉยเด๋อ ไม่ใช่ แต่ให้มี ความคิดได้ จัดการดูแล  พูดก็ได้ ทำก็ได้   ผู้ที่รู้ความถูก ของคนถูก ว่าเป็นความผิด คนนั้นคือคนผิด  ผู้ที่รู้ความผิดของคนถูกว่าผิด คนนั้นคือคนถูก คนที่รู้ความถูก ของคนผิดก็ตาม ความถูกของคนผิดก็รู้ คนนั้นคือคนถูก)

[๒๕๕]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่ว แล้วไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มี บิดาไม่มี  สัตว์ที่เป็น อุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกไม่มี นี้มิจฉาทิฐิ ฯ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง  ปรัญ จ โลกัง  สยัง อภิญญา  สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

พ่อครูแทรกว่า ผู้ที่รู้จะคอยบอกว่า อันนี้โลกียะ อันนี้ควรทำลายไปเสีย ในจิตเช่นนี้ อ่านจิตของตน ให้ออก ว่าจิตเราไปแบบกระแสโลก ก็ค่อยลดลงๆ ให้จิตเข้าสู่โลกุตระ รู้แจ้งในตน เห็นของตนอยู่ เห็นว่ามันไม่เที่ยง ไม่เที่ยงไปทางโลกีย์ กระแสมันวิ่งไปทางโลก หรือจิตโน้มสู่ โลกุตระ (อธิมุตโต หรือ อธิโมกโข) มาสู่วิมุติ หรือ อธิมุติ หรือวิโมกข์ มาสู่เนกขัมมสิตเวทนา อย่างนี้มาทางโลกียะ ก็เป็น เคหสิตเวทนา ก็อ่านอาการของจิต รู้ว่าจิตเป็นโลกีย์/โลกุตระ  อ่านจิตเรา ที่ได้ลดกิเลส ที่เป็นสักกายะ เราเสพบำเรอมัน มันก็ไม่เที่ยง สมใจ/ไม่สมใจ มันไม่มีนิรันดร แต่คุณอยากให้อยู่นาน อยากได้สัมผัสอยู่ แม้สัมผัสไว้ก็บางที ก็เบื่อหน่าย เอาออกไป ก็เบื่อแล้ว ถ้าคุณยึด ก็อยากให้อยู่อย่างนี้ ตลอดกาลนาน

เมื่อมีการปรุงแต่ง ให้ยึดไว้ ก็มีวิธีการแสดงว่า ให้รักกันนานๆ ก็มาจูบกันให้ได้นาน ใครนานกว่ากัน ก็ชนะ ครอบงำความคิด ด้วยความไม่เข้าใจ อวิชชา แล้วคุณจะจูบกันไปได้ นิรันดรไหม? บางคน ปากเจ่อ ห้อเลือดเลย บ้า นี่คือความไม่รู้ อวิชชา แต่เขาก็ไม่เข้าใจ แสดงอาการกาม ก็ไม่รู้ว่าไม่ดี แสดง sexy อะไรก็ตาม เขาก็หาว่าอาย มาพูดทำไม? ก็ต้องพูดฉีกหน้าว่า ไม่น่าได้ ไม่น่ามีนะ

[๒๕๖]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวสัมมาทิฐิ เป็น  ๒  อย่าง  คือ  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์  อย่าง  ๑ สัมมาทิฐ ิของพระอริยะ  ที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค  อย่าง  ๑  ฯ

สามารถทำให้กิเลส มันลดได้ โดยที่มันไม่เที่ยง ในทิศทางลดลง เช่นเรารู้แล้วว่า กิเลสเรา มีปฏิกิริยา ๑๐๐ แต่บางที มันมากขึ้น เป็น ๒๐๐ เป็น ๔๐๐ เลย เป็นปุถุชน ถ้าทำให้กิเลสลดลง จางคลายลงได้ ก็รู้เห็น ความจางคลาย วิราคานุปัสสี ตามเห็นเลย มีวิปัสสนา มีพฤติกรรมเห็นเลยว่า มันเกิดทุกข์ มีเหตุแห่งทุกข์ ที่เราจับได้ เป็นกาม ราคะ โทสะ พยาบาทก็ตาม สราค หรือ สโทส เป็นเจโตปริยญาณ คุณก็ทำ ให้มันเบาลง จางคลายลงได้ เห็นเข้าใจของจริง เห็นอาการ ลิงค นิมิต ของตนเลย ผู้อ่านรู้ ความจริง ตามความเป็นจริง ของเจตสิกของเรา เราจับ genome ได้ แม้ว่ามันเล็กก็ตาม คุณสามารถ ทำให้มันลด ด้วยสามารถ อุปปหัจจะ คุณก็รู้ยิ่งเห็นจริง ว่ามันลด ทำให้ลด คือชำระได้ เรียกว่า “บุญ” คุณทำได้ส่วนหนึ่ง ก็เรียกว่า บุญภาค หรือ ส่วนแห่งบุญ หรือ ปุญญภาคิยา เป็นผลแก่ขันธ์ คำว่าขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  สะอาดขึ้นจากกิเลส ผู้ทำได้ อันนี้เป็นสาสวะ ก็ลดลงไป แต่ถ้าเป็นอนาสวะ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นสภาพธรรมะสอง ที่ยังทำให้สมบูรณ์ไม่ถึง ก็ทำการ อภิสังขาร ไปเรื่อยๆ ชำระไปเรื่อยๆ ตามลำดับ เริ่มต้น ก็ค่อยขยายความไป

[๒๕๗]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล  ผลวิบาก ของกรรม ที่ทำดี  ทำชั่วแล้วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็น อุปปาติกะมี  สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่ง ด้วยตนเอง  ในโลก  มีอยู่  นี้สัมมาทิฐิ ที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ

ก็คือพบสมณะพราหมณ์ ที่เป็น สยังอภิญญา มีอยู่ แต่คนไม่เชื่อ ก็จะไม่แสวงหา ไม่ได้ฟัง แต่ถ้าคน แสวงหา เจอผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว แต่ไปเห็นผิด ไปเชื่อผู้ที่มิจฉาฯ ว่าเป็นผู้ถูก ผู้นั้นก็คือ ผู้มิจฉาทิฏฐิ  ผู้ใดเห็นผู้ถูก เป็นคนผิด ผู้นั้นไม่มีทาง ได้บรรลุธรรม ผู้นั้นก็ยังผิดอยู่ ก็ถูกแล้ว แต่คนที่เห็นคนถูก เป็นคนผิด เขาก็เห็นความถูก เป็นคนถูกไม่ได้ ผู้นั้นคือผู้ผิด

อาตมาไม่สงสัยว่า อาตมาเป็นผู้ถูก กำลังบรรยาย แสดงความถูก พากันทำสิ่งถูก แต่คนที่เห็นว่า คนถูกเป็นคนที่ ทำความผิดอยู่ คนนั้นคือคนผิด ๑๐๐% ...จบ