ชีวิตจำลอง

๕. พ่อค้าปลาสด

๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒
คารวะพี่ชายใหญ่ที่เคารพ

สวัสดีปีใหม่ ขอให้พี่มีความเจริญรุ่งเรือง ในหน้าที่การงาน ดิฉันได้มีโอกาส เขียนจดหมายมาหาพี่ คุณพ่อของดิฉัน ชื่อ “โหลวเซี้ยวเอ็ง” เป็นน้องชายของคุณพ่อพี่ ดิฉันเป็นลูกสาวของท่าน ชื่อ “เสี่ยวหลิง” ด้วยเราอยู่ห่างไกลกันมาก การส่งข่าวคราว จึงไม่ค่อยสะดวก ตอนตรุษจีน ลูกสาวของป้า ได้เดินทางมาบ้านพี่ ได้เล่าถึงญาติพี่น้อง หน้าที่การงาน และมารยาท วัฒนธรรมของเมืองไทย เธอชื่อ “เจิ้งซู” ได้ให้ที่อยู่ของพี่ไว้ ไม่ละเอียดนัก แต่ด้วยบุญที่ได้ทำไว้ ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้ได้พบ เราจึงได้มีวาสนาได้ติดต่อกัน

ขอให้พี่ระลึกถึง ความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เขียนจดหมายมาติดต่อกันบ้าง ดิฉันมีลูกชายสองคน มีงานทำแล้วทั้งคู่ หวังว่าพี่คงจะมาเยี่ยม พี่น้องของเราบ้าง พร้อมนี้ได้ส่งรูปของพ่อ ตอนเป็นหนุ่ม มาให้ดูเป็นที่ระลึก พวกเราทุกคนสบายดี หวังว่าพี่คงมีความสุข เช่นกัน

เสี่ยวหลิง (น้องสาวของพี่)

จดหมายนี้ เป็นอักษรภาษาจีน ส่งมาที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเลขานุการของผม อ่านไม่ออก จึงไหว้วานให้ผู้รู้แปลให้ ผมอ่านแล้ว จับต้นชนปลายไม่ถูก ผมมีน้องสาว อยู่ที่เมืองจีนด้วยหรือนี่

เป๊ะหรือฉวีวรรณ ลูกสาวของอา ชี้แจงให้ฟังว่า เตี่ยของเสี่ยวหลิง ที่ชื่อโหลวเซี้ยวเอ็งนั้น เป็นอาผมจริงๆ เป็นน้องแท้ๆ ของเตี่ยผม

เตี่ยของเสี่ยวหลิง เสียไปนานแล้ว ผมเพิ่งจะมารู้ว่า มีอาอยู่ที่เมืองจีน ก็ตอนที่ได้รับจดหมายฉบับนี้ ในเมืองไทย แซ่โล้ว เป็นตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง ไม่ใหญ่เหมือน แซ่ตั้ง แซ่ลิ้ม แซ่ฉั่ว แต่ผมก็ญาติเยอะ จนจำไม่ได้ว่ามีใคร และอยู่ที่ไหนกันบ้าง “เจิ้งซู” ที่เสี่ยวหลิง เอ่ยถึง ในจดหมายนั้น ผมก็ไม่รู้จัก คงจะเป็นญาติผมอีกเช่นกัน

จดหมายฉบับนี้ เตือนผมให้นึกถึงเลือดเนื้อเชื้อไข ซึ่งที่จริง ผมไม่เคยลืมว่าผมเป็นใคร มาจากไหน แต่ทำอย่างไรๆ ผมก็รู้สึกว่า เป็นไทยตลอดเวลา เพราะเตี่ยผม ตายตั้งแต่ผมเพิ่งเริ่มคลานได้เท่านั้น ยังจำความอะไรไม่ได้เลย ผมตามถามญาติคนนั้นคนนี้ เพิ่งจะมาทราบเอา เมื่อผมอายุย่างเข้า ๕๕ ว่า ก๋งผมชื่อฮกไล้ อาม้าผมชื่อ เพ็กเลี้ยง แซ่ฉั่ว

