คาถาธรรม ๑

ผู้อยู่เหนือ
ผู้ก้าวหน้า ผู้เจริญ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตอันแยบคาย มีความละเอียด ในสิ่งที่เรารู้เท่าทัน อยู่เหนือ ทำจิตเป็นผู้ที่ชนะได้เสมอ รู้ และอยู่เหนือ เป็นปรัชญาของศาสนาพุทธ เราไม่ได้หนี แต่เราอยู่เหนือ เรารู้ว่า... สิ่งนั้นตามความเป็นจริง ว่าดีกว่านั้นได้ เราทำให้ดีกว่านั้นขึ้น และ ปล่อยสิ่งที่เราได้ไปเป็นทาส ทำจิตของเราแปรปรวน ไม่มีอำนาจ ไม่มีความอยู่เหนือ การอยู่เหนือ ไม่ใช่ข่ม แต่เป็นผู้วางได้ เป็นผู้เกื้อกูลกันได้ เป็นผู้ช่วยเหลือได้ หรือ เป็นผู้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับสิ่งนั้นๆ และ เป็นผู้ช่วยเหลือสิ่งนั้น พัฒนาเจริญได้ นั่นเอง

๒๗ เมษายน ๒๕๒๕



ลักษณะของผู้อยู่เหนือ
ได้ซักซ้อมผู้ที่ได้มีการฝึกปรือ จนแข็งแรง สำเร็จเด็ดขาด เราจะมีความสามารถ ในการหยุด การทำที่แข็งแรง จะหยุด ก็หยุดได้เด็ดขาด จะทำ ก็ทำได้อย่างมีสมรรถภาพ เหมือนกับจะตาย ก็ตายได้อย่างสะเด็ด จะเกิด ก็เกิดอย่างมีชีวิตชีวา เหมือนเปิดสวิทซ์ ปิดสวิทซ์ จะหลับเป็นหลับ จะตื่นเป็นตื่น เป็นผู้มีอำนาจทางจิต ที่จะกระทำอะไรได้ โดยเด็ดขาด เราเป็นผู้กำหนด เราเป็นผู้สั่ง ตื่นก็ตื่น เป็นตื่นๆ หลับก็หลับ ตายเป็นตาย เกิดก็เป็นเกิด ผู้ได้อย่างนั้น เรียกว่า เป็นผู้ที่มีอำนาจทางจิตแข็งแรง เป็นผู้อยู่เหนือ ต้องเข้าใจลักษณะอย่างนี้ และ ทำให้เด็ดขาด ทำให้เป็นจริงเป็นจัง อย่าตกอยู่ ใต้อำนาจกิเลสต่างๆ เราต้องเหนือกิเลสต่างๆ ที่จะทำให้ตนเองมีจิตขาด ตามที่เราสามารถ และ สามารถทำสำเร็จ

๒๙ เมษายน ๒๕๒๕


 

การฝึกตน
การฝึกตน เราจะฝึกแต่ความเคยชิน ทำแต่ว่าเราจะชิน เราจะพยายามฝืนกระทำ อดทนเอาเฉยๆ นั้นไม่พอ เราจะต้องมีสติ สัมปชัญญะ ปัญญา คือ สอดส่อง อ่านพิจารณา ในการกระทำ ในสภาพเกิดอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์จิต อารมณ์ใจของเรา และ เราก็ปรับ

๓๐ เมษายน ๒๕๒๕


 

ไม่หลบลี้
ตั้งสติ ทำใจ แก้ใจเสมอๆ นั่นเป็นหลักสำคัญที่สุด ในการปฏิบัติธรรม เมื่อผู้ใดแก้จิต เจตสิกของเรา ให้จางคลาย จากสิ่งที่เราเห็นว่า เป็นอกุศล โดยเฉพาะ อรติ ความไม่ยินดี ตันทิ ความขี้เกียจ และ สิ่งที่ทำให้เราขี้เกียจยิ่ง หาทางที่จะเป็นจอม บิดขี้เกียจ และ ดูอาหารทั้งปวง แม้ไม่ใช่อาหารหยาบ อาหารผัสสะ อาหารทางใจ อาหาร ทางวิญญาณ ต้องดูเจตนารมณ์ของเรา ที่จะสร้างอาหารให้แก่ใจ อย่างเป็นกุศลแก่ตน แก่ท่าน แม้ที่สุด เราจะเป็นคน ไม่หลบลี้ ไม่หลีกเร้น เป็นคนประจัญ เป็นคนประสพ ลักษณะ ๔ ในลักษณะ ๕ นี้ มาจาก ตันทิ วิชัมภิกา ภัตตสัมโท และ เจตโสจรีนัตตัง ที่เราจะต้องพยายามระลึก และแก้อย่างแยบคาย มิฉะนั้น..... เราจะกลายเป็น ผู้ที่ตกอยู่ในฐานะ ของผู้ไม่สบายใจ และผู้ที่ตกอยู่ในฐานะ หลบลี้ หนีหน้า ถีนมิทธะครอบงำ

๒ พฤษภาคม ๒๕๒๕


 

อาศัยมิใช่ติดยึด
ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้คำว่าอาศัย เราอาศัยที่เรามีความเบิกบาน อย่าไปอาศัยสภาพที่ เรามีความไม่ยินดี หม่นหมอง จะเป็นการรับทุกข์ใส่ตน อย่างโง่ๆ เราอาศัยความเบิกบาน แจ่มใส แล้วก็เป็นผู้พึงมีสติ มีธัมมวิจัย แล้วเราก็ปรับปรุง ปรับปรุงเป็นไปอย่างนั้น เป็นผู้ปล่อยอยู่ๆ ส่วนที่เป็นอกุศล เราปล่อยเสมอ ปล่อยเสมอ อาศัยเพียงกุศล กุศลไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา กุศลแม้เราทำ อย่าหลงยึดว่าเป็นของเรา ปล่อยอยู่ ปล่อยอยู่ เราต้องรู้คำว่าอาศัย และเราก็ต้องประพฤติตน เป็นผู้ปล่อยอยู่ ปล่อยอยู่

๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๕


 

