คาถาธรรม ๑๒

ตรวจตน ดูตน กำชับตน

ความตั้งใจ ที่เราจะตรวจตน ดูตน กำกับตน ให้ ช้า สุขุม อ่อนโยน สุภาพ หยุด ให้ได้ ในสิ่งที่เรายังมี ความปรารถนาลามก หรือ ปรารถนาอยากใคร่ ในสิ่งที่ ไม่สมควร เอามาเสพย์สม กระทำดังใจตน ที่ตนเองปรารถนา ต้องการมาให้แก่ตน เราจะพยายาม ตรวจตน ดูตน กำกับตน ให้ช้าลงบ้าง แล้วก็ตรวจดู ในอิริยาบถ ในพฤติกรรม ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้มันช้าลง จากที่เราเคย ให้มันสุขุม จากที่เราเคยเร่งร้อน เร่งเร้า เราทำให้มัน เรียบร้อย อ่อนโยน ไม่ให้ดูกระชาก ไม่ให้ดูรี่เร็ว หรือ แข็งกระด้าง ปรับลงมา สู่ความหมาย ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ว่าอ่อนโยน ลักษณะใด ที่จะสู่ความว่า "อ่อนโยน" เราจะปรับ เราจะทำ ให้ดีที่สุด เรียกว่า "สุภาพ" เราจะทำให้ได้ ความเหมาะ ความสม ให้ดูดี ดูงาม ทั้งสภาพแวดล้อม ทั้งที่ตนกำลัง จะกระทำกับ กาลเทศะ ฐานะนั้นๆ และ สิ่งใด ที่เราเห็น เรารู้ เราชัดว่า มันควรจะหยุด ควรจะดับ ควรจะไม่ให้เกิด ให้ได้สนิท เราจะหยุดให้ได้

การตรวจตน ดูตน กำกับตน ดังกล่าวนี้ จะทำให้เรา ละเอียดลออ จะทำให้เรา เพิ่มภูมิ เพิ่มการปฏิบัติ เข้าไปสู่ ความละเอียดลออ ละเมียด ละไม สุขุม ประณีต สูงสู่สูงขึ้นไป สู่ที่สุด และสุดได้

๑ สิงหาคม ๒๕๒๘


ผู้มีใจพอ

บุคคลผู้มีความมักน้อย มีความสันโดษ มีความสงบ วิเวก มีความไม่คลุกคลี เกี่ยวข้อง กับกิเลส มีความขยัน หมั่นเพียร และ พร้อมไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ

ผู้มีสิ่งเหล่านี้จริง สมบูรณ์ นั่นชื่อว่า ผู้ที่มีความตรัสรู้ สมบูรณ์ และ ความตรัสรู้ ก็จะเป็นผู้ที่ มีการเข้าใจชัด พร้อมกับมีสิ่งนั้น อยู่ในตนชัด เช่น มีความมักน้อย เป็นผู้ที่ไม่สะสม ไม่กอบโกย มีอะไรที่อยู่ในลักษณะ อาศัยน้อย แต่ก็ไม่ได้กระเบียด กระเสียน ไม่ได้ทรมานตน ไม่ต้องอด ไม่ต้องทน ไม่ต้องข่ม ไม่ต้องฝืน ก็เป็นผู้ที่สบาย มีความพอในใจ มีใจพอ ในสิ่งที่มีอยู่ ตนได้อาศัยอยู่ แม้จะน้อย ก็สงบอยู่ แม้จะขาดแคลนบ้าง ก็สงบอยู่ได้ ไม่เดือดร้อน ไม่ดิ้นรน ไม่ต้องแสวงหาอีก

ผู้มีความสงบ ปานฉะนี้ คือ ผู้ที่ไม่คลุกคลี เกี่ยวข้องด้วยกิเลส เป็นผู้ที่ หมดความอยาก สิ้นความเสพย์ แต่ผู้นั้น ก็ใช่ว่า จะเป็นผู้ที่ขาดแคลน และก็ทรมานตน เพราะผู้นั้น ยังเป็น ผู้ขยัน หมั่นเพียร เป็นผู้ปรารภ ความเพียรอยู่ เป็นลักษณะ เป็นนิสัย เป็นความเข้าใจ เป็นความเห็นจริง ว่าเป็นความดี ของมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ ควรทรงอยู่ ทรงเป็นไป จึงชื่อว่า เป็นผู้ขยันอยู่นั้น เป็นคนประเสริฐ ยิ่งเอาศีล สมาธิ ปัญญา เข้าไปจับ ผู้นั้น จะทรงศีล ทรงสมาธิ ทรงปัญญา หรือ อริยญาณ ที่รู้อยู่เสมอ ถึงสภาพสบาย ถึงสภาพ ที่ทรงในจิตวิญญาณว่า เป็นจิตวิญญาณ ที่ดีที่สุด ปราศจากกิเลสอยู่ เป็นความพ้นทุกข์ เป็นความว่าง ความสูญ เป็นความเบา ความง่าย เป็นความพ้นภาระ แต่ไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้ที่เฉยเมย เป็นผู้ที่ไม่เอาภาระ อะไรในโลก ไม่ทำงาน จะไม่ใช่ความค้านแย้ง กับ วิริยารัมภะ หรือ เป็นผู้ปรารภความเพียร เป็นอันขาด

จะเป็นผู้ปรารถนาความเพียร ขยันอยู่แท้ แต่ก็มีความว่าง อยู่ในใจ มีความสูญกิเลส อยู่ในใจ มีความปรารถนาดี อยู่ในใจ มีความต้องการ สร้างสรร สิ่งที่เป็นคุณค่า ประเสริฐ ด้วยปัญญาอันยิ่ง

จึงชื่อว่า เป็นผู้มีความหลุดพ้น มุติ และ มีญาณปัญญา ที่เห็นในวิมุตินั้น เป็นวิมุติญาณทัสสนะ สมบูรณ์แท้จริง

๔ สิงหาคม ๒๕๒๘


 

ความอดทน

.............. เป็นจริง ในความจริงนั้นๆ ซึ่งลึกซึ้ง หาที่เปรียบได้ยาก ใครก็ดี ที่จะฝึกตน มันฝึกได้ยากยิ่ง จริงๆ เพราะกิเลส หรือ ความเคยชิน เคยติดนั้น เป็นยางเหนียว เป็นความไม่ยอม ที่จะพราก จะจาก จะปล่อย จึงเป็นเรื่องที่ ลำบากที่สุด เราจะแก้ปัญหา โดยบังคับผู้อื่น ถ้าเรายิ่ง มีอำนาจ เรายังสามารถ ที่จะปรับเขา จะกระทำให้แก่เขา แก้ไข ปรับปรุง ได้ง่ายกว่า แม้จะโดยบังคับก็ตาม แต่ตนเอง จะบังคับตนเองก็ดี หรือ ยิ่งยินดี เต็มใจ ฝืนกระทำ อดทนกระทำ ให้ตนเองนั้น ละ เลิก ปลดปล่อย สิ่งที่ตนควรละ ควรเลิก ควรปลด ควรปล่อยนั้น ยังยากอยู่เสมอ

