ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๗
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๓๔
เนื่องในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศาลีอโศก จังหวัดนครสวรรค์

มาเริ่มต้นกัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเรื่องของ ทรัพย์แท้ของมนุษย์ ใครยังไม่มีเล่มนี้ก็หาขอเอา ทรัพย์แท้ของมนุษย์น่ะขอเอา อาตมาได้พยายาม อธิบายทรัพย์... ตามที่พระพุทธเจ้าท่านยืนยัน แล้วก็เอาพระสูตรมาอ่านให้ฟัง เพื่อยืนยันว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า คนเราเกิดมา จะมีทรัพย์ หรือมีสมบัติติดชีวิต จะเรียกว่าติดอะไรก็แล้วแต่เถอะ ติดชีวิต ติดตัวเรา ติดอัตภาพ ติด ส่วนหนึ่ง ที่เรายังไม่ปรินิพพานไป ปรินิพพานหมายความว่า แต่ละคน แต่ละคนนี่ เลิกกัน สูญสลายหมด หมดเรื่อง หมดทุกอย่าง หมดทุกข์ หมดสุข หมดการสืบต่อ จบ สิ้น ไม่มีอะไรกันอีก กรรมอะไร ก็เกลี้ยง วิบากอะไรก็จบ นั่นเรียกว่าปรินิพพาน หมายความว่า เราตายจากร่างกายนี้ไปแล้ว ทั้งจิตวิญญาณ ทั้งวิบาก ทั้งกรรม ทั้งของๆตน ตัวตน ของๆตนใดๆ อันจะพึงเหลือ หมด ไม่เหลืออะไรอีกเลย

คนเราที่ได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็พึงระลึกเป็นที่สุดอันหนึ่ง  คือ พระพุทธเจ้า ท่านตรัส ไว้ว่า อะไรๆ มันก็ไม่เป็นของของเรา ...ของตัวของตน ของๆเรามันไม่มี อะไรๆมันก็ไม่มีหรอก ที่แท้จริง .... จะเป็นของๆ เราที่แท้จริง มันไม่มี แต่มันก็มีอยู่ ตราบที่เรา ยังไม่ปรินิพพาน อะไรล่ะ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ด้วยว่า มีตราบที่เรายังไม่ปรินิพพาน คือกรรม กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมนั่นแหละยังเป็นของๆตน ท่านตรัสนะว่า ไม่มีอะไร เป็นของของตน เป็นอนัตตา อัตตนียา ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีของ ของตน ใช่ เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรเป็นตน ไม่มีอะไรเป็นของของตน อย่างสิ้นสนิท ถูกต้องที่สุด เมื่อปรินิพพาน แต่ถ้าเผื่อว่า เมื่อยังไม่ปรินิพพาน ก็มีของของตน อย่างที่ท่านตรัสไว้นั่นแหละ มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นทายาท หรือเราเป็นทายาท...เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรม เป็นมรดกนั่นเอง เราเป็นทายาทของกรรม เราเป็นผู้รับมรดกกรรมของเราเอง แล้วก็กรรมนี่แหละ จะพาเราไปเกิด จะเกิดดี เกิดชั่ว เกิดตกต่ำ เกิดสูงส่ง เกิดผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม เกิดตกทุกข์ ได้ยาก เกิดสบาย อะไรก็แล้วแต่ กรรมเป็นตัวพาเกิด ไม่มีใคร ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ไม่มีใครมาบันดล บันดาล ไม่มีใคร มาเนรมิตอื่นให้ นอกจากเหตุปัจจัย คือกรรม คือวิบาก เกิดแล้วเราก็มีอันนี้แหละ มันเป็นตัวพันธุ เป็นพันธุ์ เป็นเผ่า เราเป็นพันธุ์เผ่าของเราเอง เราจะเลือกพันธุ์ไหนล่ะ ถ้าเราเลือก เอาพันธุ์พุทธ พระพุทธเจ้าว่าสามารถที่จะปรับพันธุ์ได้ พระพุทธเจ้า พาปรับพันธุ์นะ มาสั่งสมอบรม ให้เป็นพันธุ์นี่ โดยสั่งสมกรรม ให้เป็นกรรมพันธุ์ เพราะฉะนั้น กรรมที่เราสั่งสมตาม พระพุทธเจ้าว่า...เป็นกรรม อะไรเป็นกุศล กรรมที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พึงกระทำให้ที่สุด หยุดกรรมชั่วทั้งหลายแหล่ ทำแต่กรรมดี สั่งสมแต่กรรมดี กรรมดี อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านพาทำ ว่าแนวนี้อย่างนี้ อย่างนี้อย่าทำ จงทำอย่างนี้ๆๆ เราก็หยุด ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกให้หยุดให้ได้ เลิกให้ได้ แล้วก็ทำแต่อย่างที่ พระพุทธเจ้าท่านว่า จงทำแต่อย่างนี้ให้ถึงพร้อม ยังกุศลกรรม ให้ถึงพร้อม ทำอย่างนี้ให้ได้ เราก็ทำแต่อย่างนั้น ก็กรรมอย่างนั้นล่ะ จะเป็นเผ่าเป็นพันธุ์ เป็นกรรมพันธุ์ กัมมพันธุ แล้วจะนำ เราเกิดด้วย... อันนั้น... เกิด...เราสั่งสมกรรมพันธุ์นั้นได้เท่าไหร่ ก็นำเราเกิดไปได้เท่านั้น

เพราะฉะนั้น เราเกิดมาแต่ละคนๆ เกิดมาจากกรรมของเราเองทั้งนั้นแหละ เป็นเผ่า เป็นพันธุ์ ทำได้เท่าไหร่ มีเนื้อหาสาระ มีสภาพที่จะเป็นลักษณะเต็ม ลักษณะสมบูรณ์ ลักษณะครบ ครบลักษณะมนุษย์ประเสริฐ เท่าที่จะสั่งสมกรรมที่ดีได้ เราก็ได้เท่านั้นล่ะ มาเป็นเครื่องอาศัย ใครจะได้เท่าไหร่ เท่าไหร่ๆๆ ก็ได้เท่านั้น มาเป็นเครื่องอาศัย เป็นกรรมของเราทั้งนั้น เป็นกรรมจำแนก ให้เรามา เราก็ได้เท่านั้นๆ ตามจริง

สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ แล้วเราก็เอามาพิสูจน์ความจริงกัน เราจะเชื่อแค่ไหน นั่นเรียกว่า ศรัทธา แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็สรุปเอาไว้แล้วว่า ทรัพย์ของมนุษย์มีศรัทธา มีศีล มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสุตะ จาคะ ปัญญา ๗ ตัวนี้แหละเป็นทรัพย์ ที่จะสั่งสมเป็นสมบัติของตัวไป จนกว่า จะปรินิพพาน ดังกล่าวแล้ว

