046 ธรรมปัจเวกขณ์
ประจำวันที่ - - สิงหาคม 2526

การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการปฏิบัติที่ ประกอบพร้อมไปด้วยกับบทบาท อันเป็นปรกติธรรม มีธรรมชาติยืน เดิน นั่ง นอน มีอิริยาบถ มีการทำงาน มีการมีอาชีพ มีบทบาทชีวิตมนุษย์ปกติ แต่ว่าหลักการของพระพุทธเจ้านั้น ให้เรามีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ให้รู้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้รู้แม้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นทวาร ที่เรารับสัมผัสต่อข้างนอก เข้ามาหาจิตใจ แล้วก็ตรวจอ่านจิตใจ รู้จักอารมณ์ของจิต รู้จักอาการของจิต ที่มันเป็นอาการอกุศล รู้จักอาการของจิตที่เป็นกุศล

เพราะฉะนั้น เราก็พยายามเปลี่ยนระบบ เปลี่ยนอาการ ที่มันเกิดที่จิตด้วย เรียกว่าปรมัตถ์ ให้เป็นอาการที่เป็นกุศลเสมอๆ นั่นคือการปฏิบัติถึงจิต เป็นการปฏิบัติวิปัสสนา หรือหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า เรียกว่า สติปัฏฐาน หรือเรียกว่า มรรคองค์ ๘ ก็ได้ เพราะฉะนั้น จะเดิน ยืน นั่ง นอน ไม่ว่าเราจะคิด ไม่ว่าเราจะพูด ไม่ว่าเราจะกระทำการงาน มีอาชีพอยู่ เราก็เข้าใจให้ถูกต้อง ในส่วนที่เป็นกุศลาธรรม หรืออกุศลาธรรม หรือ สิ่งที่เป็นความผิด เป็นความถูก ทำความเห็นให้แจ้ง ทำปัญญาให้ชัดเจน ถึงส่วนนี้ว่าดี ส่วนนี้ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นหยาบ ตั้งแต่กายกรรม วจีกรรม จนกระทั่ง ถึงอาการของจิต ให้รู้ให้ชัดแจ้ง อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ เมื่อรู้แจ้งแล้วก็ควบคุมปรับ ปรับมันเรื่อย ให้มันมาสู่บทบาทที่เป็นกุศล หรือดียิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ละเว้น ความไม่ดี อาการไม่ดี แล้วมาเป็นอาการที่ดีขึ้นมา ตลอดเวลา ทำได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง มีอาการรับรู้ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม เรียกว่า สติปัฏฐาน ๔ ก็ตาม หรือเรียกว่า มรรค ๘ มีความเห็นถูกต้อง แล้วเราก็มีความพยายาม มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมไปในตัว แล้วก็ปฏิบัติให้รู้ว่า นี่เราคิดน่ะ นี่เราพูดน่ะ นี่เราทำการงานอยู่ เป็นอาชีพ หรือเป็นส่วนมากอยู่ขนาดนี้น่ะ ก็ให้ปรับอยู่ตลอดเวลา ปรับให้มันเป็นกุศล เป็นกุศล เป็นกุศล อยู่ตลอดเวลา แล้วก็รู้รายละเอียด ที่อันเป็นกุศลยิ่ง เข้าไปหาจิตวาง จิตว่าง หรือจิตที่มันละล้าง ส่วนที่เราเรียกว่า กิเลสก็ดี ตัณหาก็ดี อุปาทานก็ดี ล้างออก ล้างออก

