คาถาธรรม ๒

สังวร
เมื่อเรานั่งเจโตสมถะ เราก็ต้องระมัดระวังใจ เมื่อเดิน เราก็ระมัดระวังการเดิน เมื่อเรายืน เราก็ระมัดระวังการยืน เมื่อเราพูด เราระมัดระวังการพูด ยิ่งเราเคลื่อนไหวมาก มีสัมผัสมาก เราก็ยิ่งต้องระมัดระวัง สำรวมสังวรมาก เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ฉลาด เมื่อทำงานมีผัสสะ มีการเคลื่อนไหวอิริยาบถมากอย่าง มีสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า กาโย ประชุมพร้อมมากเรื่อง เรายิ่งต้องสังวรสำรวม ให้มากยิ่งๆขึ้น

ถ้าผู้ใดไม่รู้เช่นนี้แล้ว การปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องบกพร่อง ความขาดความพร่อง ความตกหล่นแห่งการสำรวมสังวร หรือการวิรัติ การรู้สึกเท่าทัน การรู้จักกุศลอกุศล จะต้องพร่องจะต้องขาด ขอให้พวกเราสังวรระวัง รู้อิริยาบถทั่วพร้อมให้มาก เมื่ออยู่ในขณะนิ่ง ก็สำรวมสังวรง่ายและน้อย แต่เมื่อมีอิริยาบถมาก งานมาก เราก็ยิ่งจะต้องตั้งใจ จะต้องพยายาม และพยายามประคองทั้งสติ และธัมมวิจัย ระลึกรู้เท่าทัน และปรับปรุงให้มากยิ่งๆขึ้น นั่นจะเป็นผลแก่เราอย่างยิ่ง ทั้งการปฏิบัติธรรม และงานที่จะเกิดเป็นผลต่อท่านด้วย

๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


เบิกบาน สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว

เบิกบาน สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว ขอให้จำ ๔ คำนี้ไว้ ระลึกเสมอ เราจะต้องเป็นผู้เบิกบาน อย่าหม่นหมอง เราจะต้องเป็นผู้สุขุม อย่าหยาบ เราจะต้องเป็นผู้อ่อนโยน อย่ากระด้าง เราจะต้องเป็นผู้คล่องแคล่ว อย่าเฉื่อยเนือย เราจะปฏิบัติด้วยความหมายที่กล่าวแล้ว จะพึงอบรม พึงระลึก เปรียบเทียบเสมอ ว่าเราเบิกบานอยู่หรือหนอ หรือหม่นหมองหดหู่ เราเป็นผู้สุขุมดีหรือหนอ หรือเป็นผู้หยาบแล้ว เราเป็นผู้อ่อนโยนดีหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้เฉื่อยเนือย ถ้าเราได้ปฏิบัติอบรมอย่างนี้แล้ว เราก็จะได้เป็นผู้ที่ เป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน อย่างละเอียดแยบคาย ประณีต สูงส่งขึ้นเรื่อยๆไป

๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่การงาน

ความจางคลาย ความหมดสิ้นแห่งอารมณ์ที่เราอร่อย เราเคยยึดเคยติด ถ้าผู้ใดมีแล้ว พึงสอดส่อง พึงพิจารณาทบทวนให้ดี แม้จะเป็นความหมดสิ้น หรือความจางคลายของรสอร่อย แม้แต่ปัจจัยเดียว ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อเรารู้เราพบอารมณ์นั้นแล้ว เราจะรู้ว่า ความเป็นอยู่ในโลกร่วมกัน ไม่ต้องมีการเสพย์สม ไม่ต้องมีการโหยหาอาวรณ์อะไรกัน แต่จะร่วมรังสรรค์แก่กันและกันได้ เราจึงจะรู้ว่า ชีวิตไม่ต้องติดไม่ต้องยึด ไม่ต้องมีไม่ต้องเป็นก็ได้ เสร็จแล้วเราจึงจะรู้ว่า ชีวิตนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเสพย์ ไม่ได้เกิดมาเพื่อสุข ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นภาระ กอบโกยสิ่งเหล่านั้นมาให้แก่ตนเลย

เราจะรู้ว่า ความไม่เพื่อตัวความไม่เพื่อตนนั้น คืออย่างไร พร้อมกระนั้น ปัญญาอันยิ่ง ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็รู้ยิ่งกว่านั้นอีกว่า ชีวิตนี้หาค่าบ่มิได้ ถ้าเราไม่มีการงาน ถ้าเราไม่มีการสร้างสรรเพื่อสัตวโลกตาดำๆ อยู่ในโลกนี้เท่านั้น หรือเพื่อผู้อื่น โดยเฉพาะมนุษย์ ที่น่าสงสารกว่าสัตวโลกเสียอีก ถ้ามีวิชชาหลง และทุกข์ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอื่นๆ มนุษย์ผู้พ้นแล้ว จึงมีอัชฌาสัย ทนไม่ได้ต่อความกรุณา ที่จะทำกิจการงานสร้างสรร หรือสอนเขา บอกเขา ช่วยเหลือเขา เพื่อสัตวโลกมนุษย์ตาดำๆ นี่แหละเป็นจุดสำคัญ มนุษย์จึงมีคุณค่าอยู่ที่การงาน จนกว่าจะตาย และมันจะต้องตายไปตามธรรม

เมื่อยังไม่ตาย เราจึงมีการงานที่เป็นกุศล อันจะต้องสร้างด้วยความไม่ประมาท จะต้องกระทำด้วยความสุขุมประณีต ขอให้พวกเราได้คำนึงถึงความสุขุมประณีต ความอ่อนโยน ไม่กระด้างให้ดีๆ และเราก็จะพึงฝึกปรือตน เป็นคนที่มีความหลุดพ้นด้วย และเป็นคนที่มีประโยชน์ จนกว่าเราจะสิ้นชีพดับขันธ์

๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

ผู้รู้จักความดี

มนุษย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้รู้ความดี เป็นผู้รู้ความงดงาม การกระทำความดีให้ดียิ่ง ให้ละเอียดสุขุมประณีตยิ่ง ให้พอเหมาะพอดียิ่ง เราเรียกว่าความงดงาม ซึ่งไม่ใช่หมายความว่า ความเฟ้อไปด้วยความเกิน แต่งมากไป ปรุงมากไป เราจะไปหลงเรียกว่า เป็นความงดงามนั้นหาไม่ ความดี คือทิศทางที่เป็นไปด้วยความสุข ความสุขไม่ใช่ความเสพย์สม ความสุขที่เลิศที่ยอดกว่านั้น คือความสุขที่ปราศจากกิเลส ระงับความเดือดร้อน หมดความโลภความโกรธความหลง นั่นคือ ความสุขที่ประเสริฐสูงสุด

แม้เรามีความประเสริฐสูงสุด มีความสุขอย่างสงบแล้ว เราก็ยังจะต้องเป็นผู้ที่รู้จักความดี และความงดงาม ที่ถูกต้องตามธรรม เรากระทำสิ่งที่ขาดแคลนให้แก่โลก ที่เป็นสิ่งสมควรจะต้องสร้างขึ้นทำขึ้น เราเป็นผู้ที่จะรู้ความพอเหมาะ แม้จะต้องปรับปรุง ตกแต่งขึ้น เพื่อประโยชน์คุณค่าที่จะนำพา แล้วก็สร้างสรรกันให้อุดมสมบูรณ์ อยู่ในสิ่งที่สมควรและจำเป็น เราก็ยังจะต้องทำอยู่ ตราบชีวิตเราจะหาไม่

