(ส่วนหนึ่ง...จากหนังสือสัจจะชีวิตฯ )

บทที่ ๙
โพธิรักษ์ กับโพธิกิจ ๑


รู้แจ้งโลกนี้ และโลกนอก

ในช่วงขณะหนึ่งของชีวิต เมื่อถึงจุดนั้นของตนเองแล้ว อาตมาก็รู้โลกอื่นๆ ออกนอกโลกไปอีก ก็เหมือนกับ กำลังเมาแบบ ลิงลมอมข้าวพอง แต่มาเมาทางด้าน "ภูมิธรรม" ก็เลยสนุกไปใหญ่ เสร็จแล้วก็ "เพ้อ" ไปอยู่ช่วงหนึ่ง

อาการที่รู้ รู้จริงๆ อะไรๆ ก็รู้หมดชัดแจ้ง รู้อย่าง "พ้นวิจิกิจฉา" สูงสุด หมด สงสัย รู้แจ้งแทงทะลุไปหมด เหมือนทะลุโลก ออกไปไหนๆ อะไรที่จะไม่รู้...ไม่มี อารมณ์ตอนนั้น เป็นอย่างนั้น บางทีจิตก็เถลไถล ไปถึงขนาด "โอ้โฮ! รู้จริงๆ เลย เรารู้รอบหมด ทุกอย่าง จะมีอะไรให้รู้อีกเล่า สงสัยในโลกนี้ ไม่มีอะไรให้เรารู้" รู้สึกถึงขนาดนั้นเลย จนไม่กลัวอะไร ในโลกนี้เลย แล้วก็ผยอง!

ที่ไหนได้ ยังมีอีกตั้งแยะ ที่เราไม่รู้ ตอนหลังๆ ก็รู้สึกว่า "โธ่เอ๋ย ! คิดจรวดก็ยังไม่เป็นเลย แล้วจะไปรู้หมด ได้อย่างไร อีกหลายๆ อย่างก็ยังไม่รู้เลย"

แต่ตอนนั้น อารมณ์ความรู้สึก เป็นอย่างนั้นจริงๆ เรารู้ว่า "เรารู้ในสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้งจริงๆ รู้รอบ รู้อะไร ต่ออะไร" บรรยายไม่ถูก ไม่รู้จะบอกอย่างไร

พอรู้สึกตัวว่า "ชักเพ้อ" ก็เลยต้องหยุด ถ้าขืนบ้าโลกนอกไปอีก ก็บ้ากันอีก และอาตมาก็มี "ภูมิรู้" นั้นเอง ไม่มีใครมาเตือนหรอก อาตมาเตือนตน พอรู้ตัว อาตมาก็หยุด !

รู้โลกนอก รู้อะไรต่ออะไร อาตมาก็พอรู้บ้างตาม "ภูมิ" แล้วก็ไม่ต้อง ไปอยากรู้หรอก จะรู้เอง เหมือน พระพุทธเจ้า รู้ว่า "โลกนี้กลมมา ๒๕๐๐ กว่าปีแล้วนะ" รู้ก่อนนักวิทยาศาสตร์ ท่านตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร ว่า "โลกนี้กลมเหมือน ผลมะขามป้อม" แสดงว่า "พระพุทธเจ้ารู้โลกนี้" รู้ไม่เหมือนที่เขารู้ว่า "โลกแบน" พอ "โคลัมบัส" ค้นพบว่า "โลกกลม" เท่านั้นแหละ ตื่นเต้น!

แต่ "พระพุทธเจ้า" รู้มาก่อนนานแล้ว ตั้งหลายพันปี ถึงได้เทียบเคียงว่า "โลกกลมเหมือนมะขามป้อม" ดั่งมีหลักฐาน คำตรัสดังกล่าว

อาตมาจึงรู้อะไรๆ แม้แต่ในเรื่อง ดาราศาสตร์ ในเรื่องโลกต่างๆ จริงๆ

อาตมาเคยเพ้อ* เคยเขียนเล่น แต่ฉีกทิ้งหมดแล้ว

และ อาตมาก็ไม่ได้มีเวลามากพอ ที่จะมาวุ่นวาย ในเรื่องเหล่านั้น

(คำว่า "ผม" เป็นสรรพนามแทนคำว่า "อาตมา" ที่ใช้พูดกับ อุปสัมบัน หรือกับผู้เป็นพระ)