หรือว่าอาการของโลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหมูลจิต ก็ดี ละล้างจางคลายออกจริง ถูกต้องลงตัว เราก็จะเดินทางไปสู่นิพพานจริงๆ พิสูจน์ได้ตั้งแต่เบื้องต้น ที่เป็นโลกหยาบๆ เหนือโลกหยาบๆมาได้ โลกต่ำๆ เรียกว่าโลกนรก โลกเดือดร้อน โลกอบาย เลิกมันได้ จนโลกสูงขึ้นมาอีกบ้าง ก็ยังมาลดอีก โลกกามคุณ โลกธรรม ๘ ไม่เป็นทาส อยู่เหนือโลกเหล่านั้น สิ่งที่มันสัมพันธ์ไปมา ก็เกิดปัญญารู้ว่า ไอ้เรื่องลาภเรื่องยศ มันเป็นองค์ประกอบเท่านั้น เราไม่ยึดจริงๆ เรากล้าสละได้ เสียได้ แล้วเราก็เป็นคนที่สามารถอยู่กับโลกเขา อย่างมีการงาน ขยันหมั่นเพียร สร้างสรรสิ่งที่ดี เจริญงอกงาม สมบูรณ์ ไพบูลย์อยู่ ไม่ลดไม่ต่ำ มีแต่ทวีความไพบูลย์ ความสมบูรณ์ ความเจริญ ความดีได้เรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องสะสมลาภ สะสมยศ ไม่ต้องหลงคำสรรเสริญ เขานินทา เราก็ฟังได้ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน แล้วเราก็เอาคำนินทา คำติคำเตือนนั้น มาพิจารณาแก้ไข ปรับปรุงตนได้ เราก็ดีขึ้น จนเขานินทาผิดๆ เราก็รู้ เขานินทาถูกต้อง เราก็รับรู้ ขอบคุณ อนุโมทนาต่อความหวังดีของเขา เอามาแก้ไขตนอยู่เสมอ เราก็มีแต่ดีถ่ายเดียว เจริญๆอยู่ในโลก ไม่หลงสรรเสริญ ไม่ท้อแท้ต่อนินทา ไม่กลัวคำตำหนิติ ข่มขี่อะไรไม่กลัว เอามาพิจารณา แก้ไขให้รู้จริง ไม่ลำเอียงเข้าข้างตน ไม่หลงตนหลงตัว กระทำอยู่อย่างนี้ เสมอๆ เราก็จะมีแต่ความเจริญจริงๆ

หลักเกณฑ์เหล่านี้ เป็นของพระพุทธเจ้า ที่ผู้เรียนรู้ ละเอียดลออ เรียนรู้ชัดเป้า เรียนรู้อย่างถูกตรง แล้วเอามาปฏิบัติ แก้ไขปรับปรุงตนแล้ว เราจะพิสูจน์ได้ว่า เราเป็นคน แนวเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็นคนเผ่าเดียว พันธุ์เดียวกันกับพระพุทธเจ้า เป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนไม่สะสม เป็นคนมีอาการน่าเลื่อมใส เป็นคนที่มีศีลเคร่ง มีวินัย มีกฎ อันละเอียดลออสูงได้ ปราศจากการด่างพร้อย ในธรรม ในวินัย ในระเบียบอะไรต่างๆ บริสุทธิ์เคร่งครัดได้ มีเครื่องขัดเกลา มีอาการขัดเกลา ขัดเกลาตน ขัดเกลาผู้อื่นอย่างเก่ง ไม่ให้แตกร้าว ไม่ให้เดือดร้อน มีความพอ มีขีดข่ายความพอ มีความมักน้อย เหล่านี้เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนทำให้เจริญงอกงามได้ง่าย เป็นคนเลี้ยงง่ายอยู่ง่าย เลี้ยงง่ายสบาย เหล่านี้เป็นลักษณะดี เป็นคุณความดี เป็นความพัฒนา เป็นมนุษย์เจริญ ที่เป็นหลักเกณฑ์ หลักการต่างๆ ที่เอามาเลียบ มาเคียง มาพิสูจน์ เราได้ยืนยัน ยืนยัน เราก็จะมั่นใจ เราก็จะสบายใจ เพราะเราปฏิบัติได้จริง ก็ไม่มีปัญหา ไม่วนเวียน ไม่สงสัย ยืนยันมั่นคง แล้วก็จะเป็นหลัก ให้แก่กลุ่มมนุษย์ เป็นหลักให้แก่กลุ่มสังคม แล้วเราก็ทำงาน สร้างสรร หรือว่าแนะนำ พยายามที่จะเผยแพร่จุดดี ความดีแก่มนุษย์เหล่านี้ ต่อไป เราก็ได้สบายแล้ว แม้เราจะไม่มีเงิน ไม่มีทอง ไม่มีลาภ ไม่มียศ อย่างชาวโลก ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ที่ดีจริงๆ เราไม่ได้มีปมด้อย เราไม่ได้น้อยหน้าใคร ที่เราไม่มีเงินสักบาท เราก็มีการมีงาน ไม่ได้เป็นคนขี้เกียจ สันหลังยาว เอาเปรียบเอารัดอะไรอยู่ เรารู้จริงๆ แล้วเป็นจริง ตรงจริง ใครมาท้วงมาติง เรามีหลักฐานอ้างอิง มีความจริง มีความตรง อ้างอิง มีสิ่งที่ดีถูกต้องจริง ดังสิ่งที่กล่าวจริง เมื่อนั้นเราก็จะหมดปัญหา เราก็จะไม่ข้องใจ เราก็จะสบายใจ