แม่ แม้จะเป็นลูกจีน แต่ก็พูดไทยชัด แต่งตัวและมีความเป็นอยู่แบบไทยๆ แม่กินหมากมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบดูลิเก จำโคลงกลอนต่างๆแม่น น้องสาวผมอีกสองคน แม่ร้องเพลงกล่อม ด้วยเพลงชุดเดียวกับที่เคยกล่อมผม แม่ไม่ได้สอนภาษาจีนให้ผมเลย ราวกับจะรู้ว่า โตขึ้น ผมคงไม่ได้เป็นพ่อค้า เหมือนพ่อเหมือนแม่ พ่อบังเกิดเกล้าผมชื่อ ฮะเสียว แซ่โล้ว หรือชื่อเป็นภาษาไทยว่า สมนึก ชุนรัตน์ เกิดที่เมืองจีน หอบเสื่อผืนหมอนใบ มาเสี่ยงโชคในเมืองไทย เตี่ยขายปลาสด อยู่ที่เจริญพาศน์ ฝั่งธนบุรี แม่ผมชื่อบุญเรือน เตี่ยของแม่ชื่อ กุ๊กกู แซ่จิว และแม่ชื่อ กิมท้วน ผมมีพี่ชายคนเดียว ซึ่งเมื่อตอนเล็กๆ แม่เรียกว่า “หัวโต” ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ พออายุ ๔ขวบ เตี่ยก็พาพี่หัวโต ไปอยู่กับอาม้า ที่เมืองจีน และเสียชีวิตที่นั่น เมื่อเกิดสงครามในเมืองจีน โดยไม่มีโอกาสกลับมาเมืองไทยอีกเลย

ตอนผมเกิด แม่อาศัยอยู่กับยาย “ยายท้อ” เป็นน้าสาวของแม่ เป็นหมอตำแยมีชื่อ ใครๆ แถวสำเหร่ บุคคโล บางน้ำชน จะคลอดลูก ก็ต้องไปตามยายผม ส่วนตา สามีของยาย ผมเรียกท่านเป็นภาษาจีนว่า “เล่าเตี๋ยว” ซึ่งแปลว่า “ตา” ชื่อจริงๆของท่าน ผมไม่รู้ และ ไม่ลำบากใจ เพราะเรียก”เล่าเตี๋ยว”ทีไร ท่านรู้ทุกที ว่าผมหมายถึงท่าน

เล่าเตี๋ยวเช่าที่ทำสวนพลู อยู่ตรงบริเวณ ที่เป็นโรงพยาบาลพระปิ่นเกล้าเดี๋ยวนี้ บ้านมีดิน ธรรมดาๆ เป็นพื้น หลังคามุงด้วยจาก ฝาขัดแตะด้วยไม้ไผ่ หน้าร้อนเย็นสบาย โดยไม่ต้องมีพัดลม เหมือนเดี๋ยวนี้ ตอนหลังเมื่อโตขึ้น ผมไปเยี่ยมบ้านเกิดของผมเสมอๆ จนกระทั่งถูกรื้อ เพื่อสร้างโรงพยาบาลทหารเรือ

เตี่ยมีน้องหลายคน ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ อยู่แถวคลองเตยบ้าง บ้านขมิ้นบ้าง ผมสนิทอยู่คนเดียว คืออาผู้หญิง ที่ผมเรียกว่า “อาโก” ตั้งร้านขายของ อยู่ที่อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท มีลูกสาว ชื่อเป๊ะ หรือฉวีวรรณ ที่เล่าเรื่องเสี่ยวหลิง ให้ผมฟัง

“อาโก” ไว้ผมมวย นุ่งกางเกง เหมือนผู้หญิงจีนทั่วๆไป พูดไทยไม่ชัด แต่สนใจติดตามข่าว ความเป็นไปของสังคม รู้จักคนมาก ชอบช่วยเหลือคนอื่น ถึงเวลาเลือกตั้งผู้แทน บางครั้งก็เป็นหัวคะแนนให้เขา โดยไม่เอาอะไรเลย ผู้ที่อาเป็นหัวคะแนนให้ มักจะได้เป็น ส.ส.เสมอ เป็นที่ภาคภูมิใจของอา

