ชีวิตจำลอง

๒.น้ำท่วมใหญ่

“คุณหลวง” สามีคุณนาย เป็นบุคคลที่ผมรัก และเคารพมาก ชื่อเต็มของท่านคือ เรือเอก หลวงยุทธวินัยพิเนตร เป็นนายทหารเรือเก่า ย้ายไปรับราชการที่กรมพลศึกษา สมัยเป็นเรือเอก และเกษียณที่นั่น ที่ประตูบ้าน จึงมีรูปสมอเรือ กับสามห่วง ซึ่งหมายถึง ทหารเรือ และกรมพลศึกษา

ท่านเสียไปนานแล้ว แต่ผมยังจดจำท่าทาง อันสง่างามของท่านได้ คุณหลวงอารมณ์ดีเสมอ รักครอบครัวเป็นชีวิตจิตใจ ผมรับใช้ อยู่ที่บ้านท่านหลายปี เคยเห็นท่านเถียงกับคุณนาย เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ ปี ๒๔๘๕ เย็นวันหนึ่ง คุณหลวงพายเรือลำเบ้อเริ่มกลับบ้าน ทุกคนในบ้าน รวมทั้งตัวผมด้วย ออกมามุงดู เรือลำนั้น เป็นการใหญ่ คุณนายไม่เห็นด้วย ที่คุณหลวงซื้อเรือทั้งที กลับไปซื้อเรือหัวผุมา ผุจนหัวไม่มี มีแต่ท้ายเรือ คุณหลวง ก็มีเหตุผลของท่าน เนื่องจากปีนั้น น้ำท่วมมากจริงๆ ท่วมเจิ่งไปหมดทั้งเมือง ไม่มีที่ไหนที่น้ำไม่ท่วม ท่วมมิดศีรษะเป็นอย่างน้อย รถวิ่งไม่ได้เลย ไปไหนมาไหน ต้องใช้เรืออย่างเดียว ใครๆ ก็ออกเที่ยวหาซื้อเรือไว้ใช้ เรือจึงหาซื้อยาก และมีราคาแพงลิบลิ่ว

ส่วนผมและเด็กๆในบ้านคุณหลวง ไม่เดือดร้อน เราสนุกกับน้ำมาก ช่วยกันตัดต้นกล้วย ต้นโตๆ มาสี่ห้าต้น เอาไม้ไผ่เสียบกลาง ทำเป็นแพ หาไม้ไผ่อันยาวๆ มาเป็นถ่อค้ำ ไปไหนมาไหนสนุก แต่แล่นช้ากว่าเรือคุณหลวงมาก และ ต้องเปลี่ยนแพบ่อยๆ เวลาต้นกล้วยเน่า

โรงเรียนทุกโรงเรียน ปิดไม่มีกำหนด จนกว่าน้ำจะลด เด็กๆอย่างเราชอบนัก อยากให้น้ำท่วมนานๆ สนุกดี

ที่หน้าบ้านคุณนาย มีมะขามเทศต้นใหญ่ โคนต้นมีแคร่ไม้ ปลูกไว้สูงๆ เป็นทำเลดีมาก ผมจองเป็นที่นั่งตกปลาทุกวัน วันหนึ่งๆ ตกได้ปลาหมอเป็นไหๆ ผมทำบาปขึ้นดีนัก ไม่มีเบื่อ ยิ่งตกปลายิ่งสนุก นั่งตกปลาอยู่คนเดียว ไม่ต้องมีใครอยู่เป็นเพื่อน เพลินอยู่ทั้งวัน

