ความรัก มิติที่: 1กามนิยม  2พันธุนิยม  3ญาตินิยม  4ชุมชนนิยม  5ชาตินิยม  6สากลนิยม  7เทวนิยม  8อเทวนิยม  9นิพพานนิยม  10พุทธภูมินิยม
ความรัก ๑๐ มิติ (ฉบับเขียนใหม่)
กัลยาณปุถุชน
page: 14/20
อมตชน

สารบัญ

  อาริยชน  


อมตชน

มิติที่ ๑๐
พุทธภูมิ
นิยม

 

 

  อาริยชน  

ข้อที่ ๒ ขั้น "อาริยชน" (เสขบุคคล) ได้แก่ ความต้องการลดละ ต้องการเสียสละ ต้องการเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น โดยการพยายาม หาทาง ให้เป็นไปได้ และ สามารถเป็นไปได้จริง ชนิดเป็นขั้น เป็นตอน ตามทฤษฎีของพุทธ ตามหลักเกณฑ์ของพุทธ อย่างมี "สัมมาทิฏฐิ" แท้จริง ซึ่งสามารถเป็นไปได้ เพราะเรียนรู้ "จิต" เรียนรู้ "กิเลส" ได้อย่างชัดแท้ ถูก"ตัวตน" (อัตตา) ของ "กิเลส" แบบจับมั่น คั้นตายกันจริงๆ และทำให้ดับ ทำให้ตายได้ เป็นขั้น เป็นลำดับ ถูกสัดส่วน มีทฤษฎีสำคัญ สมบูรณ์ ที่สามารถ ปฏิบัติอย่างพิสูจน์ได้ และเมื่อดับได้แล้ว ถึงขั้นที่สุดจริง จะไม่มีวนเวียน ไปตกต่ำอีก เป็น"ผลธรรม" ที่ยั่งยืน (ธุวํ) เที่ยงแท้ (สัสสตํ) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (อวิปริณามธัมมํ) ไม่มีอะไร จะมาหักล้างได้ (อสังหิรํ)

ที่สำคัญคือ สามารถรู้แจ้งเห็นจริง ในความเป็น "กิเลส" อย่างจับมั่นคั้นตาย และ สามารถฆ่าให้ตายได้ เป็นขั้น เป็นลำดับ ทั้งอย่างหยาบ (วีติกกมกิเลส) ทั้งอย่างกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) ทั้งอย่างละเอียดสุด (อนุสัยกิเลส) เมื่อ"ตาย" จากภพโลกียะ จึง"เกิด"ใหม่ ในภพโลกุตระ เป็น "ความเกิดทางจิต" แบบโอปปาติกโยนิ

หรือแม้แต่ความถาวร -ความเป็นนิรันดร์ ก็สามารถ รู้แจ้งเห็นจริง ในภาวะของความถาวร หรือ ความเป็นนิรันดร์ ชนิดพิสูจน์ ได้ดุจเดียวกันกับ วิทยาศาสตร์ด้วย อย่างน้อยก็รู้แจ้งเห็นจริง ในขั้น "มีความไม่ตกต่ำของตน จากที่ตนปฏิบัติได้แล้ว จนเป็นสามัญนั้นๆ" (อวินิปาตธัมมํ) และเห็นจริง สูงขึ้นอีก "เป็นผู้มีความเที่ยงแท้ถาวร ในสภาพที่ ตนได้ตนเป็น" (นิยตํ) เป็นต้น อนาคตก็มั่นใจ ในความสูงสุด เพราะแน่ชัด ในการจะได้ "เป็นผู้มีการตรัสรู้สูงสุด ในเบื้องหน้า" (สัมโพธิปรายนะ) เนื่องจาก รู้แจ้งเห็นจริง ในภูมิธรรมของตน ด้วยญาณอันยิ่งว่า ตนนั้น "ทำลายอบายภูมิ ๔ ในตนหมดสิ้นแล้ว" (ขีณนิรยะ -ขีณติรัจฉาน -ขีณปิตติวิสยะ -ขีณาปายทุคติวินิปาตะ) เพราะมีภูมิบรรลุ เข้ากระแสอาริยะ ถึงขั้น "โสดาบัน" แล้วเป็นอย่างต่ำจริง ชื่อว่า "เสขบุคคล" ขั้นต้น