เบิกบานเพื่อหาญกล้า
การตั้งต้นไว้ด้วยสติสัมปชัญญะ ปัญญา รู้ตัวทั่วพร้อม มีความเบิกบานแจ่มใส มีฉันทะ อย่ามีความไม่ยินดี มีความยินดี ในอารมณ์เบิกบานร่าเริง ทำในใจไว้อย่างนั้นเสมอ เราต้องรู้สึกตัวว่า... เราเองได้รับกระทบสัมผัสอะไร แล้วทำให้จิตใจ แปรปรวนเป็นไม่ยินดี แม้แค่ไม่ยินดี ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เราต้องเปลี่ยนกลับมาเป็น... ความเบิกบาน ร่าเริง โปร่ง ว่าง สบาย อย่าเอาคาหัวใจไว้ ความไม่ยินดี เป็นสื่อแห่งถีนมิทธะ เป็นสื่อแห่งการ ไม่อาจหาญแกล้วกล้า ไม่แข็งแรง เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้ ต้นตอตัวนี้ให้สำคัญ ความขี้เกียจหนึ่ง ความไม่ยินดีหนึ่ง เป็นตัวต้นตอ ทำให้เราไม่แข็งแรง ไม่อาจหาญ ไม่แกล้วกล้า และไม่มีสมรรถภาพ แต่จะเป็นผู้ที่หลบลี้ มีความเฉื่อยและง่วง ถ้าเรารู้ นี้เป็นต้นสำคัญ เราจะต้อง พยายามทำกลับ ให้มาสู่กุศลเสมอๆ เราจะแก้อกุศล ดับอกุศลได้ อย่างองอาจแข็งแรง ต้องทำ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ต้องรู้สึกตัวอยู่เสมอ และต้องทำเสมอ ด้วยความเพียรอันยิ่ง แล้วเราจะถึงที่สุด

๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๕


 

ยินดีที่ปล่อยวาง
เราต้องมีความยินดี มีความเบิกบาน พยายามรู้กรรม รู้กิริยา รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร ในสิ่งที่เราทำ เราพยายาม ทำความเข้าใจให้ดี แล้วก็อย่าผลัก หรือว่าอย่าไม่ยินดี เมื่อสิ่งนั้น จะต้องทำแล้ว เมื่อเราปล่อยวางแล้ว เราก็จะรู้สึกว่า เป็นของง่าย เช่น เราจะต้องอุจจาระ จะต้องปัสสาวะ เราจะต้องไป เราจะต้องมา เราจะต้องเคี้ยวกลืน มันก็จะเป็นของธรรมดา และเป็นของง่าย เมื่อเราปลดปล่อยแล้ว เป็นของไม่ทุกข์ แต่ถ้าเผื่อว่าเราฝืน เราค้านแย้ง เราไม่ชอบใจ หรือไม่ยินดี เราจะทุกข์ ต้องฝึกหัดจิต ใช้ทั้งปัญญา ใช้ทั้งการปล่อยวาง โดยการปล่อยจริงๆ ให้จิตมันปล่อย และทั้งปัญญา ที่เห็นเหตุเห็นผล เห็นความเป็นที่สุด แล้วเราก็จะจบที่สุดได้ โดยการไม่ทุกข์ และทำทุกอย่าง เกิดคุณค่า เกิดประโยชน์

๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๕


 

พิจารณาก่อนเสพย์
ผู้ใดได้คำนึงถึง การอบรมตนอยู่ ทุกขณะ ด้วยการพิจาณาแล้วเสพย์ หรือภาษาบาลีว่า "ปฏิเสวนา" คือ มีการคบคุ้น สิ่งใดก็ตาม จะทำให้มีอย่างนั้นๆ อยู่เสมอก็ตาม ด้วยการรู้แจ้งชัด เข้าใจจริง ต่อเมื่อได้พิจารณาแล้ว ผู้ใดได้พิจารณาอยู่เสมอ พิจารณาแล้วว่า เราควรจะอยู่ในสภาพใด เรียกว่า เสพย์ น่าเป็นอยู่อย่างไร มีการพิจารณา มีการตัดสิน แล้วเราก็ค่อยเป็น ค่อยอบรมอยู่ในสภาพนั้น เช่น เราควรจะทรงกายกรรมอยู่อย่างไร เราควรจะทรงวจีกรรม อยู่อย่างไรเสมอๆ เราควรจะทรงอารมณ์จิต อย่างไรอยู่เสมอๆ ที่เรากำลังกำชับกำชากันอยู่ ว่าเราจะเป็น ผู้ปฏิบัติตื่น เราควรจะทำ อารมณ์ตื่นอย่างไร

แม้แต่การไม่หลับตา ก็เป็นกายกรรมอย่างหนึ่ง ที่เราควรเสพย์ เราพิจารณาว่าจริงไหม เห็นด้วยไหม เห็นดีไหม เราควรจะทำอาการ ที่ไม่ค่อยหลับตา ต้องควรลืมตาไว้เสมอ นี่เป็น กายกรรม แล้วเราก็เสพย์ พิจารณาแล้วค่อยเสพย์ อย่างนี้เสมอ หรือว่า เราควรจะหลับตาบ่อยๆ หลับตาอยู่บ่อยๆ แล้วก็จะได้ สภาพที่เราควรจะอบรมตน นี่ เป็นเรื่องของกายกรรม ตัวอย่างง่ายๆ แม้ที่สุดในจิต เราควรทำในใจไว้อย่างนี้ จิตของเรา จะทรงอารมณ์อย่างนี้ จะรักษาอารมณ์อย่างนี้ ไว้เสมอๆหรือ หรือว่าไม่ควรรักษา ควรจะทำอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า พิจารณาแล้วเสพย์ หรือ ปฏิเสวนา เราควรจะได้ทำให้แก่ตน นั่นคือ กรรมฐาน นั่นคือ สิ่งที่เราจะต้องรู้