ผมรู้หน้าที่-รู้งาน แม้แต่ทำงานสอนอยู่ขณะนี้ ทำงานที่จะพยายาม เปิดเผย"สัจธรรม" ผมก็ไม่มีเวลาพอ ที่จะ "เล่น" อะไรอื่นอีก จนตลอดตาย

ถ้าผมจะเล่น ก็มีเรื่องเล่นอีกเยอะ เป็นเรื่องสนุก ที่จะแวะออกไป แต่ไม่ใช่แกน ไม่ใช่แก่น (ศาสนา) เพราะฉะนั้น ผมต้องทำงานนี้ (ศาสนา) แทน (ที่จะเล่น)

เรื่องของโลกก่อนนี้ โลกนี้ โลกหน้า ผมก็ต้องยก "เอหิปัสสิโก" ยกตัวเอง เห็นเอง เป็นตัวอย่าง ท้าทาย ให้มาพิสูจน์ ผมว่า "ผมเป็น... สมณพราหมณ์...ผู้นั้น"

คือ "เป็นผู้เห็นเอง รู้เอง" (ตามฐานะแห่ง สยัง อภิญญา ที่เป็นสาวกภูมิ) เข้าใจสิ่งนี้ รู้แจ้งสิ่งนี้ และ ยืนยันว่า "สิ่งนี้เป็น... สัจธรรม"

ที่ผมเปิดเผยอยู่นี้ เป็นเพียงทีละน้อยๆ ยังมีอีกเยอะ ที่ยังไม่ได้เปิด "ผมจึงถ่อมตนอยู่ ยังไม่ได้อวดเก่ง อวดใหญ่ ข่มใครๆ ไปทีเดียวเลย"

แต่คนอีกมายหลาย ยังเข้าใจผมไม่ได้ง่ายๆ หรอก! ผมเห็นใจเขา !



ดวงดาว ดวงคน ดวงธรรม

ทั้ง "ดวงดาว ดวงคน ดวงธรรม" ต้องมีเหตุ-มีปัจจัย พาให้เกิด จะเกิดมา โดยไม่มีเหตุ -ไม่มีปัจจัย ไม่ได้!

"ดวงดาว" จึงคือ สภาพของสิ่งหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นด้วย เหตุ-ปัจจัย อันประกอบไปด้วย "มวล กับ พลังงาน" จึงมีฤทธิ์แรง กระทั่ง มีเส้นทางโคจรครบดวง ๓ จังหวะ เรียกว่า "ไตรลักษณะ"

"ดาว" เกิดได้ ๒ สภาพ คือ

๑. เกิดจากตัวเอง ดิ้นรนเกิด มีเหตุชักจูงให้เกิด ด้วยการก่อตัว จากสภาพที่ "ไม่มีอะไรเลย" คือ "ความว่างเปล่า" (SPACE)

ซึ่ง "ความว่างเปล่า" นี้ ทางวิทยาศาสตร์ถือเป็น "เทหวัตถุแท่งทึบ" ที่เต็มไปด้วยมวล ที่บางเบาเหลือเกิน เป็นอณู เหมือนลม เป็นแก๊สต่างๆ ที่กระจายอยู่ ในห้วงอวกาศ ธาตุที่ก่อตัวรวมกันเข้า จากแก๊สต่างๆ นี้ เรียกว่า "ธาตุลม" เมื่อ "ธาตุลม" ทำปฏิกิริยา รวมตัวกัน เกิดเป็น "ธาตุแห่งอุณหภูมิ" ก็เรียกว่า "เตโชธาตุ" อาจจะเป็นเย็นจัด หรือ ร้อนจัด ก็ตาม

"ปฏิกิริยาในห้วงอากาศ" จะรวมตัวกันใหญ่โต มหาศาลมาก ไม่ใช่หมู่เมฆเล็กๆ แต่ใหญ่ยิ่งกว่า "สุริยจักรวาล" ใหญ่กว่า Galaxy บาง Galaxy อีก

ในห้วงอวกาศ ก็ทำปฏิกิริยาแบบเดียวกับ "หมู่เมฆในท้องฟ้า" ในโลกของเรา โครงสร้างเดียวกัน แต่มหึมา กว่ากันมาก แล้วก็เกิดปฏิกิริยา ไฟฟ้า ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พอทำปฏิกิริยากัน แล้วเสร็จ ก็จะเหลือเศษของ "พลังงาน" ตกตะกอนขึ้นมาเป็น "ดวงดาว" แตกกระจาย ออกไปอีกเยอะแยะ เป็นสภาพของ "หมู่ดวงดาว" ที่มีอุณหภูมิ ร้อนจี๋ แล้วก็จะมีสภาพเป็น "ดวงดาว" ต่อไป