ดังนั้น ผู้ใด มีขันติ มีความอดทน ผู้ใด มีความเข้มแข็ง ที่จะฝืนข่ม ผู้นั้น ย่อมเป็น ผู้เอาจริง ผู้นั้น จะเป็นผู้ที่ สามารถสละ สามารถปลดปล่อยได้ เพราะผู้นั้น แข็งแรง และ เป็นคนที่มีสัจจะ จึงจะเป็น ผู้พบสัจจะ ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านได้ยืนยัน ดังนั้น

๒๐ กันยายน ๒๕๒๘


 

สติ เป็นตัวนำ

ผู้มีองค์แห่งการตรัสรู้ ก็คือ มีสติ เป็นตัวนำ การมีสติ เป็นตัวนำนั้น ก็คือ จะต้องพยายาม รู้จริงๆว่า ตลอดเวลา ไม่ว่าขณะใด เราเป็นอะไรอยู่ เราทำอะไรอยู่ จะต้องรู้ตัว ให้ดีเสมอ ขึ้นมาเสมอ

ผู้ปฏิบัติธรรม คือ ผู้เพียร รู้ตัว รู้ตื่น รู้แล้วก็ต้องวิจัย รู้ว่า ที่เราทำอะไรอยู่ เป็นอะไรอยู่นั้น ดี หรือ ชั่ว ดีกว่านั้น มีอีกไหม ควรจะทำเช่นนั้น เท่านั้นต่อไป หรือ ควรจะเพิ่ม หรือ ควรจะลด

การปรับ การกระทำของเรา การเป็นอยู่ของเรา ทุกขณะ ให้เข้า สู่ความพอดี ความสัมมา ตามเหตุผล ตามความเป็นจริง ให้พอเหมาะพอดี บางอย่าง อาจจะแรงไป มากไป บางอย่าง อาจจะน้อยไป บางอย่าง อาจกำลังจะพอดี กำลังเจริญดี เราจึงจะทำสิ่งนั้น ให้พอเหมาะ เป็นการปรับ อันไม่เที่ยง เหตุปัจจัย มีผสมอยู่ ตลอด ทุกวินาที ที่เราจะปรับปรุง ให้มันดีขึ้นเสมอ เพราะฉะนั้น การมีองค์แห่งการตรัสรู้ มีสติ จึงไม่ได้หมายความตื้นๆ ธัมมวิจัย ก็ไม่ได้หมายความว่า นานๆคิดที นานๆวิจัยที

เราจะต้องรู้ตัว และ รู้ตื่นอยู่เสมอ จริงๆว่า เราทำอะไรอยู่ เป็นอะไรอยู่ แล้วเราก็ วิจัยจริงๆ วิจัยไปทุกขณะ ให้ได้มากที่สุด ดีที่สุด ด้วยวิริยะ ความเพียร อุตสาหะ โพชฌงค์ทั้ง ๓ ข้อนี้ จะเป็นตัว จักรกลหลักๆ เป็นตัวปฏิบัติแท้ๆ ซึ่งต่อไป จึงจะเกิดปีติ ต่อไป จึงจะเกิดปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ ปีติ ก็เป็นสภาพที่ เราปรับได้ดีขึ้น และ เราก็จะมีตัวรู้ อีกแหละ รู้ว่าได้ดี บางที รู้แล้ว ยังมีความดีใจ มีความภาคภูมิใจ มีความเจริญในใจ เบิกบาน แจ่มใส บางที ที่มีมากกว่านั้น จนกลายเป็น อุปกิเลส กลายเป็น ความดีใจ ตื่นเต้น ฟูฟองใจ ซึ่งอาจจะเป็นได้ ถ้าเราทำอะไร ได้ดี มันก็ย่อมจะดีใจ ภาคภูมิใจ และพอใจ และสบายใจ ขึ้นไป เช่นนั้นเสมอๆ

การดีใจ ไม่ได้ดีใจเพราะ กิเลสเพิ่ม แต่ดีใจเพราะ กิเลสลด เมื่อกิเลสลดนั่นแหละ เราเรียกว่า ปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ เรียกว่า "สงบ" การจะรู้ว่า กิเลสหมด ก็ต้องมีปัญญาอันยิ่ง ว่าสงบ ไม่ใช่สงบเพราะว่า ได้หยุดอยู่เฉยๆ ได้นิ่ง ได้ดับไปเฉยๆ อย่างไม่มีปัญญา

เราจะต้องรู้ว่า ปัสสัทธิ ความสงบนั้น สงบ เพราะเราได้ชนะ ตัวต้าน ที่เรียกว่า "กิเลส" จะเป็นกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ในสายโลภะ โทสะ โมหะ ใดๆก็ตาม เราจะมีความรู้ลึกซึ้ง ไปเรื่อยๆ ว่านี่เป็นกิเลส สายโลภมูล นี่เป็นกิเลส สายโทสมูล นี่เป็นกิเลส สายโมหมูล การอ่านรู้กิเลส เหล่านั้น อย่างนั้นจริงๆ เรียกว่า เจโตปริยญาณ เรียกว่า การมีญาณหยั่งรู้ รู้ถึงกิเลส อย่างถูกต้อง ความสงบ ระงับลงไป เรื่อยๆ การกระทำอยู่ การเป็นอยู่ ย่อมดีขึ้น เจริญขึ้น แข็งแรงขึ้น และผู้นั้น ย่อมเป็นผู้ตื่น ยิ่งขึ้นด้วย ไม่ใช่เป็นผู้ยิ่งหลับ ไม่ใช่เป็น ผู้ยิ่งไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ยิ่งเป็น ผู้ซึมเซื่อง

แต่กลับจะเป็น ผู้ยิ่งตื่น เบิกบาน แจ่มใสขึ้นมา ยิ่งปัสสัทธิ มากเท่าใด ยิ่งสงบ มากเท่าใด ยิ่งเบิกบาน แจ่มใส และ แคล่วคล่อง เป็นมุทุภูเต กัมมนิเย เป็นสภาพที่ แคล่วคล่อง ว่องไว ดัดได้ง่าย ปรับได้ง่าย แข็งแรง และ คล่องเร็ว เหมาะแก่การงาน ทำการงานได้มาก ทำการงานได้เจริญ ทำการงาน ได้มีสมรรถภาพ นั่นคือ ปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ เป็นการตรัสรู้ เป็นการสงบ อย่างเจริญ

เราทำบ่อยเข้า ทำมากเข้า ปีติก็เกิด คือดี สิ่งที่ได้ดีเกิดมาก และ ความสงบ ของกิเลส ก็ได้มากขึ้น เรื่อยๆ จึงหยั่งลง เป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นสัมมาสมาธิ สัมโพชฌงค์ เป็นสัมมาสมาธิ อันเป็นอริยะ เป็นความตั้งมั่น แข็งแรง เป็นความแน่วแน่ มั่นคง ซึ่งไม่ทำ ไม่เกิด

ผู้ใดทำโดยพากเพียรอยู่ จึงจะสั่งสมลงเป็น ความตั้งมั่นอยู่ เพราะฉะนั้น จะคิดเอาเฉยๆ เอาแต่รู้ ไม่มีทางเกิดสมาธิ จะเกิดสมาธิได้ เพราะได้บำเพ็ญ เพราะได้กระทำ วันแล้ว วันเล่า นาทีแล้ว นาทีเล่า วินาทีแล้ว วินาทีเล่า ด้วยความเพียร