ถ้าเรามีจริงอะไร เราแสดงจริงออกพิสูจน์แล้ว ถ้าโลกนี้ แสดงความจริงไม่รู้กันได้ เขาจะเอาเราตาย ก็ควรตาย ก็โลกมันไม่รู้เอาดีเอาเลย จะเอาแต่เลวๆ มาเป็นสิ่งหลัก สิ่งยืนในโลกไว้ สิ่งดีมันไม่เอา แล้วพูดกันไม่รู้เรื่อง อยู่กับคนที่ไม่รู้เรื่องในความดี อยู่กันอย่างเลวๆ แล้วก็ทำดีไม่ได้ เขามีอำนาจบาตรใหญ่ ที่จะจัดการเราเอาถึงตาย อาตมาคนแรกเลย อาตมาจะยินดีตาย อาตมาไม่ ไม่ๆอยู่นะ แต่ อาตมาเห็นโลกนี้มีความดี มีคนมีปัญญา มีความรู้

เพราะฉะนั้น จะมาเอาอาตมาตาย คงจะไม่ได้ง่าย เท่าที่รู้สึกนะ แม้จะมีอำนาจบาตรใหญ่อะไรก็ได้ มันรู้กัน แม้จะมีอำนาจบาตรใหญ่ จนกระทั่ง จะเอาเราตายได้ไหม เราก็ไม่ได้โกรธแค้นโกรธเคือง อาฆาตมาดร้ายอะไรล่ะ แต่เราก็จะแสดง สัจจะความจริงนี่ ออกไปจนถึงที่สุด เราจะมีความฉลาดอะไร ที่จะแสดงความจริง ความดีความถูกต้องอันนี้ ไปตามที่เราแน่ใจมั่นใจ แสดงออกไป จนถึงที่สุด เมื่อสุดแล้ว มันเป็นไปได้เท่าไร ก็เท่านั้น จะจบอยู่ที่ไหนก็ที่นั้น จบที่ต้องตายก็ตาย จะอยู่ที่ติดคุกก็ติด จบอยู่ที่ ต้องปลอดภัย อิสรเสรี ก็เอา หรือแม้จะจบอยู่อย่างเขานับถือ เชิดชูบูชา เข้าใจอย่างแท้จริง ก็เอา มันจะลงตัวตรงไหน ก็ตรงนั้น มันจะดีที่สุด ตรงไหนก็ตรงนั้นน่ะ ไม่มีปัญหาอะไร เราจะรู้ด้วยสัจจะ ความจริง และ เมตตาเกื้อกูลเท่านั้น เป็นที่สุด

สาธุ

*****