ธรรมปัจเวกขณ์ (๙๔)
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๕

การอบรม การกระทำเป็นวัตร ถ้าอบรมทุกเช้า อย่างน้อยที่สุด เราได้อบรม ในคำสอนที่ว่า ทำวัตรเช้าก็ดี หรือว่าก่อนจะฉันอาหาร เราก็ยังมีรูปแบบ หรือมีพิธี ที่เราได้ให้กัน สั้นๆบ้าง ยาวๆ นิดๆหน่อยๆบ้าง ก็ไม่ถึงกับยาวเกินไป เป็นการแนะนำ เตือนสติน่ะ เป็นการสรุปบ้าง เป็นการขยายความ ในจุดเล็กจุดน้อยอะไรบ้าง ซึ่งเราได้เป็นนักศึกษาที่จริง ถ้าเราได้ตั้งใจ เป็นคนที่ใฝ่ใจในการศึกษาแล้ว จะรู้สึกว่า พวกเรานี่ เป็นนักศึกษากัน มีบทมีระบบน่ะ บทเรียนมีระบบ การเรียนมีรูปแบบ มีพิธี มีกิจกรรม อะไรต่ออะไรต่างๆ สอดร้อย ทั้งภาคปฏิบัติและภาคปริยัติ ภาคปริยัติสอนทฤษฎี ทั้งภาคที่เราเอามาประพฤติปฏิบัติ ให้สมคล้อยลงไป เราได้มีอยู่ครบครัน ผู้ตั้งใจจะเจริญเร็ว น่าจะบรรลุกันเร็วๆทีเดียว แต่เป็นเพราะว่า พวกเรายังอ่อนอินทรีย์ ยังมีบารมีกันมา ก็เท่านั้นๆ กิเลสหรือว่าสิ่งแวดล้อมนี่ โลกหรือสังขารธรรม ที่ปรุงขึ้นมา จนกระทั่ง ทุกวันนี้ มันมาก มันแรง

ทุกคนต้องรู้ตัวว่า เกิดในยุคนี้นี่ เรามีสิ่งแวดล้อม หรือว่าแรงดึงดูดของกิเลส ของโลกียะ นี่ มันมากเหลือเกิน ถ้าผู้ใดไม่ตั้งอกตั้งใจ ไม่โถมเรี่ยวโถมแรง อุตสาหะวิริยะ ให้แก่ตนเองแล้ว มันไปไม่รอด จะบอกว่า เราอินทรีย์อ่อน ก็ใช่ จะบอกว่า โลกของมันนี่ กิเลสร้ายแรง ก็ใช่ มันเป็นจุดหมายอันเดียวกัน เพราะกิเลสของโลกนี่ มันดึงดูด มันมีแรงจริงๆ และเราก็ถูกมันสร้างค่านิยม ถูกมันมอมเมา ด้วยรสนิยมต่างๆ ทุกวันทุกเวลา ไม่ได้พัก มันไม่ได้ผ่อน มันไม่ได้หยุดได้ยั้งเลย มีแต่หนักหน้าขึ้น ทุกวันๆๆ น่ะ ส่วนเราเอง ก็เรี่ยวแรงที่มี มันก็ถูกดึง ถูกดูด ถูกผลัก ยิ่งมีผู้รู้น้อยลงๆ มีผู้ที่รู้เท่าทัน ไม่ค่อยเพียงพอ มันก็ยิ่งพ่ายแพ้ต่อกิเลส นับวันพ่ายแพ้เข้าไป ทุกวันๆๆๆ ยิ่งๆ เพราะฉะนั้น จึงทำให้พวกเราอ่อนแอลง อินทรีย์พละไม่แข็งกล้า แต่ตัวกิเลสนั้น มันแรงขึ้นทุกวัน มันเก่งกล้าขึ้นทุกวัน ผู้ที่บุกบั่นเข้ามา ในทิศทางธรรมะ จนเข้ามาละลด ปลดปล่อย กันได้ถึงขนาดปานฉะนี้นี่ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นเรื่องที่ดี ก็ดีมากแล้ว ในยุคกาลอย่างนี้ จะหาผู้บรรลุได้นั้น ได้น้อยยิ่งกว่านั้น

