ทำไมต้อง ดูไป (ไม่ดูไบ)
หรือ Go on and see out


(ดูไปและดูให้ทะลุ ; ยังผลสำเร็จให้เกิดขึ้น)

พ่อครูทำงานตามเหตุปัจจัย พ่อครูไม่ตั้งเจตนา อยากทำอะไร และไม่พยายาม ตั้งเจตนาว่าจะต้องทำอะไร โดยเฉพาะทำกับสังคม หรือกับผู้อื่น จนกว่า ผู้อื่นจะเรียกร้อง หรือมีสัญญาเชื้อเชิญ หรือบังคับให้ทำ พ่อครูจึงจะไปทำ ก็กล่าวมาเสมอว่า พ่อครูเป็นมนุษย์ no planning- no project จึงทำให้ชีวิต โนพรอมแพรม (no problem)

พ่อครูว่า เป็นคนทำงานอย่าง ไม่มีแผนอะไร แต่ทำตามเหตุปัจจัย ไม่สร้างความหวัง ไม่ได้วางโครงการ แล้วมีผลคาดว่า จะได้ พ่อครูว่า นักวางแผน นักโครงการ จอมโปรเจคเป็นพวกล้มเหลว มามากต่อมาก เขาวางแผนแล้วว่า จะได้ผลอย่างไร แต่เมื่อมี เหตุปัจจัย เปลี่ยนแปลง ไปๆมาๆ เป้าหมาย ที่คาดว่าจะได้ ก็จะไม่ได้ พอใกล้เวลา ก็โกงก็เร่งให้ได้เป้า

คนทำงานระยะยาว จะต้องเจอกับ ความไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เราจึงต้องทำ เท่าที่ทำได้ สร้างอย่างจริงใจ ไม่มีการ loss ไม่มี leak ไม่มีเสียหาย รั่วซึม ไปกับความฟุ้งซ่าน ในโครงการ ที่วาดวิมาน ลูกคิดรางแก้วเอาไว้ พ่อครูจึงใช้คำว่า เราชนะรายทาง แต่คำว่าชนะ เราไม่อยากใช้ เราเลือกใช้ว่า "เราก้าวหน้ารายทาง!"

การทำตาม เหตุปัจจัย โดยไม่ตั้งเจตนาจะทำ แต่มันก็มีให้ทำ อย่างเหลือเฟือ ไม่จำเป็นที่จะต้อง ตั้งเจตนา ทุกวันนี้ ก็ทำจนเมื่อย เราทำอย่าง ไม่เอาเงินเอาทอง ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ เลย ไม่เคยกลัวตกงาน ทำอย่าง เต็มไม้เต็มมือ ไปเรื่อยๆ

งานนี้จึงได้ตั้งสูตรไว้ว่า เป็นงาน "ดูไป" ใช้ภาษาอังกฤษว่า Go on and see out ไปให้ทะลุซอยเลย ไม่ใช่ดูเล่น แต่ดูพิจารณา ให้มีอัตรา การก้าวหน้า ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง หรือธรรมะก็ตาม พ่อครูจะพาทำ "สงครามกับสังคม" . (..เสียงปรบมือ... ) แล้วรู้หรือเปล่าว่า จะพาทำสงคราม แบบไหน?

พ่อครูจะพาทำ " ธรรมาธรรมะสงคราม" ใครที่ได้อ่าน มหาภารตะยุทธ อย่างเขายิงศรมา เราก็ยิงศรดอกไม้ไป เราไม่ทำร้ายใคร เราไม่ตอบโต้ ใครขว้างหินมา เราเอาไปถมบ่อน้ำเน่า ใครขว้างขี้มา เราก็เอามาทำปุ๋ย เราพยายามทำ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น เรามาที่นี่ ไม่ได้ทำร้ายใคร เรามาขอใช้ที่ สาธารณะบ้าง เราทำเหนื่อยนะ แต่เราผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันทำ จริงไม่จริง ก็มาตรวจสอบ แม้การเมือง จะรุนแรง เราก็จะมา ช่วยบรรเทา ความรุนแรง

สรุปลงท้ายด้วย เราจะมาทำงานนี้ โดยหลัก "ดูไป" หรือ Go on and See out ทำตามเหตุปัจจัยที่ควร ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เราต้องพยายาม ช่วยกันดูแล ทำไงได้ เราไม่มีสำนักงาน ที่เป็นของส่วนตัว แต่เราทำเป็นสาธารณะ ทุกคนมาทำร่วมกันได้ ด้วยความปรารถนาดี ต้อนรับทุกสี ขอให้เจตนาดีจริงใจ เราไม่ต้องการทำร้าย ทะเลาะกัน เราไม่ต้องการ ให้คนโง่ เราอยากให้ทุกคน ฉลาด ให้มาศึกษา สิ่งดีงามแท้ๆ ชั่วบาป แม้น้อยอย่าทำเลย นี่คือสิ่งที่ สมเด็จพ่อ คือพระพุทธเจ้า สอนมา

ปล. เมื่อมีการชุมนุม ในแต่ละครั้ง ก็มักมีคำถาม เข้ามามากมาย เพื่อให้พ่อครูตอบ เช่น จะชนะเมื่อไหร่? จะชนะอย่างไร? จะอยู่กันยาวไหม? พ่อครูมีแผนอะไรไหม? ซึ่งคำถามมากมาย เหล่านี้ จะไม่เกิดเลย หากเข้าใจ "ดูไป ไม่ต้องดูไบ" เพราะพ่อครู ทำงาน โดยไม่ได้หวังผล ไม่ได้คาดการณ์ และไม่ได้มี แผนการอะไร ถ้าทำแบบ "ดูไบ" ก็ต้องหวังผล เพื่อให้เกิดชัยชนะ และวางแผน แต่พ่อครูจะทำ ตามเหตุปัจจัย ตามประสาซื่อ ที่เห็นว่าน่าจะออกมาช่วยกัน ในตอนนี้ ก็ออกมาช่วย ไม่ได้คิด แบบดูไบ คือคิดว่า คุ้มหรือไม่คุ้ม ไม่ได้คิดไกลไปว่า จะปฏิรูปได้ หรือไม่ได้? เพราะอนาคต ข้างหน้านั้น มันไม่เที่ยง แค่งานเฉพาะหน้า คืองานสร้างคน ให้มีคุณภาพ ของประชาธิปไตย และคุณธรรม ในระดับ โลกุตตระ

เป้าหมายการออกไป ร่วมชุมนุม ของพ่อครู จึงอยู่ที่ "มุ่งหมาย ในการพัฒนาคน" จึงต้องดูไปเรื่อยๆ ว่ามีอัตราความก้าวหน้า มากน้อยแค่ไหน? และก็ทำไป ตามเหตุปัจจัย ไม่ได้ยึดมั่น ถือมั่นว่า จะต้องให้ชนะ หรือจะต้องให้สำเร็จ เข้าเป้า อย่างนั้น อย่างนี้ เพราะความสำเร็จ ทั้งหลาย ก็ล้วนเป็น " ไตรลักษณ์" เหมือนครั้งหนึ่ง ที่เราเคยประสบความสำเร็จ ในการสร้าง รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน ปี ๒๕๔๐ ออกมา แต่สุดท้าย กลับกลายเป็น การติดปีก ให้เสือร้าย สร้างระบบทักษิณ กลืนกินประเทศไทย ให้หนักหน้าขึ้นไปอีก

ถ้าเรายึดมั่น ถือมั่น จะต้องเอาชนะ จะต้องสำเร็จให้ได้ แต่โดยสัจจะ ทุกอย่าง มันก็มีแต่เคลื่อนไป ๆ ๆ เราจึงต้องพิจารณา ในทุกๆบริบท ด้วยความไม่เที่ยง และด้วยความไม่ยึดมั่น ถือมั่น จึงต้องดูไป Go on and See out (ไม่ดูไบ ..ไม่หวังผล) ไม่มีจิตดูด จิตผลัก ไม่หวั่นไหว ในทุกๆขณะ กับของสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น (ผุฐฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ) เมื่อเรามีจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหว พิจารณาไป ตามเหตุปัจจัยว่า อะไรควรทำ? ควรพัฒนา หรือทำให้ก้าวหน้า เพียงงานแค่นี้ ก็ต้องไล่ล่าเวลา ทำแทบไม่ทัน ทำจนไม่หวาด ไม่ไหวแล้ว นโยบายการทำงาน ของพ่อครู จึง "โนแพลนนิ่ง โนโปรเจ็ค และโนพรอมแพรม" ด้วยประการ ฉะนี้แล

Neo protest...การชุมนุมประทวงแนวใหม่

ประชาธิปไตยคืออะไร??? คือ...การชุมนุมประท้วง!!! ดูจะเป็นคำจำกัดความ ที่พ่อครูตอบแบบ ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ซึ่งการชุมนุมประท้วง มักจะถูกดูแคลนว่าเป็นการเมือง ข้างถนนมากกว่า แต่พ่อครูกลับเห็นว่า การชุมนุมประท้วง นี่แหละ เป็นการแสดงอำนาจ อธิปไตย ของประชาชน อย่างสำคัญ เป็นการใช้ ประชาธิปไตย ทาง "ตรง" โดยไม่ต้องผ่าน ตัวแทนใดๆ การที่ประชาชน ออกมาชุมนุม อย่างสงบ เรียบร้อย เพื่อแสดงมวลของ ประชาธิปไตย โดยนับหัว ๑ คน ๑ เสียง ๑ หมื่นคน ๑ หมื่นเสียง ถ้าประชาชน ออกมาแสดง พลังอำนาจ ของมวลมหา ประชาชน สัก ๑ ล้านคน ด้วยความสงบ เรียบร้อย พ่อครูมีความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทย จะเป็นตัวอย่างของ ประชาธิปไตย ให้กับโลกทีเดียว และคำถามต่างๆ ถึงกองทัพธรรม ในการออกมา ชุมนุมประท้วง ที่สวนลุม ในครั้งนี้......