ผู้เข้าขั้น "เสขบุคคล" หรือ "อาริยชน" ต้องมีสภาวะจริง เข้าถึงภพถึงภูมิ ได้จริงปานนี้ จึงจะเริ่มนับเป็น "อุดมการณ์ ระดับโลกุตระ" เพราะสามารถเข้าสู่ "ภพพิเศษ" แท้ (วิภวภพ) ได้ด้วยการปฏิบัคิ "ดับความเกิดที่เป็นโลก หรือเป็นภพต่ำ อันตนปรารถนา จะดับนั้นๆ ได้แน่แท้ เด็ดขาด เป็นลำดับๆ ขึ้นไป"

ซึ่งเป็นความ "ต่าง" ชนิดกลับกัน หรือทวนกระแส "กาม- ภพ และภวภพ" แยกไปคนละโลก ซึ่งมิใช่เพียง "ต่าง" กันแค่ คนละมุม คนละด้านกัน เท่านั้น ทว่าก็ ยังอยู่ในกามภพ ยังอยู่ในภวภพ ที่วนไปวนมา อยู่นั่นเอง แต่ "อาริยชน" นี้ "ต่าง" กับ "ปุถุชน หรือ กัลยาณปุถุชน" ชนิดเปลี่ยนภพใหม่ จาก"กามภพ" หรือ "ภวภพ" หลุดพ้นออกไปนอก "กามภพ" และนอก "ภวภพ" อย่างเด็ดขาด ไปต่างหาก เป็น "คนละโลก" กันทีเดียว จึงเรียกว่า "วิภวภพ" เพราะ "ดับกาม-ดับภพ" ที่เป็น "โลก" ขั้นสามัญ เลื่อนขึ้นไปเป็นลำดับๆ ได้จริง อย่างรู้แจ้งความจริง ที่ได้ที่เป็น จริงนั้นๆ แน่แท้ในตน

ดังนั้น ขั้นต่ำสุดของคน ที่ยังมี "กามตัณหา" และยัง มี "ภวตัณหา" ในสิ่งที่เป็น "อบายมุข" (ความเสื่อม ขั้นหยาบ, สภาพที่ ปราศจากความเจริญ ระดับหยาบ) ได้แก่ การยังสำส่อนยังหนัก ยังมากในเรื่องเพศ, ยังติดการพนัน, ยังติดยังเสพ สิ่งเสพติดระดับ คนดีสามัญ เขาไม่เสพกันแล้ว, ยังหลงมัวเมา ในเกม ในกีฬา ในการละเล่น หรือมหรสพ, ยังมัวเมา ในการเที่ยวกลางคืน, ยังติดมิตร คบมิตรที่พาไปมัวเมา เรื่องอบายมุขทั้ง ๕ ที่พูดผ่านมานี้ รวมทั้ง อบายมุข ข้อที่ ๖ คือ ยังติดการเกียจคร้าน เป็นต้น

ที่กล่าวมานี้ เป็นตัวอย่างของความติดยึด หลงเสพ หลงสุข หลงทุกข์ อยู่ใน"ภพต่ำ" หรือ "โลกต่ำ" โดยยังมีการวนเวียนสุข เวียนเสพ อยู่กับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อย่างใด อย่างหนึ่งก็ตาม เมื่อไม่ได้เสพ ตามที่ติดที่ยึด อยากได้อย่างใด เมื่อยังไม่ได้สมใจ อย่างนั้น ก็จะถึงขั้น "เป็นทุกข์" เพราะติดยึดอยู่นั่นเอง นี่แหละคือ นรก หรือ แดนแห่งความเสื่อม ที่ต่ำที่สุดแล้ว

