019 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖

ได้เตือนกัน ถึงเรื่องที่พวกเรา ว่าเราเอง เราติดแป้นหรือไม่ เป็นศาลเจ้า ที่เราเป็นเจ้าติดศาลหรือไม่ นั่นเป็นจุดสำคัญ

การได้มรรคได้ผล หรือว่าการได้ที่อาศัยที่พักพิง มันก็จะได้ที่อาศัยที่พักพิง ที่เป็นสิ่งล่อใจ ผู้ที่เกิดรส เป็นธรรมรสแท้แล้ว จะรู้สึกว่ามันสบาย และก็เป็นการสบาย ของธรรมะนี่ มันจะยอกย้อน เสียบแทง อย่างสำคัญที่สุด ตรงที่ว่า จะหลงง่าย หลงที่ตรงมันหยุด มันเบา มันว่าง

ถ้าเผื่อว่า เข้าใจธรรมะโดย ปรมัตถธรรมขั้นสูงไม่ได้ เราจะหลงสูง เห็นว่า อ๋อ! การที่ได้เบา ว่างง่าย มันคือ การอยู่เฉยๆ ว่างง่าย แล้วก็หยุดไปเลย ไม่มีสมรรถภาพ ของความเป็นมนุสโส หรือผู้มีคุณค่า เป็นมหาบุรุษ หรือเป็นเอกบุรุษ ที่มี พหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ มันจะไม่รู้เลยว่า เราจะมีคุณลักษณะอันนี้ กลายเป็นผู้ที่จะติดเสพ เลิกละหลุดมาแล้ว เราก็ไม่ต้อง ไปเกี่ยวไปเกาะ ไปวุ่นไปวายกับมันแล้ว เราก็จะไม่ขวนขวาย ในอะไรอื่นๆอีก หลุดอะไรได้แล้ว เราก็ไปเสพติดฐานใหม่ ที่เราพรั่งพร้อม ให้สิ่งที่มันหยาบมันหนัก เราก็วางก็ทิ้งมาแล้ว มันก็เบา แล้วเราก็จะเสวยสิ่งที่ใหม่ สิ่งที่เราได้นั้น อันพอเพียงพอได้ เพราะว่าเราเอง มันไม่ผลาญพร่า มันไม่ร้ายกาจ มันไม่หนักหนา มันไม่วุ่นวายเท่า เพราะฉะนั้น เราทิ้งของหยาบมาได้ ก็เบาขึ้นๆ

ลักษณะเบาพวกนี้ ถ้าเราไม่ถ่ายเท เปลี่ยนพลังงาน ให้ไปเป็นพลังงานที่มีคุณค่าอีก หรือ เรามองพลังงานที่จะสร้างสรรนี้ เป็นสภาพความเหน็ดเหนื่อย เป็นความยากลำบาก คนนั้นไม่รู้จักกรรม ไม่รู้จักการงาน ไม่รู้จักพฤติกรรมมนุษย์ หรือ ไม่รู้จักบทบาท อันเป็นคุณค่าของมนุษย์ เราก็จะกลายเป็นคนไม่ทำงาน
แต่ถ้าเราเข้าใจถึงบทบาท การทำงานเหล่านั้น เรายิ่งเบา จากสิ่งที่เราไม่ต้องไปเสียค่า เสียแรงงาน เสียเวลา เสียทุนรอนด้วย เราก็กอบกู้สิ่งเหล่านั้น เอามาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่าได้อีก

การทำงานโดยสัจจะ มันก็ต้องเมื่อยกว่าการอยู่เฉยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า ผู้ดูผิวเผิน ก็จะระลึกว่า การอยู่เฉยๆนั้น คือความเบาว่างง่าย มันเป็นพื้นฐาน ใครก็รู้ แต่มันไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริง มันเป็นสิ่งที่จะถ่วง ถ่วงให้ผู้ที่หลงผิดนั้น กลายเป็นคนอยู่เฉย

ศาสนาที่ไม่รู้ทั่วถึง หรือศาสนาที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์ เป็นเดียรถีย์ ก็สามารถไม่ไปวุ่นวาย ไม่ไปคลุกคลี ไม่ไปยุ่งกับไอ้เรื่องโลกๆ ได้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่สามารถ ที่จะสร้างค่าของตัวเอง ให้เป็นคุณค่าขึ้นได้