พ่อครูว่า... การชุมนุมของเรา เป็นการชุมนุมประท้วง Neo protest คือการชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ที่เขาทำ ก็รู้สึกว่า มีสิ่งอิงแอบอยู่ แต่ของเรา ไม่มีสิ่งอิงแอบ ซ่อนแฝงอยู่ เราก็เลยตั้งชื่อ ของเราว่า นีโอ โพรเทส Neo protest คือมาจากคำว่า นิว หรือ New คือใหม่ ส่วน Neo เป็นภาษาเก่า แปลว่าใหม่เช่นกัน เราก็ทำแผ่นพับ ออกมาว่า เรามีเป้าหมาย มียุทธวิธีอย่างไร เราก็พากเพียร ทำตามเจตนารมณ์ ดังต่อไปนี้

ยุทธวิธีการชุมนุม (Strategies)
๑. สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
๒. ไม่มีความรุนแรง
๓. เสนอ ความรู้ และความจริง
๔. ไม่หยาบ ไม่ผิด กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้

การพักผ่อน คือการให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเอง

คืนวันเสาร์ที่ ๑๕ มิ.ย. ๕๖ ก่อนนอน พ่อครูเปรยว่า วันนี้รู้สึกว่า อาการของร่างกาย ไม่ปกติ ไม่โล่ง ไม่โปร่ง ดูตื้อๆ แต่ไม่รู้สึกว่า จะเป็นไข้ แต่อย่างใด ไม่มีอาการอื่นๆ ที่บ่งบอกโรคหรือการติดเชื้อเลย... จากนั้น พ่อครูก็จำวัด ตามปกติ

รุ่งเช้าพ่อครูตื่นขึ้นมา ด้วยอาการที่ยังไม่ปกติ พอทำธุระ ส่วนตัวแล้ว จึงออกกำลังกาย ด้วยการโยคะ หลังจากโยคะ ๑๕ นาที ก็วัดความดันโลหิตได้ 120/70 mmhg. วัดอุณหภูมิ ร่างกายได้ ๓๖.๕ องศาเซลเซียส, ชีพจรเต้นปกติ ๘๐ ครั้งต่อนาที เนื่องจาก วันนี้ เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งมีรายการ วิถีอาริยธรรม พ่อครูก็ไปเทศน์ได้ ตามปกติ ไม่มีอาการ ที่บ่งบอกว่า จะไม่สบายเลย

แต่พอเสร็จรายการ จะมาฉันอาหาร ปรากฏว่า พ่อครูมีอาการตื้อๆ เบื่ออาหาร ฉันไม่ได้ ร่างกายแสดง เหมือนไม่รับอาหาร พ่อครูจึงบอก งดฉันดีกว่า ..ปัจฉาฯ จึงนิมนต์พ่อครู ให้นอนพักผ่อน ซึ่งพ่อครู ก็พักได้ยาวเดียว (๑๑.๓๐-๑๖.๐๐ น.) พอตื่นขึ้นมา หมอโต (นพ.ประธาน วาทีสาธกกิจ) ก็ได้มาตรวจ ร่างกายพ่อครู และสอบถามอาการ แล้ววินิจฉัยว่า น่าจะเป็น การติดเชื้อไวรัส แต่ไม่พบว่า ต้นตออยู่ที่ไหน ให้พ่อครู ฉันน้ำให้มาก เพื่อช่วยระบบ ไหลเวียนโลหิต ให้คล่องขึ้น

ต่อมา ทีมงานขยายอายุขัยฯ ได้มาทำการ แช่เท้าแช่มือ ในน้ำสมุนไพร ช่วยระบายพิษ แล้วต่อด้วย การนวดบำบัด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ยิ่งช่วยทำให้พ่อครู พักผ่อนได้เต็มที่

รุ่งเช้าขึ้นมา พ่อครูก็มีอาการร่างกาย เป็นปกติ เหมือนไม่มี ความบกพร่องอะไร จะเห็นว่า พ่อครูมีความระลึกรู้ตัว ถึงความพร่อง ของร่างกาย ได้รวดเร็ว ทั้งนี้เพราะ พื้นฐานเดิม ของพ่อครู มีการจัดสรร ๘ อ. อย่างสมดุล พอมีความผิดปกติ ก็ตรวจรู้ได้ และไม่ฝืนร่างกาย ทำงาน แม้แต่การงดฉัน ก็เพื่อให้ร่างกาย ไม่ต้องมีภาระ ในการย่อยอาหาร ให้ร่างกาย ได้พักจริงๆ เมื่อมีบุคลากร ทางการแพทย์ ของชาวอโศก ทั้งแผนปัจจุบัน และแผนไทย มาระดมช่วยกัน ไม่ถึงหนึ่งวัน ร่างกายพ่อครูก็ฟื้น
       
เป้าหมายของการชุมนุม (Goals)
๑. ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่มีปริมาณการแสดงออก เป็นประชาธิปไตย
๒. แสดงคุณภาพของความเป็น ประชาธิปไตย (จิตที่มีธรรมะ)
๓. เพื่อมาแสดงสิทธิ์ร่วมชุมนุม ยืนยันอำนาจอธิปไตย ของมวลประชาชน
๔. ไม่มุ่งหมายชนะหรือแพ้ ให้ความรู้ความจริง เป็นตัวตัดสิน
๕. เอาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคี

มาแสดง (มีทรัพย์สินเป็นของส่วนกลาง ให้ทุกคน ต่างร่วมกิน ร่วมใช้ได้)

สาธารณะคือส่วนกลาง ส่วน โภคี คือร่วมกิน ร่วมใช้อาศัย ส่วนกลาง ของกลางนี้ ไม่ใช่ของใคร แต่คือของแต่ละคน คนละนิดละหน่อย เอามาร่วมกัน เราทำได้ เป็นชุมชน ทุกชุมชนอโศก อยู่ในระบบ สาธารณโภคี ที่มีอยู่หลายสิบชุมชน ทั่วประเทศ กระจายอยู่

สมัยพระพุทธเจ้า ท่านทำสาธารณโภคี ในหมู่สงฆ์ได้ มีศีลที่เป็น ข้อควรทำ อย่างอิสระ แล้วปฏิบัติศีล เพื่อขัดเกลากิเลสไป แม้จิตคุณ ไม่บรรลุ คุณมาสมาทานศีล นี้ก็ได้แล้ว ศีลของพระพุทธเจ้า คือจุลศีล ๒๖ มัชฌิมศีล ๑๐ ข้อ มหาศีลอีก ๗ ข้อ เป็นธรรมนูญ ของพุทธ ท่านไปไหน ก็ประกาศอันนี้ ไม่ว่าไปแคว้นไหนๆ ซึ่งท่านไป ในรัฐไหนๆ คนของรัฐนั้น แคว้นนั้น ก็มาสมัครเข้า ในรีตของท่าน เมื่อมาบวชแล้ว พระเจ้าแผ่นดิน ก็ยกคนของท่านให้ แม้เป็นยุคที่ไม่รู้จัก สิทธิมนุษยชน เป็นยุค สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เต็มๆ ทั่วทั้งหมด แต่พระพุทธเจ้า ท่านก็ทันสมัย ปลดแอก ความเป็นทาส ความเป็นวรรณะ  ใครมาอยู่ในลัทธิท่าน ก็เสมอกันหมด หมดความเป็นทาส ความเป็นวรรณะไปเลย แม้เป็นลูกเจ้า ลูกนาย มาบวชแล้ว ก็เท่ากับ ชาวบ้านทั่วไป ถ้าลูกชาวนา มาบวชก่อน เจ้าชายมาบวชทีหลัง ก็ต้องกราบ ภิกษุชาวนา ผู้บวชก่อน พระพุทธเจ้าทำได้ ในสมัยนั้น
เสร็จแล้ว สงฆ์อโศก ก็เท่ากันหมด คือ