อาตมาได้พยายามขยายมาแล้ว ในงานปลุกเสกฯ ว่าความเชื่อ ศรัทธา มันเป็นสิ่งลึกๆ ของมนุษย์ จริงๆล่ะนะ นี่ทบทวนกันไปเสียก่อน มนุษย์เชื่อ เขาเชื่ออย่างไร จริงๆน่ะ ตัวเชื่อนั่น ไม่ใช่ตัวธรรมดา เลยนะ เขาเชื่อว่าเกิดมาแล้ว จะต้องสะสมเอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วจะสะสมเอาลาภ ยศ โลกียสุข ที่เชื่ออย่างที่ไม่กลัวบาปด้วย ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ขอให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะทุจริตอย่างไร จะหยาบคายอย่างไร จะเป็นบาป เป็น อกุศลอย่างไร เขาก็ไม่เกี่ยง เขาเชื่อ อย่างนั้นจริงๆ เขาก็ทำ เขาก็ว่าเขาเป็นสุข แล้วเขาก็ทำของเขาตลอด ชีวิตเขาก็จะได้ อย่างนั้น เป็นกรรม เขาทำอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น เขาเชื่ออย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้น คนที่เชื่อว่า มันเป็นบาป เชื่อว่ามันเป็นทุจริต เชื่อว่ามันไม่ควรทำ เขาก็ไม่ทำ จนกระทั่งเขาเชื่อว่า อย่าว่าแต่จะไป แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเลย มันไม่ใช่สิ่งที่ไม่น่าแย่ง มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ น่าสะสม มันไม่เป็น สิ่งที่น่าจะเป็นสุข ตรงไหนเลย เราหลงสุขก็เป็นระดับๆขึ้นมา เชื่ออย่างไหนล่ะ ก็ต้องไปทบทวนดู เท็ปก็มีอยู่ ยังอัดไว้บรรยาย อาตมาพยายามที่จะขยายความซอกแซกให้เห็นว่า ลักษณะความเชื่อ ของคน มันมีทั้งลึก ทั้งตื้น ฟังโดยสำนึกนอกนี่ เราฟังโดยตั้งใจฟังฉาบๆฉวยๆนี่ เราก็ฟังเหตุผล โน่นนี่ อะไรเราก็ฟัง เราก็เข้าใจ แต่จิตลึกๆศรัทธา ตัวศรัทธาจริงๆลึกๆ มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ฟังเข้าใจนะ หลายคนที่มีความเฉลียวฉลาด ฟังรู้เรื่องเหตุผล เถียงไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เวลาจริงๆแล้ว ก็ไปทำตามความเชื่อลึกๆ ที่มีกำลัง เป็นศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ เป็นกำลังของศรัทธา ความเชื่อ มันก็ไปทำตามความเชื่อลึกๆนั่นน่ะ มันมีกำลังมากกว่า ก็ไปทำตามนั้น ทั้งๆที่พอตั้งใจ ตั้งอกตั้งใจ ฟังเหตุผล ฟังหลักการ ก็เห็นว่าถูกต้อง หลักการนี้ดี เหตุผลนี้ดี ทฤษฏีอย่างนี้ อย่างนั้น ไม่ควรทำหรอกมันชั่ว แต่สุดท้ายก็ไปทำตามที่เราศรัทธา ลึกๆข้างในเรามันเชื่อ มันมีกำลังมากกว่า แต่ละคน ที่อาตมาพูดอย่างนี้ แต่ละคน ฟังดูแล้ว จะพอเข้าใจนะว่า เออ จริงๆด้วย เรานี่ ไอ้ที่ดีนี่ เราก็พอรู้ล่ะนะ สำนึกนอกนี่ เข้าใจนะ แต่เวลามันไปปฏิบัติจริงแล้ว อดไม่ได้ บางทีมันก็มีสติรู้ เหมือนกันว่า อย่างนี้ไม่ค่อยดี แต่ว่าอดไม่ได้ มันต้องทำ ทำอย่างที่ มันไม่ดีนั่นน่ะ

นั่นเรียกว่าเรายังอ่อนแอ อินทรีย์ อำนาจ หรือกำลัง อินทรีย์นี่คือ กำลัง คืออำนาจในตัว อำนาจโดย ทางจิตนั่นแหละ โดยทางจิตในลักษณะของศรัทธาก็ตาม ศรัทธา ซึ่งอินทรีย์กับพละ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ว่า เป็นอินทรีย์ใหญ่ๆ อินทรีย์สำคัญอยู่ ๕ มีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ แล้วก็มี ปัญญา เรียกว่าอินทรีย์ ๕ แล้วจะเป็นพละ เป็นกำลังสูงขึ้นไปอีก เป็นกำลัง ๕ อันนี้สำคัญ เป็นตัว ที่จะต้องสั่งสม สร้างขึ้นมาจริงๆ ด้วยการประพฤติปฏิบัติ มีศรัทธาที่จะมีกำลังลึกๆๆๆขึ้นไป มีกำลังเต็ม เห็นอย่างใดว่าถูกต้องด้วยปัญญา หรือด้วยทิฏฐิ ความเห็น แล้วก็ปฏิบัติประพฤติ ด้วยความเพียร สั่งสมจนกระทั่ง ศรัทธานั้นเปลี่ยนตัว มาเป็นศรัทธาที่เป็นกำลังอันถูกต้องตามทิฐิ ตามปัญญา ที่เป็นสัมมาทิฐิ แล้วก็เป็นปัญญาแท้ๆเป็นญาณ เป็นความเข้าใจ ความเฉลียวฉลาด ที่เป็นตัวสำคัญที่แท้จริง เราก็มาเพียรปฏิบัติ มามีสติปฏิบัติ จนกระทั่ง สั่งสมลงไปโดยหลักปฏิบัติ ของพุทธน่ะ มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นหลัก มีสัมมัปปธาน อิทธิบาท ปฏิบัติจนกระทั่งสั่งสมเป็นอินทรีย์ เป็นพละ โพธิปักขิยธรรม หลักโพธิปักขิยธรรม แล้วมันจะสั่งสมจริงๆ สติเราก็จะเต็มขึ้น ระลึกรู้ อย่างนั้น อยู่เสมอ จนกระทั่งเป็นปกติ มีสติอย่างนั้น แล้วก็รู้ รู้อย่างนั้น แล้วก็เชื่ออย่างนั้น แล้วก็ทำ อย่างนั้น อย่างสมาธิ เรียกว่าตั้งมั่น สมาธิ เรียกว่ามันเต็มในอธิต่างๆ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มันเต็ม หลักการเรียกว่า ศีล ปฏิบัติจนกระทั่งถึงจิต เรียกว่าอธิจิต หรือสมาธิ จิตมันเต็ม จิตมันเป็น อย่างนั้น อย่างยิ่งเลย อย่างที่เราต้องการ จิตมีกำลังอย่างนั้น จิตมีความเชื่อ มีความ เป็นอย่างที่เรา เข้าใจด้วยปัญญา อย่างที่เราเข้าใจด้วยทิฐิความเห็น แล้วเราก็เป็นได้ตามนั้น อย่างสมบูรณ์ อย่างสมบูรณ์เลย พอเป็นสมาธิแล้ว ก็เป็นความเต็ม ตั้งมั่น แล้วก็เป็นความเป็นไปได้อย่างเต็ม เป็นกำลัง โดยเราไม่ต้องไปดุนไปดัน โดยเราไม่ต้องไปช่วย เอากำลังอะไรไปเสริม มันก็จะเป็น อย่างนั้น จริงๆ