ชีวิตมนุษย์ที่เกิดมา จึงต้องการความสุขที่ประเสริฐ และเป็นผู้ที่มีความงดงามด้วยคุณค่า และประโยชน์สร้างสรร ให้แก่โลกเขาไว้ จากนั้นเราก็ตายไป ด้วยความเป็นจริงของสัจธรรม สิ่งที่เหลือทอดมาให้แก่มนุษยโลก ก็คือความงดงาม ส่วนความสุขนั้น เจ้าตัวก็เอาไปด้วยแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่เกิดมา มีทั้งสิ่งที่ตนได้ มีทั้งสิ่งที่โลกก็ได้ด้วย จึงเป็นคนที่สมบูรณ์สูงสุด

๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

ผู้ตื่น

ผู้อยู่เป็นสุข ย่อมเป็นผู้ตื่นอยู่ แม้ในเวลานอนหลับ ก็ยังเป็นผู้สดชื่นและเป็นสุข ชื่อว่าผู้ตื่น หรือผู้ที่ชาคริยา คำว่าตื่น เป็นคำที่จะต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดลึกซึ้ง ผู้ใดมีความหดหู่ ผู้ใดมีความหม่นหมอง ผู้ใดมีความมืด ผู้ใดมีความหลบหรี่ ผู้เหล่านั้นชื่อว่า ไม่ใช่ผู้ตื่น ผู้ที่หลบหรี่ก็ดี ผู้ที่หม่นหมองก็ดี เป็นผู้ที่ไม่ปรารถนาจะพบกับโลก จะพบกับสิ่งสัมผัสภายนอก เพราะเหตุแห่งปัจจัยที่อยู่ในจิตของตนเอง เป็นต้นเหตุ ดังนั้น จึงพึงสำรวจจิตของตน ให้ละเอียดลออ ขจัดสิ่งที่ตัวเองผูกตรึงใจ ขจัดสิ่งที่ตัวเองรัดรึงใจ ตราตรึงใจ ด้วยความไม่ดี ไม่ใช่กุศลแท้ ถ้ามันเป็นกุศลแท้ มันย่อมทำให้ตนนั้นเป็นผู้เจริญ และเป็นผู้ตื่นแน่ แต่ถ้าหากมันเป็นความไม่ดี มันจึงทำให้เราเอง เป็นผู้ได้อกุศล เป็นผู้ไม่ตื่น เป็นผู้ทุกข์ ความเป็นผู้มีสุขด้วยความตื่น จะได้ด้วยการศึกษาตนอย่างสำคัญ ค้นหาตัวสำคัญที่อยู่ในจิตของตัวเองให้ดี แล้วพึงเพียรสลัดออก หาวิธีทำให้ออก มีปัญญาอันทำให้ออกได้สำเร็จ จึงจะเป็นผู้พบความสุข ด้วยความเป็นผู้ตื่น นี้ชื่อว่า พุทธะ หนึ่งแล

๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

เพียรเถิด อุตสาหะเถิด พุทธบุตรเอย

ตั้งใจอยู่เสมอ มีสติอยู่เสมอ เบิกบานร่าเริงอยู่เสมอ อุปสรรคก็คือการปฏิบัติ เราจะพบต่อผัสสะที่ให้เราแก้ไข ให้เรามีแบบฝึกหัด ให้เราปรับปรุง เพื่อที่จะปรับกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้ดียิ่งขึ้น การที่จะได้ปรับกาย วจี มโน ให้ดียิ่งขึ้นๆเสมอ นั้นคือ เราได้อบรมจิตด้วยการมีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ แล้วเราก็จะได้เกิดปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และที่สุด เมื่อเรารู้ความหมายของอุเบกขา เราก็จะถึงความเป็นอุเบกขาฐาน และเราก็จะได้ทำความสุขุม ทำความประณีต สู่ความอ่อนโยน และสู่ความแคล่วคล่องได้ในที่สุด

๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

กฎ ระเบียบ สามัคคี มีวินัย

ความมีระเบียบ ความสามัคคีพรั่งพร้อม ความรู้จักกฎ รู้จักวินัย เป็นเรื่องที่ทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างสันติ เพราะมนุษย์มีกิเลสต่างกัน มีจริตต่างกัน ความสามัคคีจะเกิดได้ ก็เพราะมีมาตรการ มีหลัก มีระเบียบ มีแบบแผน มีจารีตประเพณี มีหลายๆสิ่งที่เป็นมาตรการ ทำให้มนุษย์ที่มีกิเลส มนุษย์ที่มีจริตต่างๆ หลายชั้นหลายเชิง สามารถประสาน สามารถรวมอยู่กันได้อย่างสามัคคี ถ้ามนุษย์ไม่มีระเบียบ ไม่รู้จักกฎ ไม่รู้จักวินัย ไม่รู้จักจารีตแบบแผนต่างๆ มนุษย์นั้น ก็จะ(ไม่)เกิดการสามัคคี อยู่ด้วยกันไม่ได้

๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

สังวรวจี

ทวารที่สำคัญ ที่เราพึงสังวร เมื่อเราอยู่กับสังคม เราอยู่กับหมู่กลุ่ม ทวารนั้นคือทวารวจี คำพูด ภาษา เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เรามีการระมัดระวังการพูด ประมาณ ไตร่ตรอง คำนวณ ก่อนจะพูดเสมอ มีการยับยั้ง ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ มีการคำนวณ พอเหมาะสมหรือไม่ ควรจะพูดให้เป็นกุศล ควรจะถอดตัวถอดตน อย่าเอาแต่อำนาจที่มันจะบำบัดกิเลส ไม่ว่าจะเป็นการพยาบาท อาฆาต พูดให้หนำใจ พูดให้สมใจ หรือแม้แต่จะพูดเอร็ดอร่อยอะไรของเรา ด้วยเชิงใดก็ตาม เราจะต้องสังวรระวังอย่างยิ่ง คำนวณประมาณ จริงๆ ไม่ง่ายเลย ที่จะยับยั้งวาจาไม่ให้ออกมา ตามที่ใจเรามีโทสโคตร และราคโคตร กว่าจะประมาณคำพูดที่เหมาะสม ที่เป็นสัมมาวาจาได้นั้น ไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราไม่สำเหนียก ไม่รู้ ไม่สังวร ไม่ระวังในวาจา เราก็จะกระทำตัวเราเองก็ดี หมู่กลุ่มสังคมก็ดี ให้เป็นสันติสุข เป็นผู้สงบ หรือเป็นผู้ระงับ เป็นผู้ไม่มีกิเลส ถึงที่สุดท้าย และอยู่กันอย่างสุขเย็น ไม่ได้เลย

๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

สำรวม

ผู้สำรวม คำว่าสำรวม คือผู้ที่ระมัดระวัง ผู้ที่กระทำตนให้ตื่นอยู่ แต่ก็เป็นผู้ที่ระวัง ไม่ให้กระจัดกระจาย ไม่ให้เกิน ไม่ให้เฟ้ออยู่ ข้อสำคัญ ต้องเป็นผู้ตื่นอยู่ เบิกบานแจ่มใส มีสติสัมปชัญญะ อยู่ตลอดเวลาทุกขณะ แล้วก็ดูกายกรรมของเราอยู่ ว่าไม่ให้เกิน ไม่ให้เฟ้อ ไม่ให้มากไป กิริยาใดที่มันพอเหมาะพอดี มันไม่มากไป เราจะใช้ธรรมวิจัย เราจะใช้การวินิจฉัย วิเคราะห์ตลอดเวลา วจีกรรมใดที่มันมากไป เราจะวินิจวิเคราะห์ จะพิจารณาธรรมตลอดเวลา ใจของเรา ถ้าเราทำได้อีก เราก็จะประมาณอารมณ์ของใจ ให้เป็นใจที่เบิกบานแจ่มใส และรู้ทั้งนอกรู้ทั้งใน วิเคราะห์ถึงอารม์จิต ที่ปราศจากนิวรณ์กิเลสทั้งหมด แล้วเราก็พึงเป็นอยู่ กระทำกรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการคิด การพูด การงาน อยู่ตลอดเวลานั้น ให้พ้นมิจฉา ตามขอบเขตของฐานะของตนๆ ที่ได้สมาทาน ที่ได้พยายามกระทำให้ดีที่สุด เท่าที่ตนจะทำได้ ผู้สังวร ผู้สำรวม ที่กระทำให้ไม่ให้เกิน แต่ไม่ให้ตก ต้องให้ตื่น ไม่ให้หรี่ ไม่ให้น้อยไปอยู่นั้น เป็นธรรมดา เป็นผู้สร้างความเจริญ เจริญอยู่ และสำรวมอยู่ ชื่อว่า เป็นผู้จัดตนอยู่ในสัมมาเสมอๆ นั่นคือ เรากำลังเดินอยู่ในมรรคองค์ ๘ เป็นผู้ปฏิบัติสัมมาทุกสัมมา เพื่อสัมมาสมาธิ และเพื่อสู่สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ เป็นที่สุด

๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

ความจริงแห่งความจริง

สัจธรรมคือความจริง ผู้เกิดยถาภูตญาณทัสนะ ได้พบความจริงแห่งความจริงแล้ว เมื่อผู้ใดเริ่มต้นพบ ความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ผู้ใดได้พบความจริงของปรมัตถ์ จากตัวเอง ที่พึงประพฤติอบรม ได้ซับซาบถึงความเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง และจางคลายได้ของกิเลส และสมมติของโลก ตัวเองได้กระทำความสะอาด ให้แก่จิตปรมัตถ์ของตนเอง ยิ่งขึ้นๆ ได้ซับซาบอารมณ์วิมุติ หรืออารมณ์ที่ผ่อนบาง จากการจางคลายกิเลส เห็นความสงบ เห็นความเบา ว่าง สบาย ได้ซับซาบต่อชีวิตที่ปราศจากิเลสนั้น มีคุณค่า ซับซาบชีวิตที่ปราศจากกิเลสนั้น อยู่อย่างสงบสุขอย่างแท้จริง

ผู้ที่พบความจริงแห่งความจริงนั้น จะไม่มีวันถอยหลัง และจะไม่มีวันเลิกราจากสัจธรรมนี้ไปได้ นอกจาก ผู้ที่รู้เพียงข้างนอกๆ รู้เพียงผิวเผิน รู้เพียงบัญญัติภาษา ไม่ได้ประสบความจริงแห่งความจริง เท่านั้น หรือแม้พบความจริงแห่งความจริง ก็ยังไม่ได้สารัตถะของความจริง แห่งความจริงมากเพียงพอ ถ้าผู้ได้ความจริงแห่งความจริง มากเพียงพอแล้ว ผู้นั้นจะไม่มีวันกลับไปสู่โลกียะ อีกนิรันดร

๑๓ พฤศจิกาย ๒๕๒๕


 

 

ผู้ละการแสวงหา

ผู้เป็นสุขที่สุด คือ ผู้ที่ละการแสวงหาได้แล้วด้วยดี ทั้งกาม ทั้งภพ แม้ที่สุด ทั้งพรหมจรรย์ที่ละเอียดลออทั้งสิ้น ผู้ที่แสวงหากามอยู่ ย่อมเป็นผู้มีทุกข์นั้นแน่ รู้ง่าย แต่นัยะที่ละเอียดของกาม ยังตกถึงภพ ผู้แสวงหากามในภพ ก็รู้ยากขึ้นบ้าง เราไม่ได้เสพย์ด้วยหยาบ แต่เราก็เสพย์ด้วยละเอียดๆ ไม่ถึงขั้นแตะต้อง แต่ในขั้นแม้แต่ หยิบมาปั้นมานึกมาคิดอยู่ในภพ เราก็ยังแสวงหา อันจะต้องสำเหนียก อันจะต้องสังวรและละล้าง โดยเฉพาะ ที่ไม่ใช่การแสวงหากาม แต่เป็นภพในภพโดยตรง ปั้นเองเสพย์เอง ละเอียดไปจนถึงอรูปภพ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่ตน ไม่ใช่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่เป็นความอร่อย อันพอใจในอัตตาของตนปั้นเองเป็นเอง คนอื่นไม่รู้ และตัวเองก็ไม่รู้ เราเสพย์ภพดื่มด่ำ ด้วยพอใจที่จะทำตามใจตัวเอง เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่ เอาแต่ตนเองเป็นมาตรฐาน ในการพอใจ และเราเองเราก็ไม่รู้ แม้ละเอียดลออ การตามใจตัวเองอยู่ ยังไม่ถอดตัวถอดตน

ผู้ถอดตัวถอดตน แม้อรูปภพก็ไม่ได้แสวงหาอีกเลย ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีพฤติกรรม เป็นของเพื่อผู้อื่นเท่านั้น พฤติกรรมใดๆ ผู้ที่อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ไม่แสวงหาพรหมจรรย์อีกแล้ว มีแต่จะแสดงพรหมจรรย์ หรือเป็นตัวพระเจ้า เป็นตัวผู้ทรงธรรมบริสุทธิ์ เบิกบาน รู้ตื่น แล้วก็เป็นผู้เปิดเผย สร้าง ช่วยเหลือเฟือฟาย ให้แก่ผู้อื่นอยู่ อย่างสดชื่น อย่างรู้เหนื่อย แล้วก็พัก ถ้าไม่เหนื่อย แล้วก็รู้ตนเองว่า เวลากำลังล่วงไปๆ บัดนี้ เราไม่ได้เสพย์ให้แก่ตนเองเลย นอกจากช่วยเหลือ สร้างสรรให้แก่สรรพสัตว์ในโลก จนกว่ารูปขันธ์ นามขันธ์ จะดับแตกสลาย

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

ง่วง ซึม เสพย์หลับ

ความง่วง ความซึม ความเสพย์หลับ เป็นกิเลสแท้ๆ เป็นโรคของจิตชนิดหนึ่ง เราจะต้องจับอาการง่วง จับอาการซึม จับอาการที่มันเสพย์หลับให้ได้ เสพย์ความหลับ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่มีความอิ่มความเต็ม มันเป็นกิเลสล้น แล้วทำให้กิเลสอ้วน เมื่อเราให้มันเสพย์บ่อยๆ ให้มันเสพย์เสมอ มันยิ่งจะติดมาก และยิ่งจะกระหายอยู่ไม่ได้หยุด เราต้องประมาณการนอนให้พอเหมาะ แล้วตัด จะต้องอ่านอารมณ์เมื่อเวลาตื่นให้ชัด ขณะตื่น ก็ให้อ่านอารมณ์ หรือ ขณะแม้หลับตาลงเท่านั้น ก็ให้อ่านอารมณ์ซึม อารมณ์ง่วง อารมณ์เสพย์ ต้องทำความเข้าใจในใจให้ได้ ถึงอารมณ์ง่วง ซึม เสพย์ ว่ามันมีอาการจริงๆ แล้วหัดปรับเข้าสู่อาการที่ปราศจากอาการง่วงซึม หรือเสพย์หลับ อาการดั่งนี้ ต้องรู้เป็นปัจจัตตังของตน ต้องเข้าใจว่า นั่นคืออาการโรค หรือมีอาการกิเลสนั้นอยู่ แล้วขจัดมันออก ด้วยอิทธิวิธี