เมื่อได้สมาธิ เราก็จะได้สภาพ ลึกซึ้ง ซับซ้อน ขึ้นไปสู่ ความเป็นหนึ่ง เป็นอุเบกขา เป็นความวางได้ ปล่อยได้ เป็นความ ไม่มีผลัก ไม่มีดูด ไม่มีลักษณะ ที่จะยาก และ ไม่มีลักษณะ ที่มันจะต้อง กระทำอีก ขึ้นไปเรื่อยๆ มันได้ความแคล่วคล่อง มันเป็นเอง มันเฉยๆ แต่มันก็เป็น มันก็เจริญ กิเลสมันไม่มีเอง มันเฉยต่อกิเลส เฉยต่อเหตุปัจจัย ที่เราเคยแพ้ เคยพ่าย เคยเป็นทาส มันวางได้ ปล่อยได้ และ พร้อมกันนั้น มันก็รู้ มันก็ตื่น มันก็เบิกบาน และ มันก็แคล่วคล่อง ในการงาน มันตั้งมั่น แม้จะอยู่กับเหตุ ปัจจัย ที่เป็นกิเลส มันก็วางเฉย แข็งแรง จะยั่วยุ จะมอมเมา กระแทกกระทั้น อย่างไร ก็ อาเนญชา เป็นภูเขาหิน

ถ้าวิมุติ อย่าง สมุจเฉทวิมุติแล้ว สิ่งที่เป็นกิเลสในโลก จะแตะต้อง จะกระแทก กระเทือน เราจะอยู่กับกิเลส เหล่านั้น อย่างไรๆ ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หรือหวั่นไหว นกัมปติ ไม่มีหวั่นไหว อาเนญชา ไม่มีหวั่นไหว แม้แต่เศษธุลี เราก็จะได้เรียนรู้ ซับซ้อนขึ้นไปอีก แล้วก็จะถึง ความเป็นอยู่ อันเกษม เป็นการอาศัย สภาพที่เราได้ เรียกว่าธรรมะ อันสมบูรณ์ เป็นโลกุตรธรรม โพชฌงค์ ๗ หลักการตรัสรู้สำคัญ บทที่จะกระทำ คือ โพชฌงค์ ๓ สติ ธัมมวิจัย วิริยะ สามตัวนี้ เราจะต้อง กระทำจริงๆ ให้มีบทบาท

ดังนั้น ผู้ใดตกหล่น ไม่เคยคำนึง ถึงหลักวิชา และ ไม่เคยกระทำ ตรงตามหลักวิชา จึงช้า

ผู้ใด รู้หลักวิชา แล้วปฏิบัติจริง เป็นจริง ได้จริง ตรงตามหลักวิชา ผู้นั้น จึงจะเกิดองค์แห่ง การตรัสรู้ และ ย่อมจะถึงที่สุด แห่งการตรัสรู้ ถึงนิพพาน ได้เป็นที่สุด แล

๑๑ ตุลาคม ๒๕๒๘


 

ผู้ตรัสรู้ ในอริยสัจ

อริยะ แปลว่า ความประเสริฐ แปลว่า ความดีที่สูงที่สุด สัจจะ แปลว่า ความจริง อริยสัจ จึงแปลว่า ความจริงอันประเสริฐ หรือ ความจริงที่ดี ที่สูงที่สุด ผู้ที่ได้ศึกษาถึง อริยสัจ ก็คือ ผู้ที่ศึกษาเข้าไปสู่ ความจริงอันประเสริฐ หรือ ความจริงอันดี อันสูง และ ก็ลึกสุด ที่เราพึงรู้ ความจริง เช่นนั้น ก็เพราะ เราจะได้เป็นผู้เข้าใจ หยั่งถึงความจริง จริงๆ ว่าในโลกนี้ มีความจริง จริงๆ อยู่ ๒ ชนิด คือ

ความจริงที่ เป็นไปอย่าง ไม่รู้จักจบสิ้น เราเรียกว่า ความจริงโดยสมมติ ความจริงโดย รู้ร่วมกันไป เท่านั้น ถ้ายังไม่รู้ ก็เรียกว่า"โง่" ใครรู้ ก็เรียกว่า"รู้" หรือ เรียกว่า"ฉลาด" เท่านั้นเอง เรียกว่า สมมติสัจจะ

และ ยังมีความจริง อีกชนิดหนึ่ง ที่เป็นความจริงที่รู้ และ ก็รู้ถึงความสำคัญ หรือไม่สำคัญ ความจำเป็น หรือ ไม่จำเป็น รู้ว่า สิ่งใดดี สิ่งใดดีกว่า สิ่งใดดีที่สุด รู้ตั้งแต่ ตัวรากฐาน ของสิ่งนั้น และ ก็รู้ถึง สภาพของสิ่งนั้น จนกระทั่ง ค้นเข้าไปถึง รากฐาน หรือ เหตุที่มาของสิ่งนั้น ได้ถึงรากที่สุด สิ่งใดพึงละล้าง ถอนราก ถอนโคน ถึงเหตุที่สุดให้ได้ ที่ควรถอน

ดังนั้น ผู้ที่รู้ว่า สิ่งใดไม่สำคัญ ไม่จำเป็น ควรเลิก ควรละ เพราะมันถ่วงชีวิต มันทำลายชีวิต ชีวิตไม่ประเสริฐ ชีวิตไม่ดี ชีวิตไม่สูง ผู้ที่รู้เช่นนั้น จึงมาถอนราก ถอนโคน หรือ ถอนเหตุ ที่มันพาให้เกิด สิ่งที่ไม่ควรเกิด เป็นอยู่ในสิ่งที่ ไม่ควรเป็นอยู่ พาให้ผู้นั้น ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์ เป็นภาระยุ่งยาก การรู้จัก การถอนราก ถอนโคน ในสิ่งที่พาเกิด พาเป็น พาไปนั้น สิ่งที่เป็นเหตุสูงสุด ของชีวิตมนุษย์ ก็คือ มาจากต้นเค้า ของความหลง ความโง่ ที่อยู่ใน จิตวิญญาณมนุษย์

เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ใดศึกษา เกิดความรู้ เกิดความเห็นจริง ในของจริง ที่มีสภาพละเอียด เป็นสภาพนามธรรม ที่เป็นเหตุ พาให้เราหลง เราเกิด หรือ พาให้เราโง่ ที่ท่านเรียกว่า "อวิชชา" เมื่อมาศึกษา รู้ความจริงเช่นนี้ และ ถอดถอน ล้างละ ด้วยวิธีการ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นพบ กระทำได้ จึงเห็นจริง ชีวิตของผู้ที่ค้นพบ สิ่งที่ควรอยู่ หรือควรล้าง ได้อย่างแน่แท้จริง และ ได้พิสูจน์ความจริงนั้น ถึงผล ประสบผล จึงเป็นผู้ที่ประเสริฐ เป็นผู้ที่ดี ผู้ที่สูง มีคุณค่า เพราะรู้ความจริง อย่างประเสริฐ

