๘. ร่วมกันสู้ หน้า ๑๑๘

รับเสด็จเก้อ

รุ่งเช้า วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ผู้ชุมนุมอยู่กันหนาแน่นตลอดคืน ตอนเช้าจึงไม่เป็นห่วงว่าทหารตำรวจ จะเข้ากวาดล้าง ประชาชนมีจำนวนมากมาย เกินกว่าที่จะจับกุมได้ เรามีการปราศรัย สลับการร้องเพลง สนุกสนาน ครึกครื้นตลอดเวลา

ตอนหกโมงครึ่ง ขณะที่ผมนั่งบนหลังคารถ ไปปราศรัยกับผู้ร่วมชุมนุม บริเวณสะพานผ่านฟ้านั้น อีกด้านหนึ่งของสะพาน คือแถวๆกรมโยธาธิการ พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารบก และพลโทชัยณรงค์ หนุนภักดี แม่ทัพภาคที่ ๑ ได้ไปตรวจความพร้อมรบ ของทหารอยู่พอดี แต่ไม่ปรากฏตัว ให้ประชาชนที่ร่วมชุมนุมเห็น

คนของรัฐบาลได้เริ่มประโคมข่าว งานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ที่ท้องสนามหลวงว่า จะมีพิธีเปิดงานในวันที่ ๑๐ วันนี้ต้องการจะให้พวกเรา ไปชุมนุมกันที่อื่น เพราะกีดขวาง เส้นทางเสด็จฯ

เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา พลอากาศเอกอนันต์ กลินทะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ไปตรวจบริเวณรั้วลวดหนาม สะพานผ่านฟ้า และแถลงแก่ผู้สื่อข่าวว่า ภายในเวลาห้าโมงเย็น จะให้ตำรวจผลักดันผู้ชุมนุมออกไป เปิดเส้นทางให้ขบวนของ สมเด็จพระเทพฯผ่าน เพื่อทรงเป็นประธานเปิดงาน สัปดาห์พระพุทธศาสนา ที่ท้องสนามหลวง

ที่จริงคณะผู้จัดการชุมนุม ได้ประชุมเตรียมการกันมา ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคมแล้วว่า วันที่ ๑๐ พฤษภาคม เราจะเตรียมการรับเสด็จให้พร้อม ก่อนบ่ายสามโมง คุณปริญญาและเพื่อนๆ นักศึกษาในกลุ่ม สนนท. เป็นผู้ริเริ่มลงมือดำเนินการเอง โดยหารือกับ ส.ส.ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ผู้ร่วมชุมนุม ต่างก็ช่วยกันเป็นการใหญ่ รื้อเวทีปราศรัย ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออก แม้ไม่เกะกะกีดขวาง ก็ดูไม่งาม เต็นท์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในถนน เก็บไปเรียงข้างถนนด้านหนึ่ง อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้ประชาชนได้หลบแดด เตรียมรับเสด็จฯ และช่วยกันเก็บกวาด ถนนราชดำเนินเสียเรียบ เศษขยะไม่มีหลงเหลืออยู่เลย

คณะผู้จัดการชุมนุม นึกขึ้นมาได้ว่า ยังขาดอีกอย่างหนึ่ง จึงรีบออกไปซื้อธงชาติเล็กๆ มาเป็นหมื่นๆ แจกผู้ชุมนุมไปทุกคน เรานั่งกันเรียบร้อยบนทางเท้า ซ้อมโบกธงชาติ ก่อนถึงเวลาที่ สมเด็จพระเทพฯเสด็จ สีน้ำเงิน ขาว แดง โบกสะบัด งามสะพรั่งเต็มไปหมด

พวกเรารีบส่งข่าวไปยังฝ่ายรัฐบาลว่า พสกนิกรของพระองค์ท่าน มากันครบทุกภาคของประเทศ ต่างชื่นชมยินดี ที่จะได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จฯ

พร้อมกันนั้น ก็พาผู้สื่อข่าวขึ้นรถตู้ ตระเวนถ่ายภาพความสวยงาม ของการเตรียมรับเสด็จ ๒ ฝั่ง ถนนราชดำเนิน ตั้งแต่สะพานผ่านฟ้า ไปจนเกือบถึงสี่แยกคอกวัว ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างชาติ ประทับใจ ในความพร้อมเพรียงของพวกเรา

ตั้งแต่บ่ายโมงกว่าๆเป็นต้นมา การเตรียมงานต่างๆ ก็เสร็จเรียบร้อย รถผ่านเข้าได้ตลอด จากสี่แยกคอกวัว ไปถึงสะพานผ่านฟ้า แต่ก็ติดอยู่เพียงแค่นั้น ผ่านต่อไปไม่ได้ เพราะตำรวจ ไม่ยอมเอาลวดหนามออก

