ธรรมปัจเวกขณ์ (๘๖)
๑๘ มกราคม ๒๕๒๕

สิ่งที่ลึกซึ้ง ที่เราเองเราได้รู้ของหยาบมาแล้ว แต่ของละเอียดหรือลึกซึ้ง ในฐานสูงขึ้น คือฐานมานะ ฐานมานะเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องตัวตนที่ใกล้ที่ชิดตน มันอยู่ข้างใน มันอยู่ในตัวตนจริงๆ อย่างกาม มันยังมีของสัมผัสข้างนอก ยังพอมีของที่เกี่ยวที่เกาะ แต่ตัวเราเองนั้น เราดูตัวออกยากมาก เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรา ได้ระวังสังวร กันให้หนัก เราจะสมานสามัคคี เป็นกำลังอันผนึกแน่น ได้ดีก็เพราะ เราละมานะ กิเลส รู้จักการยืดหยุ่น ประมาณกัน รู้จักมัตตัญญุตา การกำหนดประมาณ เราจะแรงไป เราจะเบาไป หรือ ว่าเราจะขนาดไหน เราจะต้องฝึกต้องลอง ต้องพยายามรู้ขนาด รู้กำหนด แล้วเราก็ต้องแก้ไขปรับปรุงกัน ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น เอาเด็ดเอาเดี่ยว เสียเกินการไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนโละเละโลเล ไอ้ที่แน่แน่นเด็ดเดี่ยว ควรจะเป็นได้เป็นจริง ยืนยันก็ไม่มีตัวยืนยัน ก็เลยกลายเป็นเละๆ เลอะๆ เหลวๆ ความตามตัวมันไม่มีกันอยู่เช่นนี้แหละ มันจึงเป็นเรื่องลำบาก ที่เราจะต้องประสาน หามัชฌิมา หรือ หาความพอเหมาะพอดี เป็นสัมมาได้ยากมาก แต่เราก็จะต้องกระทำ ว่าขนาดแข็งแรงขนาดนี้ เป็นสภาพแข็งแรง ไม่ใช่แข็งกระด้าง ได้ผล อย่างนี้เป็นสภาพอ่อนโยน ไม่ใช่สภาพอ่อนแอ ได้ผล เราก็จะต้องหาจุดที่แข็งแรง-อ่อนโยน จุดที่มันเลยไป มันเป็นแข็งกระด้าง จุดที่มันอ่อนไปมันเป็นอ่อนแอ นี่ใช้ภาษา ใช้คำมาเทียบเคียงให้ฟัง โดยสภาพธรรม มันก็จะมีการมากไปน้อยไป อยู่อย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น ตัวสภาวะที่ลงตัวแน่แท้ ที่เราจะยืดหยุ่น ที่เราจะอนุโลมบ้าง ที่เราจะยืนหยัดแข็งแรง ยืนหยัดไม่อ่อนแอ เราก็จะมีอยู่ด้วย อย่างแท้จริง

สภาพที่ความพอดี จึงไม่ตายตัวแน่แท้ ขอให้เราได้ประมาณ รู้จักกาละเทศะ สิ่งประกอบเป็นตัวเราด้วย เป็นตัวบุคคลอื่นด้วย เป็นสภาพอื่นด้วย ประสมประสานกัน ให้ดูพอเหมาะพอเจาะ แม้แต่ในเนื้อในของเรา ซึ่งมีทั้งผู้ที่ก็เรียนรู้ด้วยกัน เข้าใจด้วยกัน ก็พยายามที่จะทำให้พอดี อยู่ด้วยกัน ก็เป็นไปได้ด้วยดีอยู่แล้ว เราเองก็ได้พยายาม พิจารณาไตร่ตรอง ฝึกหัดอบรมอยู่แล้ว ทั้ง ๒ ส่วน ทั้ง ๒ ด้าน ทั้งตัวผู้อื่นและตัวเรา ก็มีความรู้ มีเจตนาที่จะฝึกปรือกันอยู่ขนาดนี้ มันยังยากอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ข้างนอกที่เขาไม่ได้ศึกษา เขาไม่ได้คิดอ่าน ที่จะต้องมาฝึกหัดอบรม ลดหย่อน ยอม หรือว่า สามารถที่จะรู้ เข้าใจในส่วนที่มันควร เขายืนหยัดยืนยัน คืออะไร เขาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ข้างนอกนั้น ยิ่งยาก เราจะต้องทำบ้าง ไม่ให้แน่นแฟ้น มีแรงมาก เราจึงจะไปยืนหยัดได้ ถ้าเราไม่แข็งแรงมาก เราไปยืนหยัดไม่ได้ เขาล้มเราได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เราจะยืนหยัดได้ เพราะเรามีแรง เรามีฤทธิ์ เรามีสิ่งที่เขาจำนน มีสิ่งที่ยืนยันแท้ มีสิ่งที่เป็นจริง จนเขาเห็นแจ้งได้ มีทั้งมวล มีทั้งขนาด มีทั้งลักษณะที่มันเด่นชัด ที่มันจริงจัง ที่มันขอยืนยันว่า นี่มันถูกต้อง