ความจริงอย่างประเสริฐนั้น พระพุทธเจ้า ได้ขมวดเป็นทฤษฎี เอาไว้ว่า ควรรู้เท่าทันธรรมชาติ หรือ สิ่งที่เกิดทั้งหมด แล้วก็รู้เหตุ แห่งการเกิด ธรรมชาตินั้นๆ แล้วก็รู้วิธี และ ดับธรรมชาติ นั้นๆได้ และรู้ การอยู่เหนือ ธรรมชาติทั้งปวง

นี้เป็นความรู้ หรือ เป็นความประเสริฐ ที่เราจะต้องศึกษา เข้าไปถึง ความจริงนั้นๆ ให้ได้ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้ตรัสรู้ ในอริยสัจ

๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๘


 

ระวังอารมณ์ก่อนการงาน

นักปฏิบัติธรรมของพุทธ ย่อมจะรู้จัก สติปัฏฐาน ๔ ย่อมจะรู้จัก โพชฌงค์ ๗ และ ย่อมจะรู้จัก มรรคองค์ ๘ หรือ ย่อมจะเข้าใจ ในทฤษฎีรวมใหญ่ อันเอก คือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ และ ต้องประพฤติ ด้วยความมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม รอบนอก รอบใน ต่อสัมผัส แล้วก็มี ธัมมวิจัย หรือ มีสัมมัปปธาน ๔ ได้สังวร ได้ประหาร จนเกิดผล และ รักษาให้ยิ่งๆ ต่อเนื่อง ตั้งมั่น เป็นไปอยู่

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งการงาน ศาสนาพุทธ ประพฤติธรรมไปด้วย ทำการงานไปด้วย สังวร ระวัง ในความคิด ในวาจา ในการกระทำ ทั้งสิ้น ทั้งมวล ประจำชีวิต กระทำอยู่

ดังนั้น นักศึกษาผู้ฉลาด จึงจะต้อง ระวังอารมณ์ ก่อนการงาน

๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


ระวังอารมณ์

ในทฤษฎีอันเอก ของศาสนาพุทธนั้น ทฤษฎีที่เรา จะปฏิบัติไป ตั้งแต่ต้น จนถึงที่สุดก็ดี ก็เป็นทฤษฎี ที่เราจะต้อง มีสตินำหน้า มีธัมมวิจัย หรือ มีสัมมัปธาน ๔ มีความเพียร หรือ มีความยินดี ในการปฏิบัติ มีความอุตสาหะ วิริยะ ตั้งใจที่จะรู้ ในจุดที่เราจะปฏิบัติ อยู่เสมอ คือ การสำรวม สังวร ระลึกรู้ตัว ต่อตนเอง สิ่งแวดล้อม และผัสสะ รวมทั้ง พฤติกรรม กาย วาจา ใจ ที่เราเป็นอยู่ และ เรียนรู้กุศล อกุศลให้ชัดแท้ ละอกุศล ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ปรับขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างแท้จริง แม้เราปรับกาย ให้สุจริตได้ วาจาให้สุจริตได้ ก็เพราะเราเอง รู้ต่อผัสสะ และ รู้ต่ออารมณ์

ดังนั้น ในคำว่า "อารมณ์" คือ จิต เกิดอยู่ที่จิต อารมณ์นั้น จะมีทั้ง อารมณ์รับรส และ อารมณ์รับรู้ ความรู้ เรียกว่า ปัญญา ซึ่งมีทั้งรู้ ในสมมติ และ รู้ในรส อีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น คำว่า รสที่เสพย์ หรือ รู้ตามสมมติ แล้วเราก็กระทำตน ให้หมดรสที่เสพย์ และ กระทำตามรู้ ที่สมมติ เป็นกุศลอันยิ่ง

ความหยาบ รู้ง่าย ความละเอียด รู้ยาก เราจึงจะต้องปฏิบัติ จากหยาบที่รู้ง่าย เพื่อเข้าใจกุศล อกุศล เพื่อเข้าใจรส เพื่อเข้าใจรู้ เพื่อเข้าใจสมมติ ในปรมัตถ์ เรียกว่า ความเป็นแก่นสารสาระ ที่มนุษย์ จะต้องอาศัย พึงมี พึงเป็นนั้น เราเรียกว่า กุศลนั่นดี อกุศลนั้นไม่ดี

ผู้ที่จะรู้ว่า ดี และ ไม่ดี อย่างถูกองค์ประกอบ ความสมบูรณ์พร้อม ก็จะต้องฝึกหัด อ่านไป พิจารณา ทั้งความเป็นอยู่ ความเป็นไป ตามสมมติ และ ความจริงใจ อย่างพอดี พอเหมาะ เรียกว่า ฝึกสัปปุริสธรรม ๗ ประการ ด้วยการประมาณ อย่างแท้จริง

ผู้ฝึกได้ ฝึกดี เรียกว่า ฝึกตนเป็นสัตบุรุษ หรือ เป็นอริยบุคคล อย่างแท้จริง การฝึก ดังกล่าวมา ทั้งหมดนั้น ตัวประธาน คือ จิต ตัวรับรู้ คือ จิต ผู้ที่จะทรง อาศัยอยู่ คือ การงาน หรือ การกระทำ หรือ เรียกว่า "กรรม" เพราะฉะนั้น การงาน จึงเป็นเครื่องอาศัย เป็นสมมติสัจจะสูงสุด จิตที่รู้แจ้ง ต่ออารมณ์เสพย์ และ มีความรู้อันยิ่ง จึงเป็นตัวกำหนด และ เป็นตัวละ

การปฏิบัติธรรม รู้จักอารมณ์จิต ที่เป็นอารมณ์ ว่างจากกิเลส ทั้งหมด หรือ ยังมีอารมณ์ ต่อกิเลสอยู่ จึงเป็น ตัวละล้างในตัว ส่วนการงานนั้น เราก็จะรู้ ความเหมาะสม พอเหมาะ พอดี ตามสมมติ ตามกาละ ตามหมู่กลุ่ม และบุคคล เราจึงต้องรู้ไป พร้อมกันทั้งหมด การปฏิบัติธรรม จึงต้อง ระวังอารมณ์ ก่อนการงาน ให้เป็นหลัก

พระอรหันต์ หมดอารมณ์เสพย์ เท่านั้น จึงจะทำการงาน ที่พิจารณา ความพอเหมาะ พอดี เป็นสัตบุรุษ แต่เพียงอย่างเดียว

ส่วนผู้ปฏิบัติธรรมดา ไปจนถึง เสขบุคคล ๗ ระดับนั้น จะต้องปฏิบัติ อ่านอารมณ์ให้เร็ว ให้ไว ก่อนการงานเสมอ

๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

สิ่งพิเศษยอด ของศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นศาสนา ที่ชื่อว่า โลกุตระ ซึ่งเป็นศาสนา ที่นำพาให้บุคคล เรียนรู้จักกิเลส ซึ่งเป็นของธรรมดา ของชาวโลกียะ หรือชาวโลก

