047 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ -- กันยายน ๒๕๒๖

จับอาการ รู้รูปนามของจิต
เอ้า! ใคร่จะทบทวน เรื่องการพักการเพียร เรามีการปฏิบัติ ในระบบของสติปัฏฐาน หรือ มรรคองค์ ๘ มีการพูดการคิด มีการทำการทำงาน ทำอาชีพ เป็นสัมมาปฏิบัติ เป็นเรื่องปกติ พร้อมกันนั้น เราก็จะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ดังนัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสอน ให้เราเรียนรู้ จับจิต จับอาการ รู้รูป รู้นามของจิต อาการของจิต อาการของเจตสิก ไอ้นี่เป็นกิเลส อาการอย่างนี้ เรียกว่า ราคมูล อันนี้เรียกว่า โทสมูล อันนี้เรียกว่าโมหมูล

แม้แต่จิต ที่มันจะเป็นสภาพที่พอกดข่มได้ แต่มันก็ยังไม่ดี เป็นสังขิตตะ เป็นวิกขิตตะต่างๆ สังขิตตจิต วิกขิตจิต เป็นจิตมันยังอึดอัด หดหู่ หรือว่ามันยังกระเซ็นกระเด็น ซ่านๆ เซ็นๆ ฟุ้งซ่าน ยังไม่สงบ ยังไม่แน่นิ่ง ยังฟุ้ง ยังไม่เรียบร้อย อะไรก็ตาม หรือแม้แต่ ดียิ่งกว่านั้น เป็นมหัคตจิต เป็นสอุตตรจิต เป็นอสมาหิตะ เป็นอวิมุติ อะไรอยู่ก็ตาม เราสามารถที่จะรู้ชัด และทำให้มันเป็นวิมุติ เป็นสมาหิตะ เป็นอนุตตรจิต หรือเป็นมหัคตจิต อย่างดี อย่างยิ่ง เราก็เข้าใจอาการ และได้ฝึกหัด ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เราจะต้องรู้ความเป็นจริง เหล่านี้จริงๆ อย่าปล่อยปละละเลย ในการปฏิบัติมรรคองค์ ๘ หรือ สติปัฏฐาน ๔ หรือ โพธิปักขิยธรรม นั่นเอง

แล้วก็ต้องดูตัวเองว่า เราเอง อยู่ในสภาพที่เรียกว่า พอเป็นพอไป ไม่ทรมานตนจนเกินการ เพราะงั้น ในระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ประจำวัน ถ้าเราประมาณการ เป็นไป ทั้งพักทั้งเพียรที่พอดี เราจะเห็นได้ว่า เราเบิกบาน แจ่มใส สดชื่น เราไม่ได้เอนเอียง ข้างฝ่าย ที่เราปล่อยปละละเลย เอาแต่ใจตน เราตั้งตนอยู่ในความลำบาก เรารู้ว่า เรามีความลำบาก ในการเพ่งเพียร ในการพยายามเรียนรู้ อยู่พอสมควร แต่ไม่ได้หนักหนา เหน็ดเหนื่อยอะไรเลย เหมือนกัน เราพยายามทำงาน เรารู้ว่า เราต้องพยายามทำงาน บางครั้ง เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ สุขภาพร่างกายของเรานั้น ทรุดโทรมอะไร สุขภาพร่างกายของเราก็แข็งแรง อยู่ในระดับที่พอเป็นพอไปดี จิตใจก็ปลอดโปร่ง ปฏิบัติธรรมได้ด้วย เบิกบานแจ่มใส มีการต่อสู้ เรารู้ว่าต่อสู้ ลำบาก เรารู้ว่าลำบาก สู้กับกิเลส ฟาดฟันกัน เราก็รู้ สู้กับกิเลส มีการกระทบสัมผัส ช่วงนั้นช่วงนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ เรารู้ และเราก็ไม่ได้ อิดหนาระอาใจอะไร