นี้เป็น "ดาว" ที่เกิดจาก "Nebula หรือ หมู่เมฆ" อันมหึมามหาศาล ในห้วงอวกาศ จะเกิด "ดาว" ทีละหมู่ใหญ่ มากมาย มหาศาลเลย รวมกันเป็น หมู่จักรวาล เป็น "สุริยจักรวาล" บ้าง ถ้าเป็นหมู่ใหญ่จริงๆ ก็เป็นหมู่ Galaxy

๒. เกิดจากการแตกตัวออกมาจาก "ดาวแม่" ที่มีพลังงาน มหาศาล เหลือเกิน กระทั่งที่สุด "ดาวแม่" ดวงนี้ จะผ่าตัวเอง หรือ เกิดการแบ่งส่วน หมุนกระจาย แตกตัว-แตกเสี่ยง ออกมา จากตัวเอง เกิดเป็น "ดวงดาว" อีกดวงหนึ่ง แล้วก็เกิด"วงโคจร" ของ "ดาวดวงใหม่" ขึ้นในห้วงอวกาศ

"ดวงดาว" ก็มีการแตกดับไปตามอายุกาล แตกไป ดับไป สลายไปแล้ว จนกระทั่ง แสงริบหรี่เป็น "ดาวแดง" ที่เรามองเห็น แสงริบหรี่ๆ ไกลๆ เราเห็นแต่แสงเฉยๆ แต่ตัวของ "ดวงดาว" จริงๆ ไม่มีแล้ว แตกสลายไปแล้ว

"ดาว" บางดวงในห้วงอวกาศ อยู่ไกลจากโลก ของเรามาก ไม่รู้กี่ล้านปีแสง เราเห็นพลังงานของแสง ที่เดินทาง มาไกลมาก กว่าแสงของมัน จะเดินทางมา ให้ตาเราเห็นได้ "ดาว" ดวงนั้น แตกสลายไปแล้ว แต่ "แสง" ยังเดินทางอยู่

ตามให้ดีนะ อาตมากำลังชี้ "วิญญาณของดวงดาว" ให้เห็น

"แสง" นี่แหละคือ "วิญญาณ หรือ พลังงาน" ของ "ดวงดาว" ที่ไม่มีปัญญา ที่จะดับ "วิญญาณ หรือ พลังงาน" ก็ต้องเดินไปตาม เส้นทางโคจรของมัน

"ดวงคน" ก็ไม่ต่างจาก "ดวงดาว" "คน" เกิดได้ ๒ สภาพ เหมือนกัน คือ

๑. เกิดจากการสืบพันธุ์
๒. เกิดจากการผลิหน่อ "การผลิหน่อ" ของ "คน" ยาก !!! (เดี๋ยวนี้กำลังพากเพียร ทำการโคลนนิ่ง)

แต่ก็มี "การผลิหน่อ" ออกไปได้ เป็น "เชื้อวิญญาณ" จึงเป็นสภาพที่ หมุนกลับอีกรูปหนึ่ง

"ดวง" คือ "วงจร หรือวัฏจักร หรือเส้นทาง" ของคนๆ หนึ่ง ที่เดินทางวน ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ "เกิด" จนกระทั่ง "ตาย" จบภพ จบชาติ ในช่วงชีวิตหนึ่งของคน

"ดวงคน" จึงคือ "ทางโคจรของคน" ที่เรียกว่า "พรหมลิขิต"

"ดวงคน กับ ดวงดาว" เป็นโครงสร้างที่ล้อเลียนกัน มีลักษณะ คล้ายๆ กับ "ดวงดาว" จันทร์ -อังคาร -พุธ -พฤหัส -ศุกร์ -เสาร์ -อาทิตย์ มีความร้อน -ความเย็น มี ลักษณะอะไรๆ คล้ายๆ กับ "ดวงดาว" นั้นๆ เหมือนกัน

แล้ว "ดวง" ใด ที่เราควรรู้ และควรจะพูดถึง ให้มากที่สุด

เราเป็น "คน" เราไม่ใช่ "ดาว" เราจึงต้องรู้ และ ควรเน้นหนักที่ "ดวงคน" เราต้องรู้จัก ความเป็น "คน" ให้ดี และ "ทำดี" ให้ได้ จนเป็น "ธรรม"