การเจริญ ด้วยโลกียะ เป็นของธรรมดา การมีอามิสสินจ้าง ได้รับความสุข สมใจ เป็นธรรมดา

แต่ศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้สอน... ล้างความสุขสมใจ ที่เป็น สุขัลลิกะ เป็นสุข อันลำบาก เป็นสุขอันจะต้อง หาสิ่งตอบแทน พระพุทธเจ้า ค้นพบความสุข ที่ยิ่งกว่า ที่เรียกว่า วูปสโมสุข คือ สุขที่ไม่ต้องเสพย์ สิ่งแลกเปลี่ยน หรือ สิ่งล่อ สิ่งเสพย์สม เพราะฉะนั้น ผู้ใด ได้ศึกษาโลกุตระ ได้พบความสุข ที่เป็น วูปสโมสุข เริ่มต้นตั้งแต่ ขั้นหยาบ ขั้นต่ำ พ้นโลก เหนือโลก ทั้งๆที่อยู่กับโลก

เพราะศาสนา พระพุทธเจ้า สอนให้เรารู้ กิเลสของโลก แล้วก็มีวิธี ที่จะฆ่ากิเลส อย่างไม่ต้องหนี เมื่อฆ่ากิเลสตายแล้ว ก็ยังอยู่กับโลก รู้เท่าทัน กิเลสของโลก และ ยังได้ช่วย ผู้อื่นได้อีก ตนเองนั้น พ้นทุกข์ พ้นความเป็นทาส และ เราก็ยังไม่ได้ หนีไปจากโลกอย่างใด ไม่ว่าจะเป็น โลกขั้นต่ำ ขั้นอบาย หรือ โลกแห่ง โลกกามคุณ โลกที่เป็นโลกธรรม จึงเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างใดก็ดี แม้ที่สุด โลกแห่งอัตภาพ ตัวตน หรือ เป็นสิ่งที่เป็น นามธรรม ที่ปั้นสร้างเอาขึ้นง่ายๆ ก็ตาม ไม่ต้องวิ่งหนี ไม่ต้องหลบ รู้ อย่างรู้ๆ สัมผัส และ ผจญกับสิ่งนั้น อย่างต่อหน้า จนกระทั่ง สามารถเอาชนะ อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ได้โดยจริง

นี้เป็นโลกุตระ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสตร์ ที่เหนือชั้น โลกียะนั้น เราก็รู้ พระพุทธเจ้า ก็ทรงทราบดี เพราะเป็นโลกวิทู เป็นผู้ที่รู้ เท่าทันโลก ทุกประการ สิ่งดี สิ่งกุศลของโลก ก็รู้ด้วย

แต่ การทำจิต ให้เหนือโลกนั้น เป็นสิ่งพิเศษ ที่เหนือกว่า ศาสนาใดๆ เรื่องของการรู้ เท่าทันโลกนั้น และ รู้กุศลของโลก ความดีของโลก เป็นธรรมดา ของปราชญ์ เป็นธรรมดา ของผู้ฉลาด ย่อมไม่ใช่สิ่งพิเศษ อะไรกันนักหนา

ส่วนสิ่งพิเศษนั้น ก็คือ การรู้เท่าทันกิเลส จริงๆ แล้วฆ่ากิเลสได้ จนสูญสิ้น จนชื่อว่า สูญญตา หรือ อนัตตา นี้เป็นสิ่งพิเศษยอด ของศาสนาพุทธ

๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

สัจธรรม คือ จริงแท้

สัจธรรม คือ สัจธรรม อสัจธรรม คือ อสัจธรรม

ผู้ที่มีดวงตา เห็นความจริง จึงจะเป็น ผู้ที่มั่นคง แน่นอน และ สงบ

ผู้ที่ไม่เห็นความจริง จึงคือ ผู้ที่ยังเปลี่ยนแปลง และ ยังไม่สงบ ยังคงอวดดี

ดังนั้น เราจะรู้จักสัจธรรม หรือ เราจะเห็นว่า สิ่งนี้ ไม่ใช่สัจธรรมได้ เพียงแต่ เรารู้ทฤษฎี ก็ยังพอมองออก แต่ ภาวะซับซ้อน สามารถลวงคน ได้บ้าง

สำหรับ ผู้ที่ถึงความจริง แห่งความจริง เท่านั้น จึงจะเห็นชัด ในชั้นเชิง ของความจริงแท้ แน่นอน สูงสุดได้

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

"ความจริง" ไม่เปลี่ยนแปร

สัจธรรม คือ สัจธรรม
ความจริง คือ ความที่ได้เป็นจริง
อสัจธรรม ก็คือ อสัจธรรม
ความไม่จริง ก็คือ ความไม่จริง
แต่อสัจธรรม อาจจะหลอก ว่า เป็นความจริงได้
ส่วนสัจธรรมนั้น คือ ความจริง ที่จะไม่หลอก ว่า
เป็นความไม่จริง เป็นอันขาด

เพราะฉะนั้น ความมั่นคง แน่วแน่ ตั้งมั่น สำหรับ สิ่งที่เป็นความจริง อย่างแท้จริงแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรปรวน ความจริง จะเป็นสิ่งที่ชัดเจน ทั้งปัญญา และ แข็งแรง ทั้งสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ความจริงนั้น จึงไม่มีสอง จึงไม่เป็นอื่น ไม่ว่าเราจะ ปฏิบัติตน ให้เป็นความดี ที่จริง ที่รู้ยิ่ง ด้วยปัญญาว่าดี และปฏิบัติ จนได้ตั้งมั่น แข็งแรง ได้อย่างดีแล้ว แม้ว่ามันยังไม่แข็งแรง ที่จะต้องประคอง ที่จะต้องรักษา ระวัง ถ้าเราแน่ใจ ด้วยปัญญา ว่าสิ่งนั้น ดีจริงแล้ว เราจะต้องประคอง ระวัง รักษา ให้ความดีนั้น จนกระทั่ง เป็นความดี ที่เป็นความจริง คือ ดี นั้น จะแข็งแรง ด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้อง ประคอง รักษา ระวังเลย และ มันจะเป็นจริง เช่นนั้นเอง ตลอดไป ชั่วกาลนาน

๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

คนจริง

สัจจะ คือ สัจจะ
ความจริง คือ ความจริง
คนจริง คือ คนที่มีความจริง

คนที่มีความจริง คือ คนที่มีปัญญา เข้าใจชัด ถึงสิ่งที่หลอก ที่เรียกว่า "กิเลส" และ เข้าใจชัด ถึงสิ่งที่ ได้ละล้างกิเลส ออกไปแล้ว เหลือแต่ ความจริง เหลือแต่ ความบริสุทธิ์