เหยื่อสำหรับตกปลา มีหลายอย่าง ผมจับไส้เดือนมาเป็นกำมือๆ เอามีดมาหั่นเป็นท่อนสั้นๆ เหมือนกับมันไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่เจ็บไม่ปวด ใครจะเจ็บ ใครจะตายก็ช่าง ขอให้ผมสนุกก็แล้วกัน เมื่อน้ำท่วมนานๆ หาไส้เดือนยากเข้าทุกที ตรงไหนน้ำท่วม ตรงนั้นไส้เดือน ตายหมด มันไม่ใช่ปลา จะได้ดำอยู่ใต้น้ำได้ ผมหาเหยื่อชนิดใหม่ ไล่จับแมลงสาบ แมงมุม เอาเบ็ดเกี่ยวทั้งเป็นๆ หย่อนลงไปในน้ำ ขณะที่มันเจ็บปวดเจียนตาย เพราะเบ็ดเกี่ยว ต้องตะเกียกตะกายหนีน้ำ ว่ายไปได้ไม่นาน ก็ถึงกาลอวสาน ถูกปลาฮุบ กงเกวียน กำเกวียน ปลาฮุบเหยื่อ ติดเบ็ดเข้าไปด้วย กลายมาเป็นเหยื่อของผมอีกทีหนึ่ง

ตอนปลากินเบ็ดนี่ สนุกอย่าบอกใครเชียว ทุ่นกาบมะพร้าวชิ้นเล็กๆ ที่ผูกอยู่เหนือเบ็ด ถูกปลาลากไป จมน้ำ ผลุบๆโผล่ๆ ต้องใจเย็น อย่าไปตื่นเต้น รอจนกระทั่งปลาติดเบ็ดแน่ๆ จึงตวัดขึ้นมา ตอนที่ปลาดึงเบ็ด ก็คาดคะเนเอาจากแรงดึง ว่าปลาจะตัวใหญ่ขนาดไหน ทั้งตื่นเต้นทั้งสนุก สนุกบนความทุกข์ของผู้อื่น

มะละกอสวนคุณนาย ปลูกไว้หลายร้อยต้น ถูกน้ำท่วมตายหมด มะละกอ เป็นต้นไม้ใจเสาะ น้ำท่วมไม่กี่วันก็ไปเสียแล้ว ต้องเก็บลูกดิบๆ มากวนขาย กวนไปเสียดายไป มะละกอ ”สายน้ำผึ้ง” หวาน มีชื่อเสียงมาก ขายได้ราคาดี สวนฝั่งธน ดินดีเหลือเกิน ผมไม่เคยเห็น ใส่ปุ๋ยเลย แต่โตเอาๆ ต้นสูงใหญ่ ลูกเต็มคอ ต้องใช้บันไดปีนขึ้นไปเก็บ สวนมะละกอล่ม เพราะน้ำท่วม ผมไม่ใช่เจ้าของ ยังเสียดายมาก ขนาดนั้น แล้วคุณนายจะเสียดายขนาดไหน แต่ท่านไม่ได้ปริปากบ่น ให้เราได้ยินเลย

น้ำท่วมได้ก็ท่วมไป ก่อนที่ลูกจะเหี่ยวคาต้น ท่านก็สั่งให้พวกเราโค่นลงหมด กวนไว้กินไว้ขาย ผมยังจำได้ ตอนนั้น เราตั้งกระทะใบใหญ่ๆ วางเรียงกันเป็นตับ กวนทั้งกลางวัน กลางคืน มะละกอกวนของคุณนาย ขายดีอีกนั่นแหละ คุณนายทำมาค้าขึ้น เพราะท่านขยัน เอาจริงเอาจัง เป็นที่รักเคารพของลูกจ้างทุกคน