ผู้ใดทำ ปฏิเสวนาเป็น หมายความว่า ทำทวนซ้ำ ในสิ่งที่เราได้พิจารณาแล้วนั้น อย่างนั้นให้เสมอ ให้ได้ทรง นั่นคือ เราฝึกสมาธิ ฝึกสมาบัติ ฝึกสิ่งที่ควรจะกระทำ ให้คุ้นให้เคย ให้แปรเปลี่ยนมาเป็น ดังที่เราหมายนั้นให้ได้ จนมั่นคง จนแน่นอน นี่คือ วิธีการที่จะ ปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใด เข้าใจกรรมฐาน หรือเข้าใจจุดที่แนะ แล้วก็เห็นให้ดี เป็นทัสนา เป็นสังวรา สังวรอย่างที่เราเข้าใจ และให้มันเกิดปฏิเสวนา เกิดเป็นอย่างนั้น คนอย่างนั้น คุ้นอย่างนั้น ไม่คุ้นอีกอย่างหนึ่ง สิ่งใดเราคิด เราจะคุ้นหรือเคย และเป็นง่าย แต่สิ่งใดที่เราจะเพิกกลับ หรือเราจะมาเป็น อีกอย่างหนึ่งนั้น มันจะยาก ก็ต้องกระทำให้บ่อย และตั้งสติ ตั้งใจให้ดีๆ มันจีงจะทำได้ จึงจะเกิดผลสำเร็จ ในที่สุด

๑๐ กรกฏาคม ๒๕๒๕


 

เวรมณี
จิตและกาย ทั้งจิตและกายของบุคคลใด ที่ทรงศีลสมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นคือ ผู้มีปัญญายิ่งอยู่แล้ว ปัญญาอยู่ที่ใด ศีลอยู่ที่นั่น ผู้มีศีลสมบูรณ์ ผู้นั้นคือ ผู้มีสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์ สัมมาทิฏฐิ อันสมบูรณ์ เป็นอนาสวะนั้น ย่อมประกอบไปด้วย สภาพของ ผู้ที่มีจิตเป็นเวรมณี อยู่ตลอดเวลา คำว่า "เวรมณี"นั้น หมายความว่า เป็นผู้เจตนางดเว้น อยู่ตลอดเวลา

คำว่า "เจตนางดเว้น" เป็นจิตที่ตั้งมั่น ตั้งมั่น แม้คำว่าเจตนา จะแปลว่า ตั้งใจมุ่งหมาย ก็ตาม จิตนั้น ก็เป็นจิตที่มี อาการของความมุ่งหมาย ตั้งใจอยู่อย่างตั้งมั่น ที่จะเว้นขาด จากมิจฉาทุกสิ่ง จากอกุศลทุกสิ่ง จากสิ่งที่เป็นทุจริตทุกสิ่ง อยู่เป็นปกติ เรียกว่า ผู้มีศีล เป็นอเสขะ

๒๐ กรกฎาคม ๒๕๒๕


 

ผู้อยู่สำราญ
ผู้เป็นอยู่สุขสำราญ คือ ผู้ที่สบายกาย สบายใจ สุขภาพกาย ผู้สบายนั้น ก็คือ ผู้ที่มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่ มียารักษาโรค ที่พอประทังพอสมบูรณ์ ไม่มากไป ไม่น้อยไป และ ได้เป็นผู้ที่มีสิ่งเหล่านั้น หมุนเวียนอยู่อย่างพอประทัง โดยเฉพาะ คือผู้ไม่มากไป ใจก็เป็นผู้ที่ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ เป็นผู้ที่มีสุขภาพใจ อันสมบูรณ์ ผู้ที่ได้ชำระตน ฝึกตน เป็นอยู่ อย่างที่มีองค์ประกอบ ดังกล่าวนี้แล้ว เป็นผู้อยู่สำราญ

๑๙ กันยายน ๒๕๒๕


 

จงเป็นผู้ไม่ประมาท
พุทธบุตรทั้งหลายเอ๋ย พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท อย่าหลงเสพ อย่าหลงติดอยู่เลย จงมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม สลัดตน ออกจากความเสพย์ ความติด ให้ได้เสมอเถิด จงมีศีลอันดีงาม อยู่ในหลักในเกณฑ์ อยู่ในหลักในกฎ อยู่ในหลักในระเบียบ ให้ได้พรั่งพร้อม ดีงาม สมบูรณ์ ตั้งความดำริไว้ให้ดี จิตเมื่อจะเกิด เมื่อจะคิด ไตร่ตรอง ต้องเลือกเฟ้น หาแต่ทางที่จะเจริญ ให้แก่ตน อยู่ทุกเมื่อเถิด จงตามรักษาจิตของตน ให้เป็นนายอันสำคัญ ที่จะนำตน ไปสู่นิพพาน ด้วยการเดิน ทุกๆระยะก้าว ที่ได้ไตร่ตรอง ระมัดระวังอย่างดี ทุกๆ เมื่อเถิด

๒๐ กันยายน ๒๕๒๕


 

สัจจะ
ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ผู้มีธรรมะจริง ก็เป็นผู้ที่มั่นคงแน่นอนจริง สัจจะ อันว่า ความจริงนั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ความจริงนั้น จะมีความตั้งอยู่ ด้วยเหตุปัจจัย ถ้าถึงขั้นสมาธิ หรือขั้นตั้งมั่น ก็จะเป็นความตั้งมั่น ที่แน่นอน ไม่คลอนแคลน จะเป็นสภาพที่ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปร เพราะความรู้แจ้ง เพราะความ "เป็น"อันจริง เมื่อได้เป็น สภาพอันจริงแล้ว สิ่งนั้นไม่มีสอง สิ่งนั้นย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ที่เป็นแล้ว ก็รู้ในความเป็น สิ่งที่เรียกว่า "สัจจะ" คือ ความจริง จึงคือความเป็นที่แท้ และความรู้แจ้ง ในความเป็นนั้น อย่างไม่มีผิดพลาด แน่นอน แน่จริง จึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย

๒๓ กันยายน ๒๕๒๕


 