คนจริง จึงคือ คนที่มีความจริง ที่ปราศจากกิเลส เท่านั้น ส่วนคนที่ หลงตัวเองว่า เอาจริง โกงก็โกงจริง ทำเลวอยู่ ก็ทำเลวจริง ทำตามอำนาจกิเลส ที่มันต้องการ จะทำก็ทำจริง คนเช่นนั้น ไม่ได้ชื่อว่า "คนจริง" ชื่อว่า"คนโง่" หรือ ชื่อว่า"คนหลง" โดยเฉพาะ หลงกระทำ ในสิ่งที่กิเลส มันเป็นเจ้าเรือน กิเลสมันบังคับ ด้วยอำนาจ แล้วก็หลงตนเอง กระทำความเลวอยู่ ความโง่อยู่ ตามอำนาจของ กิเลสนั้นๆ คนเช่นนั้น จึงไม่มีสิทธิ์ ที่จะชื่อว่า "คนจริง" แม้จะเป็นคน ใจเดียว เป็นคนกล้าแข็ง กระทำในสิ่งที่ เป็นกิเลสนั้นๆ เป็นความผิดนั้นๆ เป็นอกุศลนั้นๆ หรือ แม้แต่ในส่วนลึก ส่วนสูง ที่เป็นกิเลสชั้นสูง ก็ยังกล้ากระทำอยู่นั้น คนนั้น หาได้ชื่อว่า คนจริง ไม่เลย

ดังนั้น คำว่า "สัจจะ" คนจริง ความจริง จึงต้อง ประกอบไปด้วย ปัญญาอันยิ่ง ประกอบไปด้วย การปฏิบัติ ละล้างกิเลส ละล้างอกุศล ทุจริต ให้หมดสิ้น จึงจะได้ชื่อว่า ผู้ที่ถึงสัจจะ

ผู้ที่แจ้งชัด เข้าถึง ความจริง คนคนนั้น จึงจะชื่อว่า "ค น จ ริ ง"

๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

ความจริงเป็นหนึ่งไม่มีสอง

ความจริง คือ ความจริง สัจจะ คือ สัจจะ
สัจจะนั้น เป็นความเที่ยง เรียกว่า นิยตะ
สัจจะนั้น เป็นความจริง เป็นความแท้ เรียกว่า ตถตา

ความจริงนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง
ความจริงนั้น ไม่เป็นอื่น
ความจริงนั้น ไม่เป็นสอง
เอกัง หิ สัจจัง ความจริงนั้น เป็นหนึ่ง เท่านั้น
น ทุติย มัตถิ ไม่เป็นสอง ในความจริงสูงสุด

เพราะฉะนั้น ผู้ใด ได้ฝึกตน สู่ความจริง หรือ สัจธรรม เมื่อมีความจริง เป็นความจริง ในตนแล้ว ผู้นั้น เที่ยงแท้ มั่นคง แน่นอน ผู้นั้น เป็นความจริง เป็นความแท้ เป็นอยู่เช่นนั้นเอง เป็นอยู่เช่นนั้นแหละ ตราบนิรันดร์

๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

จริงต้องดี

สัจธรรม คือ สัจธรรม
ความจริง คือ ความเป็นจริง

ความจริงนั้น มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นความดี ต้องเป็นความประเสริฐ สูงขึ้น จนสูงสุด พระพุทธเจ้าของเรา ได้ตรัสรู้สิ่งที่สูง หรือ เรียกว่า สิ่งที่เหนือชั้น

โลกียะ ก็ยังมี ความจริงของโลกียะ ซึ่งโลกียะ มีความจริงของ โลกียะนั้น มันเป็นมา ตั้งนานแล้ว และ มันก็เป็นทุกข์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ อย่างจริง อย่างประเสริฐ จึงได้ค้นพบ สิ่งที่จริงกว่านี้ ประเสริฐกว่านี้ สูงกว่านี้ ดีกว่านี้ จึงเรียกว่า สิ่งที่เหนือชั้น หรือ เหนือกว่าโลก เหนือกว่าโลกีย์ ที่เป็นอยู่ เรียกโดยภาษาว่า โลกุตระ แต่ไม่ได้หมายความว่า โลกุตระนั้น ไม่รู้จักโลกีย์ หนีจากโลกีย์

แท้จริง โลกุตระนั้น รู้เท่าทันโลกีย์ และ รู้ว่าโลกีย์นั้น ไม่จริง เป็นความลวง เป็นมายา เหมือนพยับแดด เหมือนฟองคลื่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นพบอริยสัจ หรือ สัจธรรมที่ ประเสริฐ ความจริงที่ประเสริฐ ความดีที่เหนือชั้น ความดีที่เหนือกว่า ที่มนุษย์พึงมี พึงเป็นได้ และ ไม่ต้องหนี มีวิธีกระทำตน ให้รู้เท่าทัน และ รู้วิธีที่จะละล้าง ปราบปราม สิ่งที่เราเคยหลง เคยลวงเรา ว่าเป็นความจริง จนกระทั่ง ล้างความไม่จริง ที่เราเคยหลง ว่าจริงนั้น ออกไปได้ หมดไปได้

และ เราก็เป็นผู้ที่ อยู่เหนือชั้น อยู่เหนือโลกีย์ เหล่านั้น โดยโลกีย์เหล่านั้น รบกวนเราไม่ได้ เราอยู่เหนือ อย่างผู้ที่ช่วยเหลือ โลกีย์เหล่านั้น หรือ ผู้ที่ตก อยู่ในความลวง อยู่ตามมายา เหล่านั้น

โลกุตระ จึงเป็นผู้ที่ ยืนอยู่บนความจริง ที่ต้องช่วยเหลือผู้ไม่จริง อยู่ตลอดเวลา ผู้ใด ได้ค้นพบตาม ปฏิบัติ ประพฤติ พิสูจน์ตาม ได้โลกุตรธรรม มาอาศัย มาแทนที่โลกียะ ที่ตนเคยหลง ผู้นั้นจะเห็น ความจริงที่จริง มั่นคง เที่ยงแท้ ไม่มีแปรปรวน เมื่อถึงที่สุด ก็เป็นความจริงนั้น อย่างชัดแจ้ง ยืนยง ยืนหยัด บุญคุณของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ค้นพบ สิ่งนี้นั้น เป็นบุญคุณ อันล้นฟ้า เป็นบุญคุณ อันที่นับประมาณมิได้

๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

อย่าหลงดี

สัจธรรม ของพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า โลกุตระ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม อันเกี่ยวเนื่องด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน หมายความว่า จิตวิญญาณ เป็นตัวสำคัญ เรียนรู้จิตวิญญาณ เรียนรู้ สิ่งที่ไม่ใช่สัจธรรม คือ กิเลส ที่เกี่ยวเนื่อง อยู่กับจิตวิญญาณ ทำตัวเป็นประหนึ่ง จิตวิญญาณ เข้าครอบงำ จิตวิญญาณ แล้วก็ชักนำ ให้ผู้ที่มีกิเลส ครอบงำนั้น ตกต่ำ ทำชั่ว ทำความไม่เจริญ สร้างทุกข์ ให้แก่ตน และผู้อื่น เมื่อได้ศึกษา ตามทฤษฎีของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราจะมองเห็นความจริง แม้แรกเริ่ม เห็นความจริงว่า กิเลส คือ อาการอย่างไร การทำ กิเลสให้ออก เห็นกิเลส จางคลายออก คืออย่างไร ซึ่งเห็นจริงๆ เป็นความจริง ที่เรารู้ด้วยตนเอง