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ยอด จึงแก้ปมประเด็นนี้ได้ เพราะฉะนั้น เราได้อะไรแล้ว ในขั้นตอน ฐานอะไรๆมา เราก็จะต้องรู้เอง แน่นะที่เราได้ เราไม่ติดไม่เสพ แม้เราจะคลุกคลีเกี่ยวข้อง ปนอยู่กับสิ่งนั้น เราก็จะต้องให้แน่ใจ เมื่อแน่ใจแล้ว ต้องขวนขวายที่จะหาฐานใหม่ หาสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัติ ให้แก่ตนใหม่ ให้หนักหนายิ่งขึ้น

ไอ้สิ่งที่ตนเองเสวยนั้นแหละ ส่วนมาก ส่วนที่เราเองเราเสวย เราอาศัยนั่นแหละ นั่นแหละคือ ฐานที่เราจะต้องรู้ว่า เอ๊! มันเป็นฐานที่อันเกษมแล้วหรือ มันเป็นฐาน หรือว่าเป็นศาลเจ้า มันยึดเกาะได้นิรันดร์ หรือว่าสูงสุดแล้วหรือ มันจะเลื่อนขั้น กว่าฐานหรือศาล ที่เราเกาะอยู่ได้อีกมั้ย วิเคราะห์เจาะลึกลงไป ในฐานะตัวตน ที่เราอาศัยนั่นอีก เห็นความบกพร่อง เห็นความที่ควรจะเลื่อนชั้นไปกว่านี้ เห็นที่สูงกว่านี้ เห็นสภาพที่เจริญงอกงามกว่านี้ ให้ได้อีก แล้วเราก็จะเห็นว่า แม้แต่ศาล ที่เราได้นั้น เราเป็นเจ้าครองศาล แค่นั้น ยังเป็นศาลเตี้ยอยู่เลย ศาลสูงกว่านี้มีอีก สิ่งลึกซึ้งเจริญงอกงามกว่านี้มีอีก แล้วเราจะต้องอุตสาหะ วิริยะอีก

การตัดกิเลสให้แก่ตัวเองนั้น ยิ่งสูงขึ้น ก็ต้องยิ่งอุตสาหะวิริยะ เพราะมันมีตัวหลอก หรือตัวที่เราได้แล้ว เสวยศาล เสวยฐานแล้ว เสวยศาลหรือเสวยฐาน หรือ ได้อาศัยแล้ว มันจะบอก เอ๊! เราก็มีที่อาศัยพอสมควร มองไปอีกโลกหนึ่ง หรือมองไปอีกมุมหนึ่งของมนุษย์ ก็เห็นว่า เราก็สูงกว่าเขามาด้วยซ้ำ เราก็ได้ดีกว่าเขาขึ้นมาแล้ว มันจะทำให้เราเผิน แล้วก็หลงตัวได้ง่าย เราก็ได้ดีมาพอสมควรแล้วนี่ ตะกละอะไร แล้วก็เลยไปเอา เหตุผลที่มันซ้อนๆนี้ว่า เราก็ดีแล้วนี่นา มักมากอะไรอีก อันนี้แหละ พระพุทธเจ้า ถึงได้ต้องออกสูตร ฐีติสูตร มาว่า เราไม่สรรเสริญคนหยุดอยู่ หรือทรงอยู่เท่าเดิม เราสรรเสริญคนที่วุฑฒิ วุฑฒิ ป่วยการกล่าวไปใยกับคนเสื่อม เพราะฉะนั้น คนที่เสื่อม แน่นอน ท่านย่อมไม่สรรเสริญ แม้แต่คนทรงอยู่ ท่านยังไม่สรรเสริญ ท่านสรรเสริญคนที่เจริญยิ่งๆ