รู้และละ
ทำจิตใจให้เบิกบาน ร่าเริงอยู่เสมอเป็นนิจ รู้อารมณ์ตนให้ดี อย่าเผลอไผล เท่ากับ เราได้ปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ตลอดอยู่แล้วหนึ่ง มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ดำเนินโพชฌงค์ ๗ ตามมรรค ๘ ที่เราจะมีชีวิตอยู่วันคืน และวันคืน พยายาม กำหนดรู้อกุศลธรรม ให้ชัดเจนถูกต้อง และ พยายามขจัดปัดเป่า ละวางอกุศลธรรม ให้ได้เสมอ ทั้งรู้ และทั้งละ ทุกข์เกิดจากอกุศล ทุกข์ไม่ได้เกิดจากการงาน ทุกข์ไม่ได้เกิดจากการกระทำดี ที่เรียกว่า กุศลกรรม ทุกข์เกิดจาก อกุศลเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น เรารู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ ขจัดเหตุแห่งทุกข์ ให้ถูกตัว

เหตุแห่งทุกข์ มาจากอกุศลภายในใจของเรา แล้วเราก็สั่งการให้ กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี หรือสั่งสมลงในใจก็ดี เป็นอกุศลแก่ตนอยู่เสมอ ถ้าเรารู้อกุศลถูก มีธัมมวิจัย อย่างเฉียบขาด แยบคาย และมีกำลังอินทรีย์ มีอำนาจในตน สามารถละวางอกุศล ได้อย่างเฉียบขาด เด็ดขาด นั่นคือ เราก้าวเข้าสู่ความสบาย ก้าวเข้าสู่ความสำเร็จ

ถ้าเผื่อว่า เราแยกแยะอย่างนี้ไม่ถูก กระทำไม่ได้ เราก็ยังไม่ได้ ยิ่งไม่ถูกด้วยแล้ว ก็ยิ่งช้า ยิ่งไกล ที่จะถึงจุดหมาย จุดเป้าสำคัญที่สุด ก็คือ รู้และละ รู้ให้ถูกว่า เราจะละอะไร และ ละให้ได้ นั่นคือ ผลสำเร็จแต่ละครั้ง แต่ละจุด ที่เราได้ปฏิบัติธรรม อย่างถูกต้อง

๒๔ กันยายน ๒๕๒๕


 

นิพพานธรรม
ท่านทั้งหลายทั้งปวง ทุกคนล้วนแต่ประสงค์ดี มาดี ใฝ่เอาความดี ความดีที่ว่านี้ มีพระธรรม ของพระพุทธองค์เป็นที่สุด พระธรรม มีทั้งคำสอน มีทั้งสิ่งที่จะประพฤติ ปฏิบัติ ทดสอบ พิสูจน์ และมีทั้ง สิ่งที่จะเกิดเป็นผล ผลดังกล่าวนั้น คือ วิมุติธรรม อมตธรรม นิพพานธรรม

ในวิมุติธรรม คือการหลุดพ้น อมตธรรม คือ ธรรมะที่เรากำหนดรู้ สามารถดับ สามารถเกิดอยู่ได้ นิพพานธรรม คือ ความสมบูรณ์ ความสงบสนิท ไปปราศจากแล้ว ซึ่งราคะ โทสะ โมหะ สิ้นอาสวะ

ผู้กระทำตนด้วยความพากเพียร ขยัน รู้จักทิศทางแห่งการปฏิบัติ ประพฤติอันถูกตรง ได้อุตสาหะ วิริยะ ขะมักเขม้น ไม่ท้อถอย มีสติ และสัมปชัญญะ ประพฤติปฏิบัติอยู่ ทุกเวลา มีกุศล กุศลอันพึงได้พึงเป็นนั้น เป็นผล อันจะเกิดอยู่ทุกขณะ ลมหายใจเข้าออก ของผู้พึงเพียร อกุศลใดบกพร่องอยู่ ก็รู้อยู่ และพึงปรับปรุงให้เป็นกุศล ทุกเวลา มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ เกิดดี เป็นปีติ เป็นปัสสัทธิ สั่งสมลงตั้งมั่นเป็นสมาธิ และยอดสุด เป็นอุเบกขา อยู่เสมอๆ ผู้เดินด้วยก้าว ๗ ก้าว แห่งพระพุทธองค์ พาเป็นพาไป ผู้ใดกระทำอยู่ อย่างขะมักเขม้น ไม่ท้อถอย มีสติ และสัมปชัญญะ ผู้นั้นพึงหวังได้ ซึ่งเป้าประสงค์ ที่ตนปรารถนานั้นแล

๒๕ กันยายน ๒๕๒๕


 

ผู้เรียนรู้
ผู้เรียนรู้อารมณ์จิต เมื่อมีอารมณ์จิต ที่ยังเป็นกามตัณหา มีอารมณ์จิตที่ยังมีภวตัณหา โดยเข้าใจกามภพ เข้าใจภวภพ ที่แท้ที่ชัด เข้าใจอย่างอ่านออก และมีสภาวะ ที่เราสัมผัสอยู่ เรารู้อยู่ แม้ในกาม แม้ในภพ ภวภพ

กามภพ ได้แก่ แดนเกิด ที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสรู้อยู่รอบตัว องค์ประชุมต่างๆ เราเอง เราก็ยังมีความกำหนัดใคร่ ยินดีเสพย์ดื่ม เอร็ดอร่อยอยู่ เมื่อเราเรียนรู้แล้ว เราก็เรียนรู้ การจางคลาย ละลดอารมณ์เสพย์ ดื่ม ติดยึด เอร็ดอร่อย เหล่านั้นลงไปได้

ผู้ปฏิบัติธรรม รู้จักวิราคธรรม รู้จักความจางคลายของกาม กามตัณหา ภวตัณหา แม้ในภวภพ เราก็เรียนรู้ว่า มันอยู่ในภพของจิต ที่สร้างทั้งเป็น มโนมยอัตตา อรูปมยอัตตา ที่เรายังสร้างเองบ้าง อุปาทานยึดติด ยังมีการหมุนเวียน ดื่มเสพย์ เรายังเอร็ดอร่อย เพลิดเพลิน ติดยึดอยู่บ้าง เราจะรู้ความจริง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่เดา แต่ต้องเข้าใจ อย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นแจ้งรู้จริง แล้วเราก็ทำให้ลด จางคลาย ลงไปได้จริง จนกระทั่ง หมด ก็รู้ว่า สภาพดับสิ้น ไม่มีอารมณ์ ไม่มีกามตัณหา จนสิ้นกามาสวะ ไม่มีภวตัณหา จบสิ้นภวาสวะ รู้ยิ่งด้วยวิชา สิ้นอวิชชาสวะ

