059 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ -- พฤศจิกายน ๒๕๒๖

การปฏิบัติธรรม หรือการได้ช่วยกันสร้างสรรงานศาสนา มาตั้งแต่กลุ่มเล็กๆ จนกระทั่งเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นมา ในจำนวนกลุ่มเล็กๆ เราทั่วถึงกัน คนน้อย อะไรๆก็อยู่ในสายหูสายตา เพราะฉะนั้น ความระมัดระวังกัน ก็มีมาก และความที่ได้สอนกันทั่วถึง ก็มีมาก มันก็สามารถที่จะกระทำการ เป็นอยู่อย่างง่าย พอกลุ่มโตขึ้น การรอดหูรอดตา มีมากขึ้น การจะรวมกลุ่มกัน เพื่อให้เป็นสมานสามัคคี ก็ยากขึ้น แต่ความจริง มันก็จะต้องปรากฏ มันก็จะต้องเป็นไป เราจะห้ามไม่ให้มากขึ้นไม่ได้ และพร้อมกันนั้น เมื่อมากขึ้น ผู้ที่ได้ศึกษาพากเพียรมาก่อน ก็มีการปฏิบัติทำตัวเอง ได้เข้าสู่สภาพหมดตนลงไปมากขึ้น มีภูมิธรรมมากขึ้น สามารถเอื้อเฟื้อเกื้อกูล สามารถที่จะเสียสละ ทำงานสอดคล้องกันขึ้น เลี้ยงน้องเลี้ยงนุ่ง อุ้มชูกันมา ได้เพิ่มขึ้น ๆ

การสงบเรียบร้อย ในจำนวนผู้ที่เข้ามารวมกันมากขึ้น ก็เป็นไปได้ ความสงบยังเหลืออยู่ ความเรียบร้อยยังเหลืออยู่ ระเบียบก็จะเกิดขึ้น ทุกอย่างก็จะมีรูปรอย มีหลักเกณฑ์ มีข้อกำหนด เพราะคนมากขึ้น หลักเกณฑ์ก็มีมากขึ้น กำหนดมีขึ้น รูปแบบมีขึ้น ระบบมีขึ้น และมีทั้งระเบียบไล่เลียงกันไป เป็นลำดับๆ ในสภาวะที่มันสอดร้อยกัน เป็นลำดับๆ มันก็มีสภาพที่ร้อยเรียง ที่เป็นระดับซับซ้อนกัน หนุนเนื่องกันขึ้นมาๆ

เราจะเห็นได้ว่า รูปรอยเหล่านี้ เกิดขึ้นอยู่ในอโศก มีสภาพทั้งที่มีทิฏฐิต่างกัน มีอินทรีย์พละต่างกัน มากขึ้น จำนวนคนมากขึ้น ฐานะมากขึ้น ต้องอุ้มชูต้องเลี้ยงดู ต้องเกื้อกูลมากขึ้น พร้อมกันนั้น เราจะได้การงานมากขึ้นด้วย ดั่งที่เป็นอยู่ การเสียสละมากขึ้น การงานมากขึ้น ความรู้ดี ความเข้าใจดี ความมีสภาพที่สอดร้อย หนุนเนื่องกันขึ้นมาดี มันมีมากขึ้นได้ วงสะพัดอันนี้ ก็จะกว้างขวางขึ้น อันมีแนวแนบเนียนมากขึ้น ตัวมวลตัวกลุ่มหมู่ โตขึ้นไป ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ แม้คนจะมากๆ ขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นสภาพที่รวมกันอยู่ โดยไม่มีสิ่งล่อ ไม่มีสิ่งที่จะเอามาชนะ ให้มันสงบ เช่น เด็กมีเครื่องเล่นให้แก คนที่อยู่กันหมู่ใหญ่ๆ ก็มีหลักเกณฑ์ บังคับให้หลับ ให้สะกดจิต ให้ข่ม มันก็จะพอหยุดได้ แต่หลักเกณฑ์ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้สะกดจิตไว้ให้ข่ม เท่านั้น แต่มีด้วยให้สะกดจิตตัวเอง ให้รู้จักบันยะบันยัง ให้รู้จักอดทน ข่มฝืนตัวเองด้วย แต่สูงกว่านั้น ของพุทธมีการรู้เท่าทัน มีการใช้ปัญญา ที่จะประสาน ไม่ใช่กดข่มอย่างเดียว แต่รู้เท่าทันว่า เรายอม เราเป็นไป เพราะเราเข้าใจด้วยเหตุผล ด้วยปัญญา ซึ่งเป็นสภาพสูงยิ่งกว่ากดข่มกัน ใช้หลักกดข่มลูกเดียว และก็อดก็ทนอยู่กัน แม้การจะกดข่มอย่างเดียว และอดทนอยู่นั้น จะไม่ได้สภาพงานมากขึ้น มันมีการค้านแย้งอยู่ตรงนี้ พิสูจน์ได้ การงานมากขึ้นไม่ได้ เพราะว่าการงานมากขึ้น จะเกิดการกระจัดกระจาย เกิดการปล่อยอารมณ์ หรือ เปิดอารมณ์ มารับต่อผัสสะมากขึ้น