"ดวงคน" ถ้าไม่สร้าง "ดวงธรรม" ก็จะไปสืบพันธุ์ สร้างลูก ตามปัญญาคน เป็น "ดวงคน" สืบต่อไว้ในภพนี้ อีกภพหนึ่ง ต่อไปอีก

เกิดเป็น "ดวงคน" ดวงใหม่ ที่มีเส้นทางโคจร ของตนเอง

ถ้า "ดวงคน" เดินไปตาม "พรหมลิขิต" หรือ เดินไปตามทางของ "ดวงคน" โดยไม่พยายามที่จะ "ฝืนดวง" ให้ดีขึ้นเลย "คน" ก็จะเดินไปเรื่อยๆ วนเวียนอยู่ ตามทิศทางของ "ดวงคน"

"ดวงธรรม" ก็เกิดได้ ๒ สภาพ เหมือนกัน คือ
๑. เกิดเป็น "ดวงปัญญา"
๒. เกิดเป็น "ดวงวิมุติ"

ถ้าเราต้องการให้เกิด "ดวงธรรม" เราสามารถสร้างได้ -ทำได้ ด้วย "ดวงปัญญา" กับ "ดวงวิมุติ" เท่านั้น

"ดวงปัญญา" นี้ ไม่ใช่ปัญญาทางโลก ที่ปรุง "โลกธรรม" ให้แก่ตน แต่เป็นปัญญา อันฝืนทวนกระแสโลก ที่ไม่หลงเสพกาม -ภพ -โลกธรรม

"ดวงวิมุติ" ก็คือ หลุดพ้นออกไป เกิดเป็นดวงวิญญาณ ที่สะอาดขึ้น

"พระพุทธเจ้า" เกิดมาเพื่อสอนคน ให้ออกจาก โลกของคน ให้เกิดเป็น "ดวงธรรม" แท้ๆ ที่จะอยู่เหนือ "โลกธรรม ๘" คือ ไม่หวัง ไม่เสพ "ลาภ -ยศ -สรรเสริญ -สุข -กามคุณ -ภพ -อัตภาพ" ได้มาก็เฉยๆ เมื่อเสื่อมไป ก็เฉยๆ ไม่เดือดร้อนเสียใจเลย

นี้คือ "ดวงธรรม" ของ "พระพุทธเจ้า" มีเส้นทางโคจรอย่างนี้

เส้นทางชีวิตของคนทุกวันนี้ ได้สั่งสม "ดวงธรรม" แบบนี้หรือเปล่า?

 


SPACE & TIME (อุตุ พีชะ ชีวะ จิต กรรม ธรรมะ)

วันเวลากาละ ก็เดินไปชั่วนาตาปี นิรันดร ไม่มีใครสามารถ ที่จะหยุดยั้ง มหาเอกภพ หรือจักรวาลนี้ ได้ ทุกอย่าง หมุนเวียนอย่างนี้ ไปตลอดนาน นับกัปกาล แล้วทุกอย่าง ก็ประกอบกันอยู่ ในสภาพของ "อุตุ พีชะ ชีวะ จิต กรรม ธรรมะ"

ในเรื่องของ "อุตุ" อุณหภูมิ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ต่างๆ นานา ก็มีสภาพ หมุนเวียนเปลี่ยนไป มีพลังงานในตัว ตั้งแต่วัตถุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ

"อากาศ" คือ "ความว่าง" (SPACE) นอกโลกเราก็เป็น "ความว่าง" ที่ใหญ่ มาก จนไม่รู้จะเอามาตราอะไร ไปวัดได้ และก็ไม่มีใครวัดได้

"ความว่าง" มีอุตุ มีวัตถุ มีรูปธรรม อยู่ในอวกาศมากมาย ตั้งแต่ใหญ่ๆ ขนาดเนบิวล่าใหญ่ เป็นกาแลคซี่ ใหญ่ แล้วก็เคลื่อนตัว หมุนเวียนไป อยู่กับกาละ จนกระทั่ง สะสมตัว แตกตัว เกิดพลังงาน เกิดการหมุนเวียน เกิดการเคลื่อน ขึ้นมา เป็นอะไรๆ ซับซ้อน จนมี พลังงานในตัว เป็นแสง เสียง ความร้อน แม่เหล็ก ไฟฟ้า อยู่ในนั้นทั้งหมด ล้วนเป็นพลังงาน ในระดับ "อุตุ" ทั้งสิ้น