ในเรื่องของศรัทธา ที่อาตมานี่ทบทวนนะ พยายามวิเคราะห์วิจัย แล้วก็ยกตัวอย่างให้ฟังแล้วว่า คนเราเกิดมาศรัทธาก็เป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องอาศัยเลยศรัทธานี่ เป็นเรื่องที่คนเราใช้อย่างแท้จริง เพราะว่ามันเป็นทรัพย์ไปอีก มันจะเป็นสิ่งที่เราได้ เป็นสมบัติของเราต่อๆ เนื่องๆไป เมื่อใดๆ ก็แล้วแต่ แม้แต่เรามีแล้ว เป็นของเรา พอเกิดมา คนเราจะมีสิ่งแวดล้อมนี่อยู่กับสังคมคนนี่ คนเรา มีค่านิยม อย่างไร เขาเชื่อกันอย่างไร เขาว่าคนเราเกิดมามันเป็นสุข อะไรเป็น สุขอย่างไร จะมอมเมากัน มันจะกระจายกระแสค่านิยมนี่อยู่ เกิดมาก็มาเจอพวกนี้ ครอบ อาบ พอก ความรู้สึก แล้วเราจะเมา ไปตามเลย ตามกระแสนั้น ถ้าใครไม่มีของตนเองเป็นสมบัติ ศรัทธาที่เป็นรากเหง้า ที่เราได้ไว้ ตั้งแต่ชาติไหนก็แล้วแต่ สั่งสมศรัทธาผล ถ้าเราไม่ได้ไว้อย่างแข็งแรงจริงๆเลยนะ เราจะถูกสังคม อาบพอก ค่านิยมมอมเมา แล้วก็สั่งสมชีวิต ปฏิบัติประพฤติไปตามโลกๆเขา มันจะพาไปอยู่ในสังคม กิเลสหยาบ มันก็จะพาไปหยาบ สังคมกิเลสกลางๆ มันก็จะพาไป อย่างกลางๆ สังคมกิเลสจัดจ้าน มีสภาพซับซ้อนอย่างสังคมทุกวันนี้ สภาพซับซ้อน สั่งสมความหยาบคาย ชนิดไม่ประเจิดประเจ้อ ซ่อนแฝงอำพรางเป็นมารยาซ้อน มารยา แล้วก็ยอมรับกัน ยอมรับกันว่า เออ ทำอย่างนี้ เป็นลักษณะ ของมนุษย์ ในสังคมเขาทำกัน ถือว่าชั้นสูงเสียด้วย ฝีมืออย่างนี้ ลีลาอย่างนี้ เป็นลีลาฝีมือของคน ชั้นสูง ยกย่องอย่างนั้นเสียด้วยนะ ทั้งๆจริงๆแล้ว มันหยาบคาย ชนิดซ้อนเชิง แล้วเขาก็รับกัน ซึ่งอาตมาถือว่า มันเป็นพฤติกรรม ที่มนุษย์ได้พยายามปรับ แล้วก็มายอมรับกันเอง แล้วคนที่มารับ กันอยู่ในโลก ผู้ที่มีฝีมืออย่างนี้มาก ตามลีลาของโลก ที่จะต้องแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ได้มากๆ แล้วก็ลีลาอย่างนี้ อยู่ในสังคม แล้วยกย่องกันเอง ผู้ได้ลาภมากก็ยกย่องว่า เป็นผู้ประสพ ผลสำเร็จ ผู้ที่มียศสูง มีอำนาจในยศศักดิ์ ได้รับคำยกย่องสรรเสริญ เยินยอ ตามแบบโลกๆ แล้วผู้นั้น ก็เสวยโลกียสุข เพราะได้อย่างนั้น สังคม เขายอมรับกัน แล้วก็นิยมกัน จนประสบผลสำเร็จอย่างนั้น เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เรียกว่าปุถุชน แต่มันยิ่งหยาบคาย ที่อาตมาพยายามจะเอามาพลิก เอามาชี้ ให้เห็นว่า มันซับซ้อนๆ ลงไปแล้ว มันหยาบคาย ประเภทที่อาศัยความยอมรับร่วมกัน ในสังคมคน หมู่มาก ที่ปรารถนาโลกียสุข ปรารถนารสชาติแบบสุข อย่างที่เสพสมสุขสมอย่างโลกๆ เรียกว่า อย่างปุถุชนนั่น อย่างโลกีย์ มนุษย์โลกีย์ ธรรมดาๆ แล้วเขาก็ได้รับยกย่องกันอยู่ในโลก

พอเรามาศึกษาโลกุตระ เห็นว่าการเสพสุขโลกียสุขได้ อยากได้อะไร ก็ได้เสพสมสุขสม ไม่ว่าจะเป็น วัตถุสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือแม้แต่กามารมณ์ สิ่งที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พอได้สมใจ อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างใดที่ติดใจ ตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง ต่างกัน บ้าง อะไรก็ตามใจเถอะ แล้วเราก็เป็นสุข เป็นสุขอยู่ แม้แต่เป็นภพ เป็นชาติ ในอารมณ์ของจิต ในอุปาทานของจิต เราได้สมใจตามอุปาทานเรา เราก็ว่าเป็นสุข ก็อยู่แค่นั้น ไปแย่งชิงมาเสพสม จนเรามาเรียนโลกุตระแล้ว มันไม่ต้องเสพสมหรอก สุขมัน เสพสมนั่น มันเป็นเรื่องที่ติดยึดกันมา ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เรามาล้างออก ล้างออก ตั้งแต่มาเสพสม ตั้งแต่ของหยาบๆ ที่เราเรียกว่าอบายมุข จนกระทั่งเรื่องกามคุณ โลกธรรม ในลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ตาม ไม่เห็นจะต้องได้ลาภ แล้วก็มาสมอก สมใจเป็นสุขอะไรนี่ เรามาเห็นความจริงว่า ลาภที่เราควรจะได้ คือสิ่งที่เราลงมือลงแรง ใช้ความคิด ก็ตาม ใช้ความสามารถทางฝีมือก็ตาม สร้างขึ้นมา กระทำขึ้นมานี่ได้มา นั่นคือสุจริต ลาภ สิ่งที่เกิด ที่ได้ แล้วเราก็ไม่ยินดี ที่จะเอาไปแลกเปลี่ยน เป็นเงินเป็นทอง เป็นทรัพย์ศฤงคาร เป็นอะไรมา ที่จริง ไม่ได้ให้เขา บอกแล้วว่าแลก ไปแลกอะไรมา แล้วก็ตีราคา ตีค่ามา เอามาให้แก่ตัวเอง กักเก็บ เก็บไว้ จะเอาเปรียบด้วย ได้เปรียบก็นึกว่ายินดีด้วย ที่เราพูดแล้ว พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราเข้าใจ เราไม่ไปแลก หรอก เราจะให้คนด้วยซ้ำไป นั่นต่างหาก กลับถ้าจะดีใจ ถ้าจะชื่นใจ ถ้าจะมีความสุข ก็มีความสุข ควรจะสุขที่เราได้ให้เขานั่นต่างหาก มันวิเศษกว่าไปเอามา ไปโลภมา ไปเอาเปรียบมา นั่น มันไม่น่า ดีใจเลย ก็พยายามจะมาเปลี่ยนความเห็นทิฐิของพวกเรา ชาวโลกุตระ ต้องเห็นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ แล้วก็ไปพิสูจน์ดูว่า ถ้าเราไปให้ มันน่ายินดีจริงไหม แล้วให้แล้ว มันจะเป็นประโยชน์อะไร เป็นประโยชน์ต่อตนยังไง เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นยังไง ได้ให้เขา เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นไหม ให้เป็นโทษ ก็มีนะ ไอ้สิ่งที่มันไปมอมเมาเขาเกินไป ก็ไปให้เขา มันเป็นโทษก็มี ให้นี่เป็นประโยชน์กับเขาไหม แล้วเราก็เป็นตัวผู้มีประโยชน์ เป็นประโยชน์จริงๆ เราเป็นตัวประโยชน์จริงๆ ได้ให้ เห็นให้ชัดว่า เป็นตัวประโยชน์ เป็นประโยชน์อย่างไร อย่างนี้น่าดีใจกว่าไหม ถ้าจะดีใจ

สูงไปกว่านั้น โลกุตระแม้แต่จะได้ให้เขา แล้วก็อย่าไปยินดีว่า เออ เราได้ทำดี เรายินดีในสิ่งที่ดี ภาคภูมิในสิ่งที่ดี ติดใจเอร็ดอร่อย เป็นอัสสาทะ อร่อยในดีอยู่นี้อีก มันก็ยังเป็นภพ เป็นชาติ ยังเป็นความเกิดของอารมณ์ เราก็ต้องมาลด จางคลายลงมาอีกด้วยซ้ำ เราไม่ต้องเกิดอารมณ์ยินดี ตื่นเต้น ประทับใจ จนกระทั่งติด ถ้าไม่มีไอ้นี่ รู้สึกว่าไม่มีชีวิตชีวา มันต้องได้ยินดี ถึงมีชีวิตชีวา เราก็มาเรียนรู้ ลึกขึ้นไปอีก ว่าอาการอารมณ์ของจิตอย่างนั้น ลดลงอีก จึงจะสูงขึ้นไปอีก เข้าสู่ปรินิพพาน เข้าสู่ความเป็นนิพพาน ที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ก็มาเรียนรู้กันจริงๆ ว่าโลกุตระ ที่จะเลิกโลก หรือความวน สังสารวัฏ มันมีความเกิดของอารมณ์ เสพสมสุขสม มากถึงอย่างนั้นๆๆๆ คุณฟังไปเป็นทิฏฐิ ฟังไปเป็นความเข้าใจ ฟังไปเป็นความเห็น เสร็จแล้ว ก็เอาไปพิสูจน์ พิสูจน์ทีละเรื่องก็ได้ เราเคยติดอะไร เราเคยเลิกอะไรได้ เลิกไปแล้ว มันยังมีความยินดี เลิกแล้ว เราไม่เอาแล้ว เราก็กลับมาใช้ความสามารถทางความคิด ความสามารถ ทางฝีมือที่สร้างได้ แล้วก็ได้สร้าง ให้แก่คนอื่น ยศ ตำแหน่ง ก็ไม่ต้องมาตั้ง มาอะไรก็ได้ เราก็ดูอะไรน่าจะรับผิดชอบ น่าจะรับภาระ น่าจะกระทำ ก็กระทำไปตามสมควร ว่าเรามีความสามารถมากทำได้ คนเขาก็ปล่อย ให้เราทำเอง อะไร เราไม่มีความสามารถไปทำไปแล้ว เขาก็ห้าม เขาก็กั้น เขาก็ไม่ให้เราทำ ทำไปแล้ว มันจะเสีย มันเสียทั้งงาน เสียทั้งสังคม ความเป็นอยู่ที่เดือดร้อน เขาก็ห้าม แต่ถ้าเผื่อว่าเราเอง เราทำแล้ว มันไม่เสีย มันยิ่งดี สังคมก็ดี สิ่งที่สร้างขึ้นมานั่น ก็ดี เขาก็ส่งเสริม เขาก็ให้เราทำเอง เรารับผิดชอบมากขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องของความจริง จะเรียกว่ายศ ว่าตำแหน่ง ว่าภาระ ที่เรารับผิดชอบมาก คนที่มียศมาก รับภาระมาก รับผิดชอบมาก แล้วจะได้สร้าง ได้สรร ได้กระทำ สิ่งนั้น มากๆๆๆ ก็เป็นผู้สร้าง ผู้สร้างที่มาก เสร็จแล้วยิ่งสร้าง ก็ยิ่งมีอะไรมาก ก็คือมี ลาภมาก ก็ยิ่งแจกมาก ยิ่งให้มาก ก็ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศล เป็นของๆเรา เป็นจาคะเป็นสมบัติ เป็นสิ่งที่เราได้ให้ ได้บริจาค ได้ให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นของแท้ จริงจังยิ่งกว่า