การปฏิบัติอย่างนี้ เราเรียกว่า สุขาปฏิปทา และเร็ว ถ้าได้สมส่วน เป็นขิปปาภิญญาเป็นการปฏิบัติ ได้เร็วด้วย ได้ผลสูง มีผลทั้งงานตน งานท่าน ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน สอดคล้องไปในตัว เพราะงั้น บางคนที่ยังรู้สึกว่า ตัวเราเอง จะต้องวนเวียน ให้มันสงบระงับกว่านี้บ้าง เพราะว่ามันจับจิตก็ไม่แม่น วันหนึ่งคืนหนึ่ง ก็รู้สึกไม่ค่อยรู้ตัว ปล่อยปละละเลย ให้กิเลสกินตัว โกรธไปตั้งมาก โลภไปตั้งเยอะ ราคะขึ้น โทสะขึ้น ตั้งเยอะตั้งแยะ รู้ไม่เท่าทัน

เมื่อได้ปัจเวกขณ์ ได้ทบทวน บุพเพนิวาสานุสติ ตรวจตนดูเอง ด้วยญาณ ด้วยความรู้ ของตนเอง แล้วก็เห็นว่า เราเองนี่ ชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง เรามีส่วนเสียมากกว่าส่วนได้ ก็ต้องจัดสรร ให้รู้จักว่าตัวเราเอง ต้องตรวจตราให้มากกว่านี้ อินทรีย์พละเรา ยังไม่แก่กล้านะ เรามีความบกพร่อง เกิดอารมณ์เสีย เกิดอาการที่เป็นอกุศลจิต อกุศลมูล มากกว่า เกิดกุศลมูล

ให้รู้ตัวจริงๆ สำหรับแต่ละฐานะ แต่ละบุคคล นี่ขอบเขตของศีล ๕ ขอบเขตของศีล ๘ หรือ ศีลขั้นเคร่งขึ้นมา ตามที่เราได้ยึดได้ถือกัน ได้พอเป็นไป ถ้ามันเป็นไปได้ สบายอยู่พอดี ก็เจริญขึ้น ๆ อยู่เรื่อยๆ แล้วก็เพิ่มศีล ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน บางที ยังเป็นรูปแค่ อารามิกะ อารามิกา เป็นรูปอาคันตุกะอยู่ก็ตาม ยังไม่มีรูปเป็นนักบวช เป็นเชิง ใกล้เข้าไปหา การเป็นภิกษุ เป็นนักพรต ก็ตาม

แต่ศีลที่มันจะทำให้เราขัดเกลาจิต เป็นอธิจิต เป็นสมาธิ เป็นปัญญานั้น ไม่ได้ขีดขั้น เอาไว้เลย สำหรับ การที่จะเจริญขึ้น ๆ ในฐานานุฐานะ ส่วนปรมัตถ์ของตน ซึ่งผู้อื่น ไม่รู้เห็นด้วยก็ตาม เราก็สามารถทำได้ ข้อสำคัญ อย่าหลงเป็นมานะ ถ้าเราได้สูง ก็ต้องรู้ฐานะ ที่ส่วนนอกแห่งฐานะ สมมุติสัจจะ ว่าเราส่วนนอก เราเป็นอารามิกะ อารามิกา เราเป็นฆราวาส ก็ต้องจัดแจงให้ตัวเอง อยู่ในฐานะฆราวาส จิตใจปรมัตถ์นั้น มันจะสอดคล้องกัน ยิ่งสูงก็ยิ่งลดได้ ยิ่งสูงก็ยิ่งอ่อนน้อม ถ่อมตนได้ แม้ฐานะข้างนอก เรานั้น น้อยเล็ก เล็กก็ต้องเล็กตามฐานะ น้อยได้ อย่างไม่มีอะไรขัดเขิน อย่างไม่มีอะไร กระเด้งกระด้าง หรือ เก้งก้าง เกะกะเลย มันจะดูสอดคล้องยิ่ง