ผู้บรรลุธรรมนั่น มีเท่าเขาโค ผู้ที่ไม่บรรลุธรรมนั้น มีเท่าขนโค คำนี้ เป็นกลางๆ ถ้าจะได้กำชับ หรือว่า อ้า! ... เอาความหมาย ที่มันกระชับแน่นเข้าไปว่า คำความหมาย ผู้บรรลุธรรมเท่าเขาโค ผู้ที่ไม่บรรลุธรรมเท่าขนโคแล้ว ในช่วงนี้ เวลานี้ มันยิ่งกว่านั้นอีก ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า มันน่าจะกล่าวได้ว่า ผู้บรรลุธรรมนั้น ไม่ใช่เท่าเขาโคหรอก เท่าหางโคน่ะ มีหนึ่งเดียวเท่านั้น อะไรเป็นหนึ่ง เท่าปากโค ปากมันก็มีหนึ่งเดียว เท่าหางโค ก็มีหนึ่งเดียว คือผู้บรรลุ มันเท่าหางโค มันน่าจะถึงขนาดนั้นน่ะ แต่กระนั้นก็ดี เราก็สามารถพิสูจน์ได้ เรายืนยันได้ เป็นอกาลิโก ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ไว้ ยุคกาล มันก็เรียวลงๆ กิเลสมันก็มากขึ้น คนอ่อนแอต่อการที่จะบุกบั่นบุกเบิก อุตสาหะวิริยะตน ให้หลุดพ้นได้ ให้เป็นผู้พ้นทุกข์ได้ ก็น้อยลงจริงน่ะ กลียุคใกล้เข้ามาน่ะ เราเอง เราก็ถูกห้อมล้อมด้วยกิเลสดังกล่าวแล้ว มันมากขึ้น นี่แหละ ผู้ใดรู้ ผู้ใดแน่ใจ มั่นใจว่า ทางนี้เป็นทางยอด ทางนี้เป็นทางเลิศ จึงต้องพยายามเถิด อุตสาหะวิริยะเถิด มันไม่มีอะไรอื่นที่ดีกว่านี้ และเราจะต้องต่อสู้ บากบั่นอย่างหนัก จริงๆน่ะ เราทำกันได้ ไปแต่ละวัน แต่ละวัน เกื้อกูลกัน ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เราพยายามที่จะปฏิบัติ ให้ถูกแนวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะมีคุณค่าอย่างยิ่ง เกื้อกูลกันไป เป็นครอบครัวที่ใหญ่ ก็ใหญ่ขึ้นน่ะ ต่อสู้กับเศรษฐกิจ ต่อสู้กับ สิ่งที่มันเป็น ความเห็นแก่ตัวของโลก ที่มันหลากหลาย ที่มีอยู่ในสังคม เราก็พยายามต่อสู้ พยายามที่จะบันยะบันยัง ตัวเราเองพยายามที่จะเข้มแข็ง อดทน ฝึกฝน บากบั่น มานะ อุตสาหะ กระทำอย่างพอเป็นพอไป เราได้รับสุขขนาดปานฉะนี้ ได้ลดละสิ่งที่ได้ลดละแล้ว แล้วเราก็มีความเจริญงอกงาม หรือว่าพอสบายได้ ปานฉะนี้ ก็จงยินดีเถอะ แล้วมันก็ยังมีสิ่งดีอีก ที่เรารู้ตัวรู้ตนอยู่ว่า อะไรบกพร่อง เราก็พยายามพากเพียรอีก เอาจริงๆน่ะ พอเป็นพอไป เกื้อกูลกัน มันก็ต้องมีการขัดเกลากันในตัว ต้องรู้ความจริงว่า การขัดเกลากันในตัวนั้น มันย่อมเป็นอยู่มีอยู่ ไม่มีมันก็ไม่ได้ขัดเกลา น่ะ