ฉะนั้น ถ้าผู้ใดติดแป้น ผู้นั้นจะเป็น ปปัญจารามตา จะเป็นคนช้า จะเป็นคนร่องแร่งๆ อยู่นั่นแหละ ดีไม่ดี ก็ถูกผี ลากลงไปอีกด้วยซ้ำ จะไม่มีฐานที่สูง จะไม่มีพลัง อินทรีย์ที่แก่กล้า ในขณะที่ เราเหมือนกับเหล็กร้อนๆ เผาไฟ รีบตี รีบนวด เหล็กนั้นก็จะได้รูปได้ร่าง ได้อะไรที่ดีขึ้นทีเดียว

ทีนี้เราก็ปล่อยเฉื่อย ปล่อยแฉะ จะแก้มันทีก็ยาก จะบิดกันที จะเบี้ยวกันที จะปรับกันที ก็แข็ง ก็กระด้าง ก็ปรับยาก นวดยาก แก้ยาก ก็ทั้งช้า ทั้งนวดยาก ยิ่งมีอะไรต่ออะไร ที่ทำให้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่มากยิ่งขึ้น

เราก็จะต้องพยายามรู้ความจริง ของเราเองให้ได้ว่า เราได้อะไรแล้ว ถ้ารู้ว่า ดีจริงแล้ว อย่าติด จริงเราจะอาศัยฐานนั้น มันก็เบาๆง่ายๆ แล้วเราก็ไม่หาฐานสูง ที่จะประพฤติปฏิบัติ อุตสาหะวิริยะเพิ่มขึ้น มันก็ไม่หนัก มันก็ไม่เหน็ด มันก็ไม่เหนื่อย มันก็จริง แต่คุณจะเอาอยู่ แค่นั้นหรือ ขอย้ำ ถามคุณ คุณจะเอาอยู่ แค่นั้นหรือ จะแช่อิ่ม อยู่แค่นั้นหรือ

พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่า ท่านถึงได้ออกสูตร ฐีติสูตร ออกมาว่า ท่านไม่สรรเสริญ คนหยุดอยู่ คนทรงอยู่เท่าเดิม ติดตังอยู่เท่าเก่า ท่านไม่สรรเสริญ ไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะไปถึงยอดสูงสุดนั้นไม่ได้ เพราะเคยแนะนำ เป็นอุทาหรณ์ว่า จะเดินไปถึงนิพพานนี่ ข้างทางเป็นสวนสวรรค์ รอบไป รอบทางไปเลยอยู่ละ ทางไป มีสวนสวรรค์ ที่แวะแล้ว ก็หลงมันทั้งนั้น แล้วคนที่ไม่ได้เข้าใจ อย่างถูกต้องแล้ว จะหลง สวนสวรรค์ตาย ตกอยู่อย่างนั้น ช้า เนิ่นนานอยู่อย่างนั้นแหละ มากกว่ามาก

ผู้ที่จะไม่ติดไม่ยึด ในสวรรค์ข้างทาง จะได้รู้ว่า อ๊อ! สวนสวรรค์ดีอย่างนี้ แล้วก็รีบเดินออกมา มาทางที่จะปีนป่าย อุตสาหะ วิริยะ มานะ กัดฟันต่อสู้ เพิ่มขึ้นอีกนั้นได้ หาได้ยากนัก

เราต้องรู้ตัวนี่ว่า เราจะเป็นคนที่ ฉ่ำแฉะเฉื่อยชา ปล่อยปละละเลย ให้เป็นไปเพื่อความเนิ่นช้า อย่างนั้นหรือ พระพุทธเจ้าท่านตราไว้ว่า ข้อที่ ๘ ปปัญจารามตา ผู้ทำอะไร ให้เป็นไปเพื่อความเนิ่นช้า ผู้นั้นเป็นผู้เสื่อม

ความเสื่อม ๘ ประการ ข้อนี้เป็นข้อที่ ๘ การช้านี่ มันช้าด้วยเหตุผลหลายอย่าง และเหตุผลข้อนี้ ก็กำลังแนะนำเรา เพราะว่า เป็นเรื่องของฐานมานะ เป็นฐานถือดี เป็นฐานหลงดี อาศัยภูมิเท่าเดิมนะ หลงตัวว่า ตัวเองเท่านี้ๆแล้ว ไม่เอา หลงตัวว่าเท่านี้ๆอยู่ ก็ไม่พอ