๑.ญาติปริวัฏฏัง ปหายะ ๒.โภคักขันธา ปหายะ
คือทุกคน สลายญาติ ทุกคนมาเป็นญาติกัน ในกลุ่มหมด แม้ญาติข้างนอก เขาปฏิบัติอย่างเรา เมื่อมาอยู่ ในหมู่กลุ่มนี้ ก็มาเป็นญาติธรรม แต่ถ้าญาติ ทางสายเลือด เขาไม่อนุญาต ก็ทำไม่ได้นะ คำว่า ญาติปริวัตตัง จึงลึกซึ้ง คือเป็นญาติธรรม พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้ นั่นเอง จะพูดให้ชัดคือ ตัดญาติข้างนอก มาเป็นญาติธรรม

ส่วนโภคทรัพย์ ถ้ามาเป็นญาติธรรมแล้ว โภคทรัพย์ทุกอย่าง เป็นของส่วนกลาง ทุกคนไม่ยึดถือ เป็นของส่วนตัว กินใช้ร่วมกันหมด ยุคพระพุทธเจ้า ไม่ทำถึงฆราวาส แต่ทำในสงฆ์  ไปที่ไหน ก็สำเร็จหมด พระพุทธเจ้า ไปรัฐไหนๆ ก็สำเร็จหมด  ไปแคว้นไหนๆ ทุกแห่ง ยอมหมดเลย แล้วเป็นสาธารณโภคี ไม่มีใครสะสม เป็นส่วนตัว นี่คือ สุดยอด ประชาธิปไตย ทุกคน มีความเสมอภาค (one man, one vote) มีอิสระ เสรีภาพ ต่างคน ต่างมี ความเข้าใจ  มีปัญญาเป็นตัวหลัก แล้วก็เข้ามา รวมตัวกัน ช่วยเหลือกัน โดยไม่ต้อง เห็นแก่ตัว ไม่ต้องไป โลภโกรธหลงอะไร

พ่อครูว่า เรามาชุมนุม จะเอาวิถีชีวิต สาธารณโภคี มาแสดง เราก็ทำ ไปเรื่อยๆ เราทำมาหลายทีแล้ว เราทำอย่าง Go on and see out คือค่อยๆ ทำไปตามจริง แล้วทำไป ให้ถึงผลสำเร็จ สูงสุดยอดเลย พ่อครูทำงาน ใช้ภาษา ที่เรียกว่า ชนะ หรือ ได้ผล เราจะไม่ใช้คำว่า ชนะก็ได้ แต่เราได้ผลรายทาง ซึ่งผลที่ได้ อาจมีไม่ดีก็ได้ ถ้าผลเสียมาก เราก็ไม่ดันทุรัง เลิกดีกว่า

ถ้าอัตราการก้าวหน้าดี ก็มองเห็นว่า ไทยเราจะเป็น ประชาธิปไตย ที่แท้จริง ไม่ใช่ทำแบบ ที่เขามาหามวล เรียกร้องจัดตั้ง  ไม่ใช่ประชาธิปไตย มาหามวล มาสร้างอำนาจ ให้แก่ตนเอง เท่านั้น อย่างหลายประเทศ ที่เป็นอยู่ มั่นใจว่า คนไทยเราศึกษาได้ ช้าหน่อยไม่เป็นไร

นีโอ โพรเทส คือ ประชาธิปไตยแท้ คือออกมา ประท้วง มาใช้สิทธิ์สดๆ ไม่ใช่ของแห้ง เป็นอธิปไตย ลำดับที่ ๑ เลย นี่คือ การชุมนุมประท้วง รวบรวมบุคคล สดๆ เรามาทำ เพื่อพิสูจน์ว่า คนไทยรู้จัก สิทธิหน้าที่ ประชาธิปไตย แล้วออกมาแสดง คะแนนเสียง ออกมาแสดงตัว แสดงอำนาจ อธิปไตย ขั้นที่ ๑ ในอธิปไตย ๘ ขั้น ที่พ่อครู คิดขึ้นมา โดยมี ศจ.ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ผู้จบปริญญาเอก ทางด้านรัฐศาสตร์ ช่วยตรวจทาน และเพิ่มเติม รายละเอียด ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

อำนาจในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ๘ ลำดับขั้น
อำนาจลำดับที่ ๑ คือ อำนาจของประชาชน ออกมาประท้วง ยืนยันคะแนนเสียง ๑ คน ๑ เสียง
ถ้าเราต้องการ ให้คนนี้เลิกทำ หรือออกจากตำแหน่ง ก็ออกมา ถ้าคนเห็นด้วย ออกมากันมากเลย ถ้าออกมา สักล้านเสียง จะมีพลังนิวเคลียร์ ทางจิตวิญญาณ ไม่ต้องมาทำอะไร สงบแล้ว แสดงความเห็นนะ เช่นไม่ต้องการ ให้กู้เงิน สองล้านล้าน ก็ออกมากันเลย แล้วอยากจะดูว่า คุณนางสาว นายกปู จะว่าอย่างไร เมืองไทยเรา ยังไม่มี ปรากฏการณ์ ที่ออกมา อย่างสันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น

อำนาจลำดับที่ ๒ คือ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นรัฐาธิปัตย์ตาม Supreme law
(อำนาจ ลำดับที่ ๑ ร่วมกับ อำนาจ ลำดับที่ ๒ เป็น ราชประชาสมาสัย)  อันนี้สำคัญ เพราะมี นิติราชประเพณี แต่โบราณ และ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของราษฎร ที่กลมกลืนกัน บังเอิญ คณะราษฎร์ ขัดกับพระมหากษัตริย์ ไม่เป็น ราชประชาสมาสัย จึงดำเนินการเป็น ประชาธิปไตย ไม่สำเร็จ

อำนาจลำดับที่ ๓ คือ พระมหากษัตริย์ ใช้อำนาจนั้นผ่าน ๓ สถาบัน คือ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) บริหาร (ครม.) และตุลาการ (ศาล) ทุกวันนี้ สภาก็เละเทะ บริหารก็เละเทะ มีแต่ศาล ก็กำลังถูกเลื่อยขา ถ้าไทยเรา ไม่มีอำนาจศาลที่ดี ประเทศก็จะเละ ยิ่งกว่าคนท้องเสียอีก

อำนาจลำดับที่ ๔ คือ ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ตามกฎหมาย  

อำนาจลำดับที่ ๕ คือ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศประชาธิปไตย ต้องไม่บังคับ สังกัดพรรค

อำนาจลำดับที่ ๖ คือ นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการเลือก จาก ส.ส. ในประเทศ ประชาธิปไตย ไม่มีประเทศใดกำหนด  ส่วนใหญ่ ก็อนุโลมกัน โดยเฉพาะ ประชาธิปไตย ที่มีระบบพรรค เข้มแข็ง ถึงกระนั้น กษัตริย์อังกฤษคือ ราชินีอลิซาเบธ ก็เลือกคนนอก คือ เซอร์ดักกลาส ฮูม มาเป็นนายกฯ เมื่อปี ๑๙๖๕

อำนาจลำดับที่ ๗ คือ คณะรัฐมนตรี ที่นายกฯ เป็นผู้เลือกมาทำงาน 

อำนาจลำดับที่ ๘ คือ ข้าราชการ ที่ต้องเป็นกลไก ที่เป็นกลาง และมีความสามารถ ในการนำ นโยบายการเมือง มารับใช้ราษฎร มิใช่หากิน กับราษฎร และเอาราษฎร ไปรับใช้ หรือ เป็นเบี้ยล่างการเมือง

พ่อครูพาพวกเรา ออกมาชุมนุม ในครั้งนี้ ทำด้วยความมั่นใจ ไม่มีอะไรซับซ้อน สังคมไทย กำลังเดือดร้อนหนัก เขาเดินหน้า ปู้ยี้ปู้ยำประเทศ ไม่หยุดเลย ทำอย่าง หน้าด้าน หน้าทนเลย พ่อครูถึงบอกว่า ออกมาร่วมมือกันเถอะ เก็บอัตตา ใส่เซพ ราคาแพง เอาไว้ก่อน! แล้วออกมาทำงาน เพื่อช่วยเหลือ ประเทศชาติ

ในภาวะบ้านเมือง กำลังคับขัน อยู่ในขณะนี้
สิ่งที่ชาวกองทัธรรม จะต้องระมัดระวังคืออะไร?