ผู้นั้นจะว่าคนนี้ จะตำหนิคนนั้นบ้าง จะท้วงคนนี้บ้าง มันจะต้องพอมีอยู่ ผู้ท้วงผู้ตำหนิ ก็พยายามรู้จักประมาณ กาละ เวลา บุคคลน่ะ ผู้สูง ผู้ต่ำ ผู้พอเป็นไปอะไร ก็พยายามเรียนรู้ ทำให้มันดูดีดูงาม แล้วเราก็จะต้องรู้ว่า เขตนี้เลยแล้วนะ เราต้องหยุดยั้ง ผู้หยุดยั้งก่อนนั่นแหละ จะทำให้ความสามัคคี ความเกื้อกูล ความพอเป็นไป อย่างไม่แตกไม่แยก ไม่สลายไม่ล้มเหลว ยังจะเป็นมวลเป็นหมู่ ที่มีฤทธิ์มีกำลัง นำพากันไปได้อย่างมาก อย่างเก่ง ก็เพราะว่า เรารู้จักบันยะบันยัง รู้จักขอบเขตที่สมควรหยุด ควรวรรคน่ะ ตอนนี้เราควรวรรคได้ ตอนนี้เราควรหยุดเสียน่ะ มันเกินเขตนี้ ไม่ดีแล้วล่ะ ใครหยุดก่อน คนนั้นเป็นผู้รู้ว่า ไอ้นี่มันจะแรงไป ไอ้นี่มันจะมากไป ไอ้นี่มันจะเกิดการแตกแยก จะเกิดการไม่ดีไม่งามแล้ว เราก็จะเป็นคนประมาณ รู้จักอ้างสิ่งประกอบ หรือว่าสังขารธรรม ทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม หรือ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เป็นบทบาท แล้วมีฤทธิ์มีแรงกระทบกระเทือน เราก็จะต้องรู้ เมื่อรู้แล้ว เราก็รักษา พอเป็นพอไปกันอย่างนี้ มันก็จะเป็นรูปนี้ ลักษณะนี้อยู่ตลอด เพราะคนที่มีกิเลส ก็ยังมีการขัดเกลา การขัดเกลากัน ก็ยังมีเป็นสัจจะนะ ผู้ที่ทำได้เป็นผู้ที่พ้นทุกข์ได้ มันก็มี มันมี มันทุกอย่างล่ะ สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ทั้งหลัก ๔ ประการนี้ มีหมดแล้ว มันจะเป็นไปด้วยดี ถึงขั้นปลายของแต่ละบุคคล ที่สามารถเป็นไปได้ ถึงเป็นสันติธรรม คือธรรมะ อันเป็นความสงบอย่างแท้จริง ผู้ได้มีสันตินั้น จะรู้เองเห็นเองเข้าใจเอง แล้วก็จะรังสรรค์... ช่วยเหลือเฟือฟาย อนุเคราะห์กลุ่มหมู่ เป็นไปด้วยดี ตัวก็สบาย กลุ่มหมู่ ก็พยายามรักษา ประคอง บูรณะ บริหาร บำรุงไปให้ด้วยดี