"อุตุ" นี้ ไม่มี "ชีวะ" ไม่มีสภาพเป็นความรับรู้ เป็นสภาพที่เป็น พลังงาน ที่อัตโนมัติ ต่อให้เป็นพลังงาน ที่ยิ่งใหญ่ ขนาดไหน จนเราประเมินไม่ถูกก็ตาม

"อุตุ" ก็ยังคือ ลักษณะที่ไม่เป็น "ชีวะ" จัดแบ่งนิยาม เอาไว้ต่างหาก

บิ๊กแบง (The Big Bang) เป็นพลังงานที่เกิดระเบิด ใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาล ระเบิดแล้วก็แตกสภาพ ออกไป เป็นกาแลคซี่ เป็นดาว เป็นกลุ่ม สุริยจักรวาลต่างๆ มีทั้งดวงดาว ดวงอาทิตย์ ที่มีพลังงาน ซ้อนอยู่ในตัวเอง

ยิ่งพลังงานใน "ดวงอาทิตย์" ยิ่งมหาศาล เปรียบกับอะไรไม่ได้ วัดกันไม่ไหว "พลังงาน" เหล่านั้น จะยิ่งใหญ่ ขนาดไหน ก็เรียกว่า พลังงาน "อุตุ"

"โลก" ลูกนี้ ไม่ได้เป็น "ดวงอาทิตย์" ไม่ได้เป็น "ดาวฤกษ์" เป็นแค่ดาว ที่อาศัยพลังงาน ความร้อน แสง สี จากดวงอาทิตย์ จากดาวดวงอื่นๆ และยังมีพลังงานอะไรๆ อยู่ในนี้อีก ตั้งมากมาย

พลังงานระดับ "อุตุ" จึงไม่รู้จัก "กรรม ธรรมะ" คือ อะไร?

"พีชะ" นั้น มีพลังงานในระดับหนึ่ง มีสัญญาการกำหนดรู้ มีธาตุพลังงานที่เกิดรู้ หรือ เกิดการกำหนดตัวเอง รู้จักผลัก รู้จักดูด รู้จักสังเคราะห์ ได้ด้วยตัวเอง มีสังขาร การปรุงแต่งตัวเอง โดยอัตโนมัติ เริ่มต้นก็เป็น "เซลล์" ชนิดหนึ่ง ที่มีพลังงาน ทางฟิสิกส์ -ทางเคมีในตัวเอง ก็เรียกว่า "พีชะ"

"พืช" แต่ละชนิดก็ปรุงแต่ง ตามสัญญาของตัวเอง ไม่เรียกถึงขั้น "สัญชาตญาณ" เพราะเป็นเพียง "สัญญา" ไม่มีระดับ ความเฉลียวฉลาดรู้ ในตัวของมันเอง

"พีชะ" มีแต่ "สัญญา-สังขาร" เรียกว่า "สังขารที่ไม่มี วิญญาณครอง" (อนุปาทินกสังขาร) ยังไม่ถึงขั้น ระดับขนาด "วิญญาณ" เป็น "ชีวะ" ประมาณอย่างนั้น

พลังงานระดับ "พีชะ" ก็ไม่รู้จัก "กรรม ธรรมะ" คือ อะไร?

"ชีวะ" ที่มีพลังงานระดับ เรียกว่า "วิญญาณ" ได้นั้น ต้องเป็นพลังงาน ในระดับ ที่มีความรู้สึก -มีเวทนา - มีอารมณ์ ต่างกันกับ "พีชะ"

"ชีวะ" ในระดับที่มี "วิญญาณ" นั้น จึงมีทั้ง "เวทนา -สัญญา -สังขาร- วิญญาณ" (อุปาทินกสังขาร) เป็น "สังขาร ที่มีวิญญาณครอง"

ดังนั้น สัตว์เล็กสัตว์น้อย ก็มีอารมณ์ ตั้งแต่มีอารมณ์ที่ยัง ไม่มีความพยาบาท ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ เป็น "สัตว์ชั้นต่ำที่สุด" เช่น จุลินทรีย์ แบคทีเรีย เหมือนจิตวิญญาณ "พระอรหันต์" แต่โง่ที่สุด กลับกันกับ "พระอรหันต์" ที่ฉลาดที่สุด ในเรื่องของ "ทุกข์-สุข" ฉะนั้น "สัตว์ชั้นต่ำที่สุด" ไม่ทุกข์ มีแต่อารมณ์หิว อารมณ์ที่จะแตกตัว - ขยายพันธุ์ อารมณ์ที่จะรับ สิ่งที่เข้ามา สังเคราะห์ตัวเอง