อาโกเสียชีวิตที่มโนรมย์ เมื่อต้นปี ๓๒ นี้เอง เคยมาเยี่ยมผม ปีละครั้งสองครั้ง มาครั้งใด ก็มักจะเล่าความหลังให้ผมฟัง อาจำแม่น เหมือนเหตุการณ์ เพิ่งเกิดขึ้น

บางครั้ง อารู้สึกจะน้อยใจ ที่ผมไม่มีความเป็นจีนเอาเสียเลย พูดภาษาจีนไม่ได้ ฟังก็ไม่ออก อาคุยไปๆ บางทีติด นึกคำไทยไม่ออก ผมก็ได้แต่นั่งหัวเราะ ท่านคุยเก่ง และคุยสนุก รักผมเหมือนลูก อาโกรัก และเคารพเตี่ยผมมาก เพราะหอบหิ้วกันมาจากเมืองจีน สามีของอาโก มีฐานะดี เป็นเสมียนโรงสี ที่ติ๊ดง้วน ซึ่งอยู่ในเขตคลองสาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ผมเกิดได้ไม่นาน เตี่ยก็พาผมและแม่ ไปอาศัยอยู่กับอาโกและครอบครัว ต่อมาโชคร้าย โรงสีต้องเลิกกิจการ เพราะพระยาโชดึก เจ้าของถึงแก่กรรม เราต้องพลัดกันไปคนละทิศละทาง อาอพยพไปทำมาค้าขาย ที่มโนรมย์ ส่วนครอบครัวเรา คงอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะ ญาติพี่น้องของแม่ อยู่กรุงเทพฯ ทั้งนั้น เตี่ยเดินทางไปๆมาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับชัยนาท เพราะรักน้องสาวมาก ไปเยี่ยมเยียนมิได้ขาด

เตี่ยเป็นคนรูปหล่อ รู้จักคนมาก ชอบเข้าสังคม และรักการพนัน เตี่ยมีความกตัญญูอย่างยิ่ง ส่งเงินไปให้อาม้า ที่เมืองจีนเสมอๆ และเดินทางไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว ตั้งใจจะรับอาม้าและพี่หัวโต กลับเมืองไทย แต่เตี่ยก็ตายเสียก่อน

ผมเปลี่ยนนามสกุลจาก ชุนรัตน์ มาเป็นศรีเมือง ตอนที่แม่แต่งกับพ่อโชตน์ ซึ่งจดทะเบียน รับผมเป็นบุตรบุญธรรม ผมมีน้องสาวสองคน คือ กัญญา และภาณี ศรีเมือง เดี๋ยวนี้ เรามีด้วยกัน ๖ คนเท่านั้น ที่ใช้นามสกุลศรีเมือง คือ พ่อ แม่ น้องๆ ผม และคุณศิริลักษณ์ “ศรีเมือง” คนอื่นๆนั้น ไม่ได้เป็นพี่น้องกันเลย แต่นามสกุลนี้ ซ้ำกันอยู่หลายจังหวัด ทั้งภาคกลาง อีสาน และภาคใต้

จึงปรากฏว่า มีคนนามสกุลศรีเมือง มาพบผมเสมอๆ เพราะคิดว่าเป็นพี่น้องกัน ผมก็ได้แต่บอกว่า นามสกุลเหมือนกัน ก็เหมือนเป็นญาติกัน ดีแล้ว ต้องช่วยกันทำความดี เพื่อศักดิ์ศรีของ ”ศรีเมือง”

ท่านที่นับถือบางท่าน เห็นใจว่า นามสกุลผมซ้ำกันมาก อาจมีการแอบอ้างกันง่ายๆ ทำให้ผมเสียหาย จึงแนะนำ ให้ผมเติม”ไทย” เข้าไปอีกคำหนึ่ง เป็น”ศรีเมืองไทย” ผมก็ได้แต่รับฟัง เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี ผมก็ไม่ได้ชื่นชมกับนามสกุลผมแล้ว และผมก็ไม่มีลูก ที่จะสืบสกุล อะไรๆ เราก็ยืมโลกมาใช้ทั้งนั้น ยืมชั่วเวลาเดี๋ยวเดียว แล้วก็คืนเขาไป แม้กระทั่งร่างกาย ชื่อ สกุล ก็เช่นกัน