เราจะต้องรู้อาการของจิต ที่เป็นจิตบริสุทธิ์ แม้จะหลับตาลง ลืมตาอยู่ก็ตาม ถ้ามีอาการง่วง อาการซึม อาการเสพย์หลับมันมาปน เราก็จะต้องรู้ ในอาการที่ไม่มีความง่วง ความซึม ความเสพย์หลับเลย เป็นจิตสะอาดอยู่ แม้จะหลับตาอยู่ ก็จะต้องให้รู้จริงๆ เพราะอาการที่ลืมตา ที่ไม่มีอาการง่วงซึม หรือเสพย์หลับ เป็นความเบิกบานสดชื่นนั้น ต่างกันมากกับอาการซึม อาการง่วง อาการเสพย์

ถ้าจิตจวนจะใสบริสุทธิ์ กับจิตที่มีอาการซึมอยู่บ้าง, อาการง่วงอยู่บ้าง อาการเสพย์หลับอยู่บ้าง น้อยๆนั่นแหละ จะคล้ายกันและรู้ยาก จะต้องอ่านอย่างแยบคาย แล้วหัดดัด หัดเปลี่ยน หัดดับ หัดขจัดออกให้จริงทุกเมื่อ ไม่ว่าตื่นหรือหลับตา ในขณะใดมีสติสัมปชัญญะ จะต้องตรวจต้องอ่าน ต้องขจัดจริงๆ ให้รู้ว่าเด็ดให้ขาด ถ้าไม่เด็ดไม่ขาด ถ้ายิ่งซับซาบ ซับซึมให้มีอาการง่วงๆ ให้มีอาการซึม ให้มีอาการเสพย์หลับ ใส่จิตเสมอๆ นั่นคือ ความไม่มีความอิ่ม ไม่มีความเต็มนั้น จะยังอยู่ที่เรานิรันดร์

๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

จิตแยบคาบ

ทำอย่างไรเอ่ย ที่เราจะเป็นผู้มีจิตแยบคายขึ้นเสมอๆ

เราคบกับสัตบุรุษ ได้ฟังพระสัทธรรมแล้ว เมื่อฟังพระสัทธรรมแล้ว เราฟังจนเข้าใจ เราฟังจนเกิดความศรัทธา เกิดความศรัทธาแล้ว เราก็จะต้องลงมือปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติเกิดศรัทธา ที่เกิดศรัทธาก็เพราะมีศีล ที่เกิดศีลก็เพราะมีพาหุสัจจะ จึงเป็นศรัทธาที่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้นขึ้นมาอีก เมื่อเกิดศรัทธา มีศีลบริบูรณ์ขึ้นมา มีพาหุสัจจะ พหูสูตบริบูรณ์ขึ้นมา เป็นพระธรรมกถึกบริบูรณ์ขึ้นมา เป็นผู้ที่เข้าสู่บริษัทบริบูรณ์ขึ้นมา เป็นผู้แกล้วกล้าอาจหาญ ที่จะแสดงธรรมแก่บริษัท เป็นองค์สมบูรณ์ของศรัทธาขึ้นมา เป็นผู้ที่ทรงวินัย เป็นผู้ที่รู้จักอยู่สงบ ทำความสงัดได้ และเป็นผู้ที่ได้โดยไม่ยากโดยไม่ลำบาก ในฌานทั้ง ๔ เป็นผู้ที่มีเจโตวิมุติ มีปัญญาวิมุติอันสมบูรณ์ สิ้นอาสวะ ผู้นั้นแลเป็นผู้ที่เกิดศรัทธา เพราะฉะนั้น องค์คุณแห่งการจะเป็นอาหาร ให้แก่จิตแยบคายนั้น จึงไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน

ผู้ที่จะมีจิตแยบคาย จึงต้องเป็นผู้ที่พบกับสัตบุรุษ ฟังสัทธรรม ฟังสัทธรรมให้เกิดศรัทธา และการเกิดศรัทธา ไม่ใช่เรื่องเชื่อดายๆ ง่ายๆ เท่านั้น จะมีองค์คุณแห่งการเกิดศรัทธานั้น สรุปแล้ว ต้องมีทั้งศีลสมาธิและปัญญา อันเป็นญาณทัสนะ ที่เป็นญาณทัสนะ มีวิมุติอันสมบูรณ์พร้อม จิตเราจะแยบคายขึ้น ตามลำดับแห่งความสามารถ ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อจิตแยบคาย เราจะเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ เมื่อเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ เราจึงจะเป็นผู้ที่มีการสำรวมอินทรีย์ ทั้ง ๖ ได้ดี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา จึงจะสุจริต พร้อมกระนั้น สติปัฏฐาน ๔ ก็ดี โพชฌงค์ ๗ ก็ดี จึงจะเป็นองค์คุณที่สมบูรณ์ เพื่อความ สู่ความมีวิชชาทั้งสิ้น มีวิมุติทั้งสิ้น สมบูรณ์อย่างสูงสุด

๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

อย่าเผลอฟุ้งซ่าน

ในเวลาที่เราไม่มีงานการอะไรมาก ไม่มีอิริยาบถอะไรมาก เราจะเผลอฟุ้งซ่าน เราจะเผลอคิดอะไรต่ออะไร ที่ไม่เป็นสารัตถะ ไม่ให้เข้ากุศล อกุศล ไม่มีธัมมวิจัย คิดฟุ้ง คิดซ่าน คิดอะไรปนเป ก็ให้หัดระวัง เราจะเป็นผู้มีสติเสมอ มีธัมมวิจัยเสมอ ต้องเพียรตน รู้ตนว่า นี่เป็นบทสู่ความตรัสรู้ อันสำคัญ

สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ องค์ ๓ ของสัมโพชฌงค์นี้ เป็นตัวหลักที่เราจะต้องมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ รู้ว่าขณะนี้ เราอยู่ในสิ่งแวดล้อม องค์ประชุม มีผัสสะหรือไม่ มีผัสสะอย่างไร ข้างนอกเราไม่กังวล แต่เราก็ไปผัสสะอยู่ข้างใน ปรุงอยู่ข้างใน ฟุ้งซ่านอยู่ข้างใน หรือเสพย์อยู่ข้างใน เราจะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม พิจารณาวิจัยไปถึงเวทนา ให้เห็นว่าเวทนาขณะนี้ เราสุขเพราะเสพย์ แม้เสพย์ในภพ เราก็จะต้องคลายออก แม้เสพย์รับนอกมา เราก็จะต้องคลาย ปล่อยออกทุกขณะๆ เราปรับปรุงจิต และรู้แท้ถึงจิต รู้ธรรมารมณ์ของจิต จัดแจงวิจัย แล้วก็ทำให้จางคลาย ปลดปล่อยด้วยสมถธุระ หรือวิปัสสนาธุระ อันเป็นกิจที่เราทำอยู่แก่ตน เสมอๆ

แม้ยิ่งไม่มีอะไรแวดล้อม ไม่มีงานการอะไรมาก เรายิ่งจะเผลอตัวได้เก่ง มักจะฟุ้งซ่าน หรือมักจะเสพย์เสมอ ให้เราระวังกัน แล้วก็เพียรระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม แก้ไขเสียให้ดี เราจึงจะเกิดผลดีแก่ตนเสมอๆ

๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

ผู้ทำตน

สำรวมอินทรีย์ โดยมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอๆ ทำโพชฌงค์ ๓ มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ ประกอบให้เกิดบทเกิดบาท ดำเนินไปให้มากที่สุด ทุกขณะ ที่เราเองสามารถจะประคองรู้ ประคองทำตน ผู้ที่ได้ปฏิบัติอย่างนั้น ชื่อว่าผู้ที่มีสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่สุด ของการปฏิบัติ อันพึงกระทำ อันพึงเป็นบทที่จะต้องระลึกรู้ ในฐานะลูกพระพุทธเจ้า

เมื่อผู้ใดมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มีธัมมวิจัย แล้วก็พากเพียร มีสติสัมปชัญญะ ดูแลทวารทั้ง ๖ และดูกิริยา ๓ ไม่ว่ากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา เราก็จะมีธัมมวิจัย พิจารณาดี พิจารณาชั่ว พิจารณาควรหรือไม่ควร ทุกกาล เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง องค์ประกอบไม่เสมอกัน เราจะต้องพิจารณาเสมออยู่ตลอดเวลา ไม่ประมาท ผู้ได้ทำอย่างสังวร สำรวมอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ เป็นทางปฏิบัติของศาสนาพุทธ ที่เราเรียกว่า สติปัฏฐาน ๔ เอกายนมัคโค หรือจะเรียกว่า ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม ๓๗ จนกระทั่งถึงหลักแกนของมรรคองค์ ๘ ก็ใช่ด้วย เราได้แนะนำ เราได้พยายามทำความเข้าใจรายละเอียดต่างๆ เพื่อปฏิบัติในระบบในแบบอย่าง ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า นี้กันมาพอสมควร

ขอให้พวกเราได้สังวร ระวัง กระทำให้ถูก แล้วเราจะได้ประโยชน์อย่างละเอียดลออ ต่อวัน ต่อวันๆ เสมอๆๆ และรู้ตนให้ชัด อย่าเข้าข้างตน มันจะแยบคาย จิตจะแยบคายขึ้นทุกเมื่อๆๆ แล้วเราจะเห็นความสัตย์ ความจริง เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีจิตแยบคาย มีสติสัมปชัญญะ สังวร สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ เป็นตัวกลาง ควบคุมทวาร ๖ และกิริยา ๓ คือ ให้เป็นสุจริต ๓ อยู่ตลอดเวลา นี้เป็นเรื่องควบคุมตนเองอยู่แล้ว ในการปฏิบัติ ส่วนพบกับสัตบุรุษ และฟังสัทธรรม แล้วเราจะเป็นผู้เกิดศรัทธา ด้วยการปฏิบัติธรรมของเรา ก็จะเป็นศรัทธาที่เราได้เองด้วย ทุกอย่างก็จะครบสมบูรณ์ ตามสายทางแห่งการปฏิบัติ สู่การละอวิชชา และสิ้นภวตัณหา ได้ตลอดกาลนาน

๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

หยาบ-ละเอียด

ของหยาบ เป็นของรู้ง่าย เป็นของเห็นง่าย เป็นของหยิบง่าย เป็นของล้างง่าย และเป็นของหมดได้ง่าย

ของละเอียด เป็นของรู้ยาก เป็นของเห็นยาก เป็นของหยิบจับถูกต้อง ถูกตนถูกตัวมันได้ยาก เป็นของล้างยาก เป็นของทำให้หมดได้ยาก เพราะฉะนั้น จึงต้องเพียรมาก ที่จะทำของละเอียดให้หมดสิ้นได้ ขอให้เราต้องสำนึก รู้ความจริงอันนี้ให้สำคัญ อย่านึกว่า เราทำความหยาบออกหมดแล้วเท่านั้น คือสิ่งที่เราจะสมบูรณ์ แม้เราทำความหยาบออกแล้ว อย่างกลางอย่างละเอียด ก็ยังเป็นเชื้อที่จะโต มาหยาบใหญ่ได้ใหม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ ยังไม่หมดเชื้อ ยังไม่หมดฤทธิ์ ถ้าเราปล่อยปละละเลย ไม่พยายามทำให้หมดเชื้อ ทำให้เหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ถอนขึ้นทั้งราก ทำให้เป็นอันไม่มี ทำให้ไม่เกิดอีกต่อๆไป ถ้าเราไม่ทำให้ถึงขั้นถอนอาสวะ ดังกล่าวนั้นแล้ว กิเลสนี่แหละ มันจะไม่ถึงขั้นสิ้นสุด อย่างหมดจด บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้เลย

๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

กิเลสภายนอก-กิเลสภายใน

การรู้สักกายะของตนนั้น จะต้องรู้ทั้งภายนอกและภายใน กายในกาย หรือกายนอกกาย เราจะต้องรู้ความประชุมของภายนอก ซึ่งมันมีทั้งวัตถุ มีทั้งรูปภายนอก มหาภูตรูปภายนอก ซึ่งมาประชุม หรือสัมผัสสัมพันธ์อยู่กับชีวิต และเราก็มีกิเลสอันไม่สงบ กิเลสของเรามันก็สัมพันธ์ แล้วก็ดึงดูดหรือผลักไส เป็นราคโคตร เป็นโทสโคตรอยู่ ให้รู้เท่าทัน อย่าหลงผิดเป็นโมหะ และเราก็ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนเป็นภายนอก ลดได้ เป็นโลกภายนอก ในโลกภายในก็เป็นกิเลสเช่นเดียวกัน เราก็จะต้องรู้ จะต้องแยบคาย รู้กายในกาย คือจิตของเรา เป็นจิตตกภพ จิตปั้นภพ จิตสร้างอะไรต่ออะไร ที่มันไม่สงบเช่นเดียวกัน

แม้แต่มันหยุด โดยที่ติดหยุด ติดซึม ไม่เกิดชีวิตชีวา กลายเป็นคนเสพย์หลับ เสพย์หรี่ เสพย์เซื่องซึม ง่วงเหงาหาวนอน สิ่งเหล่านั้นคือความไม่สงบ คือความไม่สะอาด คือกิเลสแท้ๆ สดๆ มีนัยะเดียวกันกับภายนอก ว่านั่นคือ เรายังไม่สงบ ยังไม่สะอาด ยังไม่บริสุทธิ์ ยังเป็นผู้ที่มีกิเลสอยู่เหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าเป็นภายใน เป็นความประชุมภายในจิต แม้ไม่เป็นมหาภูตรูป แต่ก็เป็นอุปาทายรูป คือ เป็นรูปที่เราปรุง เรายึด เราเกี่ยว อยู่ด้วยความคิดความเห็น ความไม่รู้ ความโมหะ ความอวิชชาต่างๆ ซึ่งมันก็เป็นกิเลสแท้กิเลสจริง เราจะต้องเรียนรู้ทั้งสองฝั่ง เป็นภายนอกและภายใน ปรับได้ทั้งนอก ปรับได้ทั้งใน ล้างสะอาดทั้งภายนอก ล้างสะอาดทั้งภายใน ให้ชัดเจน เราจะเห็นว่ากิเลสภายในนั้นไม่สำคัญ สำคัญแต่กิเลสภายนอกนั้น ไม่ถูกเลย กิเลสภายในยิ่งสำคัญ เพราะมันยิ่งรู้ยาก มันยิ่งหมกหมัก แล้วก็แตกตัว ทำร้ายเราได้อย่างเก่ง เพราะเรารู้มันยาก เพราะเราจับตัวมันยาก เพราะฉะนั้น เราจะประมาท หรือเข้าใจผิดว่า มันไม่ใช่กิเลส หรือว่ามันเป็นกิเลสที่ไม่สำคัญ เราจะให้เข้าใจผิดเช่นนั้นไม่ได้