ส่วน "สัตว์ที่มีระดับสูงขึ้น" มากว่าพวก สัตว์เซลล์เดียว จะมีอารมณ์ มีความ รู้สึกเพิ่มขึ้น แล้วก็มีแรงผลัก -แรงดูด คือ มีอารมณ์โกรธ-รัก หรือ มีราคะ-โทสะ แต่ก็ไม่กว้างขวางพิสดาร

"สัตว์เดรัจฉาน" ที่มีรูปร่าง-มีตัวตน ทั้งสัตว์น้ำ -บก -อากาศ ต่างมีเวทนา -มีโกรธ -มีรัก สัตว์เหล่านี้ หรือ พลังงาน ระดับนี้ ก็เป็นพลังงาน ที่สังเคราะห์ หมุนเวียนไป

"ชีวะ" จึงเป็นพลังงาน "วิญญาณ" ในระดับ ที่รู้จัก "กรรม ธรรมะ"

"จิตวิญญาณ" ก็มีหลายระดับ หลายขั้นมาก

"จิตวิญญาณ" ระดับ "เดรัจฉาน" ขั้นต่ำ ไม่รู้จัก "กรรม ธรรมะ"

ถ้า "เดรัจฉาน" ที่มีพลังงานพิเศษชั้นสูงสุด เป็นพลังงานระดับ "โพธิสัตว์" ก็เป็น "เดรัจฉาน" ที่สามารถรู้จัก "กรรม ธรรมะ" ได้เหมือนกัน นี้เป็นเรื่องพิเศษ (ปฏินิสสัคคะ) ไม่พูดกัน ในระดับสามัญ ระดับ "ภูมิโพธิสัตว์" จึงจะพูดกันรู้เรื่อง

 


เวไนยสัตว์ - อเวไนยสัตว์

"คน" เป็นสัตว์ชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัตว์ใดๆ

"คน" จึงมีทั้ง "อุตุ พีชะ ชีวะ จิต กรรม ธรรมะ"

พลังงานของ "จิตวิญญาณ" ก็ยังแบ่งระดับเป็น "เวไนยสัตว์ อเวไนยสัตว์"

แม้ได้ร่างเป็น "คน" ก็ยังถูกแบ่งระดับของ "จิตวิญญาณ" เป็น "คนระดับต่ำ -นรก -อบายภูมิ" ประเภท "อเวไนยสัตว์" ที่ไม่รู้จัก "กรรม - ธรรมะ"

"คน" ที่อยู่ใน "อบายภูมิ" สูงสุด ที่พวกโลกีย์ยกย่อง ก็เชิดชูว่า "ฉลาด รวย มีชาติตระกูล" คือ เกิดมา ในตระกูล -ในตำแหน่ง ที่ยกไว้ -ตั้งไว้ -สมมุติไว้ แม้ "โง่ ดักดาน-เลวทราม" อย่างไร ก็ถือว่า "สูง" เรียกว่า "ศักดินา"

ลูกคนรวย (ทุนนิยมศักดินา) คือ "คนสูง" (ใช้ลาภทรัพย์ศฤงคาร เป็นเครื่องกำหนดวัด)

ลูกคนจน ลูกขอทาน คือ "คนต่ำ"

คนที่ "ไม่รู้กรรม ไม่รู้ธรรมะ" ก็จะยึดถือตามโลกอย่างนี้

ยังมี "คน" ที่สามารถทำให้สังคม ยอมรับว่า เป็น "คนสูง" แม้เกิดมาจาก ตระกูลคนจนก็ตาม ก็สามารถ ทำให้ตนเอง "สูง" ได้ ถ้า "ฉลาด มีความรู้"

"คน" ที่ "มีความรู้ มีมโนกรรม" ก็ใช้ "มโนกรรม" เชิงคิด ฝึกฝนตนเอง ให้ เกิด "วจีกรรม" จนพูดเก่ง ใช้เพียง เสียงภาษา เท่านั้น ก็ทำให้ตนเอง เป็นที่ยอมรับในสังคม มีศักดิ์สูงขึ้นมา เป็นศักดินา หรือ ทำให้ตนเองรวย เป็นที่ยอมรับได้