จุดยืนของพวกเรา กองทัพธรรม เหมือนกันกับ พวกกาชาดสากล เราพยายาม ที่จะเป็นผู้เข้าไป ช่วยสังคม ในภาวะที่เกิด ความเดือดร้อน โดยพ่อท่าน กำชับกำชาว่า จะต้องไม่ไป เป็นตัวปฏิกิริยา หรือ ตัวที่สร้างเรื่อง สร้างราวต่างๆ ขึ้นมา เหมือนกับ เหตุการณ์ วันที่ ๗ สิงหาฯ ที่ผ่านมา ที่มีการชุมนุมอยู่ ๒ กลุ่ม แล้วก็มีแนวโน้มว่า จะเกิดความรุนแรง ก็มีพวกเราบางคน และ แนวร่วมของเรา คิดกันว่า น่าจะไปแสดง การประท้วง โดยความสงบ ไปนั่งสงบเฉยๆ นั่งสงบแบบ สันติ อหิงสา นั่งตรวจดูใจตัวเอง อ่านใจตัวเอง ที่แท่งปูน (แบริเออร์) หน้าทำเนียบ แต่เขาก็ได้มา ปรึกษาพ่อท่าน ในเรื่องนี้ ในความเห็น ของพ่อท่านฯ เห็นว่า ไม่ควรทำหรอก มันก็จะมีสัญลักษณ์ ของพวกเรา เพราะคนที่ไป ส่วนหนึ่งก็เป็น ชาวกองทัพธรรม แม้จะไปนั่งสงบ เรียบร้อย มันก็ยังเป็น ตัวปฏิกิริยา หรือตัวทำให้เกิดเรื่อง ขึ้นมาอยู่ดี แม้จะทำ ด้วยความสงบ เรียบร้อย ก็ตาม

และพ่อท่าน ก็อธิบายให้ฟังว่า ทิศทาง และจุดยืนของเรา คือ พวกเรา มีหน้าที่ เป็นผู้รับใช้ ถ้ามีคน เขาขาดอาหาร เราก็เอาอาหาร ไปช่วยเต็มที่ ทุกสี ไม่มีสี ไม่ได้ยึดติด กลุ่มไหน ที่ไหน เขาลำบาก เรื่องสุขา เดือดร้อน เรื่องขับถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ นี่ก็เป็นหน้าที่ของ กองทัพธรรม ที่จะต้องออกไป ช่วยสังคม เขาเดือดร้อน เรื่องขยะ งานรับใช้ งานบริการต่างๆ อันนี้เป็นงานของ กองทัพธรรม โดยตรง มันเป็นงานหลักของ กองทัพธรรม ที่จะต้อง ออกไปช่วย

และเราก็ยินดี ที่จะออกไป เป็นผู้รับใช้ โดยที่ไม่ได้ไป หวังผลใดๆ กลับคืนมาตอบแทน ไม่ได้หวังว่า เขาจะให้ลาภยศ หรือได้ตำแหน่ง ทางการเมือง โดยเห็นว่า สิ่งนี้มันเป็นเรื่องน่า
ช่วยเหลือ มนุษยชาติด้วยกัน เราก็ออกไปทำ สรุปแล้วก็คือ ทิศทางของ กองทัพธรรม ก็จะเป็นเรื่องของ การไปเป็น ผู้รับใช้สังคม ไปเป็นผู้ช่วยเหลือสังคม นี้เป็นจุดยืนของเรา
สุดท้าย ก็ขออนุโมทนา บุรุษผู้กล้าทั้งหลาย ที่ตั้งใจ จะไปปฏิบัติการ แบบท้าทาย ด้วยความสงบ สันติ แต่พอได้รับ คำแนะนำ จากผู้ใหญ่ ก็พากันถอยทัพ กลับคืนสู่ที่มั่น อย่างเก่า ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เหนือชัยชนะอื่นๆใด นั่นก็คือ "ชนะใจตัวเอง!"

เราจะได้ประโยชน์อะไร จากการที่ออกไปชุมนุม รวมกับกองทัพประชาชน
ประโยชน์ที่ชัดเจนเลย ในข้อแรกเลยก็คือ
๑. ได้มีการตั้งตนอยู่บนความลำบาก ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสไว้ว่า กุศลธรรมเจริญยิ่ง เป็นการได้ออก จากกาม ได้ออกจากภพของเรา ทุกๆครั้ง เราจะเห็นได้ว่า เวลามีแขกมาเยี่ยม พวกเรา จะมีความสุข เพราะพวกเรา ได้ออกจากภพ มาต้อนรับแขก แต่เวลาแขกกลับ เราก็กลับมาสู่ ภพของเรา มันก็จะคืนสู่สภาพยุ่ง วุ่นวายไปหมด

ดังนั้น การอยู่ในชุมชน มายาวนาน บางทีแต่ละชุมชน ก็เหมือนกับ สวรรค์วิมาน ของเรา แต่เมื่อเรา ต้องมานอน ตากฝนตากแดด หรือนอนกัน กลางถนน ก็จะเป็นการบำเพ็ญตบะ โดยที่ไม่ต้อง ตั้งตบะอะไร เพราะเป็นการตั้งตน บนความลำบาก อยู่ในตัว ที่จะทำให้เรา กุศลธรรมเจริญยิ่ง แล้วก็ดูเหมือนว่า ในช่วงสำคัญๆ พ่อท่าน มักจะมีเพชร ที่อยากเอาไปขยาย ให้ลูกๆ ได้เจริญ ในธรรม อีกเยอะเลย ก็จะทำให้ เราได้มีเวลา ฟังธรรมมากขึ้น เพราะในชุมชน งานเยอะมาก จนไม่มีเวลาฟังธรรม ก็จะได้มีเวลาฟังธรรม ให้อิ่มให้ลึกซึ้ง ในคราวนี้ แน่นอน

๒. ได้ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า ในเรื่อง ความไม่ประมาท เพราะว่างานนี้ อาจจะมีเรื่อง รุนแรงก็ได้ จึงต้องเผื่อเหลือ เผื่อขาด เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ระลึกถึงความตายเหมือนกัน เพราะว่า ทางฝ่ายรัฐบาล หรือลูกน้องของ ระบบทักษิณนี่ เขาพร้อม ที่จะรุนแรง กับประชาชน ได้ตลอดเวลา อยู่แล้ว เราก็จะต้อง คิดถึงความตาย ที่อาจจะเกิดขึ้น กับชีวิตของเรา ได้อยู่ทุกขณะ เช่นเดียวกัน ก็จะทำให้เราได้ เจริญมรณะสติ อย่างยิ่ง ซึ่งเราจะได้ทบทวนว่า เอ๊ะ.. ถ้าเราจะตายวันนี้ตายพรุ่งนี้ ศีลแต่ละข้อของเรา ยังบริสุทธิ์ดีอยู่หรือ? ศรัทธาในพระรัตนตรัย ยังมั่นคง ไม่หวั่นไหว ดีอยู่หรือ? อาริยทรัพย์ของเรา ยังงอกงามไพบูลย์ ดีอยู่หรือ? หรือว่ากิเลสของเรา กำลังงอกงาม ไพบูลย์อยู่?

สิ่งเหล่านี้ มันก็ทำให้เราจะแคล้วคลาด หรืออยู่รอดปลอดภัย เพราะว่ามี "ธัมโมหเว รักขติ ธัมมจาริง" นี่ ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรมนี่ เราจะมีธรรม รักษาเราได้ ก็เพราะเราเป็นผู้ ประพฤติธรรม ไม่ย่อหย่อนในธรรม ในข้อนี้ ก็จะทำให้ เราอยู่ในความไม่ประมาท เหมือนใน สมัยพุทธกาล พระท่าน ไปอยู่ตามป่าช้า ท่านก็จะต้องคิดอยู่ว่า ถ้าเกิดคืนนี้ งูได้มากัด มีสัตว์ร้าย มากัด เราอาจจะตาย ในคืนนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้ สัตว์ร้ายงูร้ายถูกมนุษย์ จัดการหมดแล้ว เราก็เลยเหลือแต่ สัตว์ในป่าคอนกรีต ซึ่งดุร้ายยิ่งกว่า สัตว์ร้ายในป่าเสียอีก ก็จะทำให้เรา ระลึกถึง ความไม่ประมาท ก็จะต้องดำรงชีวิต อยู่ในศีล ในธรรม ด้วยความไม่ประมาท อย่างยิ่ง และก็สอดคล้องกับ โศลกธรรมในปีนี้ ที่บอกว่า เมื่อ "มีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย" แต่รีบพลีชีพตรงนี้ ประเด็นสำคัญ ไม่ใช่หมายความว่า เอาชีวิตเข้าไปลุย รีบพลีชีวิต แต่ต้อง "รีบพลีกิเลส " ของเรานี่แหละ กิเลสที่มันติด ความสบาย กิเลสที่มัน ย่อหย่อน ต่างๆนานานี่ เราจะได้อ้าง สถานการณ์นี้ มารีบล้างกิเลส เผื่อที่ว่า ถ้าเราจะต้อง หมดอายุขัย ซึ่งแต่ละคน เราก็จะต้อง จากโลกนี้ไป ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง เหมือนอาจารย์ตะวัน ตะวันถึงเวลา ก็ต้องลาลับ จากเราไป แต่ว่า ถ้าเราสามารถ จากโลกนี้ไปได้ ด้วยการทำประโยชน์ ให้กับประเทศชาติ บ้านเมือง กับ หมู่กลุ่มได้ด้วย ก็น่าจะคุ้ม และได้ประโยชน์ คุ้มค่ากับชีวิตนี้ ที่ได้เกิดมามากกว่า