ผู้ที่ได้เรียนรู้จริง ถอดถอนจริง ก็จะยืนหยัดยืนยัน อย่างแท้จริง กามเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ภวภพ ก็เป็นทุกข์ เช่นเดียวกัน เราจะเป็นผู้ที่ มีคุณค่า มีประโยชน์ และอยู่อย่างเป็นสุข ว่า "สุข"คำนี้ ไม่เหมือนโลก แต่เป็นวูปสโมสุข ไม่ใช่สุขเสพย์สม แต่เป็นความว่าง ความสบาย เบา แม้จะมีงานหนักอยู่เต็มที่ ดังเช่น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำงานสร้างพระศาสนา ๔๕ พรรษา มีงานอยู่เต็มที่ แม้แต่จะตาย ก็ยังต้องทำงาน โปรดพระ จนเป็นพระอรหันต์ได้ เป็นองค์สุดท้าย ก่อนตายนั่นทีเดียว เราก็จะรู้ได้จาก พระตำนานบ้าง จากความเป็นจริง ที่เป็นประวัติศาสตร์บ้าง ดังนี้ จะเห็นจริงได้ เมื่อเรามีของจริง พิสูจน์ตรงกัน ทั้งที่สภาพที่ท่านเล่า เป็นเรื่องเป็นราว และหลักธรรมของพระพุทธองค์ เราจะเข้าใจความหมาย และ ความจริงที่เรามี สอดคล้องต้องกัน

ผู้ใดถึงที่สุด แม้แต่ในตัวอย่าง บางเรื่อง บางเหตุปัจจัย เราจะเข้าใจ จิตที่ว่างเปล่า จิตที่ปราศจากกาม และ แม้จิตที่ปราศจากภพ ภวภพต่างๆ แล้วเราเอง จะเป็นผู้ที่อิสระเสรี จะเป็นผู้ที่มี ความยินดี ร่าเริง เบิกบาน เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่นอยู่ รอบถ้วนอย่างกว้างขวาง นับวัน เราก็จะเป็นผู้ที่รู้ โลกวิทูยิ่งขึ้นๆ ไม่ใช่ผู้มืดบอด หลบลี้ หลบเลี่ยงหนี แต่เราจะรู้ยิ่ง จะยืนอยู่เหนือโลก อย่างผู้ที่จะสะสม ความรู้ในโลก ไปอย่าง ผู้ชนะอย่างสมบูรณ์

๒๗ กันยายน ๒๕๒๕


 

รู้ตัว ตรวจตน
สำหรับผู้ที่มีอินทรีย์พละ ยังไม่เก่ง ยังไม่แก่กล้า การชำระกิเลสของตนก็ยาก จึงต้องอาศัย ความเพียร อาศัยความอุตสาหะ วิริยะ พยายามกระทำเสมอ สอดส่องอ่านตน รู้ตัว ปฏิบัติ สติปัฏฐาน ให้มากให้มั่น การปฏิบัติเพื่อละกิเลส ที่ตัวรู้อยู่ว่า ตัวเองมี เพื่อจะให้กิเลสนั้น จางคลาย หมดสิ้น ก็ย่อมยาก แต่การจะรู้กิเลส ที่ลึกซึ้ง ต่อ...ต่อขึ้นไปอีกนั้น ยากยิ่งกว่า หลายเท่า คนที่มองตน อ่านตนเองไม่ออก ในกิเลสช่วงที่จะต่อรอบ ขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นสูงขึ้น หรือกิเลสที่เรา ติดใจมาก กินใจมาก โมหะบังมาก เราแสนจะอ่านตัวเอง ยากที่สุด ขอให้ตรวจตน อ่านตน รู้ตนเองให้ดีๆจริงๆ ถอดตัว ถอดตน อย่าเป็นทาสของกิเลส มากนักเลย ผู้ที่รู้ตัว รู้ตนเองนั้น มีบุญ รู้ว่าตัวเองมีกิเลสเมื่อใด ผู้นั้นยิ่งกว่าได้ลาภ มหาศาล ในโลก

๒๘ กันยายน ๒๕๒๕


 

ผู้หมดตัวตน
คนผู้ควบคุมปรับปรุงกรรม ไม่ว่ากายกรรม วจีกรรม โดยเฉพาะ มโนกรรมของตน ด้วยสติ สัมปชัญญะ ปัญญาอันรู้พร้อม รู้ตัวอยู่เสมอๆ โดยปัญญา ก็จะวิจัยให้เข้าใจให้ดี เห็นดี ในการปรับปรุง กรรมของตนอยู่ทุกเมื่อ พร้อมกระนั้น ก็หัดวางใจ วางอารมณ์ ที่มันยึดถือ มันยึดถือตัว ถือตน มันยึดถือรสอร่อย มันยึดถือรสที่ตนเสพย์ ตนเห็นว่าดี ว่าสนุก ว่าเป็น ของตัวของตน รู้จักสังคมสิ่งแวดล้อม รู้จักองค์ประชุม ปรับกรรมกิริยา การกระทำทุกอย่าง ของตน ให้เป็นคุณค่า อันสมเหมาะสมควรที่ดี ที่จะประสานอยู่กับสังคม อย่างจริงจัง จริงใจ เราได้ปฏิบัติธรรม ทั้งปฏิบัติตน ที่มีกรรมอันเจริญ ได้ปฏิบัติทั้งละลด กิเลสตัณหาของตน ได้เป็นผู้อยู่กับสังคม อันอยู่เหนือสังคม เป็นคุณค่าของสังคม ความทุกข์ ความสุข ของเราก็จะลดละ จางคลายหมดไปได้ แต่กรรมของเรา การกระทำของเรา กิริยาของเรา จะยิ่งชำนาญขึ้นๆ และ การกระทำของเรา จะยิ่งรู้แจ้งรู้จริงว่า... อยู่กับสังคมนั้น เราจะทำอะไรให้แก่สังคม เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เหมาะสมเหมาะควร เป็นที่สุด คนผู้นั้น จึงหมดอัตตาตัวตนด้วย และเป็นผู้ที่ไม่เสื่อมต่ำเลย มีการงาน มีกิริยา และมีความรู้กับสังคมๆ ว่าอะไร เหมาะสมกับสังคม มีเศรษฐศาสตร์อันสูง จึงเป็นผู้มีคุณค่า และเป็นผู้มีความเป็นอยู่ อย่างสุขสำราญ