พ่อโชตน์ เป็นคนดำเนินสะดวก ราชบุรี ตอนบวชเป็นพระ สอบได้นักธรรมเอก แล้วเข้ามาสมัครเป็นบุรุษไปรษณีย์ เดินส่งจดหมาย ตามตรอกซอกซอยต่างๆ พ่อเป็นคนขยัน และประหยัด ตอนที่แต่งงานกับแม่ พ่อโชคดี ย้ายไปอยู่ไปรษณีย์รถด่วน ได้เบี้ยเลี้ยงเพิ่ม และ ได้กำไร จากการซื้อของเล็กๆน้อยๆขาย เท่าที่การรถไฟ อนุญาตให้ซื้อติดไปบนรถไฟได้

ตอนนั้น ผมอยู่มัธยมต้น พ่ออยู่รถด่วนสายเหนือ ซื้อไม้กวาด ซื้อชะลอม มาให้ผมขาย ผมเดินหาบจากบ้านที่สำเหร่ ไปขายถึงตลาดพลู สินค้าของเรา คุณภาพดี และถูกกว่าท้องตลาด จึงขายได้ไม่ยากนัก พอถึงหน้าลำไย ผมก็กลายเป็นพ่อค้าลำไย พ่อจะซื้อจากเชียงใหม่ มาเที่ยวละเข่งสองเข่ง ลำไยขายดี อีกเช่นกัน เพราะเราเอากำไรน้อย พอเป็นค่าข้าว ค่าขนมเท่านั้นเอง

พ่อย้ายไปอยู่รถไฟสายไหน สินค้าของผม ก็เปลี่ยนไปด้วย

ที่ขายสนุกก็คือ ของเล่น ตุ๊กตายางเป่าลม มีทั้งกวาง กระต่าย และสัตว์อื่นๆ ซึ่งพ่อซื้อมาจากปักษ์ใต้ ของมาไกล ในกรุงเทพฯ ไม่ใคร่มีขาย พอเริ่มเปิดร้าน ก็มักจะมีเด็กมายืนมุงดูทันที บางครั้ง ยังจัดร้านไม่เสร็จ ลูกค้าก็เริ่มซื้อกันแล้ว ขายไปสนุกไป ได้กำไรให้แม่ซื้อกับข้าว

แม่หยุดเป็นแม่ค้าหาบเร่ มานานแล้ว เพราะต้องเลี้ยงน้อง และทำงานบ้าน ผมจึงต้องหาบเร่แทนแม่ ผิดกับแม่ ตรงที่แม่เป็นแม่ค้า หาบเร่จริงๆ ส่วนผมเอาสินค้าใส่ลังแบกไป ถึงตรงไหนเหมาะๆ คนมากๆ ก็เอาพลาสติกปู เอาของออกมาวางขาย

เราไม่ได้ซื้อของจากต่างจังหวัด มาขายเท่านั้น ยังซื้อของจากกรุงเทพฯ ให้พ่อขนขึ้นรถไฟ กลับไปขายในต่างจังหวัดด้วย

เนื้อเค็มขายดี ผมขึ้นรถเมล์ ไปซื้อมาจากสี่แยกมหานาค ทีละมากๆ เนื้อเค็มหนักน่าดู เอามาตากแดดที่ลานบ้าน เพื่อให้หนอนที่ติดอยู่ มีจำนวนน้อยลง แล้วจับใส่ถุง เอาเชือกมัด ขนไปส่งให้พ่อ ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง

ไม่ใช่เฉพาะเนื้อสัตว์เท่านั้น บุหรี่และเหล้า ผมก็ยังขายอีก ซึ่งล้วนแต่เป็นสินค้าต้องห้าม ในศาสนาพุทธทั้งสิ้น ผมขนบุหรี่ ที่พ่อซื้อจากทางใต้ ขึ้นรถราง ไปเที่ยวขายตามแผงบุหรี่ แถวเจริญกรุง เยาวราช ผมเที่ยวแถวนั้น เสียจนปรุ รู้ตรอกซอกซอยหมด แม้จะเป็นเด็กฝั่งธนก็ตาม