๓. จะได้เป็นการเฉลิมฉลองวาระที่ พ่อท่าน จะครบรอบ ๘๐ ปี กันให้เต็มที่ อย่างจัดหนัก จัดเต็ม สิ่งหนึ่ง ที่เราพลาดกันมา ตลอดเวลา ก็คือ พอถึงตอน วันงานจริงๆ ๕ มิถุนาฯ เราก็พึ่ง มานึกได้ว่า เอ๊ะ! พ่อท่าน จะครบรอบ ๘๐ ปี เราจะจัดอะไรกัน จะหารูปที่ไหน จะจัดนิทรรศการที่ไหน จะทำอะไร ก็ดูเหมือนว่า งานเรามันเยอะมาก พอถึงจริงๆ เราก็ไม่ได้เตรียมเนื้อ เตรียมตัวอะไร

แต่ในครั้งนี้ จะเป็นการปฏิบัติบูชา อย่างยิ่ง เป็นการที่เราจะได้ ทำประโยชน์ ให้กับพระศาสนา อย่างยิ่ง เป็นการที่เชื่อมต่อกับ มนุษยชาติ อย่างยิ่ง ซึ่งทุกวันนี้ ข้อที่สังคม เคยตั้งคำถาม กับเราว่า ชาวอโศกนี่ มันทำประโยชน์ ให้แก่พวกมัน เท่านั้นเอง ไม่ได้ทำประโยชน์ ให้กับสังคม ในข้อกังขา ที่สังคมมีกับเรา ผ่านๆมาก็เหมือนว่า สิ่งเหล่านี้ ก็จะตกไป คำว่าชาวอโศก เพื่อมวลมนุษยชาติ ก็ดูเหมือนว่า เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ในสังคมขณะนี้ ดังนั้นงานนี้ ก็จะเป็นงานที่ฉลอง ในวาระที่พ่อท่าน จะครบรอบ ๘๐ ปี และก็มีพวกเราบางคน บอกว่า สวนลุมฯ เป็นสถานที่ ที่เราเคยจัดงาน ศีลสมโภชน์ มาแล้ว รอบนี้ น่าจะเป็นรอบจัดงาน ปัญญาสมโภชน์ เราจะได้ กลับมาจัดงาน ปัญญาสมโภชน์ กันอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นการมาช่วยกัน เปลี่ยนสนามรบ มาเป็นสนามธรรมะ นำความสุขเย็น มาให้สังคม อย่างยิ่งทีเดียว

คุ้มไม่คุ้ม กับการเคลื่อนตัวของ กองทัพธรรมในครั้งนี้

เพราะดูเหมือน เขาจะแพ้ จะลงกันอยู่แล้ว! จะไม่พลอยทำให้เรา ต้องเสียฟอร์ม ตามไปด้วยหรือเปล่า? หลายๆคำถาม ที่ค้างคาใจ และต้องการ ได้รับอรรถาธิบาย จากพ่อท่าน ???

.....ตอนนี้ มีสำนักข่าว หลายสำนัก รายงานว่า กองทัพธรรม ออกไปช่วย กปท. (กองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ) ทีนี้เมื่อมีข่าว เราก็ไม่ได้ปิดข่าว แต่เราไม่ทำ อย่างครึกโครม เราก็ทำ ตามประสา ความเห็นควร ตอนแรก ก็ออกไปเล็กๆน้อยๆ แต่ว่าตอนนี้ช่วยเต็มที่ เพราะเรารู้ว่า คณะนี้ ทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง เหมือนกรณี เสธ.อ้าย เป็นการทำเพื่อ ประชาชนจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อ อย่างอื่นใด

ก็มีคนที่ ไม่เห็นแก่ตัว มารวมตัวกัน แม้แต่เรา ไปอยู่กับพันธมิตรฯ เราก็ไป เราก็ทำงาน ร่วมกันได้ ครั้งนี้เราไป เพื่อช่วยเหลือ เพราะเราเห็นเนื้อแท้ ว่าอันนี้ มันเป็นงานเพื่อชาติ เราเห็นร่วมด้วยว่า จะไม่เอา ระบอบทักษิณ การจะเสนอ พ.ร.บ. ปรองดอง เข้าไปนี่นะ พวกนี้ มีเล่ห์เหลี่ยมมาก เราก็ไม่เห็นด้วย ขณะนี้ เขาก็ละเมิด กฎหมายกันอยู่ จนเป็นอาณาจักร แห่งความกลัว แม้แต่ตำรวจ ก็อยู่ในคอก ภยาคติ กลัวเสียอำนาจ เสียตำแหน่ง มันก็เลยกลายเป็น เรื่องเลวร้ายในสังคม

มองว่า ตอนนี้พวก กปท. (กองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ) นี้ยังไม่ค่อยได้แต้ม แต่อีกพวกหนึ่ง ก็กำลังได้แต้มในสภา ถ้าชนะก็ เป็นเผด็จการในสภา แล้วจะให้หมาเป็นควาย ให้ควายเป็นลิง ให้กล้วยเป็นกล้าย ได้หมดแล้ว มันเป็นอำนาจ เผด็จการทางสภาที่แท้จริง คนยังไม่เข้าใจ อำนาจถ่วงดุล ตอนนี้ ก็เลยต้องยอม ตามกฎหมาย แต่เราก็ต้อง ไม่หยุด เราต้องช่วยกัน ต้องช่วย คนเพลี่ยงพล้ำ แต่ไม่ได้ไปแย่งชิง เอาชนะ เพราะถ้าคิดแค่เรื่องแพ้ชนะ เราก็คงไม่ออกไป เพราะก็มองเห็นกันอยู่ว่า น่าจะไปได้ไม่นาน แพ้ชนะ จึงไม่ใช่เป้าหมายของเรา แต่งาน ช่วยเหลือ ประชาชนนี่สิ คือเป้าหมาย! เขาอยู่ ๑ วัน ก็ไปช่วย ๑ วัน อยู่ ๓ วัน ก็ช่วย ๓ วัน โดยเฉพาะเรื่อง พลาธิการ เรื่องพยาบาล เราอโศก หรือ กองทัพธรรมนี่ เช็ดปัดกวาดเก่ง จะให้ไปตีรัน ฟันแทง เราไม่เป็น จะบอกว่าสู้ไม่สู้ เราไม่สู้ แบบนั้นไม่เอา ใครจะว่า ขี้ขลาดก็ไม่ว่า

ผู้ล้มเราก็ต้องช่วย ผู้เดือดร้อน เราก็ต้องช่วย เราไม่ได้มีอคติ คนอาจไม่เข้าใจ ในรายละเอียด ก็บอกแจ้ง ต่อพวกเราว่า เราจะออกไป ทำงานช่วย ส่วนผู้ที่ ออกไปทำงาน แล้วก็ไปฟังเขา เขาจะให้ช่วยอะไร ก็ทำ มีอะไร ที่เราจะเป็นประโยชน์ ต่อเขาได้ เราก็ทำ โดยต้องไม่เป็น อธรรม เราเป็นนักปฏิบัติธรรม มาตลอด ๔๐ กว่าปี ก็ทำอย่างนี้ กับสังคม เราออกไป ไม่ได้ไป รบราฆ่าฟัน การเมืองเป็นหน้าที่ ของประชาชนทุกคน เราไม่เห็นแก่ตัว ไม่อกตัญญู ต่อบ้านเมือง เหตุการณ์มาขนาดนี้ เราก็ต้องไปช่วย เพราะทางนี้ทรุดไป เราก็ต้องช่วย ช่วยทำอาหาร พยาบาล และ เรื่องสื่อสาร ตามความถนัดของเรา ตามความจริงของเรา    

ก็บอกแจ้ง อโศกทั้งหลายว่า เราต้องออกไปช่วยกันทำ ด้วยจิตสะอาด ไม่ไปก่อวิวาท ทำเพื่อพรรคเพื่อพวก เราไม่ทำ พ่อครูเข้าใจ การเมืองประชาธิปไตย เป็นแบบนี้ และอย่างนี้คือ ไม่ได้เป็นไป เพื่อตัวเอง พรรคพวก หมู่ฝูง ครอบครัว เราทำเพื่อ ประชาชนจริงๆ แม้เขาจะไม่เชื่อน้ำใจ ของเราหรอก แต่พวกเรา พร้อมพิสูจน์กับ พ่อครูไหม? ( เสียงตอบว่า...พร้อม! )

พ่อครูเปิดเผย การหมดความยึดอัตตาได้ เพราะเหตุใด

ในการเทศนาวันเข้าพรรษา และขอบุญโฮม ที่ศีรษะอโศก (อังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เรื่อง เปิดเผยการหมดความยึดอัตตา