และ มี "กามตัณหา" ในสิ่งที่เป็นลาภวัตถุ -ยศตำแหน่ง -สรรเสริญเยินยอ -สุขทางวัตถุ ทางรูป-เสียง -กลิ่น-รส -เสียดสี สัมผัสนอก ที่ยังรุนแรง จัดจ้านอยู่ จนต้องทุจริต หรือไม่อยู่ในศีลในธรรมแค่ศีล ๕ เช่น ถึงกับ ต้องฆ่าสัตว์ ต้องทำร้ายผู้อื่น รุนแรงอำมหิต เพื่อให้ได้มา หรือให้ได้สมใจใน "โลกธรรม ๘" (ผิดศีลข้อ ๑) ...ต้องละเมิดกฎหมาย ละเมิดศีลธรรม พื้นฐาน ถึงขั้นเข้าข่าย ลักขโมย เพื่อให้ได้สมใจ ในสิ่งที่ตน ต้องการ (ผิดศีลข้อ ๒) ...ต้องละเมิดทางกาม เกินกว่า สามัญพื้นฐาน เช่น ผัวเดียวเมียเดียว หรือ จะมีกาม ก็เฉพาะ สิ่งที่สมควรแก่จริยธรรม มาตรฐาน พื้นฐานที่สังคมนับถือกัน (ผิดศีลข้อ ๓) ...ต้องถึงกับ โกหก หลอกลวง เพื่อให้ได้สมใจ ในสิ่งที่ตนต้องการ (ผิดศีลข้อ ๔) ...ต้องเสพเพราะยังติด ยัง "อดทนต่อรสอร่อย ของอบายมุข" ไม่ได้เด็ดขาด "รสอร่อยแห่งอบายมุข" นั้นยังมีฤทธิ์ เหนือจิตอยู่

ความติดยึด ที่ยังหลงเสพหลงติด ดังที่กล่าวมา เป็นตัวอย่างนี้ คือ "ภพต่ำ" ที่เรียกว่า ขั้น "อบายภูมิ" อันปุถุชน ต้องปฏิบัติตน ให้ "หลุดพ้นติดพ้นเสพ" ให้ได้ถึงขั้นมี "ญาณ ๗" รู้แจ้งจริงในตนว่า เราหลุดพ้นแล้วจริง จึงจะเป็น "อาริยชน" หรือ "เสขบุคคล" ขั้นต้น เรียกว่า "โสดาบันบุคคล" ซึ่งเป็น"อาริยชน" ระดับที่

"อาริยชน" (เสขบุคคล) นั้นมี ๓ ขั้น ได้แก่ ๑.โสดาบัน ๒.สกทาคามี หรือสกิทาคามี ๓.อนาคามี ที่นับว่าเป็น "เสขบุคคล" เพราะผู้นั้น ยังต้องศึกษาต่อไปอยู่ (เสข=ผู้ยังต้องศึกษา) เนื่องจากยังไม่จบ "การศึกษา ๓" (อธิศีลสิกขา -อธิจิตสิกขา -อธิปัญญาสิกขา) ผู้พัฒนาตน ผ่าน"การศึกษา ๓" บรรลุธรรมเป็น "อาริยชน" จึงนับเป็น ผู้เข้าสู่ "เสขภูมิ" [พื้นเพของพระเสขะ คือ เข้าสู่ชั้น อาริยชนแล้ว จะเป็นชั้นหนึ่งชั้นใด ใน ๓ ก็ตาม แต่ยังต้องศึกษาอยู่ ยังไม่จบถึง "อรหันต์" อันเป็นภูมิสุดท้าย] ผู้ยังไม่บรรลุธรรมเข้าขีด "อาริยะ" ยังไม่ชื่อว่า "เสขบุคคล"

อาริยชน ต้องมี "ญาณ" รู้แจ้งเห็นจริงในตน ว่า ตนสามารถ ตัดกิเลสได้จริง มีญาณรู้เห็นในจิต -เจตสิก ว่า ตนมี "กิเลส"อยู่ และตนก็มีญาณหยั่งรู้ เห็นรูปนาม ของกิเลสนั้นๆ ในตน แล้วตนก็ตัดกิเลสนั้นๆ ได้สำเร็จ จึงเรียกว่า "ผู้สำเร็จ" ไปแต่ละระดับขั้น

ขั้นต้นก็ "โสดาบัน" ผู้เป็น "โสดาบัน" นั้นต้องมี "ญาณ ๗" (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๕๔๓-๕๕๐) รู้แจ้งจริง ในความเป็น "อาริยภูมิ" ของตน มีสิ่งปรากฏยืนยัน อย่างแน่แท้ ถูกขั้นถูกตอน

ซึ่ง "ญาณ ๗" นี้ จะมิใช่ความรู้ ที่รู้แค่เดาเอา มิใช่รู้ชนิด คลุมๆเครือๆ มิใช่รู้แค่ตรรกะ แม้จะเป็นตรรกะ ที่ถูกต้อง เยี่ยมยอด หรือแม้จะเป็น ผู้คงแก่เรียน รอบรู้ขั้น อัจฉริยะก็ตาม และมิใช่รู้ แค่รู้ภาษาของธรรมะ มากมายหลากหลาย รู้ภาษาบาลีดีเยี่ยม รู้ภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญ มีปฏิภาณรู้รอบ ในเหตุในผล ของสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์