เพราะฉะนั้น ลักษณะสะกดไว้ มันจะเกิดการค้านแย้งโต้แย้ง ทำงานทำการอะไรก็ไม่ทน ทำงานทำการอะไร ก็จะเกิดการสัมผัสกัน แล้วก็กระทบกัน แตกร้าวกันไวขึ้น แต่ถ้ามีปัญญา มีสภาพปฏิบัติ ตามมรรคองค์ ๘ สอดร้อยกันมา แต่รากฐาน ร้อยเรียงกันมา และก็ปฏิบัติตามทฤษฎีของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มันจะเข้าใจไปทุกอย่าง การที่จะทำให้จิตสงบลงได้ โดยไม่ต้องกดข่ม ไปเสียทีเดียว แต่มีสภาพกดข่มบ้าง สำหรับผู้ยังไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นพระอรหันต์ แต่ก็จะง่ายขึ้น รู้ด้วยเหตุผล รู้ด้วยปัญญา จิตมีเจโตสมถะ จะมีอำนาจ ทนได้แรงมาก เช่นเดียวกับ นั่งกดนั่งข่ม แต่แนบเนียนเปิดเผย มีคุณภาพ มีปัญญาสร้างสรร และมีกิจกรรมมากกว่ากัน จึงเป็นการกระทำให้คนนี้ มีคุณค่า มีประโยชน์ และเป็นทฤษฎี ที่ท่านเรียกว่า โลกุตระ เป็นสภาพของคนเหนือโลก ที่แท้จริง เรายังจะมีความแนบเนียน ที่จะชี้ ที่จะแนะเชิง ให้เข้าใจ ให้ใช้ปัญญา ให้รับรู้เพื่อพิสูจน์ ทุกคนพิสูจน์ตามที่แนวแนะนี้ ไม่ใช่มาเชื่อ เพียงปากบอก พิสูจน์เข้าไป ว่าทฤษฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เหนือชั้นจริงๆ ความที่สงบระงับ เป็นสมถะนั้น มีด้วยในตัว และมั่นคง พิสูจน์ความแนบแน่น เป็น อปฺปนา พฺยปฺปนา เจตโส อภินิโรปนา หรือ อเนญชา อย่างเด็ดขาดถาวร เพราะมันไม่ต้องกดข่ม และมันทำด้วยรู้ ด้วยการปลดปล่อย ด้วยปัญญาที่รู้ และ พฤติกรรมของ ความเป็นกิเลส แม้ขี้เกียจเฉื่อยเนือย สมรรถภาพจะไม่สูญหาย ไม่เลย จากกรรมวิธี ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า มีแต่จะชำนาญยิ่งขึ้น สามารถกระทำงานได้ มีฝีมือ สมรรถภาพยิ่งขึ้น เพราะเราทำอย่างมีความชำนาญด้วย และไม่เกี่ยงด้วยค่าจ้าง ไม่เกี่ยงด้วยค่าแรง ไม่เกี่ยงด้วยการได้มากกว่า น้อยกว่า แต่จะเพ่งที่คุณภาพ เพ่งที่ประโยชน์ต่อมนุษยชาติ มันเป็นสภาพที่ลึกซึ้ง และ เป็นประโยชน์ที่เห็นเด่นชัด ถ้าผู้ใดมีปัญญา อย่างแท้จริง

คนที่ปฏิบัติมาตามทิศทาง ของพระพุทธเจ้า จึงไม่ค้านแย้งกับ ความต้องการของสังคม มนุษยชาติ ไม่ว่าในโลก และไม่ว่าในทางธรรม ที่บอกว่า ต้องการความสงบระงับ เรามีทั้งความสงบระงับ เรามีทั้งความสามารถทางโลก ที่จะสร้างสรร และเราจะไม่โง่ ที่จะเอาสมรรถภาพของเรา ไปเป็นทาสรับใช้ หรือสร้างในสิ่งที่ไม่เข้าท่า สร้างในสิ่งที่เป็นอกุศลของสังคม เราจะไม่เป็นทาสสิ่งอย่างนั้น เด็ดขาด เมื่อรู้แล้ว และ สามารถทนได้ ไม่ว่าเขาจะเอาอามิส ระดับใดเข้ามายั่วยวน เข้ามามอมเมา เข้ามากระแทกกระทั้นเรา ให้ตามอามิสนั้นๆ เราก็จะไม่ตกไปเป็นทาส เหล่านั้นเลย ผู้ที่มีสมถะ อย่างเปิดเผย เป็นสมถะ หรือ ความสงบระงับอย่างลืมตา เป็นสมถะ เป็นความสงบระงับต่อกิเลส และจิตใจสงบอย่างเจโต หรือว่าอย่าง จักขุมาปรินิพพุโพติ อย่างจิตที่มีการเปิดตา จิตที่มีความสว่างรู้ แต่ก็สงบระงับ อย่างสบายอารมณ์อยู่ เป็นผู้ไม่หวั่นไหว หวาดหวิวอะไร เป็นผู้ที่ไม่ฟูมาก ไม่แฟบมากอะไร สุดท้าย ไม่ฟูไม่แฟบเลย อย่างแท้จริงนั้น จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ยืนหยัดยืนยันว่า คนชนิดพิเศษ ที่ปฏิบัติตามทฤษฎีของ พระพุทธเจ้านี้ เป็นคนที่โลกต้องการ ธรรมต้องการ ไม่ค้านแย้ง โดยความสูงสุด ไม่ค้านแย้งโดยโลก ไม่ค้านแย้งโดยธรรม อย่างสูงสุด

ขอให้พวกเราได้มาพิสูจน์ ทฤษฎีอันวิเศษสุดนี้กัน เพื่อความเจริญของตน และ ความเจริญของสังคม ให้ยั่งยืนนาน ตลอดไปเทอญ

สาธุ

*****