พ่อครูได้อ่าน sms วันที่ ๒๐ ก.ค.'๕๖ ของคุณ 0888705xxx ว่า... คำโกหกมีอยู่จริง แต่คำโกหกนั้น ไม่จริง! ฉันใด.... โอฬาริกอัตตา, มโนมยอัตตา, อรูปอัตตา.... ก็มีอยู่จริง (โดยสมมุติ) แต่ว่า.... อัตตาทั้ง ๓ นี้ ย่อมล้วนไม่จริง! (โดยปรมัตถ์) ฉันนั้น! OK มั้ยจ๊ะ? แต่อาศัยว่า ชาวบ้านที่มากิน มังสวิรัติ ตามโพธิรักษ์นั้น, ส่วนมากเป็นคนซื่อๆ ไม่ค่อยมีปัญญา จึงไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ ๗๙ ปี ก็ไม่เคยมี เสด็จปู่โพธิรักษ์ และหลังจากนี้ ๗๒ ปี เมื่อโพธิรักษ์ตายแล้ว.. ก็ย่อมจะไม่มี เสด็จปู่ โพธิรักษ์ เหมือนกัน! สรุปว่า อัตตาของโพธิรักษ์ มีอยู่จริง (แค่ ๑๕๑ ปีเท่านั้น!) แต่ว่า..อัตตาของ โพธิรักษ์นั้น ย่อมไม่จริง! เหตุเพราะไม่สามารถ จะดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนานเป็นอกาลิโก เช่นเดียวกับ ปรมัตถธรรมได้! พุทธเจ้า จึงสอนไม่ได้อยู่ ๓ เรื่อง! คือ ๑.สอนคนโกง ไม่ให้โกง! ๒.สอนคนหน้าด้าน ให้มียางอาย! ๓.สอนเดียรถีย์ ที่มิจฉาทิฐิ เช่น เทวทัต และสาวกของเทวทัต (ที่ยังหลงเหลืออยู่ ถึงปัจจุบันนี้).... ให้กลับกลายเป็นสัมมาทิฐิได้! สรุปว่าโพธิรักษ์ ก็ลองพิจารณาดูเอง ก็แล้วกัน....  ว่าตัวเอง เป็นคนประเภทไหน!
ถามว่า พ่อครูเป็นคนประเภทไหน....

พ่อครูตอบว่า... อาตมาเป็นคนประเภทที่ รู้จัก "ความเป็นอัตตา" จริง และรู้แจ้ง เห็นจริงด้วย สัมมัปปัญญา อันวิเศษของตน รู้ว่าอัตตาของตน สิ้นแล้ว ไม่มีอยู่จริง เพราะมัน อนัตตาจริง มันไม่ใช่อัตตา ตามที่คุณ ๘๗๐๕ ว่าไว้นั่นแหละ อาตมาเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่อัตตา เพราะอาตมา ล้างอัตตาของตนเอง ได้หมด จึงจบสำเร็จแล้ว อัตตา มันไม่ใช่อัตตาเรา มันเป็นของสมมุติ เพราะฉะนั้น จึงรู้แจ้งว่า ผู้ยังมีอัตตาอยู่ คืออย่างไร เพราะตนเองรู้ว่า การหมดอัตตา มันเป็นเช่นนี้ จึงรู้ว่า คนที่ยังมีอัตตาอยู่ คือคนเช่นไร และรู้ไปถึงว่า คนที่มี อัตตวาทุปาทาน คือคุณ ๘๗๐๕ ไง! นี่คือคำตอบ

ตอบอีกครั้งว่า ถามว่าพ่อครู เป็นคนประเภทไหน....
พ่อครูตอบว่า... อาตมาเป็นคน ประเภทที่รู้จัก "ความเป็นอัตตา" จริง รู้ทั้งโอฬาริกอัตตา – มโนมยอัตตา – และได้ปฏิบัติ จน "หมดสิ้นอัตตา" ได้จริง อย่าหาว่า อาตมาอวด
อุตริมนุสธรรมเลย พระพุทธเจ้า สอนไว้ใน พรหมชาลสูตร อะไรไม่ใช่ ก็กล่าวแก้ อะไรใช่ ก็บอกว่าใช่ หรือแม้แต่ใน อภิณหปัจจเวกขณ์ ข้อที่ ๑๐ ถ้าใครถามว่า อาตมามีอุตริมนุสธรรม ในตนหรือไม่? ถ้าใครอยากรู้ ก็บอกเขาไปเลย อย่างไม่ได้ขัดคำสอน ของพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นคนประเภทนี้ ก็ตอบอย่างจริงใจ ด้วยเมตตา ไม่ได้โกรธได้เคือง ไม่ได้ติดใจ ถือสาแต่อย่างใด
คุณจะตู่อาตมา จะย่ำยีอาตมา เป็นเดียรถีย์ ก็ไม่ได้ติดใจ เพราะอาตมารู้ว่า คุณพูดด้วยพยัญชนะ ภาษา เท่านั้น เพราะอาตมา รู้และเข้าใจว่า คุณมียิ่งกว่า "โปฐิละ " (พระใบลานเปล่า) แต่อาตมาคือ "โพธิรักษ์" จริง แต่คุณสิเป็น "โปฐิละ" แท้จริงเลย ยิ่งกว่า "ฤาษีกินเหี้ย" ...ก็เขา (๘๗๐๕) พูดมาเอง เรื่อง "ฤาษีกินเหี้ย" และตนเอง ก็ปิดประตูอยู่ในรู ไม่รู้อะไรอยู่ในนั้น ขออภัย ที่อาจรู้สึกว่า พูดแรงไปหน่อย

ยืนยันว่า อาตมาเป็นคนที่ รู้จักอัตตา ทั้งโอฬาริกอัตตา – มโนมยอัตตา - อรูปอัตตา และก็ได้ล้าง อัตตา ทุกอย่างสิ้นเลย จึงสบายทุกวันนี้ วันนี้ตั้งใจอธิบาย เรื่องอัตตา ถ้าคุณ ๘๗๐๕ มี สุ สูสัง ลภเต ปัญญัง ก็คงจะได้เกิดปัญญาได้

ต่อไปจะพูดเรื่องอัตตา ๓

ความเป็นผู้อมตะแล้ว จะมีอัตตา หรือไม่ก็ได้ เป็น "อตมฺมยตา " (สำเร็จอัตตา ด้วยตนเอง) และไม่ติดยึด ในความเป็นอัตตา ของตนเองจริงๆ เพราะรู้แจ้งอัตตา มีอัตตาเฉพาะอาศัย ไม่ลึกลับ ในความเป็นอัตตา คือมีอรหัตตผล มีอัตตา อย่างสูงสุดแล้ว โดยไม่ลึกลับแล้ว(อรหัง) รู้แจ้งแทงทะลุ ความเป็นอัตตา ทั้ง โอฬาริกอัตตา - มโนมยอัตตา - อรูปอัตตา

โอฬาริกอัตตา คืออัตตาหยาบ, อรูปอัตตา คืออัตตาละเอียด เป็นสองขั้วใหญ่ๆ จะต้องรู้ ตั้งแต่หยาบ – กลาง - ละเอียด ต้องเรียนรู้ ความมีอัตตาของตน คืออย่างไร คนเราต้องเรียนรู้ แต่เบื้องต้นก่อน ต้องรู้ตัวช้าง ส่วนไหนของช้าง ตั้งแต่หยาบ เสียก่อน แล้วก็จัดการกับ ความเป็นช้าง ของตนเอง อย่างนี้ จึงล้างออก แล้วเป็นสิ่งที่อาศัย ก็จะเหลือ ของละเอียด ไปตามลำดับ จากสักกายะ มาเป็นอัตตา ก็ลดละลงไป ตามล้างไปเรื่อยๆ จนเหลือหางช้าง เป็นอรูปอัตตา ก็ล้างอรูปอัตตาอีก ให้เกลี้ยง เป็นผู้ไม่มีอัตตา ของตน แต่เป็นผู้ที่ ไม่ลึกลับ (อรหัง) ในอัตตา เป็นอรหัตตา ถึงขั้นอรหันต์ ไม่ลึกลับ จนถึงที่สุด จบ

แต่เมื่อเรายังรู้ว่า ตนเองยังมีอยู่ ก็ต้องมี "อาหารรูป" คือสิ่งอาศัย ทั้งหมดคือ กายและใจ กายคือองค์ประชุม ทั้งดินน้ำไฟลม และอากาศ และวิญญาณ จะไม่พรากจากกัน จนกว่าจะปรินิพพาน ผู้เป็นอรหันต์ จะไม่พรากธาตุ ๖ นี้ ท่านมีไว้อาศัย แต่ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา ท่านจบแล้ว

และที่คุณ ๘๗๐๕ ย้อนเอาคำพ่อครูมาว่า
"....คำโกหกมีอยู่จริง แต่คำโกหกนั้น ไม่จริง! ฉันใด.. โอฬาริกอัตตา, มโนมยอัตตา, อรูปอัตตา..ก็มีอยู่จริง (โดยสมมุติ) แต่ว่า.. อัตตาทั้ง ๓ นี้ ย่อมล้วนไม่จริง! (โดยปรมัตถ์) ฉันนั้น! OK มั้ยจ๊ะ?