เพราะฉะนั้น เราจะเชื่ออย่างนี้ไหมล่ะ ศรัทธา เชื่ออย่างนี้ไหม คุณเชื่อในขณะที่อาตมาแบ่งภาษา ภาษาไทย จากความเชื่อนี้เป็นเชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น เป็นความเชื่อ ๓ ระดับ เชื่อถือ คุณฟังไปนี่ ก็ฟังไปแล้วก็มีเหตุผล มีทฤษฏีหลักการ มีสูตรอย่างนั้น วิธีการอย่างนี้ อะไรนี่ ฟังดูเหตุผลต่างๆ แล้วมันน่าเชื่อถือ เข้าท่า คุณก็เชื่อถือไป ถ้าคุณเชื่อมากๆๆ คุณก็ลองไปพิสูจน์ตามดูสิ ไปปฏิบัติตาม เรียกว่าเชื่อฟัง พอถึงขั้นคุณเอาไปปฏิบัติตาม คุณจะปฏิบัติตามด้วยการลดละ ปลด ปล่อย หรือว่า ปฏิบัติอะไร ที่มันจะเกิดสภาพล้าง ความเป็นอย่างเก่าๆ มาเป็นอย่างใหม่ มาเป็นคนโลกุตระ อย่างใหม่ คุณก็ใช้ศีล ใช้หลักเกณฑ์ ใช้หลักที่จะปฏิบัติ จะเรียกศีล จะเรียกตบะ จะเรียกสิ่งที่ อธิษฐาน สมาทานอะไรได้ทั้งนั้น เราจะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนี้ให้มาก จะเลิกอย่างนี้ มันก็มีอยู่ ๒ หลักเท่านั้นแหละ ศีล ปฏิบัติเป็นบาปสมาจาร กับอภิสมาจาร บาปสมาจาร ก็หมายความว่า เลิกอย่างนี้ นี่ชั่ว บาปสมาจาร ประพฤติอย่างนี้ไม่เอา ไม่ประพฤติแล้ว ทำอย่างนี้แหละให้ยิ่ง อภิสมาจาร เลิกอย่างนี้ ทำอย่างนี้ศีลก็มี ๒ หลักเท่านั้นแหละ ปฏิบัติ เลิกอย่างนี้ แต่มาทำอย่างนี้ เรียกว่าบาปสมาจาร กับอภิสมาจาร ๒ ทาง เราก็ทำเข้าจริงๆตามศีล ทำแล้ว มันก็จะเกิดผลๆๆๆ เกิดผลขึ้นมา ก็ย้ำยืนยันให้คุณแล้ว ไอ้ที่ปฏิบัติศีลก็คือเลิกละ ปล่อยวาง ให้มันได้หมดนั่นแหละ แม้แต่ดี ก็บอกแล้วว่า เราละชั่ว สั่งสมดี เราทำดีโดยพฤติกรรม แล้วเราก็ปล่อยวางดี ที่เราได้ เราเป็น เรามีสร้างเป็นวัตถุ เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน เรียกว่า ผลผลิต เรายังให้ เรายังไม่เอามา เป็นของเรา เรายังบริจาค เรายังแจก ยังทาน คุณธรรมเป็น นามธรรม เราได้ให้เป็นคุณค่า เป็นคุณธรรม เป็นคุณค่าความดี เราก็ยังวางคุณค่า ความดีนั้นอีก วางปล่อย ไม่ยึด ไม่ติดว่ามา เป็นเรา เป็นของเราอีก ทำใจในใจอย่างนี้จริงๆ ฝึกอย่างนี้จริงๆเลย จนเราไม่มี ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา แต่มันก็มีโดยเหตุปัจจัย โดยกรรม โดยกิริยา คนอื่นเขารู้ เขาเห็นว่า เอ้ย นี่เขาทำ คนนี้เขาเป็นคนสร้าง คนนี้เขาเป็นคนผลิตนี่นะ มันก็ของเขา แล้วเขาก็ให้ โดยเขาไม่เอาอะไร แลกเปลี่ยนด้วย เขาก็ให้ เขาก็ทำไปให้แล้ว คนอื่นๆ เป็นคนช่วยเราจำ คนอื่นๆ เป็นคนรับ คนอื่นๆเป็นคนรู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักค่า รู้จักประโยชน์ว่า คนนี้แหละ เป็นคนตัวประโยชน์ คนนี้เป็นคนสร้าง คนนี้เป็นคนทำ เราจะมาทำอะไรล่ะ ทุกวันนี้ เราเน้นทำธรรมชาติ เราก็มาทำ ธรรมชาติ

อาตมาทำอะไรรู้ไหม อาตมามาทำคน โอ! มันยิ่งใหญ่นะ อาตมามาทำคน อาตมามาสร้างคน สร้างคนโดยไม่ต้องสร้าง อย่างธรรมชาติโลกเขาสร้างหรอก นี่เหนือธรรมชาตินะ อาตมาสร้างคน อย่างเหนือธรรมชาติ สร้างคน โดยโลกุตรวิธี เป็นวิธีเหนือโลก โลกุตระวิธีสร้างคนนี่ จะมีลูก จำนวนพันเป็นเอนก อะไรอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าพระโพธิสัตว์ จะมีลูก มีจำนวนพันเป็น เอนก และลูกแต่ละคน จะต้องเป็นผู้ที่มีความแกล้วกล้าอาจหาญ มีปัญญาดี แน่ะโอ้ ลูกพระโพธิสัตว์นี่ สำคัญนะ ใครจะเป็นลูกได้นี่... อาตมาก็พยายามจะสร้างให้ได้มากๆ อยู่เหมือนกัน เข้ารอบมาเป็นลูกก็มี ถอยออกไปก็มี ไม่เป็นลูก พยายาม อยากเป็นลูกเหมือนกัน แต่เข้ามาแล้ว เอ๊ ทำไมมันไม่ค่อยเข้า เข้ามาแล้วก็พลุบออกไป เข้ามาแล้วก็พลุบออกไป หล่นออกไป อาตมาที่จริง อยากได้ลูกมากๆ เหมือนกัน ถ้าพูด...พูดถึงว่าอยากล่ะนะ แต่ว่าลูกไม่มีคุณภาพ เราก็ไม่รับ... รับเป็นลูกไม่ได้น่ะ พยายามที่จะให้เป็นลูกโพธิสัตว์ ก็จะต้องมีลักษณะโพธิสัตว์ มีโพธิน่ะ มีความตรัสรู้ ตามโลกุตรธรรมนี่แหละ แต่เสร็จแล้ว มา เอ๊ะ หัวมันเป็นหมา มีหางอีกแน่ะ แหม มันไม่ใช่ลูกโพธิสัตว์นี่แบบนี้ มันมีหางโผล่ มีหัวเป็นหมา มีเขี้ยว มีงา มีอะไร ก็พยายาม ตัดเขี้ยวก็ตัด เราตัด มันงอกเองอีกเอ้า มันอะไร งอกหางเองอีกอะไรอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ลูกที่แท้จริง ก็ตัวคนจะเป็น ก็ไม่พยายามช่วยกันตัดด้วย มันก็ไม่ได้สัดได้ส่วน มันก็ไม่ได้รูป ได้สภาพของ ลูกโพธิสัตว์มา ไอ้คนทำได้ มันก็ได้มา เออ ได้รูปได้ร่าง ลูกโพธิสัตว์มีโพธิ มีอย่างน้อย มีโพธิปักขิยธรรม แล้วก็พยายามอบรมสั่งสมฝึกฝน ได้สภาพมา มีสภาพละลด ปลดปล่อยมา เป็นรูป เป็นร่างมาเรื่อยๆ เป็นโลกุตรบุคคล