หรือรู้ละเอียดในคุณค่าของ คุณธรรมต่างๆ ดีเลิศก็เถอะ ยิ่งรู้ชนิด หลงนิมิตนั่น นิมิตนี่ ในอุปาทาน ในสมมุติสัจจะ ต่างๆนานา แล้วก็เข้าใจเอาเองว่า นั้นคือ ความรู้วิเศษ คือความมี "ญาณ" นั่นยิ่งไม่ใช่ใหญ่ [ซึ่งความหลงแบบนี้ ทุกวันนี้ มีกันมากขึ้นๆ]

เป็นต้นว่า ผู้มีภูมิโสดาบัน ก็ต้องรู้ "สักกายทิฏฐิสังโยชน์" เป็นอย่างไร? ต้องรู้ "สักกายะ" ของตนอย่าง "ชัดแท้ไม่ลังเลสงสัย" (รู้แจ้งไม่วิจิกิจฉา) และเมื่อได้ปฏิบัติ ตามไตรสิกขา ตามหลัก โพธิปักขิยธรรม ก็สามารถ ละล้างกิเลสได้จริง "บรรลุธรรม มีมรรค มีผล" (พ้น "สีลัพพตปรามาส" ได้จริง) จึงเกิดจึงเป็น "อาริยธรรม"ในตน โดยตนก็มีญาณ รู้เห็นอาริยธรรมนั้นๆ (ไม่สงสัย ในพระธรรม)

เพราะเห็น "อาริยธรรม" ว่า "จริง" ฉะนี้เอง จึงเข้าใจ "พุทธธรรม" ที่เป็น "โลกุตรธรรม" ได้ชัดแจ้งว่า ดั่งนี้แล คือ คุณลักษณะพิเศษ ของความเป็นพุทธ จึงเชื่อมั่น ในความเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ตรัสรู้อาริยธรรม เช่นนี้เอง ซึ่งสุดลึกซึ้ง เหลือหลาย (คัมภีร) เห็นตามได้ยาก (ทุทฺทส) รู้ตามได้ยาก (ทุรนุโพธ) สงบจากกิเลสจริง (สันต) เรียบร้อยดียิ่ง (ปณีต) จะคาดคะเน ด้นเดาเอามิได้ (อตักกาวจร) ละเอียดลุ่มลึก เกินสามัญ (นิปุณ) รู้ได้เฉพาะบัณฑิตจริง (ปัณฑิตเวทนีย) ก็ยิ่งเห็นจริง ตามที่พระไตรปิฎก บันทึกไว้ ในเล่ม ๙ ข้อ ๓๔ จึงมั่นใจ แท้ว่า พระพุทธเจ้ามีจริง ไม่มีใครเทียบเท่า นั้นจริงแค่ไหน? มีพุทธคุณลักษณะใด? เยี่ยมยอดอย่างไร? และทรงสูงส่ง วิเศษไฉน? (ไม่สงสัยในพระพุทธ)

เพราะ "อาริยธรรม" ที่เราเอง ได้บรรลุเพียงแค่นี้ ตามความเป็นจริง ที่เห็นชัดในตัวเอง แม้เพียงเท่านี้ ก็เห็นแล้วว่า เราผู้ประพฤติตามธรรม ของพระพุทธเจ้า อย่าง"สัมมา" นั้นได้ผล อย่างนี้เอง ดียิ่งเยี่ยมอย่างไร? สุขสงบวิเศษไฉน? ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จนได้เข้าถึง "อาริยธรรม" นั้นๆเอง ย่อมรู้แจ้งเห็นจริง ได้ด้วยตน (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) จึงเป็น "สาวกสังโฆ" แท้จริง ด้วยประการฉะนี้ (ผู้นั้นย่อมไม่สงสัย ในความเป็นพระสงฆ์)

ผู้นี้จึงชื่อว่า เข้าถึง "พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์" ครบครัน และ "ศรัทธาพระไตรรัตน์" เพราะเห็นจริง ในความมีจริง เป็นจริง ที่ตนเองเป็นเอง สัมผัสเอง มิใช่เพียง 'รู้ยิ่ง' เฉยๆ

ซึ่งเกิดจริงเป็นจริง ก็เนื่องมาจาก.. ผู้นั้นได้ปฏิบัติตน ด้วย "ไตรสิกขา" (การศึกษา ๓) อันได้แก่...