พ่อครูว่า... ผู้ใดเห็นว่า คำโกหกไม่จริง คนนั้น ก็ต้องไม่โกหก ตลอดกาลนาน และที่โกหกมาแล้ว ก็รู้แล้ว จบ ตั้งแต่อรหันต์แท้ๆนั้น หยุดเลย คำโกหก และคำโกหก จะไม่เกิดในตน ตลอดกาล ตอบได้เลยว่า พ่อครูรู้จัก คำโกหกดี พ่อครูเคยโกหก มาก่อน รู้จักว่า เป็นเช่นใด อย่างหยาบ – กลาง - ละเอียด อย่างใด แม้โกหกด้วยเล่ห์ เล็กน้อย โกหกอย่าง กะปริดกะปรอย โกหกตั้งแต่ โค่โหล่ (เบ้อเร่อเท่อ) ค่อหล่อ (ย่อมลงมาอีก) แค่แหล่ (เล็กแล้ว) คี่หลี่ (แทบจะไม่มีเหลือ) ไม่แม้แต่คี่หลี่ ซึ่งเป็นภาษาอีสาน นี่คือลักษณะนาม ของภาษาอีสาน ที่มีเยอะ ไม่มีเศษ โกหก ใดๆเลย ล้างด้วย อรูปฌาน ๔ มันว่างจริงหรือเปล่า ว่างคืออย่างไร วิญญาณสะอาด และสะอาดอย่าง แข็งแรงมั่นคง ก็ทบทวนของตนเอง เศษน้อย ที่จะไม่ให้มี ในจิตวิญญาณ ให้มันสะอาด มันว่าง จนมัน ไม่มีเลย อากิญจัญญะนี่ ทวนแล้วทวนอีก ในเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา กำหนดในปัจจุบัน ทุกปัจจุบัน ให้สมบูรณ์ บริบูรณ์ๆ ไม่ขาดตก บกพร่องๆเลย

มันเป็นสมบัติ สมบูรณ์ พิสูจน์ทุกปัจจุบัน จะมาอีกกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านอาการ ล้านประสพการณ์ เราก็แน่ใจว่า อนาคตของเรา เป็นนิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) สูญแม้ในเวทนา ๑๐๘ จริง จบกิจเป็น กตญาณ ถ้าคุณพลาด ก็หน้าแตกเองนะ พระอรหันต์ ท่านจะทำ อย่างไม่ประมาท ไม่งั้นหน้าแตก ไปนาน หลายล้านชาติ เป็นอันตราย อันแสบเผ็ด แม้เป็น อรหันต์ขีณาสพ อรหันต์จะไม่มี จิตอยากอวด จนกว่าจะมั่นใจ อย่างเช่น พ่อครู อวดอุตริมนุสธรรม เช่นวันนี้ อวดก็ต้องมั่นใจ

พ่อครูว่า.... ไม่เคยเอาตัวเอง ออกมาบรรยาย อวดอุตริมนุสธรรม อย่างแน่นอน จริงจัง แต่วันนี้ มันวันอะไรไม่รู้ วันอายุย่างเข้า ๘๐ ปี นับอายุได้ ๗๙ ปี ๑ เดือน ๑๘ วัน โอ้โห ชัดเจน เพราะอาตมา เข้าใจ ในเลข ๑ กับเลข ๘ จริง คือพ่อครู จะต้องก้าว เข้าสู่เลข ๘ อาตมาอยู่ ๗ น่ะ เพราะฉะนั้น อันนี้ก็คือ ถึงขั้นก้าวหน้า แสดงว่า อาตมานี่มียีน ที่อาตมาเลยแล้ว จาก ๗ ขึ้น ๘ แล้ว ซึ่ง ๑ คือ ฐานของอาตมา ๘ นี้คือการก้าว ในธาตุแห่งความเพียรนั้น ๑ คือ "ธิติธาตุ" ส่วน ๘ คือเป็นตัวเริ่ม คือ "อุปักกมธาตุ" เป็นแกนหลัก เป็น Fulcrum เป็นแรง ที่จะพุ่งไปตาม "ถามธาตุ" (กำลัง) ที่จะเป็นศร ที่กำลังจะพุ่ง ออกจากแล่ง เดินต่อไป

คำตอบของพ่อครูที่ว่า คำโกหกมีจริง แต่คำโกหกไม่จริงนั้น ถูกต้อง และพ่อครูเคยโกหก เคยมีคำโกหก และได้ศึกษาคำโกหก แต่ได้ทำใจ ให้แข็งแรง (สมาหิตัง) จนคำโกหกจะไม่มี ในพ่อครู ไปจนนิรันดร นี่คือ ไม่มีอัตตา ถ้าโกหกก็คือ มีอัตตา พ่อครูได้ศึกษาแล้วว่า มันคือ อกุศลจิตแท้ๆ ไปทำทำไม ไม่ต้องโกหก ก็อยู่สบาย ไปรอด และโดยเฉพาะ ไม่ต้องฝืนด้วย นี่คือ ไม่มีอัตตา แต่คุณเอง คุณมีอัตตา แล้วคุณอ่านอัตตา ของคุณสิ ถ้าอ่านออก ทำการล้างอัตตา แล้วคุณจะหมดอัตตาได้

คุณจะจบคำว่า ไม่ใช่อัตตา เมื่อคุณไม่มีอัตตาแล้ว หมดอัตตาแล้ว คุณจึงจะพูดว่า "อัตตาไม่ใช่อัตตา" ได้ คนที่ยังล้างอัตตา ไม่สิ้นจริง ไม่ถึงอรหัตตผล จนมีกตญาณ แท้จริง คุณพูดอย่างไร ก็ไม่จริงหรอก เพราะยัง ไม่จบสิ้นเป็น กตญาณ คุณบอกว่า จบแล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" คุณจะต้องมี อนัตตา ให้ได้ก่อน คุณอธิบาย อนัตตาเป็นตัวต้น ซึ่งไม่ใช่,  อนัตตา เป็นตัวปลาย เป็นตัวจบสุด แต่เอาเถอะ คุณจะเอาอนัตตา เป็นตัวต้น ซึ่งพ่อครู ก็เข้าใจคุณ เมื่อคุณยอมรับว่า คุณมีอัตตาตัวต้น แล้วคุณกำจัด อนัตตาตัวต่อไป ของคุณให้จริงสิ คุณรับเองนะว่า คุณมีอัตตาตัวต้น คุณพูดเอง อาตมาจำได้ ซึ่งคุณเคยพูดเองว่า คุณก็ยังมี อัตตาตัวต้นอยู่ อาตมายังเก็บ sms ไว้อยู่เลย เก็บไว้เฉพาะ ของคุณเลยที่ส่งมา ถือว่าคุณเป็นคนที่ มีประโยชน์ ต่ออาตมา คนหนึ่ง เป็นอุปกรณ์ ให้อาตมา ใช้ทำงานศาสนา หลายอย่าง ก็ขอบคุณ ที่ค้น มาให้ดู หลายอย่าง ก็ทำให้ได้ประโยชน์ อาตมา ไม่ได้รังเกียจหรอก

และที่ว่า สรุปว่า อัตตาของโพธิรักษ์ มีอยู่จริง (แค่ ๑๕๑ ปีเท่านั้น!) .... ถ้าพ่อครู อายุไปถึง ๑๕๑ ปี ก็จะมีอัตตาไว้อาศัย ไปอีกถึง ๑๕๑ ปี (ฟังคำว่าอาศัย ให้ดีนะ) ซึ่งพ่อครูว่า... ใน ๑๕๑ ปี จะมีอัตตา ช่วงต้น ๓๖ ปีแรก ยังไม่ได้ ทำลายอัตตา ไม่ได้ล้างอัตตา แต่ตอนนี้ มาเป็น โพธิรักษ์แล้ว ได้ล้างอัตตา ไปหมดแล้ว ซึ่ง ๓๖ ปีนี้ เป็นอัตตาแบบ "ลิงลมอมข้าวพอง" ซึ่งท้าวความไปถึง พระพุทธเจ้า ท่านก็มีอัตตา ลิงลมอมข้าวพองไป ๓๕ ปี ซึ่งพ่อครู ก็มีอัตตา แบบนี้มา ๓๖ ปี พอพระพุทธเจ้าเลย ๓๕ ก็มาเป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ส่วนพ่อครูก็เลย ๓๖ ปี ก็เป็นโพธิสัตว์ แล้วก็อาศัย อัตตาน ี้ทำงาน เป็น อตมฺมยตา" พ่อครูก็ทำงานไป จนกว่า จะอายุถึง ๑๕๑ ปี ถ้าพ่อครูเก่ง จะรักษาขันธ์ไว้ ถ้าไม่ถึงก็จบ รู้ว่าเรามีเวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณ เป็นเรา หรือ เราเป็นเวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณ หรือไม่