เช่น นักร้องดังๆ ทั้งหลาย ก็ใช้เสียง ใช้ปาก ใช้กรรม ทางกาย มีฝีมือ ทำให้ ตนเองรวย ได้รับศักดิ์สูงขึ้น ก็เป็นธรรมชาติ -ธรรมดาของมนุษย์ ที่รู้จัก "กรรม" แต่ไม่รู้จัก "ธรรมะ" โดยเฉพาะ "ธรรมะ" ที่เป็น "สัจธรรมลึกๆ" ไม่รู้ รู้แต่ "ธรรมะ" กลายๆ แค่กิริยาอาการ อย่างนี้ "ดี" เป็นมารยาท เท่านั้น

บางคนมีความรู้ดี ละเอียด ซับซ้อน ทาง "ธรรมะ" (แบบโลกีย์) จนสามารถพูด บรรยายเรื่อง "กรรม ธรรมะ" ได้ด้วยนะ แต่ "สัญชาติญาณ" สันดานดิบ ยังอยู่ในระดับต่ำ เลวร้าย โลภจัด พยาบาทจัด เห็นแก่ตัวจัด อาฆาตจัด มีอัตตา -มานะสูงแรง

แต่ "ฉลาด" ใช้กลเชิงต่างๆ ปกปิด -ซ่อนเร้น -อำพราง -แฝง ไม่ให้คนจับได้ มีมารยาทสังคมดีมาก ภายนอก ดูสูงจนยิ่งใหญ่ แม้กระทั่ง ตายไปแล้ว ก็ยังเป็นที่ยอมรับ นับถือกัน ทั่วประเทศ ในหมู่ผู้มีการศึกษา ไม่มีใครรู้ เท่าทัน นอกจากคนสนิท อยู่ใกล้ชิดเบื้องหลัง ก็จะรู้จักความหยาบ

นี่คือ "ความซับซ้อนของมนุษย์" จึงไม่มีทางรู้จัก "ธรรมะ" ขั้นโลกุตระ ได้

"คนรวย คนมีศักดินา" แต่ไม่รู้ "ธรรมะ" ก็ใช้อิทธิพล เบ่งข่ม เบียดเบียนคนอื่นๆ บำเรอตนให้ "กิเลสหนา" ด้วยราคะ -สมเสพในกาม -สมเสพในอัตตามานะ ทำให้ตนเองเสียหาย เป็น "บาป" ซับซ้อนไปในตัว
หรือ ในสภาพของ "นักบวช" ก็เอาความรู้ ที่ตัวเองรู้ว่า "ทำสมณสารูปอย่างนี้ แสดงธรรมอย่างนี้" คนจะยอมรับ เชื่อถือว่า "ดี เก่ง ยอดรู้"

แล้วก็ลวงคน-เบียดเบียนเขา อย่างสุภาพ แต่เลวลึก โลภ-บำเรอตน ไม่ให้ใครรู้! ทั้งโกง ทั้งราคะ ทั้งสำแดง อวด "อุตริมนุสสธรรม" ที่ไม่มีในตน สอนวิมุติ สอนสมาธิ สอนฌาน ให้คนอื่นเข้าใจว่า "ตนเองมีคุณธรรม วิเศษ" ทั้งๆ ที่เป็น "มิจฉา" แล้วรู้ตัวเองด้วยว่า "ตนเองไม่มี คุณธรรมวิเศษจริง"

จน "ปาราชิก" ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ก็ไม่ยอมรับรู้!

 


อนิจจัง อนัตตา

กาละเวลาผ่านไปๆ ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้ง เวลาได้ จักรวาล มหาเอกภพ ทุกอย่าง จะหมุนตัว -เคลื่อนตัวไป ไม่มีอะไร ในมหาจักรวาลนี้ ที่จะไม่เคลื่อนตัว

แม้แต่อยู่ในสภาพตัวเราเอง ต่อให้เรานั่งนิ่งที่สุด ก็มีความเคลื่อน อยู่ในตัวเรา อย่างน้อย โลกก็พาเรา เคลื่อนไป หมุนรอบ ดวงอาทิตย์ แล้วมหาจักรวาล ก็พาเคลื่อนตัวซ้อนๆ กันอยู่ในมหาจักรวาล นั่นคือ "การเคลื่อนข้างนอก"

ข้างในตัวคน ก็มีการเคลื่อนของธาตุต่างๆ ในร่างกาย เคลื่อนอยู่ ตลอดเวลา ไม่ได้หยุด มีการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว สังเคราะห์ มีเสื่อม มีเจริญอยู่ในนั้น

สรุปแล้ว ก็มี "เสื่อม" กับ "เจริญ" เท่านั้นเอง สิ่งที่...คงที่-เที่ยง -หยุด-นิ่ง -ไม่เปลี่ยนแปลง อะไรเลย ไม่มี! เพียงแต่ ดูเหมือนเท่านั้น