นี่ไม่ใช่พูดเล่น อาตมาทุกวันนี้ อาตมาพูดอย่างเหมือนคนอวดอ้าง เหมือนคนอวดดี อาตมายิ่งเกิด ความศรัทธา ศรัทธาของอาตมาก็มีน่ะ อาตมามีตถาคตโพธิศรัทธาเพิ่มขึ้นๆทุกที อาตมาเป็น โพธิสัตว์ บอกแล้วว่าอาตมาสร้างคน อาตมานี่มาสร้างคน คุณจะสร้างคนอย่างประเภท สัตว์เขาสร้างนั่น คุณไม่มีปัญหากันอยู่แล้ว และอาตมาพาให้เลิกสร้างด้วย อย่างนั้นน่ะ คนมันจะล้นโลกแล้ว มัน ๕ พันล้านกันเข้าไปแล้ว หลายคนก็พยายาม พยายามที่จะลดกิเลส เห็นกิเลสเป็นอำนาจ แหม เราก็พยายามจะลดๆ ก็ว่าจะหยุดสร้างคน แบบนั้นแล้ว จะมาเป็น ลูกโพธิสัตว์ ถ้าจะมาสร้างคน ก็จะมาหัดเป็น มาสร้างคนอย่างที่พระโพธิสัตว์พาสร้าง คือสร้าง ให้คนเป็นโลกุตรบุคคล สร้างทางจิตวิญญาณ ไม่ต้องไปสร้างอย่างวิธีการทางโลกๆ สัตว์เดรัจฉาน มันก็สร้างเป็น คนก็เลยมาสร้างคน แบบนั้นด้วย ก็พยายามมาลดมาละ พวกเราก็หยุดกันมา พยายามลดละกันมา ก็มาได้อย่างนี้จริงๆ ยิ่งสร้างได้จริงๆ มีของจริง มีความจริง มันก็ยิ่งเชื่อนะว่า เออ ทฤษฎีนี้แหละ และวิธีการนี้แหละ การผสมพันธุ์อย่างนี้แหละ ผสมพันธุ์แล้ว ก็จะเกิดออกมา เป็นลูกผสม เป็นกรรมก่อกรรม ก่อกรรมเป็นพันธุ์ขึ้นมาน่ะ มีพันธุกรรม มีกรรมพันธุ ผู้ที่ทำได้แล้ว ก็ต่อกรรมพันธุ์ได้ ผู้ที่ยังทำไม่ได้ ก็สร้างพันธุกรรมขึ้นมาให้ได้ ให้มีพันธุ์นี้โดยกรรม ให้มีพันธุ์อย่างนี้ เป็นพุทธพันธุ์นี่แหละ พันธุ์พุทธนี่แหละ พันธุ์โลกุตระนี่แหละ

อาตมาพูดอย่างนี้ พวกคุณฟังแล้วนี่ พวกคุณเชื่อบ้างไหม มีศรัทธาบ้างไหม ในระดับเชื่อถือก็ได้ เอ้า ยังไม่ถึงขั้นเชื่อมั่นละ ไม่ต้องถึงขั้นเชื่อมั่น ในระดับเพียงเชื่อถือ ศรัทธาเชื่อถือนี่ ว่ามันจริงไหม ที่อาตมาพูดนี่ ไม่ใช่พูดพล่อย พูดปากเปล่า พูดเป็นทฤษฏี เป็นภาษาโวหาร ดูเป็นปรัชญาโก้ๆ เก๋ๆ เฉยๆ แต่ทำไม่ได้ หรือว่าทำได้ คุณเห็นว่าได้ไหม อย่างน้อยตัวคุณเอง แหม มีพันธุ์พุทธขึ้นมา บ้างไหม อย่าโกงนะ ที่พูดนี่อย่าโกง อย่าเพิ่งโกงนะ มีแล้ว อย่างน้อยก็มีศรัทธา เชื่อบ้างแล้ว มีศีลหรือยัง มีทรัพย์สมบัตินี่แหละ ทรัพย์สมบัติอย่างนี้ นี่แหละ เป็นสมบัติที่จะเป็นพุทธ ก็คือสมบัติ นี่แหละ มีศรัทธา ศรัทธาอย่างไหนล่ะ บอกแล้วศรัทธาอย่างพวกมหาโจร มีทรัพย์อย่าง อันธพาล ทรัพย์ก็แบ่งเป็น ๓ ให้ฟังแล้ว มีทรัพย์อย่างอันธพาล มีทรัพย์อย่างกัลยาณชน มีทรัพย์อย่าง อริยทรัพย์ มีทรัพย์อย่างไหนบ้าง ได้ทรัพย์อย่างไหนแล้วบ้าง ประมาณแล้วดูของจริง จากของตนๆ เราจะเชื่อถือ เราจะเชื่อมั่น ได้เชื่อฟังบ้างหรือยัง เชื่อฟังก็คือทำตาม ทำตามแล้ว มันเกิดผล เกิดได้ตามหรือยัง มันเกิดได้ตามวิธีที่จะได้ วิธีจะปฏิบัติตาม เชื่อฟัง และปฏิบัติตาม ก็คือเริ่มมีศีล ตั้งแต่ศีลพื้นฐาน เลิกละมาตั้งแต่อบายมุข ลดละอะไรต่ออะไรมา มันก็จะลดโลภ โกรธ หลง นั่นแหละ โลภ โกรธ หลงในอะไรในโลก โลภต้องการอยู่ตั้งแต่อบายมุข ต้องการอยู่ตั้งแต่ ในเรื่อง ของกาม ในเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โลภถ้าไม่ได้ ไม่สมใจก็โทสะ แย่งชิง โหดร้าย ต่อกันและกัน เราก็ไม่โหดร้าย ไม่แย่งชิง ไม่เบียดเบียนกับใครด้วย จะไปแย่งทำไม ลาภ กับใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนเขา สร้างสรรขึ้นมาเกื้อกูลเขาให้ได้ จึงจะเป็นคนของพระพุทธเจ้า คนของ พระพุทธเจ้า มีแต่ผู้ที่จะมาสร้างสรร แล้วให้เขาได้ ไม่ใช่ไปเอาของเขา ไม่ใช่ไปโลภของเขา ให้ เป็นผู้ได้ให้ เกื้อกูลโน่นแหละ ศีล เมื่อมีศีลปฏิบัติจนเป็นปกติ จนเป็นตัวเรา เราไม่ฆ่าสัตว์ เราไม่ลักทรัพย์ เราไม่รุนแรงกับใคร เราไม่โหดร้ายกับใคร เราไม่เบียดเบียนใคร เราไม่โลภ แต่มีความปรารถนาดี มีใจ มีวิริยะ มีความพากเพียร สร้าง แล้วเราก็ได้สร้าง ขวนขวาย เอาภาระ เป็นมนุษย์ที่มีภาระ รับภาระไม่เกินตัวให้สมตัว แล้วก็ทำสร้างสรร เป็นคนมีสมรรถภาพ เป็นคนมี คุณค่า มีบุญ มีสิ่งที่เราได้กอบ ได้ก่อ ได้สร้าง ไม่ใช่เป็นคนสูญเปล่า เป็นคนมีประโยชน์ในโลก เท่าที่เราจะมีชีวิตอายุยังหนุ่ม ยังแน่นนี่สร้างได้มาก แข็งแรงน่ะ แก่เฒ่ามาแล้วนี่ ชักนั่งก็โอย ลุกก็โอย อะไรก็ต้อง ช่วยกันอีกแหละ... จะสร้างอะไร ก็ไม่ค่อยได้มากแล้ว แต่มันต้องเป็น... คนเรา ต้องเกิด ต้องแก่แน่นอน รู้ความจริงแล้ว เราก็เกื้อกูลกัน ช่วยกันดำเนินกันไป ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ได้เป็น ตัวอย่างมาก่อน จนถึงจะตายก็ช่วยกันดูแล การดูแลคนแก่ก็อีก ก็เป็นวัฒนธรรมที่จะให้รุ่นเด็กๆ รุ่นหนุ่มๆสาวๆ ตามมารับช่วง วัฒนธรรมเหล่านี้ ต่อไปอีก ต่อไปอีก ต่อไปอีก ต่อไปอีก ช่วยเหลือ เกื้อกูลโดยภาวะ ตามที่มันจะเป็น เกิดมาแล้ว มันก็แก่ มันก็เจ็บป่วย ก็ช่วยกัน มันตายก็ช่วยกันเผา จัดการมีจารีตประเพณี มีวัฒนธรรม ก็หมุนเวียนกันไป คนจะเกิดมาอีกกี่ปางกี่ยุค กี่สมัย มันก็จะ หมุนเวียนไป อย่างนี้ เรามีศีลนี่แหละ เป็นเครื่องขัดเกลา เป็นเครื่องสร้างให้เราเกิดหิริ เกิดโอตตัปปะ เกิดสุตะ มีศีลนี่แหละขัดเกลา เป็นสิกขา ๓ มีศีลสิกขาขัดเกลากาย วาจา ใจก็เป็นอธิจิต เป็นสิกขา ข้อที่ ๒ สั่งสม กาย วาจา บอกแล้วว่า จิตนี่แหละ เป็นตัวสั่งให้กาย สั่งให้วาจาเกิด ซึ่งถ้าจะอธิบาย ลึกๆ ลงไปแล้ว ก็เคยขยาย ตั้งแต่สังกัปปะ มันจะเกิดขึ้นมา มันก็จะมีสภาพ ตักโก วิตักโก สังกัปโป อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขาโร แล้วมันถึงจะออกมาเป็นวาจา มาเป็นกายกรรม ก็เคยบอกแล้วว่า แม้แต่กายกรรม ที่จะเกิดขึ้นไป ก็มาจากวจีสังขารา เป็นตัวจิต เป็นตัวเจตสิกข้างใน จะออกมาสั่ง สั่งให้เป็นกายกรรม สั่งให้เป็นวจีกรรม ก็มาจากวจีสังขาราทั้งนั้น ถ้าเราเร็ว เราอ่าน จิตของเรา เรามีญาณที่จะอ่านจิต มีเจโตปริยญาณ รู้จิตได้เร็ว สามารถที่จะระงับส่วนที่ควรระงับ สามารถที่จะให้จิตปรุงแต่ง ดำเนินบทบาท มีกำลังออกมาสั่งการอะไรได้อย่างดี เป็นกรรม อันเป็นกุศลทั้งนั้นๆๆๆ ทั้งนั้น เราก็ประสพผลสำเร็จ หิริอะไรควรละอาย อะไรควรกลัวเกรง สิ่งนี้เป็นบาปไม่ทำ ยับยั้งได้ มีกำลัง มีอินทรีย์พละ มีสุตะ รู้ทั้งตน รู้ทั้งผู้อื่น สุตะ นี่รู้นอก รู้ทั้งข้างนอกข้างใน มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการ ประมาณสัดส่วนอะไรต่ออะไร ได้พอดิบพอดีทั้งนั้น แล้ว ชีวิตมีแต่จาคะๆๆๆ เป็นสมบัติของมนุษย์โลกุตระแท้ๆ ไม่ได้มาเอาเปรียบเอารัด ไม่ได้มาอยากได้ อะไรของใคร