เช่น วิญญาณ มันจะเป็นเราหรือไม่ สมมุติว่า ถ้าธาตุรู้ หรือวิญญาณ ของคุณ ๘๗๐๕ ที่ส่งมา แสดงออกมา สัมผัสพ่อครู ส่งมาทาง sms ให้พ่อครูรู้ได้ แล้ววิญญาณของ ๘๗๐๕ ที่จะมาทิ่มพ่อครู ยิ่งกว่าหนามทุเรียน ทิ่มแทงทุกด้าน พ่อครูจะรับ วิญญาณของ ๘๗๐๕ เข้ามาเป็นเรา รับมารู้สึกว่า เขามาเสียบเรา นิดหน่อยหรือมาก แต่ก็เสียบไม่เข้าเลย ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกว่า ระคายผิวเลย แม้วิญญาณ อันแหลม ยิ่งกว่าหนามทุเรียน มาทิ่มพ่อครู อย่างแรงทุกมุม ก็ไม่ระคายผิว ก็ไม่ได้รับ เวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณ มาเป็นเรา เป็นของเราเลย

ที่คุณตั้งใจมาว่า จะเสียบก็เสียบไม่เข้า ไม่ระคายผิวเลย จึงมีแต่ อุเบกขาเวทนา ทั้งๆที่รู้ว่า เขาเสียบ ทั้งเราก็ไม่เป็นแบบคุณ พ่อครูไม่เคยไปใช้ เวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณ ไปเสียบคุณ มีแต่อธิบายธรรมะ ให้เป็นอาหาร ที่เป็นกุศลแก่คุณ คุณรับไปบริโภค บ้างหรือไม่??? พ่อครูให้คุณ อาจเข้าหู แต่ปิดประตูใจ ไม่ให้เข้า มันเลยไม่เข้า พ่อครูก็ว่า... เปิดนิดหนึ่งนะ อยากเข้าไป ในใจคุณ เอาไปไว้ ในใจคุณหน่อยเถอะ (นี่โรแมนติกไหม?) นี่ขอใช้ นัจจะคีตะวาทิตะ นะ นี่เป็นวรรณกรรม

สู่แดนธรรมถามว่า เขากลัวเสียหน้าหรือไม่? พ่อครูว่า....เขากลัวเสียอัตตา ซึ่งมันรวมทั้งหมด แต่แค่เสียหน้า ที่เป็นสิ่งประเจิด-ประเจ้อ ก็ถูกแล้ว แต่จริงๆ ทุกอย่างนี่คือ อัตตา พูดไป ก็ขออภัยอีกที อาจหยาบไปหน่อย แต่ก็คือการสื่อ "กา" ทั้งหลาย ได้กินหรือไม่? นี่คือการตีงู ให้กากิน

กองงานปัจฉาสมณะ

 

 

มาตรวจสมรรถภาพ ของหัวใจ พบว่า หัวใจพ่อครู อายุ ๑๘ ปี

วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พ่อครูฉันอาหาร ตั้งแต่ ๗ โมงเช้า เพื่อเตรียมตัว ไปฟังผลตรวจ ของวันที่ ๑๘ มิ.ย.'๕๖ และครั้งนี้ จะตรวจ Exercise stress-test with Echocardiogram (การวัดประสิทธิภาพ การสูบฉีดโลหิต ของหัวใจ ในขณะพัก เปรียบเทียบกับ ตอนออกกำลังกาย) ที่โรงพยาบาล บำรุงราษฎร์ ตามนัดของ หมอโต(นพ.ประธาน วาทีสาธกกิจ) ที่ได้นิมนต์ ไปตรวจต่อ เนื่องจาก การตรวจที่ผ่านมา พ่อครู พร้อมด้วยปัจฉาฯ ออกเดินทางจาก สันติอโศก ตอน ๑๐.๓๐ น. เนื่องจากรถติด จึงไปถึงที่รพ. ในเวลา ๑๑.๔๕ น. ซึ่งหมอโต ก็รออยู่แล้ว จากนั้น จึงได้ไปที่ ห้องทำงานของหมอโต เพื่ออธิบายถึง ผลการตรวจ เมื่อวันที่ ๑๘ มิ.ย.'๕๖ โดยห้องปฏิบัติการ (lab) และเอ็กซเรย์ ให้พ่อครูและปัจฉาฯ ฟังผลการตรวจเลือด มีดังนี้

มีความผิดปกติของผลเลือด คือ
๑. มีปริมาณวิตามินดี ต่ำกว่าปกติ แต่ค่าคงที่ เมื่อเทียบกับ ประมาณ ๓ เดือนก่อนที่ตรวจ
๒. ปริมาณ เกลือโซเดียม ต่ำกว่า คนปกติเล็กน้อย แต่ไม่ก่อให้เกิด อันตรายร้ายแรง
๓. การทดสอบภูมิแพ้ต่อสารต่างๆ (Antigen) กว่า ๑๒๐ ชนิด พบว่า มีอาการแพ้ "กุ้ง" อย่างเดียว เท่านั้น

ผลตรวจเอ็กซเรย์ปอด พบว่า กระเปาะที่หลอดลม (Tracheal Diverticulum) มีขนาดโตกว่าเดิม เล็กน้อย มีการกดเบียด หลอดลม ให้เบี่ยงออกไป มากกว่า ครั้งที่ผ่านมา ผลการตรวจ อัลตร้าซาวด์ ตับและตับอ่อน ไม่พบความผิดปกติ ของตับและตับอ่อน ไม่พบซีสต์ ที่ตับอ่อน แต่หางของตับอ่อน มีขนาด ใหญ่กว่าปกติ

ผลตรวจ Carotid Droppler ultrasound (คือการตรวจวัด การไหลเวียนของ หลอดเลือดแดงใหญ่ ที่บริเวณคอ) ไม่พบการตีบตัน ของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ ไม่มีการกดทับ หลอดเลือดแดงใหญ่ ที่คอจาก Tracheal diverticulum

ผลการตรวจเอกซเรย์ MRI ที่คอ พบว่า กระเปาะ ที่หลอดลม (Tracheal Diverticulum) มีก้านอยู่ค่อนไป ด้านหลัง ขนาดไม่ต่างจาก เมื่อ ม.ค. ๕๖ หมอผู้เชี่ยวชาญ ด้านทางเดินหายใจ ให้ความเห็นว่า ผ่าตัดยาก เพราะก้านของ กระเปราะ อยู่ด้านหลัง และไม่ควรเสี่ยงผ่าตัด และให้ระมัดระวัง ไม่ให้อยู่ในท่าที่ ศีรษะลงต่ำกว่าตัว เพราะอาจมีวัตถุ หรือน้ำคัดหลั่ง ตกลงในกระเปราะ ทำให้อักเสบได้ และวัตถุออกมายาก เนื่องจากกระเปราะ อยู่ในแนวตั้ง

ผลการตรวจเอกซเรย์ MRI ที่ช่องท้อง พบว่าตับอ่อน มีขนาดโตกว่าปกติ ที่บริเวณส่วนหาง และมีซีสต์ขนาด ๑.๑ ซม. ที่ตับอ่อน ติดท่อของตับอ่อน ขนาดเท่าเดิม กับที่ตรวจตอน เดือนมกราคม ๒๕๕๖ ไม่พบลักษณะ ที่เป็นเนื้อร้าย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำให้ตรวจ ติดตามผล ทุก ๘ เดือน

หลังจาก ฟังผลตรวจ จากหมอโตแล้ว พ่อครูก็ไปวัด ค่าสัญญาณชีพ
วัดความดันโลหิตได้ 114/85 mmhg
pulse 81 /min  temp 36.6 c
หลังวัด สัญญาณชีพ พ่อครูก็ได้ไปพัก รอประมาณ ๓๐ นาที จากนั้นจึงไป ตรวจ Exercise stress-test with Echocardiogram ซึ่งพ่อครู ต้องติดสายวัด คลื่นหัวใจไว้ ตลอดการตรวจ โดยทำการวัด ประสิทธิภาพ การสูบฉีดโลหิต ของหัวใจ ในขณะพัก เปรียบเทียบกับ ตอนออกกำลังกาย ขณะหัวใจเต้น มากกว่า ๑๒๐ ครั้งต่อนาที

ซึ่งนพ. ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโรคหัวใจ ให้การรับรอง หลังการตรวจว่า หัวใจของพ่อครู มีประสิทธิภาพ ดุจดั่งคนอายุ ๑๘ ปี ไม่เหมือนคนอายุ ๘๐ ปีอย่างพ่อครู หลังการตรวจ พ่อครูไม่มีอาการ เหนื่อยเมื่อย หรือเพลีย แต่อย่างใด ..