ปฏิบัติ "ศีล" ให้มีผลมีอานิสงส์จน "พ้นสีลัพพตปรามาส" นั่นคือ การเจริญของ "อธิศีล"

ปฏิบัติด้วย "ศีล"นั้นแหละ กระทั่ง "จิต" เจริญพัฒนาขึ้นสู่ "สัมมาสมาธิ" เป็นการเจริญของ "อธิจิต"

และพร้อมกันนั้นก็มี "ญาณหรือปัญญา" รู้แจ้งเห็นจริง ในปรมัตถธรรมต่างๆว่า ตนรู้จัก "ตัวตนของกิเลส" แล้วทำให้กิเลส ลดละ จางคลายได้ถึงขีด ถึงขนาด ตามกฎเกณฑ์ที่ พระพุทธเจ้า ทรงกำหนด เป็นลำดับ ไว้ถูกต้อง (วิราคะเป็นต้น วิมุติเป็นสำคัญ) อย่างชัดเจน ในความจริงนั้นๆ เพราะมีการเกิด การตายจริงๆ ในจิต แบบรู้ๆเห็นๆ "ไม่มีลังเลสงสัย ในการละ การลดนั้นๆ จนถึงความดับสนิท"

จึงเรียกว่า "พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์" เพราะมี "ญาณ หรือปัญญา" (อธิปัญญา) รู้แจ้งเห็นจริง ในความเป็นจริง อันได้แก่ "การเกิดจริง เป็นอาริยะจริงของตน" นั่นเอง ว่าเกิดอย่างไร? เป็นอย่างไร? ลดไปละไป หรือ หลุดพ้นไป ถึงขั้นตายไปอย่างไร?

ขั้นต่อไป สูงขึ้นเป็น "สกทาคามี" ก็ต้องรู้จัก "กามราคะ" และ "ปฏิฆะ" ของตนอย่างถูกสภาพ แล้วปฏิบัติ ให้ละลด จางคลายกิเลส ดังกล่าวนั้น ให้ได้มากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ จนหลุดพ้น กระทั่ง "พ้นสักกายทิฎฐิสังโยชน์ -พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ -พ้นสีลัพพตปรามาส" ในส่วนที่เป็น ระดับของภูมิ "สกทาคามี" อย่างรู้แจ้ง เห็นจริง ตามความเป็นจริงอีกเช่นกัน พ้นสังโยชน์ โดยนัยเดียวกัน แต่ต่างระดับกันขึ้นไป เท่านั้น หากสามารถลดละ "กามราคะ-ปฏิฆะ" ลงได้จริง จิตสะอาดจาก "กาม" จาก "ปฏิฆะ" ขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละคือ ความเป็น "สกทาคามี" สูงขึ้นๆไปจริง ตามลำดับ

เมื่อลดละจางคลาย "กามราคะ" และ "ปฏิฆะ" กระทั่ง "พ้นกามราคสังโยชน์ -พ้นปฏิฆสังโยชน์" ได้ขีด ได้ขนาด ตามเกณฑ์ โดยมี"ญาณ" รู้แจ้งเห็นจริงแท้ ก็เป็นอัน "พ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์" [สังโยชน์ระดับต่ำ ๕ ขั้น ได้แก่ สักกายะ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส, กามราคะ, ปฏิฆะ] ขึ้นสู่ภูมิ "อนาคามี"

สำหรับ "อนาคามี" ก็ปฏิบัติละลดกิเลส ระดับ "อัตตา" ขั้นสูงต่อไป อันเป็น "อุทธัมภาคิยสังโยชน์" [สังโยชน์ ระดับสูง ๕ ขั้น ได้แก่ รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจะ, อวิชชา] จนกว่า จะสะอาดเกลี้ยง หมดกิเลส ขั้นสุดท้าย คือ "พ้นอวิชชา" ซึ่งเป็นการพ้นสังโยชน์ สูงสุดยอดสมบูรณ์ กระทั่งสูญหมด "อาสวะ" จึงจะเป็นการสิ้นสุด ความเป็น "เสขบุคคล"


 
กัลยาณปุถุชน
page: 14/20
อมตชน
   Asoke Network Thailand
๑๕ อมตชน   ๑๖ พุทธภูมินิยม