เมื่อเราเปิดถนนด้านสี่แยกคอกวัว รถวิ่งกันไปไม่ขาดสาย ทั้งรถส่วนตัว รถแท็กซี่ และรถเมล์ วิ่งไปถึงสะพานผ่านฟ้า ติดลวดหนาม ก็ต้องวิ่งอ้อมกลับออกไป ดีเหมือนกัน จะได้ดูการเตรียมรับเสด็จ ของพวกเราว่า ทำได้เรียบร้อยสวยงามเพียงใด และใครเป็นผู้ปิดกั้น ถนนกันแน่

ผู้สื่อข่าวเป็นพยานแทนพวกเราว่า เราไม่ได้กีดขวางเส้นทางเลย ผู้ที่กีดขวางคือรัฐบาล ไม่สั่งให้ตำรวจทหาร เก็บลวดหนามออกไป สมเด็จพระเทพฯ จึงเสด็จผ่านถนนราชดำเนินไม่ได้ สงสารประชาชนจำนวนมาก ที่ตั้งใจรอคอยรับเสด็จฯ เป็นเวลานาน

เมื่อตอนกลางคืนวันที่ ๙ พฤษภาคม ผมยังขึ้นพูดบนหลังคารถ หันลำโพงไปยังตำรวจทหาร ที่อยู่บนสะพานผ่านฟ้าว่า “พี่น้องตำรวจทหารครับ พรุ่งนี้วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ต้องเอาลวดหนาม ออกนะครับ สมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จไปทรงเปิดงานที่สนามหลวง ถ้าไม่เปิดลวดหนาม คราวนี้ละน่าดู”

ผมกระเซ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร โดยไม่ได้มีเลศนัยว่า เมื่อเปิดลวดหนามแล้ว เราจะถือโอกาส เล็ดลอด ข้ามแดนไปฝั่งโน้น ก็เปล่า

นึกแล้วไม่มีผิด รัฐบาลจะต้องหาเหตุมาอ้าง เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ทางบ้าน เกลียดชัง ผู้ไปร่วมชุมนุมว่า ไม่จงรักภักดี เวลา ๑๑ นาฬิกาครึ่ง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ออกอากาศทุกช่อง พร้อมกันหมด ประกาศให้ประชาชนทราบว่า ผู้ชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน ปิดกั้นเส้นทางเสด็จฯ จำต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น โดยมีนายตำรวจ ออกมาชี้บนแผนที่อย่างละเอียด

มิหนำซ้ำเวลาประมาณเที่ยง ทหารได้นำลวดหนามเข้ามาเสริม บนสะพานผ่านฟ้า เพิ่มเติมเข้าไปอีก โดยแนวลวดหนามใหม่ ห่างจากแนวเดิม ประมาณ ๕ เมตร

นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หลังจากเสร็จการประชุม เรื่องการเสด็จพระราชดำเนิน ของสมเด็จพระเทพฯ ได้แถลงข่าวยืนยันว่า ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน เพราะผู้ชุมนุม จงใจปิดเส้นทาง ในถนนราชดำเนิน

วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์หลายฉบับ ได้แพร่ภาพการเตรียมรับเสด็จของผู้ชุมนุม เห็นภาพชัดว่า สองฝั่งถนนราชดำเนิน เตรียมไว้เรียบร้อยสวยงามมาก ประชาชนจึงเข้าใจ และรู้ว่าใครโกหก

ทั้งเหตุการณ์นี้ และเหตุการณ์อื่นๆ ทุกคนรู้แล้วว่า ข่าวอะไรที่เกี่ยวกับการชุมนุม ที่วิทยุและโทรทัศน์ เสนอข่าวให้ทราบนั้น เชื่อถือไม่ได้ โกหกทั้งสิ้น จึงพยายามไปดูด้วยตนเอง ทำให้ผู้ชุมนุมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ให้บทเรียนอย่างดียิ่ง ถึงผลของการบิดเบือนข่าว



การรวมตัวโดยสันติ
และด้วยจิตใจที่คิดแต่เพียง
ไม่ต้องการให้ผู้นำทหาร
ขึ้นมาปกครองประเทศนี้อีก
เพราะแผนการที่จะสานต่ออำนาจ
ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ไปชั่วลูกชั่วหลานของพวกเขา
ชัดเจนจนประชาชนยอมรับไม่ได้
(จาก กรุงเทพธุรกิจ ฉบับ “พฤษภามหาวิปโยค”)

 

อ่านต่อตอน ๙
หยุดพักชั่วคราว

 

จากหนังสือ... ร่วมกันสู้ ...พลตรี จำลอง ศรีเมือง *รับเสด็จเก้อ * หน้า ๑๑๘