เพราะฉะนั้น จารีตประเพณีวัฒนธรรมของคนโลกพระศรีอาริย์ หรือว่าโลกโลกุตระ โลกของอริยชน หรืออารยชนแท้ๆ ตามความหมายของพระพุทธเจ้า เป็นโลกแห่งการเกื้อกูลเอื้อเฟื้อจาคะ บริจาค มีแต่สภาพบริจาค ไม่ใช่มีสภาพที่จะคอยเม้มคอยเก็บ คอยเอาเปรียบ คอยเอาของคนอื่น มันจะไม่มี อย่างนั้นเลย มันจะเต็มไปด้วยการสร้างสรร ทุกคนจะรู้ว่า ตนเองจะต้องเป็นคนมีคุณค่า มีคุณค่า ก็คือ ไม่ดูดาย ขวนขวาย... วันกำลังผ่านไป เวลากำลังผ่านไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ โอ้ เราอยู่เฉยๆ นี่หว่า หรือว่าเราเอง เรากำลังเสพ กำลังหาอะไรมาบำเรอบำรุงตนเอง มาเสพอะไร ต่ออะไรผลาญ เอ้ เราไม่ต้องเสพแล้ว ไม่ต้อง มันพอแล้วนี่ สังขารกาย มันก็พอแล้ว อารมณ์จะต้อง มาบำเรอ อารมณ์ อะไรกันนักกันหนา มันก็ยังเป็นตัวอัตตา เป็นตัวบำเรอโลกียสุข อยู่นั่นแหละ ลดลงไป จนกระทั่ง เราไม่ต้องไปเสพอะไร เวลาก็คือขวนขวายสร้างสรร จะหางานสร้างสรรเอง งานด้วยกาย งานด้วย วาจา งานด้วยทางจิต แล้วเราก็สร้างสรร เป็นผู้ที่สร้างสรร เป็นจิตวิญญาณที่เจริญ สร้างสรรสิ่งที่ ควรสร้าง มีหลักเศรษฐศาสตร์ในใจด้วย แล้วก็สร้าง แล้วก็มารวมกัน แบ่งแจก ใครมีหน้าที่แจก ก็แจก ใครมีหน้าที่สร้างก็สร้าง หรือผู้นั้น ทั้งสร้างทั้งแจก ทั้งสร้างทั้งแจก อะไรก็แจกจำแนก แจกจ่ายยังไง อย่างที่เราได้บอกวรรณะ วรรณะ สร้างวรรณะแจก วรรณะบริหาร วรรณะผู้อบรม สั่งสม หรือผู้รู้ ผู้เป็นตัวอย่าง วรรณะสมณพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร อะไรอย่างนี้ ซึ่งในมนุษย์ชาติ ก็มีอย่างนี้ ลึกๆหลักๆ เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเลย เมื่อเรารู้หลักพวกนี้ เราเกิดมาก็เป็นมนุษย์โลกุตระ ที่มีสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติ เป็นทรัพย์ของตัวเรา มีศรัทธา มีศีล อันถูกทางทั้งนั้น หิริโอตตัปปะ สุตะ จาคะ มีปัญญา ความรอบรู้อันถูกทาง เฉลียวฉลาด ในด้านโลกุตระ เป็นปัญญาทางโลกุตระทั้งนั้น แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ด้วย อย่างเบิกบาน ร่าเริง ดำเนินชีวิตอยู่อย่างสบาย ดำเนินชีวิตอยู่กับสังคมของคนอย่างนี้ด้วยกัน สอดคล้องกัน มีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา มีสาราณียธรรม ๖ มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีลาภธัมมิกา มีการสร้าง แล้วก็เป็นลาภอย่างที่ว่า แล้วก็เฉลี่ยลาภ แบ่งลาภกัน เฉลี่ยสิ่งที่สร้าง สิ่งที่กอบก่อขึ้นมา แล้วก็แบ่งแจกกัน ไม่ใช่เอามาค้ามาขาย มาหาทางสร้าง อะไรขึ้นมา ก็มาหาทาง แต่จะเอาเปรียบเอารัด ได้สิ่งที่ได้เปรียบ ... ไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้น