กิเลสดับสนิท ก็รู้ว่ากิเลสดับสนิท เราได้ดี เพราะกายกรรม วจีกรรม ที่กำเนิดเป็นไป ตามกิเลส สั่งกิเลสจัดการนั้น ก็เปลี่ยนแปลงไป จิตวิญญาณ สะอาดขึ้น ความที่มี จิตวิญญาณ สะอาดขึ้นนั้น เราเรียกว่า กุศล ได้ดี เมื่อเราได้ดี กายกรรม วจีกรรม ก็ดีตาม เป็นคุณงาม ความดี ของตน เป็นตัวอย่างของโลก จิตวิญญาณ ยังมีกิเลส ซ้อนลงไปอีก ว่าเราจะหลง ในความดีนั้น เราจะยึดมั่น ถือมั่น ในดีนั้นเกินการ ที่สุดจะยึดถือว่า เป็นของตัวของตน และ เอาไปอวดอ้าง เอาไปทวงบุญ ทวงคุณ เอาไปเบ่งข่มผู้อื่น นั่นคือ กิเลสซ้อน ที่เรียกว่า มานะสังโยชน์

เราได้กระทำดี เราได้สร้างความดี อย่างบริสุทธิ์แล้ว ก็ตาม แต่ก็ยังมีชั่ว ที่ตีกลับ ซับซ้อนมาได้ ดังกล่าวแล้ว จึงต้องสังวรอีก เป็นอย่างมาก ที่จะละล้าง ปลดปล่อย ตัวกิเลสตัวนี้อีก อย่างสำคัญ

ศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนดี ศาสนาพุทธนั้น สอนอย่างลึกซึ้ง ให้เห็น มานะสังโยชน์นี้ อย่างชัด เช่นเดียวกันกับ กิเลสอื่น เห็นกิเลสเป็น

โลกุตระ มีวิธีทำลายกิเลส และ กิเลส จางคลายไปจริง เป็นโลกุตระ ทำดีก็จงทำเถิด แต่อย่าอวดดี อย่าเบ่งดี อย่าหลงดี อย่าติดดี ว่าเป็นของตน ตนนั้นดี แต่ดีนั้น ไม่ใช่ตน ต้องทำในใจ ต้องฝึกฝนอบรม ต้องมีสติ สัมปชัญญะ รู้ตัวจริงๆ อย่าทวงบุญ ทวงคุณ อย่าหลงติดดี แต่เราต้อง ทำดีให้ยิ่ง ซับซ้อน ลึกซึ้งอย่างนี้ คนดี จึงดีอย่างสมบูรณ์ได้ และ เราจะเป็นผู้ที่ อนุเคราะห์โลก สร้างสรรโลก ด้วยความดี เป็นคนจริง ที่ดีจริง และ ไม่มีแม้กิเลสชั้นสูง ไม่มีแม้กระทั่ง สิ่งที่จะทำให้เราทุกข์ เพราะเราทำดี ถ้าคนไม่รู้จริง เราจะทุกข์ได้

เพราะทำดี เจ็บปวด ได้ยิ่งกว่า ทำชั่ว ก็ได้

ดังนั้น ผู้ฉลาดแท้ เราทำดีแท้ๆ ก็จะไม่ทุกข์ ไม่เจ็บปวด อันใดเลย เพราะรู้เท่าทันกิเลส ดังกล่าวแล้ว ผู้ทำจริง ฝึกหัดถูกต้องจริง จึงจะรู้ความจริง เห็นความจริง และ ถึงความจริง พ้นอวิชชา เป็นที่สุด

๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

ทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์

การมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีนั้น เท่ากับ มีทั้งสิ้น หรือ เป็นทั้งสิ้นของ พรหมจรรย์

คำว่า มิตรดี นั้น มีความหมาย ที่สามารถจะพา ให้เราเจริญ เราเป็นไป เพราะเป็นทั้งตัวอย่าง เป็นทั้งครูอาจารย์ เป็นทั้งผู้ช่วย ที่จะเป็นแบบฝึกหัด เป็นทั้งตัวอย่าง ในด้านลบ ด้านบวก ถ้ามีสิ่งแวดล้อม ที่มีองค์ประกอบ สมเหมาะสมควร เป็นไปด้วยดี ในการที่จะช่วยเหลือ ทั้งในด้าน ทำให้ลด ในสิ่งที่ควรลด ควรเลิก ควรเว้น ทำให้เพิ่ม ในสิ่งที่ควรเพิ่ม ควรพูน ควรทำให้ยิ่ง สิ่งแวดล้อมอย่างนั้น เราเรียกว่า สปายะ เป็นการเจริญ และ การศึกษา เราจะได้จาก มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี นี้เอง เป็นการศึกษา ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ จึงจะถึงซึ่งปฏิเวธ

ปริยัตินั้น มีทั้งบอกกล่าว แสดง พูด ชี้แจง อธิบาย มี สมัยนี้ มีอ่านด้วย ดังนั้น การอ่าน ก็เป็นการสื่อ ที่สามารถทำให้เรารู้ ให้เราเข้าใจ เช่นเดียวกันกับ การอธิบาย หรือ การพูด การฟัง สมัยโบราณ การอ่านไม่มี แต่สมัยนี้ การอ่านมีอยู่

ดังนั้น ถ้าศึกษา ขาดการอ่าน ก็เท่ากับ เราบกพร่อง ก็เท่ากับ เราเป็นผู้ที่ประมาท หรือ ขาดโอกาสไป ดังนั้น ถ้าเราจะได้ ปริยัติที่ครบครัน เราก็ต้อง มีการอ่าน อ่านสิ่งที่จะเสริมหนุน ให้เราได้ เจริญปฏิบัติ และ ถึงซึ่งปฏิเวธ สื่ออื่นก็มีอีก ซึ่งเป็นเครื่องเสริมหนุน เป็นสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้เรา ได้เกิดความสมบูรณ์ เพราะเรามี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ทั้งที่อยู่นั้นก็ สปายะ

อาหาร ซึ่งเป็นความรู้ เป็นการศึกษา ทั้งอาหารปาก อาหารกาย ทั้งอาหารที่เป็น อาหารอริยะ อาหารการศึกษา อาหารทางวิญญาณ บุคคลก็เป็นมิตรโดยตรง ที่เป็นทั้งมิตร ผู้หวังดี เป็นครูบาอาจารย์ เป็นตัวอย่างอันดี นำ พา ชักจูง ช่วยเหลือ ดูแล เอาใจใส่ ทั้งเพื่อนฝูง ทั้งพี่น้อง มิตรสหาย ที่แท้จริง เป็นบุคคลสปายะ และทั้งธรรมะ ที่เราเอง มุ่งหมาย เป็นสิ่งที่ ต้องการ ความเจริญมีได้ ถ้าเราศึกษา ถ้าเราเอาใจใส่ แม้ว่าที่อยู่ จะเป็นสปายะ บุคคล จะเป็นสปายะ อาหารจะเป็นสปายะ ธรรมะจะเป็นสปายะ โดยตัวมันเองก็ตาม

