ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๒๑)
๕ ตุลาคม ๒๕๒๕

เราพิจารณาด้วยภาษา ที่แนะเชิงให้พิจารณา พูดกันแล้วพูดกันเล่า แนะกันแล้วแนะกันเล่า มากคำมากความ มากเรื่อง มากแง่เชิง เราก็ได้ศึกษา เราก็ได้จำได้บ้าง หล่นไปบ้าง แต่ฟังมาก มันก็จำได้มากขึ้นแหละ เมื่อเราจำได้บ้าง หรือจำได้มากขึ้นก็ดี เราก็จะได้ใช้มาก การใช้ก็คือ พิจารณาจริงๆ เมื่อมีผัสสะ เมื่อมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้อยู่ในชีวิต ชีวิตรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ว่าจะสัมผัสทางกาย ทางตา หู จมูก ลิ้น หรือแม้แต่ใจของเรา อยู่ในที่ ไม่มีสัมผัสนอกมากนัก เราก็สัมผัสอยู่ในใจ สัมผัสด้วยทวารทั้ง ๖ ให้พิจารณาจริงๆ เหตุผล หัวข้ออธิบาย เงื่อนแง่ต่างๆ เชิงชั้นต่างๆ ล้วนแล้วแต่ เอามาใช้ประกอบกับเวลา เรามีผัสสะจริงๆ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็อ่านต่อผัสสะนั้น มันไปถึงใจ มันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เราเกิดอารมณ์ชอบ อารมณ์ชัง อารมณ์เสพย์ อารมณ์เป็นอย่างนั้นแหละ เป็นอารมณ์ทุกข์ อารมณ์สุข หรือ อารมณ์เฉยๆ ถ้าเฉยๆ อย่างโมหะ เราก็ให้รู้ตัวว่า เอ๊ะ! เฉยๆอย่างโมหะนี่ มันใช้ไม่ได้นะ มันไม่รู้ดี มันไม่รู้ชั่ว มันก็สบายๆ ดีเหมือนกันล่ะ โมหะ แต่ว่ามันไม่รู้ว่า เราได้ หรือเราดีขึ้นหรือเปล่า

เราจะต้องรู้ อย่างแท้จริงเลยว่า เฉยก็ต้องรู้ว่าเราเฉย เพราะตอนนี้ เราไม่ต้องการมัน ถ้าเราขืนต้องการมัน หรือเราสัมผัสแล้วว่า ไอ้สิ่งนี้ เราเคยต้องการมัน แต่ตอนนี้ เราพักยกไว้ก่อน เรากินอิ่มแล้วน่ะ ถ้าไม่อิ่มซี จะอร่อยไม่หยอก จะหิว จะอยาก แกล่ะ แต่ตอนนี้มันอิ่ม มันเต็มท้องแล้ว เราก็เลยเฉยๆ หรือว่า ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลา เราก็เฉยๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะเป็นเงื่อนไข ในการกำหนด ให้เราเฉยๆกับมัน โดยที่แท้จริง เราไม่ได้ตัดกิเลส ออกเลย มันไม่ได้เฉย เพราะรู้เท่าทัน แล้วเราก็ไม่มีกิเลส ไม่มีปฏิพัทธ์ ไม่ดูดไม่ดึง อะไรจริงๆ สมควรรับ รับ ไม่สมควรรับ ก็ไม่รับ โดยที่เราจะชอบมัน หรือจะชังมัน เราไม่มีจริงๆ เราจะต้องพิจารณาให้ละเอียด อย่างนั้นจริงๆ ต่อผัสสะ ผัสสะอะไรก็ทำ ถ้าเราไม่สามารถพิจารณาได้หมด ทุกสิ่ง เราก็แบ่งสิ่ง แบ่งเรื่องที่จะผัสสะ ที่จะต่อสู้ พอสมควร ควบคุมตน ให้ทำกรรมกิริยา อย่างนั้น อย่างนี้ พฤติกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นพฤติกรรมที่เราเห็นว่า ดีแล้ว ชอบแล้ว ควรแล้ว เหมาะแล้ว เท่าที่เราสามารถจะฝึกตนได้ จิตของเรา ก็จะอ่านด้วย เห็นด้วย เมื่อเราละ เราพ้น เมื่อเราล้าง ทั้งอาการของจิต ที่มันไม่ติดไม่ยึด เราก็จะรู้ความจริง เป็นสัญญา กำหนดรู้ ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้นๆ เรารู้อารมณ์เสพย์ ไม่ได้ง่ายๆ ถ้าอารมณ์เสพย์ อย่างหยาบคาย มันก็พอรู้ได้ ถ้าอย่างกลางๆ อย่างละเอียดขึ้นไป ก็ยิ่งรู้ได้ยาก จะรู้เท่าทันมันว่า เราเสพย์ แม้แต่เสพย์ทางกาม จากทวารนอกหยาบๆ เราก็ยังมีเสพย์เนียน เสพย์เนียนซ้อนลึก สุขุม ประณีต ไม่ได้รู้ได้ง่ายๆ ถ้าเราไม่มีญาณปัญญา อันละเอียดสุขุม ขอให้พิจารณา แล้วก็หัดละเลิก ปลดปล่อยกันจริงๆ เราได้แต่ฟังภาษาไปมาก เราก็รู้มาก เท่านั้นเอง แต่ว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้พิจารณา เมื่อมีผัสสะจริง มันไม่ถูกต้อง ขอให้พวกเราได้สำคัญ ในเรื่องการที่จะสำคัญในผัสสะ แล้วก็สัญญา กำหนดรู้ความจริง ซ้อนลึก แล้วก็ปรับปรุง ปรับเปลี่ยน ละจางคลาย ในเรื่องของเวทนา

เราจะรู้ทั้งองค์ประชุมที่สัมผัส แล้วเราจะรู้ทั้งเวทนา ที่เราได้ปรับเปลี่ยน ปรับแปรมา อย่างรู้ทัน จนกระทั่ง มีเวทนา อันเป็นอุเบกขาเวทนา อย่างรู้ๆ รู้ว่าโลกเขาหลง แต่เราไม่หลงตามโลกเขาแล้ว นั่นคือ ความจริงของโลกุตระน่ะ เราสัมผัสอยู่ รู้อยู่ แต่เวทนาของเรา แข็งแรงมั่นคง แล้วเราก็รู้ด้วยว่า โลกคนที่เขาอ่อนแอ เขาเป็นทาสมัน อย่างแท้จริง แต่เรานั้น ไม่ได้เป็นทาสมันแล้ว เราจะรู้ความจริงอันนี้ อย่างชัดแจ้ง นี่มีภาษาแนะบอก ก็อย่างนี้ การทำเองจริงนั้น ทุกคนจึงจะต้องมีสติสัมปชัญญะ ปัญญา แยบคาย กระทบสัมผัสอะไรแล้ว ก็พิจารณา แล้วก็ปรับปรุงตน จนกระทั่งด้วย กาย.

สาธุ

*****