นี่อาตมาจะพยายามพิสูจน์ทฤษฏีพระพุทธเจ้าว่า คนจะมาเป็นอย่างนี้กันได้ไหม สังคมคนอย่างนี้ จะมีได้ไหม ในท่ามกลางสังคมของคนในโลกทุกวันนี้ มันไม่เป็นอย่างที่อาตมาพูด ใช่ไหม มันไม่เป็นอย่าง ตามหลักการของพระพุทธเจ้า ที่เอามาพูดนี่ คุณเชื่อไหมว่า เป็นหลักการของ พระพุทธเจ้า อ้างอิงอยู่นะ สูตรนั้นสูตรนี้ หลักการนั้น หลักการนี้ แม้มีพระบาลี คำบาลีต่างๆ เอามาประกอบขยาย ก็มีอยู่อย่างนี้

ทุกวันนี้ พอเห็นไรๆ ...อยู่บ้างไหมว่า สังคมคนอย่างนี้เกิดบ้างแล้ว เห็นไหม มีศรัทธาอย่างนี้ ศรัทธาตามความหมาย ทิศทางหลักการของพระพุทธเจ้า นี่อย่างนี้ แล้วก็มีศีลจริงๆ คุณรู้จัก การมีศีลจริงๆแล้วหรือยัง ศีลนั้นเป็นอัตโนมัติในตัวเรา เป็นปกติธรรมดาในตัวเรา ไม่ฆ่าสัตว์ นี่เรียกว่า ความหมายหยาบๆ พื้นฐาน ไม่ลักทรัพย์ ไม่เอาของ ของคนอื่นจริงๆ ของนี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่เอาของเขาจริงๆ ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายสัตว์ใดๆในโลก เรื่องราคะลดจริงๆ ลดราคะจริงๆ พยายามฝึกฝนออกมา จนลดราคะ ไม่ไปเอาแล้ว ไม่ไปสร้าง แล้วคนแบบนั้น ทันสมัยที่สุดนะ ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งทันสมัย ใครยังไปสร้างคนแบบนั้นแล้ว ปัดโธ่! เก่า เก่าคร่ำเขรอะด้วย ไม่ใช่เก่าเอี่ยมด้วย เก่าคร่ำเขรอะ จะไปสร้างทำไม นั่นล่ะ เลิกให้มันได้ นี่คนทันสมัย มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคมโลกด้วย

เพราะฉะนั้น ถึงได้ป้องกัน อย่างมีชัย เขาคุมกำเนิด เขาก็วางแผนครอบครัว พยายามลด ลดไม่ให้ มนุษย์เกิด พยายามลดๆๆ แต่ไม่ได้ลดให้ถูกเหตุปัจจัย ไปลดแต่วิธีการวัตถุ แล้วกิเลสมันยิ่งถูก กดดัน ถูกปิดกั้น มันก็เลยไปวิตถารซิ หาทางออก เพราะว่ามันไปหลงว่าเป็นความสุข มันก็หาทางออก โดยวิตถาร โดยเลอะเทอะอะไรต่ออะไรไป ยิ่งน่าเกลียดใหญ่ แล้วยิ่งกั้น ยิ่งกัก มันก็ยิ่งระเบิด มันก็ยิ่งหาทางไปกันใหญ่ มันไม่ถูกเหตุปัจจัย มันไม่มาลด กิเลสราคะ มันไม่มาทำ ความเข้าใจให้เห็นจริงว่า อันนั้นมันไม่เป็นความจริง มันหลอก มันเป็นอุปาทาน ราคะนั่นอุปาทาน อุปาทานล้างได้ลดได้ ฆ่าให้ตายได้ มันไม่ใช่ตัวจริงหรอก ฆ่าตายจากตัวคนแล้ว หมดราคะแล้ว ยิ่งเป็นคนประเสริฐ ไม่ใช่ว่ายิ่งเป็นคนตกต่ำนะ

เพราะฉะนั้น อย่างฟรอยด์ (Freud) ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sixmund Freud) บอกว่า เซ็กส์คือชีวิต ชีวิตคือเซ็กส์ เราต้องอาศัยเซ็กส์ จึงจะสร้างสรรเก่ง ถ้าหมดเซ็กส์ มันสร้างสรรไม่ได้ กลับกันกับของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้า ยิ่งหมดเซ็กส์ ยิ่งมีพลังความเพียร มีพลัง การทำการงาน อันไม่มีโทษ เพราะพลังปัญญา กำลังปัญญามันถึงยอด กำลังปัญญา ของซิกมันด์ ฟรอยด์ ยังไม่ถึงยอด เลยอาศัยเซ็กส์ เป็นการสร้าง ของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งหมดเซ็กส์ ยิ่งเห็นความจริงว่า มันเป็นพลัง สร้างสรรที่บริสุทธิ์ด้วย เป็นกำลังแห่งความเพียร เป็นกำลังแห่งกรรม การงานอันไม่มีโทษ แล้วเป็นกำลัง แห่งการเอื้อเฟื้อเจือจาน แจกจ่าย เป็นกำลังแห่งการสังเคราะห์ เป็นกำลังแห่ง การสงเคราะห์ สังคหะพละ เป็นกำลังที่เกื้อกูลผู้อื่น ช่วยเหลือเฟือฟายด้วยซ้ำไป

พระพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ก่อนฟรอยด์นี่นะ ใช่ไหม ฟรอยด์มาเรียนรู้นี่ ทฤษฏีของฟรอยด์ มันมาทีหลัง ของพระพุทธเจ้านี่มาตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว ตรงกันข้ามกัน มาลดจริงๆ ราคะมันไม่จริง ฆ่าให้ตายให้สูญ พิสูจน์เองสิ ตายสูญแล้วมันจะกลายเป็นคน...เซ่อ ไม่มีกำลัง... ทำอะไรไม่ออก ไม่จริงละ ไม่จริงเลย ยิ่งบริสุทธิ์สะอาดยิ่งเห็น ยิ่งมีเมตตา ยิ่งเห็นทุกข์ของคน เห็นว่าเขายิ่ง ยังมีเซ็กส์นั่นแหละ เขายิ่งยังแย่ แล้วเขาก็เอาอันนี้มาเป็นพลังเสริมสร้าง มันก็ยิ่งนัวนัง ยิ่งนัวนังนะ ยิ่งไปกันใหญ่เลย ยิ่งผลาญซ้อนผลาญ มันจะเห็นชัดๆ เลย ผลาญซ้อนผลาญ