ถ้าตัวเราเองมีมานะ นึกว่าตัวเองได้ภูมิสูง ทั้งๆที่โดยสมมุติสัจจะแล้ว ก็เป็นคน ในฐานะต่ำ แต่เราก็ถือตนถือตัว ว่าเราสูง เราหลงว่า เราได้สูง ตามปรมัตถ์ ปรมัตถ์เรายิ่งใหญ่ และฐานะข้างนอก ยังไม่ได้สูงอะไร ตามสมมุติ เราก็ต้องเล็ก ยิ่งเล็ก ไม่เช่นนั้น เราจะเผลอตัวง่ายๆ ว่าเราได้ดี เรามีภูมิธรรมสูงแล้ว ก็เลยแข็งกระด้าง เกะกะ เกเร อันนี้ระวังพลาดท่านะ ต้องยืนยันให้ดี เห็นความจริง ให้สอดคล้อง นั่นมันเป็นนัยลึกซึ้งอยู่ ซับซ้อนอยู่ ขอให้จริงๆ ให้ชัดๆ แจ้งๆ

เพราะงั้น ก็ผู้ใดยังเห็นว่า การปรับไม่ลงตัว การพักไม่พอ การเพียรหนักไป จนกระทั่ง ไม่มีเวลาที่จะตรวจจิต ตรวจใจ หรือว่ามันพลาดๆ เผลอๆ พลั้งๆ เสียหายนัก ก็ต้องจัดสัดส่วน ในการพัก การเพียร ให้พอเหมาะพอเจาะ และเราจะได้การปฏิบัติ ที่มีทั้งพัก ทั้งเพียร มีสภาพที่แข็งแรง ปราดเปรียว แคล่วคล่อง สบาย เบิกบาน ร่าเริง เป็นสุข ไม่ยากไม่เย็น เกินการ

นี่เป็นสภาพของการปฏิบัติธรรม ในระบบสัมมาอริยมรรค ที่เรียกว่า ต้องพอเหมาะ พอเจาะ ปานกลาง พอดี ได้สมส่วน แล้วจะได้เห็นว่า ทั้งสบาย แต่ก็มีสภาพที่ต้องทน เพราะว่า เสขบุคคล ต้องตั้งตนอยู่ในความลำบาก เรายังไม่โล่งว่างหมด เรายังปลดปล่อย ยังไม่เกลี้ยง เราต้องมีตั้งตนในความลำบาก ตามฐานะ และเราเอง เราก็จะต้องเจริญได้นะ ดังที่กล่าวแล้ว

ก็ขอกำชับกำชา จุดพักจุดเพียร ที่มีสภาวธรรม อันสมดุล อันสมส่วน หรือว่า ปานกลาง หรือ พอเหมาะพอดี มัชฌิมาปฏิปทา ขอให้เจียน หรือว่า ขอให้เรียนรู้พวกนี้ เราจะเห็นว่า เราจะเป็นคนขยัน สร้างสรร ได้เกินกว่ามนุษย์ในโลก เขาทำด้วยซ้ำ ถ้ามันลงตัว ขยันเพียรได้อย่างดี แข็งแรง เราจะเห็นได้

ทุกวันนี้ ของเราทำได้ดีขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก หลายๆคน จะรู้ตัวว่า เอ๊! ก็ดีนี่ขยัน ขยันกว่าแต่ก่อน ที่เราเคยเป็น ด้วยบทบาทการสร้างสรร ด้วยวัตถุโลก ก็เจริญงอกงาม จิตใจเราก็ดี ปลอดโปร่ง สบายใจ และได้ปฏิบัติธรรม เจริญงอกงามอยู่ รู้มากขึ้น เห็นจิตเห็นใจ เห็นกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ชัดขึ้น ละเอียดลออ สุขุม ประณีตขึ้น และเราก็จะรู้ เราเบา ว่างง่ายขึ้น โลภะ โทสะ โมหะ ลดจริงๆ เราจะเห็นได้ มันเป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ จริงๆ

ขอให้พิสูจน์สัจธรรม หลักการอันนี้ยิ่งใหญ่มาก มันซับซ้อนจริงๆ ขอให้ตรวจตราดีๆ แล้วเราจะได้เป็นหลัก เป็นแกน นำศาสนานี้ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ไปในอนาคต อย่างจะต้อง เจริญงอกงาม กว้างขวาง กว่าที่เคยเป็นมาแล้ว เพราะเราอยู่ในแค่เอเซีย และ มันจะเจริญไป ยิ่งกว่าเอเซีย ในอนาคต

สาธุ

*****