๔ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

เบ้าศีล
เหล็กหรือทอง ที่นำสู่เบ้าหลอม เมื่อมันเข้าไปอยู่ ในเบ้าหลอม เบ้าหลอมได้ทำงาน หล่อหลอมอยู่ มันก็ย่อมเป็นรูปเป็นร่าง ตามที่อำนาจ ประสิทธิภาพของเบ้าหลอมนั้น จะขัด จะเกลา จะกล่อม จะกระทำ ให้มันเป็นรูปนั้น ร่างนั้น ฉันใด

คนที่อยู่ในศีล อยู่ในหลักธรรม อยู่ในวินัย อยู่ในกฎระเบียบ แบบอย่าง วันแล้ววันเล่า ก็จะถูกหล่อ ถูกหลอม เป็นไปตาม ทิศทางที่ถูกต้อง ของหลักระเบียบ แบบอย่าง วินัยนั้นๆ เช่นเดียวกัน แต่ถ้า ผู้ที่อยู่ในเบ้าหลอมนั้น ยิ่งรู้ตัวทั่วพร้อม ยิ่งทำตนเอง ให้เห็นแจ้งจริง และการกระทำตน ตามทิศทางเส้นทางตรง ให้ตรงยิ่ง ทิศทางที่เป็นไปสู่จุดหมาย ให้เร็วยิ่ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยความเพียรอันยิ่ง ผู้นั้นๆ ก็ยิ่งจะเป็น จะได้รับความเป็น ตามที่เรามั่นหมาย ตามที่บ่อ ตามที่เบ้าหลอมนั้น จะให้เป็น ตามที่ได้เคยใช้มาแล้ว เร็วยิ่งขึ้น ไวยิ่งขึ้น และจะสำเร็จ ตามที่เราต้องการ ทุกประการ

๗ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

สติ
นักปฏิบัติธรรม ที่มีโพธิปักขิยธรรม จะต้องเป็นผู้มีสติเป็นเอก จะต้องรู้ส่วนที่ตนเอง จะประหารเสมอ วิจัยได้เสมอ จะเป็นผู้ที่มีความเพียร เร่งตน สังวรตนอยู่ไม่ขาด เป็นผู้ที่เสริมอินทรีย์ เสริมพละของตน ให้ได้อยู่ทุกเมื่อ และเป็นผู้ที่ จะต้องได้ก้าวเดินอย่างพุทธะ ตลอดเวลา จะต้องเขยิบไป เจริญขึ้น มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ เกิดปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ก้าวเดินไป รอบแล้วรอบเล่า ด้วยความเป็นอยู่ ที่เห็นถูกต้อง และสำรวมสังวร ความคิด การพูด การงาน แม้ส่วนที่ กระทำอยู่ส่วนใหญ่ เป็นการกระทำประจำทุกวัน ทุกเวลา เราก็พยายามมีสติ รู้องค์ประชุม รู้สิ่งแวดล้อม อยู่ตลอดเวลาที่มีผัสสะ กำหนดเวทนา รู้เวทนาในเวทนา จัดแจงปรับปรุง เวทนาในเวทนา เข้าถึงจิต เข้าถึงธรรมารมณ์ ได้กระทำการปฏิบัติ ทั้งภายนอก โยงใยไปถึงภายใน ของตนๆ อยู่ตลอดเวลา และ ได้เจริญอยู่ ดังที่กล่าวนั้น หมุนวน เป็นวงธรรมจักร เกิดกล เกิดแรงกลแห่งการปฏิบัติธรรม เราก็เป็น พระโยคาวจร ที่จะมีมรรค มีผล อยู่ตลอดเวลา

๘ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

เหนือโลก
ความน่ามหัศจรรย์ใจ ยังคงมีอยู่ในสังคมมนุษย์ ที่โลกเต็มไปด้วย โลกียารมณ์ เต็มไปด้วย สังขารโลก ที่ได้ปรนปรุง ยั่วย้อมมอมเมา เพื่อให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ อันมหามหันต์ แต่บุคคล ผู้ใฝ่การละ ลดราคะ โทสะ โมหะ หาทางที่จะดิ้นรนออก มีฉันทะในการที่จะละ ล้างกิเลส และดิ้นรนออกจาก โลกียารมณ์ จากสังขารโลก มีฉันทะ มีการเอาใจใส่ ตั้งใจ จดจ่อ ที่จะหาแดนเกิด อันสำคัญ เพื่อจะเกิดเป็นอริยะ เพื่อจะพ้นสังขารโลก พ้นโลกียารมณ์ มาผัสสะ มาคลุกคลี เกี่ยวข้อง กับเหตุที่จะเกิดเป็นอริยะ มาเรียนรู้ความรู้สึก มาเรียนรู้ความกระทบสัมผัส มาปรับปรุง ความรู้สึกวิญญาณตน ให้ประชุมลง สู่จุดหมายปลายทาง จนเกิดความเป็นไปได้ เจริญขึ้น มีจิตอันเจริญขึ้น ตั้งขึ้น จนกระทั่ง สามารถนำมา เป็นหัวหน้าของชีวิต อยู่กับโลกเขา แต่ก็มีสภาพที่ อยู่เหนือโลกเขาได้ สามารถที่จะนำพาชีวิต เบาบาง พอเป็นพอไป จนกระทั่ง จะก้าวหน้าขึ้นมา สู่ทิศทางอันเจริญ มีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นความเหนือโลก อยู่อย่างยิ่ง มีวิมุติ เป็นแก่นสาร มีความสามารถ ที่จะเป็นอมตบุคคล ได้หยั่งลงไปเรื่อยๆ นิพพานนี้ ยังไม่สิ้นหวังหนอ ยังมีบุคคล ที่เดินทาง ไปสู่นิพพานได้อยู่ แม้จะยังไม่ครบบริบูรณ์ แต่ก็มีสภาวะของนิพพาน อันได้พากเพียร สั่งสม ยังเกิดอยู่หนอ