ทางวิทยาศาสตร์ควันตัม ก็ค้นพบแล้ว -เจอแล้วว่า "ทุกอย่าง อนิจจัง อนัตตา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีอะไร ทรงสภาพตัวตน"

แล้วก็สรุปผลทางวิทยาศาสตร์ของโลก ประกาศว่า "ทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า จริง ถูกต้อง เพราะได้พิสูจน์ แล้ว" ก็ถูก แต่ยังไม่ถูกทั้งหมด เพราะพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ "นามธรรม" ไม่ได้ตรัสรู้... แค่รูป -แค่มหาภูตรูป เท่านั้น

แม้ทางวิทยาศาสตร์จะรอบรู้ ค้นพบ จะพิสูจน์ได้ถึงที่สุด ดังกล่าวนั้นก็ตาม สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบนั้น พบแค่ ...อนิจจัง - อนัตตา แต่ยังไม่พบ...ทุกขัง ก็พิสูจน์ได้แค่ "อนิจจัง- อนัตตา" ไม่ได้พิสูจน์ "ทุกขัง" และ ไม่ได้พิสูจน์ เหตุแห่งทุกข์ ไม่ได้พิสูจน์ถึง ความดับทุกข์ ที่มีสภาพจริง ของอนัตตา ของเหตุพาทุกข์ เขาจึงไม่สิ้นทุกข์ ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์ และไม่รู้ความจริงของ "สุญญตา อนัตตา" ของ ทุกข์ ไม่ใช่แค่ "อนัตตา" ของวัตถุรูป ของสิ่งต่างๆ ที่สัมผัสได้เป็น "รูปธรรม"

แม้ที่สุด ในลักษณะของ "อรูป" ที่เสมือนไม่มีตัวตน -เบา-บาง -จาง -เล็กละเอียด นักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่ได้ ก้าวล่วง มาพิสูจน์รู้ถึง สภาพของ "นามธรรม" สิ่งเหล่านี้ ที่มี "เวทนา- สัญญา -สังขาร -วิญญาณ" เป็นต้น และ แม้ที่สุด "อนัตตา" ของสภาวะ "วิญญาณ" วิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่เข้าถึง

ในสภาพของ "วิญญาณ" พระพุทธเจ้า ก็ตรัสรู้แล้วว่า "อนิจจัง อนัตตา เหมือนกัน" แล้วพระองค์ก็หยุด จนไม่เหลือสภาพ ที่จะมาเกาะกุม เริ่มต้น ตั้งอยู่ แล้วจะดับไป ในอนาคตอีก ซึ่งจะวนเวียนอยู่ อย่างไม่รู้ สูญสิ้นได้ง่ายๆ

สุดท้าย พระองค์ก็ "ปรินิพพาน" สูญสิ้นไม่มีตัวตน ได้เด็ดขาด สมบูรณ์แน่นอน

จุดที่จะสูญสิ้น ก็คือ "อรหัตตผล" หรือ "อรหันต์" สูญสิ้นได้ ในความหมาย ทางนามธรรม เรียนรู้นามธรรม ทุกสิ่งอย่าง ที่อยู่ในภาวะของ จิต-เจตสิก -รูป-นิพพาน ทุกส่วน-ทุกด้าน ที่พาเกิด -พาเป็น -พาทุกข์ จนกระทั่ง สิ้นทุกข์ - สิ้นตัวตน - สิ้นอัตตา "นิพพาน" ได้ในตน อย่างแท้จริง เพราะไม่เหลือ ตัวตนใดๆ ทำให้เกิดอีก

อาตมาพูดซ้ำซากหลายครั้งว่า "พระพุทธเจ้า ก็คือ 'คน' ไม่ใช่เทพอวตาร ไม่ใช่ส่วนหนึ่งส่วนใด ของพระเจ้า"

"ศาสนาพุทธ" เป็น "อเทวนิยม" ที่มีความกระจ่าง ไม่มีพลังลึกลับ เป็นศาสนาที่ เป็นวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่า วิทยาศาสตร์ ที่มีกันอยู่ ในทุกวันนี้ ที่รู้แต่ "รูปธรรม" เท่านั้น ยังไม่เข้าเขต "นามธรรม" ที่เป็น "วิญญาณจิต" ที่แท้

 

๖ บุญบารมีที่สั่งสมมา

(อ่านต่อหน้า ๒)