ถ้าเรามีอันนั้นจริง เราก็สามารถไปรอด ถ้าเราไม่มีอันนั้น เราไม่รอด เพราะฉะนั้น ความรู้ซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นคัมภีราวภาโส นั้นก็คือ เราจะต้องปรับปรุงตน เมื่อปรับปรุงตนแล้ว มันจะเกิดฤทธิ์ เกิดแรงไปเอง เกิดจริงๆ มันพยายามจะทำฝ่ายใน หรือส่วนในของเรา

เรื่องของมานะทิฏฐิ หรือความยึดตัวยึดตน เห็นแก่ตัวแก่ตน แล้วยังแข็งกระด้าง ยังเป็นไปไม่จริง ยังกระโดกกระเดก เนียนเข้าหากัน เป็นไปด้วยดี โน้มน้อมเข้าหากันบ้าง ส่วนอย่างนี้มันยังขาดอยู่ ขอให้พวกเราได้พิจารณา และ ประพฤติปฏิบัติ อบรมส่วนนี้ ให้เข้าเนียนสนิท มันเนียนสนิทได้เท่าไรๆ เรายิ่งมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพที่ดี ยิ่งขึ้นๆเท่านั้น จุดนี้เป็นจุดบอด หรือเป็นจุดที่เรายังไม่ได้พยายามกัน อย่างเอาจริงเอาจังกัน เราได้แต่ปล่อยปละละเลย

คนไหนที่มีมานะทิฏฐิ มีอะไรแข็งกระด้าง อะไรต่ออะไรอยู่มากมาย เราก็ไม่ได้ปรับได้ปรุง ขอให้เราได้สอดส่อง และลดละ อ่านอารมณ์ อ่านจิต ที่มันยอมได้ ยอมเป็น หรือว่ามันจำยอมไปอย่างนั้นเอง เอาให้แท้ เราจะได้หมดทุกข์ ทางปรมัตถ์ จิตใจของเราก็สบาย แม้เราจะน้อม คนนั้น แม้จะเป็นเด็กเป็นเล็กกว่าเรา จะเป็นคนที่ ไม่ได้เก่งเท่าเราหรอก แต่ถ้าเผื่อว่า เราจะต้องเคารพนอบน้อม ยกย่องชูเชิด เราก็ทำด้วยจริงใจ ส่วนดียกออกมา ส่วนไม่ดีของเขา เราก็ปล่อยวางไว้ ถ้าไม่จำเป็นจะต้องไปโชว์ ไปอวดไปอ้าง หรือ ไปเอามาเป็นหลักฐาน ที่จะใช้ประโยชน์ เราก็ทำให้ได้ ตามขั้นตามตอน

ก็ขอกำชับกำชาเรื่องมานะทิฏฐิ จะทำให้เราเกิดสมานอัตตา จะทำให้เรา เข้าแก่นเข้าเนื้อ พิสูจน์เถิดว่า เมื่อมันสมานอัตตา เข้าแก่นเข้าเนื้อแล้ว มันจะมีฤทธิ์ได้ทันที ตัวเราเองก็พิสูจน์ได้ว่า ตัวเราสบายใจ พอเราลดเราละ เราปล่อยเราวาง แล้วเราทำอะไร ก็ดูเรียบร้อยงดงาม เป็นไปได้แล้ว เราก็สบายใจ ฤทธิ์แรงก็จะเกิดออกไปข้างนอก อย่างแท้จริง ก็ขอกำชับโดยจุดนี้ กันอีกครั้งหนึ่ง แต่เพียงเท่านี้

สาธุ

*****