ขอให้ทุกคน จงถึงที่สุดแห่งที่สุด ของนิพพาน นั้นถ้วนทั่วเถิดเทอญ

๙ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

สู่ความเป็นพุทธะ
จุดมุ่งหมายของ การปฏิบัติธรรม เรามุ่งหมายเพื่อ ที่จะเป็นพุทธะ อันหมายความว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน การรู้ ก็คือ รู้ละเอียดลออ ทั้งกิเลส และความหมดกิเลส และรู้รอบถ้วนทั่ว ว่าอะไรที่เราควร จะสัมพันธ์อยู่ในโลก การเป็นผู้ตื่น ก็คือ เป็นผู้รู้ความสัมพันธ์ ของอะไร ต่ออะไรกับชีวิต เข้าใจชีวิต แล้วก็มีบทบาทของชีวิต ที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่า อยู่ใน สภาพสากลโลก ตลอดที่มีชีวิต ยังไม่ตายดับขันธ์ เราจะเป็นคนสร้างสรร เป็นคนตื่น และ เราจะมีจิตเบิกบาน ร่าเริง เป็นฐานอาศัยของตน จิตเบิกบาน ร่าเริงนั่นเอง คือ จุดที่ชี้ชัดว่า เราพ้นทุกข์ หรือเราสบาย ส่วนจิตรู้ และจิตตื่นนั้น คือ จิตที่มันมีประสิทธิภาพ ในทางสร้างสรร ในทางที่กระทำการอยู่กับโลก อย่างไม่เป็นผู้เสียหาย ไม่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น คนที่ยังเป็นๆ ยังไม่ตาย จะทำอะไรไม่เสียหาย ไม่เป็นอกุศล ก็เพราะมีความรู้ และ เป็นผู้มีความสร้างสรร เป็นผู้ตื่น เป็นผู้ทีมีประโยชน์คุณค่า

เรามีความเบิกบาน ร่าเริง แจ่มใส เป็นเครื่องพัก เป็นเครื่องอยู่อย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ที่เราปฏิบัติธรรม จุดแรกที่สุด ถ้ารู้ตัวว่า มีจิตที่ไม่มีความสบาย มีจิตที่ไม่แจ่มใส แม้เราจะรู้อยู่ว่า เรากำลังมีกิจ การงานอะไรก็ตาม สัมผัส สัมพันธ์ อยู่กับอะไรก็ตาม เราก็รู้จิต ตัวที่มันไม่เบิกบาน แจ่มใส ให้ได้ก่อน แล้วทำออก ทำออกให้จริง สลัดให้ออก ให้ได้ หรือว่า เราจะทำด้วยอิทธิวิธีใดๆ ก็ตาม เมื่อจิตอันเบิกบาน แจ่มใสเกิดแล้ว ความรู้จะดีขึ้น ความตื่น หรือความสัมพันธ์ หรือการสร้างคุณค่า จะพลอยเจริญดี คือกำลังปฏิบัติ ตามไปสู่ความรู้ยิ่ง รู้จริง ความตื่นแท้ได้ เป็นอันดับต่อไป ถึงที่สุดนั่นเอง

๑๒ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

เคร่งครัด แต่ไม่เคร่งเครียด
สิ่งหนึ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ทรงสอน เตือนเราไว้ เป็นสำคัญ คือ ท่านไม่สรรเสริญ คน แม้แต่จะได้ดีแล้ว ก็ทรงอยู่เท่าเดิม ไม่เลื่อนฐานะเจริญยิ่งขึ้นๆ ป่วยการกล่าวไปไย ถึงความเสื่อม ซึ่งพระพุทธองค์ ตรัสไว้ในฐิติสูตร ที่เราได้เอามา แจ้งกัน บอกกัน เตือนกัน เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกคน จะต้องรู้ตัวเองว่า ทุกเวลา ทุกขณะนั้น เราเจริญอยู่ เจริญอยู่ ถ้าผู้ใดไม่สำเหนียก ไม่สังวร ถ้าแม้ว่าตัวเอง ได้ดีขึ้นมาบ้างแล้ว มันจะเผลอตัวที่จะหยุด ที่จะติดแป้น ที่จะไม่ทำดีนั้นต่อ เพราะการทำดี ที่สูงขึ้นไป จากบารมีเดิมนั้น จะนับวันยากขึ้นๆ ความยาก ไม่ทำให้คนเพียร นั้นหนึ่ง ความได้สบาย เพราะเราได้ดีขึ้นมา พอสมควรนั้น จะทำให้เราติดสบาย นั้นอีกหนึ่ง และความไม่ขยัน หมั่นเพียรของคน ซึ่งเป็นธาตุ ที่ล้างออกยากที่สุด กว่าจะหมดอีกหนึ่ง จึงทำให้การเลื่อนชั้น เจริญยิ่งๆ ในขณะที่เราจะสูงขึ้น ยิ่งสูงขึ้น เกินบารมีเดิม สั่งสมบารมีใหม่นั้น เป็นความยากมาก

ขอเตือนพวกเรา ต้องใส่ใจตน อุตสาหะวิริยะ พากเพียร ด้วยความเบิกบาน แจ่มใส ไม่อึดอัดขัดเคือง ไม่เคร่งเครียด แต่เราควรเคร่งครัดกับตนเอง ความเคร่งเครียด และ ความเคร่งครัด ต้องแยกให้ออก การกระทำการ เกินการไปนั้น หนึ่ง เป็นความเคร่งเครียด สอง มุ่งหมายเอาจัด เราทำอย่างหมกมุ่น นั่น เราก็จะเคร่งเครียด และเราไม่มีจิตใจ ที่เบิกบาน เป็นกระสาย หรือ เป็นเนื้อที่เราจะต้องอาศัย ก็ทำให้เรา เคร่งเครียดได้