เหล้าได้กำไรดีเหมือนกัน ซื้อส่งให้พ่อไปขาย ครั้งละห้าหกขวด อยู่มาวันหนึ่ง ขึ้นรถเมล์ ไม่มีที่นั่งว่างเลย ผมต้องยืนโหนไป มีคนขึ้นพอหลวมๆ ผมเอาเหล้าบุหรี่ มัดกันเป็นพวง วางไว้ข้างเท้า ถึงวงเวียนเล็ก รถเมล์หักเลี้ยวอย่างหวาดเสียว ขวดเหล้าล้มลงแตก ไม่เหลือสักขวด น้าที่ขับรถเมล์ แทนที่จะเห็นใจ กลับหันมาดุผมอีก ว่าผมไม่รู้จักระวังให้ดี ทำให้รถสกปรก เพราะน้ำเหล้า ไหลนองพื้นรถ ผู้ใหญ่ใจร้าย มีให้ผมเห็นเสมอๆ ตั้งใจไว้ว่า โตขึ้น ผมจะไม่เป็นอย่างน้าคนนั้น

จบเป็นนายทหารใหม่ๆ พ่อก็ยังทำงานไปรษณีย์รถด่วน มีอยู่คราวหนึ่ง ผมไปราชการต่างจังหวัด ขึ้นรถขบวนเดียวกับพ่อ เดินแวะไปเยี่ยมท่าน ได้เห็นกับตา ว่าบุรุษไปรษณีย์รถด่วน ทำงานหนัก ทั้งกลางวันและกลางคืน ขนถุงเมล์ขึ้นลง เมื่อรถจอดสถานี เวลานอน ก็นอนทับบนถุงเมล์ ที่วางกองซ้อนกันสูงๆต่ำๆ เป็นผมนอนไม่หลับแน่ ผมได้เห็นความอุตสาหะของพ่อ เพื่อหาเงิน มาเลี้ยงแม่ ผม และน้องๆ อีกสองคน พ่ออุตส่าห์ทำงานหนักอย่างนั้น ติดต่อกันมาหลายปี จนฐานะของเราดีขึ้นบ้าง ไม่จวนเจียน จะอดตาย เหมือนเมื่อก่อน

พ่ออยู่ที่ไหน ทั้งนายและเพื่อนร่วมงานรักทั้งนั้น เพราะพ่อขยัน เอาจริงเอาจังกับหน้าที่การงาน เมื่อใกล้อายุ ๖๐ พ่อทำต่อไปไม่ไหว จึงขอลงจากรถด่วน ตอนนั้นผมเรียนจบแล้ว และน้องๆ ก็โตแล้ว เราจึงไม่เดือดร้อนอะไรนัก

พ่อเป็นคนกระเหม็ดกระแหม่ นึกถึงอนาคตของลูกๆ ทราบมาว่า บริษัทนครหลวงประกันชีวิต เขามีทุนการศึกษาให้กับลูก ของสมาชิกประกันชีวิต ที่เป็นเด็กเรียนเก่ง พ่อพยายามเก็บหอมรอมริบ เอาเงินส่งเบี้ยประกันอยู่หลายปี ยื่นขอทุนการศึกษาให้ผม ก็ไม่ได้ทุนสักที มิหนำซ้ำ ส่งเบี้ยประกันเกือบครบกำหนดแล้ว บริษัทล้มละลายเอาดื้อๆ ผู้เอาประกัน รวมตัวกันฟ้อง ได้เงินคืนคนละนิดหน่อย ผมและน้องๆ เสียดายมาก เราพอจะมีเงินบ้าง เขาก็โกงไปหมด เมืองไทยเมื่อไรจะหมดคนโกง เราไม่ได้โกงเขา ทำไมเขาถึงโกงเรา.

 

อ่านต่อ / ๖. วัดสำเหร่