ขอให้พวกเราได้แยบคาย ได้ละเอียดลออที่จะละล้าง แม้ภายนอกพอสบายแล้ว ภายในยังเป็นสักกายะอยู่ ก็ให้รู้ตัวการ หรือสักกายะตัวสำคัญ ที่ทำให้เรายังไม่สะอาด ยังไม่เจริญ ยังหนักหน้าหนักหนาอยู่ สักวันหนึ่ง เราก็เวียนวนตกต่ำได้ เพราะความไม่งาม ทั้งภายนอกและภายใน อันสมสัดสมส่วน ยังมีความลึกซึ้ง ที่เราจะทำให้ละเอียด เป็นภูมิสูงขึ้นตามลำดับ แม้ภายนอกหรือภายในอีก ทำความเข้าใจให้เป็นขั้นตอน ให้ชัดเจน แล้วจัดการละล้างให้สมบูรณ์ ให้ถูกสภาพ เราจึงจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่เลอะเลือน ปฏิบัติธรรมไม่สูญเปล่า

๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

เห็นดี เป็นดี ได้ดี

คนที่มีความเห็นดี จะเป็นทางนำไปสู่การประพฤติ หรือการกระทำง่ายสะดวก ไม่ทุกข์ร้อน ได้มากกว่าคนที่ไม่เห็นดีด้วย ผู้ที่เห็นดี ยิ่งเห็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่จริง เข้าถึงความจริง มีความจริงนั้นรองรับ ก็ยิ่งเป็นผู้ที่จะกระทำจริงๆ อย่างเต็มใจจะกระทำอย่างแน่มั่น เพราะเป็นผู้ที่ทั้งมีความจริง ทั้งเห็นดีในความจริงนั้น ถึงความจริงนั้น มีความจริงนั้น เพราะฉะนั้น สัมมาทิฏฐิ หรือการเห็นดี จึงเป็นประตูแรก ที่ทุกคนจะต้องสร้างให้เกิด ให้เข้าใจ ให้เห็นจริงให้ได้ เพราะมันไม่เป็นทุกข์ แม้เราจะเพียงเห็นดีด้วย แต่แม้ว่า เราจะยังไม่ได้ถึงความจริงนั้น อย่างสูงสุด เราก็ยังพอโน้มน้อมจิตใจ ร่วมกระทำ หรือผลักดันตน ฝึกตน ไม่ทุกข์นัก เพราะยังมีกิเลส ก็อาจจะทุกข์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทุกข์นักดังกล่าวแล้ว ยิ่งเมื่อเราได้ประพฤติปฏิบัติ จนขัดเกลากิเลสนั้นออกหมด เราก็จะหมดทุกข์อย่างสิ้นเชิง และจะเป็นความดี ทั้งเห็นดี ทั้งเป็นดี ทั้งได้ดี ครบบริบูรณ์

๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๕


 

 

ให้

การแสวงหาความจริง ความหมายของความจริงนั้น มีทั้งความจริงทั้งคดีโลก มีทั้งความจริงทั้งคดีธรรม คดีโลกนั้นก็คือ... ความสุขของโลก ที่เขาประกอบไปด้วยลาภยศสรรเสริญ และความเสพย์สมแห่งโลกียสุข

ผู้ที่เข้าใจแจ่มแจ้ง ในเหตุผลความจริง และซาบซึ้งในรสของโลกียสุข ว่าคืออะไร ซาบซึ้งในการมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ ว่าคืออะไร และเป็นคนพอแล้ว เป็นคนที่ไม่เอาอีกแล้ว เห็นความไม่ตื่นเต้น ไม่ต้องหลงใหลในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในการเสพย์สมโลกียสุข ว่าเป็นความสุขที่สงบยิ่งกว่า ผู้ที่เห็นในความสุขที่สงบยิ่งกว่านั้นแหละ คือผู้ที่เข้าใจคดีธรรม เป็นผู้ที่เห็นจริงของตนเอง พอใจความสุขอันสงบ ที่เรียกว่า วูปสโมสุขนั้นด้วยตนเอง อย่างแน่จริงแน่ใจ จึงหยุดความลนลาน หยุดความแสวงหาในโลกธรรม หรือในความจริงของโลกได้ และจะเป็นคนที่ไม่วิ่งหาอีก

นอกจากไม่วิ่งหาอีกแล้ว พระพุทธเจ้าของเราผู้เป็นปราชญ์เอก ยังเป็นผู้ที่มีพระจิตวิญญาณ อันเมตตากรุณาสูงส่ง สอนให้ผู้ที่ไม่ติดโลกนั้น ยังช่วยโลก ยังเกื้อกูล และเอ็นดูคนที่เขาติดโลกนั้นอยู่ และจะมีจิตเป็นปัญญา มีวิธีการ มีความสามารถที่จะช่วยเหลือ ให้คนเหล่านั้นรู้แจ้ง ในการหลงโลก แล้วลดราในเรื่องแย่งโลก ให้เดินทางเข้าสู่โลกุตตระ มาสู่คดีธรรม มาสู่ความสงบ อันเป็นความสุขอันแสนวิเศษนี้ ให้ได้อีกด้วย

ชีวิตที่เหลือของผู้ที่ไม่ติดความสุขของโลก ไม่ติดความจริงของโลกแล้ว ได้ความจริงของธรรมะแล้ว จึงเป็นชีวิตที่เอ็นดูคนของโลก ช่วยเหลือเกื้อกูลคนของโลก ให้มาเป็นอย่างเราบ้าง เพราะฉะนั้น งานของคนทิ้งคดีโลก ทิ้งความสุขของโลกแล้ว จึงเป็นงานที่ช่วยคนของโลกโดยตรง โดยแท้จริง สิ่งนี้เป็นคุณค่า เพราะผู้ที่ทำนั้น ไม่ได้ทำเอามาเสพย์ ไม่ว่าจะเป็นโลกียสุข ไม่ว่าจะเป็นเพื่อหลงสรรเสริญ หรือเพื่อหลงลาภหลงยศ ทำอย่างไรให้เขารู้ ให้เขาได้อย่างแท้จริง

ความจริงอันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเป็นการกอบโกยเอา จึงไม่ใช่เรื่องของตัวของตน เป็นเรื่องเสียสละ เป็นเรื่องไม่เอาเปรียบ เป็นเรื่องไม่เอา เป็นเรื่องให้ เป็นเรื่องของการสร้างสรร เป็นเรื่องของการให้ เป็นเรื่องของจิตบริสุทธิ์ นี้คือจิตอันสูงสุดของศาสนา ที่ปราชญ์เอก ไม่ว่าปราชญ์ชั้นใดๆ ก็เห็น ก็รู้ และนำพามนุษย์มาสู่จุดนี้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น คุณค่าของจิต ที่เรียกว่า จิตสูงสุด จะเรียกว่าจิตพระเจ้า จะเรียกว่าจิตพรหม จะเรียกว่าจิตเทวดา ชั้นสูงขนาดไหนก็ตาม ก็คือ จิตเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่ช่วยสร้างสรรให้แก่โลก ช่วยมนุษยโลก และก็สร้างเพื่อเขา ไม่ใช่เพื่อเราเลย จิตบริสุทธิ์อย่างนั้นจริงๆ ไม่เสพย์ ไม่คลุกเคล้า ไม่คลุกคลี จิตสะอาด จิตล่อน ผู้ที่มีได้แล้วจริง หมดปัญหา และมีชีวิตอยู่อย่างไม่สงสัย จะเป็นผู้อนุเคราะห์โลก จะเป็นผู้เกื้อกูลโลก เป็นผู้ถึงความจริงในทางธรรมอันสูงสุด และมีชีวิตอยู่ อย่างเบิกบานแจ่มใส เป็นผู้สร้าง ผู้ให้ เป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ตราบตาย

๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๕


 

 

โลกียะ-โลกุตตระ

ผู้เกิดปัญญาแท้ แจ้งชัดในโลกียะ คือโลกียะ - แจ้งชัดในโลกุตตระ คือโลกุตตระ ได้พบความจริง ผู้นั้นจะเดินทางอยู่ในความจริง

ผู้อยู่ในโลกียะ ไม่พบโลกุตตระเลย เขาก็เดินทางอยู่ในความจริงของโลกียะ ก็จะอุตสาหะวิริยะพากเพียร แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไปตราบตาย จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เขาก็จะอุตสาหะ บากบั่น สู้ทน ไปจนชีวิตจะดับขันธ์

ผู้รู้ความจริงในโลกุตตระแล้วแน่แท้ ก็จะไม่ไปสู่โลกียะ ก็จะบากบั่นอุตสาหะวิริยะอยู่ในทางโลกุตตระ ไปตราบตายเช่นเดียวกัน การบากบั่นอุตสาหะวิริยะของโลกุตตระ ก็จะเดินทาง เช่นเดียวกันกับโลกียะเดินทาง แต่ผลคนละทาง โลกียะสะสม แต่โลกุตตระละออก ก็จะพากเพียรบากบั่น ลดไปละไป ได้มากได้น้อยก็ตาม

ผู้ที่แน่แท้ในความจริงแล้ว ก็จะบากบั่นพากเพียรตัวเองไป แล้วก็จะสะสมไปเช่นเดียวกัน ตราบตาย ผลที่ได้ ก็จะเป็นของแต่ละบุคคล

พวกโลกียะ ก็จะสามารถร่ำรวย จะสามารถมียศ เท่าฐานะอันเป็นวิบากของตน และเท่าความบากบั่น อุตสาหะพากเพียร ที่ตนเองจะสั่งสมให้แก่ตนเองได้ เช่นเดียวกัน

ชาวโลกุตตระ ก็จะเดินทางไป จะร่ำรวยโลกุตตรธรรม ได้เท่าที่ตัวเองจะสามารถบากบั่นพากเพียร และมีอินทรีย์พละ สุดท้าย ก็ตายไปจากโลกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ความจริงที่แท้ ผู้ที่สามารถหยั่งเข้าถึง รู้แจ้ง รู้ชัด ในโลกียะและโลกุตตระ ก็จะแบ่งคนออกเป็นอย่างนี้

ผู้ที่เข้ากระแสแล้ว และมีโอกาสแล้ว มีน้ำหนักเพียงพอแล้ว ก็จะอยู่ในโลกุตตระ

ผู้ยังไม่เข้ากระแส ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ หรือยังมีคลื่นซัดสาดอยู่ ก็จะตกออกจากโลกุตตระ ไปอยู่โลกียะ สองทางนี้ สับสนได้ ลวงพรางมนุษย์ได้ โดยเฉพาะผู้ที่พยายามศึกษา หรือพยายามจะเข้ามาอยู่โลกุตตระบ้าง อาจจะดูเหมือนว่า เป็นชาวโลกุตตระได้ แต่แท้จริง เมื่อที่สุดแห่งที่สุด ก็จะถูกความจริงนั้น ชี้ชัดในบั้นปลายได้ เช่นเดียวกัน

ขอให้ตรวจสอบ ขอให้พากเพียร ศึกษา ค้นหาความจริง ให้พบความจริงแท้ๆ นั้นๆเถิด

๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๕


 

 

ตัณหาในภพ

นักปฏิบัติธรรม เมื่อรู้สึกว่าโลกข้างนอก หรือโลกแห่งโลกีย์ เป็นความวุ่นวาย เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะต้อง ไปหลงใหลไขว่คว้าแล้ว มันง่ายที่นักปฏิบัติธรรมนั้น จะตกภวังค์ หรือตกภพ หรือติดง่วง หรือชอบการเข้าไปหลับ ซึ่งเป็นฐานที่เราจะสำเหนียกสังวร ฝึกหัดอย่างแรงกล้า ถ้าไม่ฝึกไม่หัด แน่นอนที่สุด เราจะต้องติด เราจะต้องสะสม สุดท้ายแก้ยาก

ยิ่งเราไม่รู้จริง ไม่เข้าใจเลยว่า ภพแห่งภวังค์ หรือภวตัณหา ตัณหาในภพ เราก็ยิ่งจะหลงผิด นั่งหลับเอา นั่งติดเอา หาวิธีพลิกแพลงเอา เพื่อจะเข้าไปเสพย์อารมณ์ในภพ แล้วก็ติดภพเป็นฤาษีตาไฟ เป็นนักหลับตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เราจะต้องแก้ไข เราจะต้องฝึกหัด ละออก ให้สำคัญที่สุด เพื่อการล้างภวตัณหา หรือติดภพ เป็นอารมณ์สงบ แบบดับ แบบหยุด แบบเสพย์ซึมอยู่ในอารมณ์ เราจงมีความคิดเช่นนี้ และฝึกหัดเช่นนี้

หนึ่ง ไหนๆ เราก็จะตื่นอยู่ จงบอกตนเอง สำเหนียกตนเองเสมอว่า เราเป็นพุทธะ เราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแจ่มใส

สอง เราเคยตื่นมาแล้ว ตั้งกี่วันกี่วันมาแล้ว เราก็จะต้องรู้ตัว เราจะต้องตื่นให้ได้ ทำให้ได้ เพราะเราเคยตื่นได้แล้ว อาการที่ตื่นเป็นอย่างไร เราต้องทำอารมณ์นั้นเสมอๆ ให้ชำนาญ ให้ซับซาบ ให้รู้ยิ่ง ให้เป็นจริง อย่างคล่องแคล่ว

สาม ถ้าเรายิ่งมาให้มันง่วงนั้น ไม่ใช่เรายิ่งจะหายง่วง แต่เรากลับยิ่งเติมอาหาร เติมความเคยชินให้แก่ความง่วง ให้แก่กิเลสอ้วน กิเลสนั้นก็จะสั่งสม และมีฤทธิ์แรง เราก็นับวันที่จะต่อสู้กิเลส ที่มีกำลังมีฤทธิ์แรง หรือมันอ้วนนั้น ได้ยากเต็มที

สี่ ต้องหัดตัดให้ขาด ตัดให้เด็ด ต้องทำจริง ต้องเป็นจริงๆ เสมอๆ

ห้า คลำหาอาการที่อร่อย ในขณะหลับตาอยู่ ให้เจอ มันเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง แล้วขจัดออก ทำให้เป็นอารมณ์ใส เปล่า อารมณ์ที่ไม่มีรส อย่างที่เราได้พบได้รู้นั้น ปรับเปลี่ยนจากอารมณ์เสพย์ซึม อารมณ์ที่เราจับได้ว่า นี้คือ อารมณ์อร่อยของความหลับ แล้วขจัดออก หาวิธีอิทธิวิธีขจัดออก อย่างแยบคายเสมอๆ

หก จะต้องพยายามปรับปรุง ความเป็นอยู่ในชีวิต เราจะต้องรู้จักการพักการเพียร รู้จักการงาน รู้จักการเป็นอยู่ ที่จะต้องพักผ่อน ให้สมดุลให้พอดี แต่ละอินทรีย์แต่ละพละ แต่ละจริตของบุคคลนั้น ไม่เหมือนกัน บางคนพักได้มาก บางคนไม่ต้องพักมาก แล้วเราก็พยายามอย่าเข้าข้างตน เพื่อความพักให้มากเกินไป เท่านั้น เราย่อมรู้ด้วยปฏิภาณ ด้วยสามัญสำนึก ว่าการพัก หรือการเอียงเท เอียงเอน ลำเอียง ให้แก่กิเลสนั้น เป็นความผิดพลาด และเราจะแก้กลับไม่ได้ การทำสมดุล ให้แก่การเป็นอยู่อันพอดี จะเป็นการปฏิบัติธรรมอย่าง สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา, ทรมานตนเกินไปก็จะดี สำหรับบุคคลที่เหมาะสม ว่า ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือ ทำความลำบาก ให้แก่ตนเองมากๆหน่อย แล้วเราก็สามารถปฏิบัติได้ เดินทางไปสู่จุดหมายได้เร็ว เช่นเดียวกันก็เป็นได้ แต่ระวัง มันจะกลายเป็นมุมกลับ ที่ทำความลำบากให้แก่ตนเอง มากเกินไปนัก แล้วเราก็จะเข็ดขยาด จนกลายเป็น.....