ถ้าผู้ปฏิบัติ ผู้ศึกษานั้น ทำผิดพลาด ไม่เอาใจใส่ ไม่ขวนขวาย ความเจริญของผู้นั้น ก็ย่อมไม่เกิดได้ ดังนั้น การศึกษา จึงต้องรู้ตัวอย่างยิ่ง แม้จะมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์อยู่ เราก็จะไม่พบ พรหมจรรย์นั้นได้ ถ้าเราไม่ขยัน เราไม่ขวนขวาย เราศึกษาไม่ถูก หรือ เราเป็นคน ปล่อยปละละเลย เหมือนช้อนอยู่ในชามแกง ฉันใด เราก็จะไม่รู้ รสของธรรม ไม่ได้ประสบธรรมะ ฉันนั้น

๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

กุศล

ทุกอย่าง มาแต่เหตุ ผู้ที่รู้จักเหตุ พยายามสั่งสมเหตุ ก็จะเกิดผล ผลที่ยังไม่โต ก็เกิดมาจาก เหตุที่ยังไม่โต ยังไม่มาก เมื่อสะสมเหตุ ได้มาก ผลก็จะโต ผลก็จะใหญ่ บุญ หรือ กุศล ก็เกิดจาก เหตุที่เป็นกุศล กุศลที่ได้สั่งสมไว้มาก ก็จะเกิดผลใหญ่ ผลมาก

ความจริง ที่เรียกว่า กุศล จะปรากฎ เมื่อมีเหตุ ที่เป็นจริง สมบูรณ์ ดังนั้น บางครั้ง บางโอกาส คนจะคิดไม่ถึงเลย ว่าผลที่เป็น ปาฏิหาริย์ ผลที่เป็น เรื่องเหลือเชื่อ ผลที่เป็น ความอัศจรรย์ เป็นเรื่อง ยิ่งใหญ่นั้น เกิดมาแต่เหตุ อย่างไร แม้ว่า สิ่งอัศจรรย์นั้นเกิด ผลยิ่งใหญ่ ที่ไม่น่าเชื่อนั้นเกิด มันจะอัศจรรย์ ปานใด มันจะยิ่งใหญ่ ปานใด มันก็ย่อม เกิดมาแต่เหตุ ทั้งสิ้น แต่ผู้ไม่ได้ศึกษาเหตุ ย่อมไม่รู้ว่า ผลเหล่านั้น มาจากเหตุอะไร

ดังนั้น จงสังเกตให้ดีเถิด แล้วตามหาเหตุ ให้ได้เถิด ถ้าเชื่อว่า กุศลนั้น เป็นความดีแท้ จงศึกษาหากุศล และ ฝึกฝน อบรมแต่กุศล ให้มากไว้เถิด สักวันหนึ่ง กุศลนั้น ก็จะแสดงผล อันน่ามหัศจรรย์ ได้อย่างแท้จริง

๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

ตรวจอารมณ์

จงระวังอารมณ์ก่อนงาน
จงปรับอารมณ์ก่อนพูด
จงปรับอารมณ์ก่อนทำ

เราจะมีสติ และฝึกวิจัยธรรม ด้วยความวิริยะ พากเพียรกระทำ รู้กายกรรม รู้วจีกรรม โดยเฉพาะ จิตวิญญาณ ที่ให้กายก็ดี ให้วจีก็ดี กระทำนั้น จิตวิญญาณ เป็นตัวสั่ง เป็นตัวบงการ

เราจะต้องตรวจอารมณ์ ของจิตวิญญาณ ให้ดี ว่าจิตวิญญาณนั้น มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน อยู่เท่าใดๆ ผู้ฝึกปรือ โดยแท้จริง มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กรรมของกาย รู้กรรมของวาจา และ ตรวจอารมณ์ รู้กรรมของจิต วิเคราะห์ วิจัยจิต ว่ามีกิเลส เห็นกิเลส รู้กิเลส และ มีวิธีดับกิเลส หรือ ลดกิเลสได้จริง

ผู้ใดกระทำอยู่เช่นนี้ๆ เนืองๆ นั่นคือ ผู้ปฏิบัติธรรม โดยทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า โดยแท้

๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


 

ชีวิต

ชีวิตนี้สั้นนัก ชีวิตนี้น้อยนัก ผู้ไม่รู้จักชีวิต จึงใช้ชีวิต เป็นโมฆะ ไปตลอด แต่ละชีวิต หรือ ไม่ซ้ำ มิหนำ ก็ใช้ชีวิต ให้ได้รับบาปกรรม ได้รับหนี้ชีวิต ติดตัวไปนั้น มากกว่ามาก

ดังนั้น ผู้ฉลาด จึงพยายามศึกษา ชีวิตของตนๅ ให้รู้ซึ้งถึงชีวิต ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาแล้ว จะเป็นชีวิต ที่ได้กำไร ได้ประโยชน์ คุณค่าแก่ชีวิต ทั้งแก่โลกได้ ฉันใด

ผู้ฉลาดแท้ รู้แจ้งในชีวิต และ กระทำชีวิตของตน ให้เป็นชีวิต ที่มีค่า ประเสริฐ ได้เท่านั้น จึงชื่อว่า ไม่ใช่มนุษย์โมฆะ

๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๘


 

ชีวิตที่ประเสริฐ

ชีวิตนั้นสั้นนัก ชีวิตนี้น้อยนัก หากคนประมาทชีวิต ไม่คิดศึกษา ไม่คิดสังวรตน ไม่คิดบำเพ็ญตน ปล่อยเวลา ให้ล่วงไปๆ โดยระเริง อยู่กับโลก ก็ตาม

เผลอตัว เผลอใจ ไม่มีสติ ปล่อยไปตาม ความเคย ความเป็นเดิมๆ ก็ตาม ย่อมทำให้ ชีวิตหล่นไป จากการตั้งใหม่ ผู้ใดได้ศึกษา ปฏิบัติธรรมะ มีสติ สัมปชัญญะ รู้ตนเอง ทำขณะ แต่ละขณะ ให้สังวร ระวัง ระลึกได้ถึงกุศล ทำตนให้มี กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี ให้สู่กุศล อยู่ในขณะ ทุกขณะได้ ผู้สังวรตน มีสติรู้ตน กระทำตนได้ เช่นนั้นๆ แล ชื่อว่า เป็นผู้ยังชีวิต ให้สู่สุคติ หรือ ใช้ชีวิตที่น้อยนี้ ให้มีการก้าวหน้า ไปสู่ความเจริญ ความประเสริฐ อย่างถูกต้อง ตามที่พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ได้สอนเรา เพื่อก้าวเดินไปสู่ ความเป็นที่สุด แห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ โดยมีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ พากเพียร กระทำตน ดังกล่าวนี้ เทอญ

ชีวิตอันน้อยนี้ จักเดินไปสู่ที่หมาย สมกับความเป็นมนุษย์ ผู้มีจิตสูงได้ จริงแท้

๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๘


ถอดเท็ปโดย โครงงานถอดเท็ป
พิมพ์โดย นัยนา ๒๓ ก.พ.๒๕๓๓
ตรวจทาน โดย ปราณี ๒๓ ก.พ.๒๕๓๓ / น.ส.อุทัยวรรณ

คาถาธรรม ๑๓ / คาถาธรรม ๑๔ / คาถาธรรม ๑๕