สังคมกลุ่มหมู่ของเรา ก็ศึกษากันให้ดี มันมีการศึกษาซ้อนอยู่ในตัวเอง อีกมากมายน่ะ มันก็มีการกระทบกระเทือนกันบ้าง มีอย่างโน้นอย่างนี้บ้าง มีเลวบ้าง ดีบ้างปนเป ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้ายุคนั้นเหมือนกัน ในสังคมของพระพุทธองค์ มีภิกษุ มีภิกษุณี มีอุบาสก อุบาสิกา บ้างก็ดีมาก บ้างก็ดีน้อย บ้างก็รวน หรือ นิวแซนด์ มีตัวเจี๊ยว มีตัวรวน มีอะไรต่ออะไรอยู่ มันมีอยู่เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น ในเรานี่ก็เหมือนกัน เราจงศึกษา ทั้งตัวเลวและตัวดีน่ะ มันมีให้เราศึกษาได้ ตัวที่บกพร่อง ตัวที่ดีเยี่ยม เราจะมีการศึกษา โดยมีแต่สิ่งดี อยู่ในวงการศึกษา ทั้งหมดเลยนั้น เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เราต้องมีของจริง ตัวอย่างยืนหยัดยัน หรือข้างนอกที่ไกลๆ เราก็ได้ดู ใกล้ๆเราก็ได้ดู ใกล้ๆเราอาจจะมี ก็พอประมาณที่ว่า มันไม่ดี มันก็ไม่ใช่ว่า ไม่ดีเสียจนแหลกเหลว แหลกเหลว จริงๆ เข้ากันไม่ได้ ใกล้กันไม่ได้หรอก ที่บกพร่องบ้าง เลวไปบ้าง มันก็ขนาดนั้น อย่างนั้นแหละ ที่เป็นตัวอย่าง และมีจำนวนน้อย ถ้าเลวมากดีน้อย มันก็เป็นสังคมที่ใช้ไม่ได้ ถ้าเรามีดีมาก มีเลวบ้างเล็กๆน้อยๆ กระปริบกระปรอย พอเป็นตัวอย่าง พอเป็นสิ่งที่เตือนกัน เป็นสัญญาณภัยกัน มันก็จะทำให้เราไม่เผลอไผล ไม่ไร้สติ หรือว่าไม่ประมาท มันจะเป็นคุณค่าของเรา อยู่ในตัวด้วยซ้ำ เราเข้าใจให้รอบ ในสิ่งที่ขยายความให้ฟังนี้ แล้วเราก็จะปลดปลงใจ เราก็จะดูดี คนไหนจะเป็นหนูตะเภา เป็นตัวร้ายตัวเลว ให้แก่คนอื่นเขาได้ดูได้เห็น มันก็จะเห็นนะ มันก็จะรู้ และเราก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปยกย่องสรรเสริญหรอก คนอย่างนั้น เราก็ลบหลู่อยู่ในที อยู่เท่านั้นแหละ และความจริง มันก็เป็นผู้ที่จะต้องถูกข่ม ถูกลบหลู่ แม้ไม่ได้ด้วยกาย ด้วยวาจา เขาจะปลดปล่อยก็ช่าง เขาพรหมทัณฑ์ ไม่พูดไม่อะไรก็ช่าง จิตใจมันย่อมลบหลู่คนเลว คนที่ทำชั่ว จิตใจมันย่อมรู้ดีว่า สิ่งอย่างนี้ เป็นสิ่งที่น่าต้องการ น่าสรรเสริญ ยกย่องอะไร นี่ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของคน ย่อมรู้ดีอย่างนี้อยู่

ใครจะทำเป็นตัวอย่างอันเลว ก็จงทำเถอะ ทำแล้วก็ได้รับความลบหลู่ ได้รับความดูถูกดูแคลน ไม่ได้ดิบได้ดีอะไร อยู่นั่นแหละ แต่ถ้าใครรักดี มันก็ต้องทำดี นี่เป็นตัวอย่างอันดี ที่ดีนั่นแหละ เป็นสิ่งเลิศเป็นสิ่งประเสริฐ ผู้นั้นย่อมมุ่งหมายทำสิ่งดี สิ่งเลิศสิ่งประเสริฐนั่น ให้แก่คน และเป็นตัวอย่างแก่สังคม กลุ่มหมู่นั้น เป็นของดีสุดยอด หรือสอดคล้องอย่างสูงสุด แน่นอน ก็ขอให้พวกเราได้ศึกษาให้รอบถ้วน แล้วบำเพ็ญตน อ่าน ได้ความดี ได้ความประเสริฐ ดังที่กล่าวนี้ ไปถ้วนทั่วทุกคน เทอญ

สาธุ

*****