เราจะยึดมั่นถือมั่น ว่าเราเสมอเขา เท่าเขา เราไม่มากแล้ว เราไม่เอากว่านี้ก็ได้ ไม่เอา, อย่างนั้นไม่เอา, แม้คุณจะมั่นใจว่า คุณไม่เสื่อมกว่านั้นก็ตาม หรือ คุณจะไม่เสื่อมได้จริงๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ไม่สรรเสริญ พระโพธิรักษ์ก็ไม่สรรเสริญ ไม่ต้องเอาพระพุทธเจ้า แม้แค่พระโพธิรักษ์ ก็ไม่สรรเสริญ แม้จะรู้น้อย เช่นนี้

ผู้รู้มากถึงขนาด พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญแล้ว ทำไมไม่สะดุ้งสะเทือน พระโพธิรักษ์ ก็ไม่ได้สูงเท่าพระพุทธเจ้า ก็ไม่สรรเสริญ ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราก็จะต้อง พยายามเข้าใจจุดเป้าพวกนี้

ข้อสำคัญ ขอให้เราชัดเจน ขอให้แม่นว่าเราได้ ได้แล้วอย่าเสพติด ก็เจ้าเสพติดนี่ แหม! แสบปวดนัก เสพติดนี่ แสบปวดนัก รู้ตัวให้ดีได้ เราไปเสพติดยาฝิ่น ยากัญชา ก็รู้อยู่ว่า มันแสบปวด อย่างโลกๆ หยาบๆ มาเสพติดกาม มาเสพติดสรรเสริญ มาเสพติดอัตตาตัวตน มาเสพภูมิภพที่สงบ มันก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้ เราเนิ่นช้า

เราจะไม่เสพติด ในจุดอะไรๆ เราจะเข้าใจว่า ได้แล้ว ถอดถอน เปลี่ยนเพิก เรียกว่า สมาธิสฺส วุฎฐานะ เพิกถอน พยายามทำอันใหม่ หากัลลิตะใหม่ หาองค์ใหม่ หาภูมิใหม่ หาสภาพที่จะเจริญงอกงาม ขึ้นใหม่ให้ได้ ให้ได้เสมอ

วันนี้ก็ขอแนะนำ จุดสำคัญพวกนี้ ให้แก่พวกเรา เราจะต้องก้าวหน้า เราจะต้องเพิ่มภูมิ เราจะต้องเดินทางไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เราได้มาขนาดนี้ ก็ดีแล้ว อย่าเหลิงใจ อย่าระเริง เรายังมีดีกว่านี้อีก ที่เราควรจะเป็นไป ก็ขอให้พวกเรา ตรวจตรา ตรวจตนให้แม่น ให้แม่นๆ แน่นอน

คนที่หลงตนว่า ยังไม่ได้แล้วหลงว่าได้ ระวังนะ น่าสงสารยิ่งกว่าอีกนะ ถ้าเราไม่ได้ แล้วเราก็จะเอาแต่ก้าวตะพึด ก้าวโดยทั้งๆที่ตัวเอง ก็ไปไม่รอด ยังผูกโซ่ไว้ที่ ฐานต้นอยู่ แล้วยังอุตส่าห์จะก้าวกับเขา มันก้าวไม่ได้ ขาฉีกตายนะ ไม่ได้เดินหรอก ตรวจให้แม่น ตรวจให้ชัด แล้วอย่าเสพติด นี่เป็นเป้าที่อยากจะเตือน สำทับ แล้วเราจะได้สัมมนาตัวเอง จะได้อุตสาหะวิริยะ ไม่หลงความเบา ความง่าย ความลวง อย่างที่เรียกว่า ก็ไม่ใช่ว่าลวง อย่างตื้นต้นทีเดียว แต่มันลวงล่อให้เรา หลงสรวงสวรรค์ อันนี้เป็นสำคัญ ขอให้ทุกคน ระลึกตรวจตรา แล้วก็อุตสาหะ ตั้งศีล ตั้งพรต ให้สมฐานะของตัว แล้วเราจะเดินไปให้ดีที่สุด ก้าวหน้าไป ให้ทั้งเร็วและไกล ได้มากที่สุด เท่าที่จะพากันไป

สาธุ.

*****