สุดท้าย แพ้ภัยตัว แล้วก็ไม่เอา ขอให้ระวังจุดนี้ เท่านั้น

ถ้าผู้ใดมีจริต ชอบที่จะทำตนให้ตั้งตนอยู่ในความลำบาก ให้ได้มากๆ แล้วเราได้ดี ได้เร็ว ก็จงรู้ตัว บางคนทำให้พอเหมาะพอดี ก็จงรู้ตัว ส่วนคนทำให้น้อยเกินไปนั้น เสร็จแล้วก็ช้า เสร็จแล้วก็ไม่ได้ผล ก็จงตรวจตัวเอง ให้ได้รู้ตัว การกระทำ การฆ่านิวรณ์ข้อนี้ ของหมู่นักบวช หรือผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรม จนเกิดดังกล่าวแต่ต้นแล้วว่า เป็นผู้รู้ความวุ่นวายของโลก แล้วเราก็ปลดปล่อยโลกมาบ้างแล้ว มันเป็นธรรมชาติ ที่เราจะรู้ไม่เท่าไม่ทัน ว่าตัณหาในภพนั้น เป็นเหวใหญ่ข้อหนึ่ง ที่นักปฏิบัติธรรมได้ตก และตายกันมา นานับแล้ว

ขออย่าให้เรา ได้เป็นผู้ตกไป ในเหวนั้นอีกเลย

๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๕


 

 

รู้จักประมาณ

สัตบุรุษ ย่อมมองเห็นชั้นเชิงขั้นตอน ตลอดจนสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน อันเรียกว่า ธัมมัญญุตา

สัตบุรุษ ย่อมมองหาแก่นสาร สาระ เป้าหมายสำคัญ

สัตบุรุษ ย่อมมองดูตน ตรวจตน ประมาณตน

สัตบุรุษ ย่อมประมาณในสารัตถถะ ประมาณในชั้นรอบที่สมควร และประมาณในกาลเวลา ประมาณดู ในบริษัทหมู่กลุ่ม ประมาณไปตลอด รายละเอียดของแต่ละบุคคล แล้วก็กำหนด คำนวณเอาความเหมาะสม ความพอดี ความดีที่สุด และองค์ประกอบเหล่านั้น ที่จะพอเป็นไปได้ อยู่เสมอๆๆ เมื่อได้ความพอดี ได้ความเหมาะสมเหมาะควรเป็นที่สุด จึงจะเห็นว่า นั่นดีที่สุดแล้ว

การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และตัวเองอยู่เสมอๆ และจัดแจงปรับปรุง ให้ดำเนินไปด้วยดีอยู่เสมอๆ นั่นแหละ คือ เรากำลังทำสุคติ สุคโต หรือเรากำลังทำสัมมัคคโต ที่สุด ยิ่งเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็กำลังทำ ตถาคโต ทีเดียว

๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๕


 

 

อยาก-ไม่อยาก

บรรดาความอยากทั้งหลาย ตั้งแต่เราอยากจากวัตถุ หรือสิ่งแต่ภายนอก เรียกว่ากามตัณหา เมื่อเราไม่อยาก แล้วเราก็ยังไม่อยากได้ ผลัก เกลียด ชัง สิ่งที่เป็นภายนอก โดยความไม่รู้ในวิภวตัณหา คือ ความอยากที่หมายเอาว่า เรามีอารมณ์ไม่อยาก แม้ที่สุด ไม่อยากกินข้าว ผู้นั้นก็จะตาย หรือไม่อยากนุ่งห่ม ผู้นั้นก็จะทุกข์เมื่อหนาว เราจึงต้องรับเท่าที่ควรรับ ไม่ได้รับด้วยความอยาก แต่รับด้วยความรู้ เพราะฉะนั้น แม้แต่วัตถุนอก เราก็ต้องทำ ต้องมี ต้องเป็น ต้องได้ เมื่อเรายังไม่ตาย แม้ในวัตถุนอก ในภพภวตัณหานั้น หมายความว่า เราอยากได้อยากมีอยากเป็น ในส่วนที่ไม่ใช่วัตถุนอก แม้เราอยากได้อยากมีอยากเป็น อันเกินเลย เราก็จะเป็นทุกข์ เพื่อแสวงหาความเสพย์ในภพอีก แม้จะเป็นความเสพย์ที่ไม่หนักหนา เท่าความเสพย์วัตถุ นอกตัวนอกตน ก็ยังเป็นเรื่องที่ติดยึดและเนียนใน สลัดยากยิ่งกว่าข้างนอกอีก อยู่นั่นเอง

แม้ผู้ใดได้เข้าใจ เห็นว่าความสุขอันสงบ เราได้แล้ว และเมื่อเราได้จุดที่เลยเถิด ไปเสพย์แล้ว เราก็จะเกิดวิภวตัณหา ซ้อนในภพอีก คือความไม่อยาก ตามที่เราเอง เราเป็นเรามีเราได้ อยู่อีกชั้นหนึ่ง ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เป็นวิภวตัณหาของภพ ที่ทุกข์จัดมาก

ศาสนาพุทธเท่านั้น ที่จะรู้แจ้ง ในความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็นแม้ในภพ ศาสนาอื่น ศาสนาฤาษีเดียรถีย์ หารู้อย่างนี้ไม่ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องวิ่งหนี (จากความ...) แม้แต่วัตถุนอก แม้แต่ภพที่เราเอง เราเคยเห็นว่าดีแล้ว พอเป็นพอไปแล้ว สมควรแล้วที่จะต้องรับรู้ รับแจ้ง รับเป็น รับมี รับทำ เพราะฉะนั้น ฤาษี จึงต้องวิ่งหนีไปสู่อัตตา คือตามความพอใจของตนเท่านั้น วิภวตัณหาจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องจะรู้ได้ง่ายๆ เป็นเรื่องวิ่งหนี จึงเรียกว่า ศาสนาแห่งโลกันต์ ไม่ใช่ศาสนาแห่งโลกุตตระ ความไม่อยาก หรือวิภวตัณหา นั้น มีซับซ้อน ลึกซึ้งยิ่งนัก ขอให้พิจารณาให้เห็น ให้รู้ ให้แจ้ง ในความวิ่งหนี ในความที่ไม่เหนือแท้

ผู้ที่อยู่เหนือแท้ จะรู้ความเป็นความมีความได้ ตามสมควร และเป็นผู้เจริญ เป็นผู้สร้างสรร เป็นผู้อยู่อย่างรู้เท่ารู้ทัน จึงเรียกว่า คนผู้ประเสริฐ

๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๕


สมณะโพธิรักษ์

* * *