การปฏิบัติธรรม ด้านสุขาปฏิปทานั้น จะต้องมีจิตเบิกบาน แจ่มใส หรือ ปราโมทย์ยิ่งอยู่ อาศัย แล้วเราก็ทำไป ตามความเพียร ตามทิศทาง ที่ถูกต้องของเรา เราก็จะก้าวหน้า กระเถิบการเจริญ ขึ้นได้เสมอๆ

๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

ฉันทะ

ความมีฉันทะ มีความยินดีเป็นมูล เป็นสิ่งจูงนำ เป็นสิ่งที่จะพาให้เรา ใส่ใจในกิจ ใส่ใจในกรรมนั้นๆ เมื่อเรามีฉันทะ มีความยินดี มีความพอใจ ไม่ว่าจะพอใจไปในทางโลก เราก็จะนำตนไปใส่ใจ ตั้งใจในกิจในกรรมนั้นๆ เหมือนกัน ยิ่งเป็นทางธรรม ถ้าเราได้พอใจ ยินดี เราก็จะตั้ง ใส่ใจ ในกิจกรรม ที่จะเป็นไปในทางเจริญ ของธรรมะ เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไร ทำให้เราเป็นผู้พอใจ เป็นผู้ยินดี เป็นผู้มีฉันทะ ในสิ่งที่เราปรารถนา นั้นๆได้ ก็ขอให้เรา ได้หาวิธีการ ทำให้ตนเอง ก่อเกิดรากเค้าอันสำคัญ คือ ฉันทะในสิ่งนั้นๆ ให้ได้ก่อนอื่นเถิด

๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

แสวงหา
ทุกคนล้วนแสวงหา เราก็เป็นผู้แสวงหา ผู้ที่แสวงหาโดยไม่รู้จัก การละความแสวงหา จะไม่มีวันพบ ความหยุด ความพัก และ จะไม่มีวันได้เห็นนิพพาน ผู้แสวงหา และก็ละการแสวงหา ได้เป็นระดับ เป็นระดับ ตั้งแต่ ละการแสวงหากาม ก็จะมามีภพที่สูงขึ้น ภูมิที่สูงขึ้น ถ้าติดภพ แล้วเรายังแถมโง่ แสวงหาสิ่งที่อยู่ในภพอีก ติดอารมณ์ในภพอีก เราก็ยังคง แสวงหา อารมณ์ในภพอีก นานับชาติได้ เราต้องละการแสวงหาในภพอีกต่อไป และ เราก็ยังจะมีสิ่งที่ละเอียด ลึกเข้าไปอีก ที่เราจะแสวงหา ก็คือ ความสูงของภพ ของภูมินั้น ต่อไป จนที่สุด เราก็แสวงหา พรหมจรรย์ได้สูงขึ้นๆ จนที่สุด เราจะละ การแสวงหา พรหมจรรย์เป็นที่สุดอีก ผู้ละการแสวงหาพรหมจรรย์ ได้แล้วด้วยดีเท่านั้น จึงจะถึง ซึ่งนิพพานบริบูรณ์

๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

คุณค่า สูงสุด
ทางปฏิบัติ สู่ความเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า เบิกบาน ร่าเริง ไม่ประมาท มีสติตั้งมั่น วิจัยธรรม สัมผัสรู้ ทุกอิริยาบถ แล้วก็ปรับปรุงตนเสมอๆ เป็นการกระทำ อย่างสั้นๆย่อๆ แต่นั่นแหละ คือ ทางปฏิบัติของเรา ที่เราจะเดินทางไปสู่ ความเป็นมนุษย์ ผู้สำราญใจ และมีคุณค่า สูงสุด

๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๕


 

ละนิวรณ์
บุคคลผู้อาศัยการศึกษา รู้อารมณ์ รู้อาการของจิต เฝ้าเพียรตรวจอ่านจิต ว่าอารมณ์กาม นั้นเป็นอย่างไร แล้วเราก็ขจัด รู้วิธีทำออก ไม่ให้มีกาม ไม่ให้มีอาการ หรือ อารมณ์พยาบาท ไม่ให้มีอาการ หรือ อารมณ์ของถีนมิทธะ ไม่ให้มีอาการ อารมณ์ของ อุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่ให้มีอาการของวิจิกิจฉา เป็นผู้เพียรทำตน ให้ปราศจากนิวรณ์อยู่เสมอๆ มีฐานของ ฌานอาศัย ฌานนั้นจะทำให้ผู้นั้น เป็นอยู่สุข เรียกว่า ทิฏฐธัมมสุขวิหาร เป็นเครื่องอาศัยให้ตน นั่นก็เป็นกำไรแล้ว

ผู้มีฌาน ย่อมเป็นจิตที่จะสอดส่องอะไร ก็สะอาด จะตรวจตรา จะรับสัมผัส ก็จะตรวจตรา ธัมมวิจัย ในสิ่งที่จะพลัดเข้ามา เป็นกิเลสได้ชัด จะได้หัดขจัดอีก เป็นปัจจุบันธรรมเสมอๆ ฌาน ย่อมเป็นฐานที่จะไปสู่วิมุติ ในขณะที่มีฌาน ผู้นั้นก็คือ ผู้มีวิมุติลำลอง เป็นผู้ที่ ได้ทั้งอาศัย เป็นอยู่สุข ได้ทั้งเป็นผู้ได้ เป็นเครื่องมือที่จะจัดการ เข้าไปสู่วิมุติอย่างสำคัญ

ผู้ใดยังไม่ได้ จึงพึงทำ จงรู้อาการของกาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ กุกกุจจะ และ วิจิกิจฉา ให้ชัดจริง และรู้วิธีทำออก ใน ๕ สภาพนี้ให้จริง และทำให้ได้อยู่เสมอๆจริงๆ ผู้มีองค์ฌาน และมีการปฏิบัติต่อ เพื่อขจัดอยู่ในปัจจุบัน ทุกปัจจุบัน นั่นคือ การปฏิบัติธรรม ด้วยมรรคองค์ ๘ หรือ สติปัฏฐาน ๔ อย่างถูกต้อง

๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๕


คาถาธรรม ๒ / คาถาธรรม ๓ / คาถาธรรม ๔