คุณนายมีบุตร ๕ คน มีคนใช้อีกหลายคน นอกจากป้าเหลี่ยน ป้าหงัด แม่ วัว และผมแล้ว ยังมีลุงเพชร คนทำสวนอีก ซึ่งมีลูกหลายคน ปลูกกระต๊อบอยู่ที่สวนหลังบ้าน ลุงเพชร เป็นคนวัดไทร เมียเย็บงอบเก่ง แม้คุณหลวงคุณนาย จะมีที่ทาง เป็นมรดกตกทอดมาบ้าง เงินก็ไม่พอใช้ เพราะคุณหลวงทำงานคนเดียว คุณนายจึงไม่เหมือนคุณนายคนอื่น ต้องทำงานหาเงิน ช่วยคุณหลวงเลี้ยงลูกๆ และบริวาร นอกจากปลูกมะละกอขาย เป็นล่ำเป็นสันแล้ว คุณนายยังทำหวานเย็นขายอีกด้วย

แต่ก่อนนี้ตู้เย็นไม่ใคร่จะมีใช้กัน หลายๆสิบบ้าน จึงจะมีตู้เย็นสักบ้าน คุณนายมีตู้เย็น ขนาดใหญ่ถึง ๗ ตู้ วิธีทำหวานเย็น ไม่ยาก เอาถาดสำหรับ ทำน้ำแข็งในตู้เย็น มาใส่น้ำอื่นๆ เช่น น้ำสละ โซดา กะทิ สังขยา และมะพร้าวอ่อน ขายดิบขายดี ใครๆกินหวานเย็นคุณนาย เป็นต้องติดใจ ทั้งสะอาด ทั้งอร่อย ช่วยให้คนแถวนั้น ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีงานทำไปตามๆกัน ใครตัวใหญ่ แข็งแรงหน่อย ก็สะพายไปขาย ๒ กระติก คนขายหวานเย็น ส่วนมากจะไปขาย แถวโรงสีคลองสาน วัดเศวตฉัตร และบุคคโล

บางครั้ง คุณวินัย ลูกคนเล็กของคุณนาย ก็ไปนั่งขายหวานเย็น ที่ริมถนนตากสินหน้าบ้าน ผมตัวเล็กกว่า สะพายกระติกไม่ไหว ก็ไปนั่งเป็นผู้ช่วย พี่เป้าลูกของลุงผม ขายหวานเย็นเก่งมาก เอาไปเท่าไหร่ๆ ขายหมดทุกที ต่อมาพี่เป้า เรียนสูงๆ ได้เป็นอาจารย์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ

ผมพลอยสนุกไปกับเขาด้วย คอยเมื่อไรพี่ๆ ที่ออกไปขายหวานเย็น จะกลับมา เย็นๆ เขาจะสะพายกระติก มาคืนที่บ้านคุณนาย นั่งนับเศษสตางค์ พร้อมกับคุยกัน ถึงลูกค้ารายแปลกๆ ที่ไปพบเห็นมา ที่จริงขายหวานเย็น ดูๆก็สนุก เดินไปสั่นกระดิ่งไป และร้องขายไป “หวานเย็นครับ หวานเย็น หวานเย็นกะทิ สละ มะพร้าวอ่อน สังขยา ครีมโซดาครับ” พอลูกค้าเรียก ก็วางกระติก เอาคีมคีบหวานเย็น พร้อมกับเอากระดาษแผ่นเล็กๆ จับยื่นส่งให้

คู่แข่งของหวานเย็น คือไอติม หวานเย็นใส่อะไรอร่อยๆ ไอติมก็ใส่อย่างนั้น แถมยังมีการจับไม้แดง ใครโชคดี ก็ได้กินไอติมฟรี ไม่ต้องเสียเงิน คนขายจะมีไม้แท่งกลมๆ เล็กๆ ขนาดตะเกียบ ยาว ๑ คืบ มีประมาณ ๑๐ อัน ใส่กระบอกสังกะสี ติดตัวไว้ พอคนซื้อ จ่ายเงินซื้อไอติม คนขายจะยื่นไม้ให้จับ ส่วนใหญ่คนซื้อแพ้เกือบทุกครั้ง แต่ก็สนุก เพราะซื้อของด้วย เล่นการพนันไปด้วย

 

อ่านต่อ / ๓. สมัยหวอ /