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่สร้างสรรเก่งนี่นะ จะร่ำรวยใช่ไหม มียศฐานะมาก แล้วมีเมียมากใช่ไหม พวกนี้ยิ่งโอ้โห ฐานะก็ดี ไอ้โน่นไอ้นี่ แหม ยิ่งร่ำรวย ยิ่งมีอำนาจน่ะทางโลก เป็นจอมอำนาจเลย มีเงินมีทองมาก มีอำนาจมาก ยิ่งมีเมียมาก ยิ่งมีเซ็กส์มากอย่างที่ว่า... ยิ่งบำเรอตนมาก หลงไปใหญ่เลย เป็นอุปาทานทั้งนั้น นี่ก็มีหลักฐานอยู่ พูดอย่างนี้ก็ยังไม่ได้ สมัยนี้ไม่ใช่สมัย ที่จะไป ทำอะไร ได้ตามใจ สมัยโบราณมีเมียมากแน่ๆ เลย ไม่มีใครกั้น ไม่มีใครติ สมัยนี้ ยังมีละอายบ้าง ปิดๆบังๆ ทั้งๆที่ปิดๆ บังๆ นั่นก็เปิดเผย ยังกับอะไรดี ไม่ต้องไปเอา คนต่างประเทศหรอก คนในเมืองไทยนี่ก็เดี๋ยวนี้...น่ะร่ำๆรวยๆ มีศักดิ์ฐานะสูงๆ ทั้งนั้น จะมีอย่างนี้มากๆน่ะ เขาก็ถือว่า อันนี้แหละเป็นพลัง ให้เขามีกำลังสร้าง ไม่จริง.. แล้วเราก็จะ พิสูจน์กันว่า นี้มีพลังสร้างน่ะ มีพลังสร้างที่แท้จริง นี่มันกลับกัน เพราะฉะนั้น เราจะหมด... เราจะไม่มีตัวโลภ ไม่มีตัวโกรธ ในศีลข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ หมดราคะเข้าไปยิ่งเจริญ ภาษายิ่งกล้าพูดตรง พูดจริง พูดไม่ลดเลี้ยว พูดไม่เลียบเคียงและเล็มอะไรหรอก พูด พูดมากๆเข้า ก็กระทุ้ง กระทุ้งกิเลสของคนเขา เขาก็กระทบกระเทือน กระเทือนก็กระเทือน เพราะเรา... จริงๆ เจตนาให้กระเทือนนะ มันไม่กระเทือน แล้วมันก็ไม่รู้เรื่อง มันก็เฉย ไม่มีใครมากระทบ กระเทือนให้ เฉย ถูกกระทบกระเทือนบ้างดี อยู่ที่ว่าเมื่อกระเทือนแล้ว คุณจะรับผลกระทบนั้น มันจะมีผลกระทบตอบ มี react มันจะมี react คุณจะรับ รีแอ๊คท์ได้ไหม คุณรับไม่ได้ คุณจะต้องรู้ act ของคุณน่ะ คุณต้องรู้ action ของคุณว่า action ไปแล้ว มันมี react มา ของคุณจะรับไหวไหม ต้องประมาณ มันจะต้องมีแน่ๆ นั้นน่ะดีแล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการไหวตัว แล้วไม่ใช่ ให้มันกบดาน นอนนิ่งแล้ว ก็เชื่อถือว่าอย่างนี้ดี เขา react เราก็ตอบไปอีกบอกว่า นั่นล่ะมันแย่ นั่นล่ะมันแย่ นั่นล่ะมันแย่ ล้างเสีย อะไรเสีย ก็จะต้องตอบ กลับไปกลับมา กันอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้น มันก็เชื่อมั่นอยู่อย่างเก่า ไม่เช่นนั้น ไม่มีใครมากวน อะไรขึ้นมา ไม่มีใครทำอะไร ๆ ขึ้นมาให้เปลี่ยนแปลง อะไรเขาได้ มันต้องปรับปรุง แล้วก็เปลี่ยนแปลงอย่างนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ

ศีล เมื่อเรามาปฏิบัติแล้ว มันก็จะได้เห็นความจริงพวกนี้ขึ้นมา ภาษาพูด การติดยึดมอมเมา สุราเมรยะ มัชชะ ที่เป็นภาษาหลัก ที่อาตมาขยายความ ศีล ๕ โดยพิสดารให้ฟัง จนกระทั่ง พวกเราเข้าใจศีล ๕ โดยความหมายที่ลึกซึ้ง พิสดาร แล้วก็เอามาพิสูจน์กันได้ เราเป็นคนมีศีล มีจนกระทั่ง เราเป็นปกติ คนที่เลิกอบายมุขมา จนกระทั่งชีวิตเราปกติแล้ว เห็นอบายมุขก็อยู่เหนือมัน โลกุตระ แต่ก่อนเคยติดเหล้า ไม่ได้นะ ถ้าขืนเห็นอีก ก็โอ้โห น้ำลายไหล ยังมีอารมณ์ชอบ ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดสิ่งเสพติดแบบหยาบๆ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ผู้หญิงก็ติดหยาบๆ ติดเรื่องเครื่องแต่งตัว ของนั่นของนี่อะไร ติดอยู่นี่ เดี๋ยวนี้เห็นแล้ว ถ้าเราอยู่เหนือแล้ว มีโลกุตระจิตจริงๆ เราปกติธรรมด๊า ธรรมดา แล้วจะเกิดเมตตา เออ สงสารเขา เขายังติดยังยึด ใจมันเกิดนะ ไม่ใช่คุณพูดด้วยภาษานะ ใจมันเกิด เห็นใจเขา เขายังติดอยู่นะ เพราะฉะนั้น บางทีอนุโลมให้เขาได้ เออ เขายังติดอยู่ ก็อย่าไปเที่ยวได้เคร่งเครียด กับเขามากนักเลย ปล่อยเขาบ้าง เมตตา แล้วก็ปล่อยอย่างซ้อนเชิง อีกนะว่า ถ้าปล่อยมากไป เขาก็จะติดหนัก เข้าไปใหญ่อีก เข่นด้วย เห็นไหมว่า มันซับซ้อนกี่ชั้น

ต้องมีวิธีใดอนุโลมเขาบ้าง แต่ก็ต้องขัดเกลาเขาด้วย ต้องพยายามขัดเกลาเขาด้วย หย่อนให้ กระชากกลับคืน หย่อนให้ กระชากกลับคืน คือหมายความว่าหย่อนให้ กระชากกลับคืน ต้องให้เขา มีบทกระเถิบสูงขึ้น อาตมาพูดอย่างนี้ พวกคุณหลายคนคงเข้าใจ ไม่ใช่วิธีการง่ายเลย ยากมากเลย แล้วต้องให้เขาหย่อนให้ แล้วกระเถิบขึ้น ดึงขึ้นมา เพื่อให้ช่วยเหลือเขา มีเมตตา อย่างนี้จริงๆ จะประมาณอย่างสำคัญ แต่ละคนๆ ก็ลีลาคนกระบิดกระบวนคนละเรื่อง คนละอย่าง เบื่อไม่ลง จริงๆ เมื่อย แต่ต้องทำ ไม่มีอะไรดีกว่านี้ พวกเราทุกวันนี้ก็เลยมารวมกัน ใครจะถึงขั้นสร้างคนได้ อย่างอาตมา ก็มาช่วยกันสร้างคน มาเป็นอย่างนี้ ใครถึงขั้นยังสร้างคนไม่ได้ ก็มาช่วยกันสร้าง ธรรมชาติ ทุกวันนี้อะไรๆ มันก็ธรรมชาติ สร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ก็ธรรมชาติ คือสิ่งคนสร้าง ทั้งนั้นแหละ สิ่งที่ช่วยกันสร้างขึ้นมาด้วยวัตถุโลกนี่แหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม นี่แหละ สร้างขึ้นมา เป็นคอมพิวเตอร์ เป็นอะไรๆ ก็คนสร้างทั้งนั้น สิ่งที่สร้างขึ้น มาจากธรรมชาติทั้งนั้น อะไรๆ ก็ธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกธรรมชาติทั้งนั้น แต่ธรรมชาติที่เกินเลยขึ้นไป จนกระทั่ง ปล่อยให้ ธรรมชาติเองมันสร้าง หมายความว่า ให้ดิน น้ำ ไฟ ลม มันก่อเอง มันก่อไม่ได้ แต่ถ้ามีคน มันก่อได้ มันอาศัยคนนี่แหละไปก่อ ไปสร้าง สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งเกิน สิ่งเฟ้อ สิ่งทำลาย มองในมุมหนึ่ง มันกลับ มาช่วยเรา แต่มันต้องมาใช้วัตถุดิบ ใช้ทรัพยากรของโลก ดิน น้ำ ไฟ ลม ของโลกขึ้นไปกลั่น กลั่นไปทำอันโน้น มันจึงกลายเป็นยิ่งคั้น ยิ่งกลั่น ยิ่งคั้น ยิ่งกลั่น ยิ่งเปลือง ยิ่งผลาญ มันซ้อนอยู่ อย่างนี้แหละในโลก

เพราะฉะนั้น คนเหล่านั้นปล่อยเขา เขาต้องการมาก ต้องการเร็ว คนเหล่านั้นต้องการมาก ต้องการเร็ว เราอยู่ในยุคสมัยพวกนี้ มันขาดแคลน เราเลยต้องอาศัยความเร็ว หรือความมากนั้นบ้าง แต่เราก็จะพยายาม ที่จะไม่เอามาก ไม่ให้มันเร็วถึงอย่างนั้น เราจึงทวนกระแสลงมาว่า ไม่ต้องมาก น้อยลงๆๆๆ และไม่ต้องรีบร้อน อย่าใช้คำว่าเร็วเลย รีบร้อนอย่างเขา เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ต้อง เดือดร้อน เมื่อไม่รีบร้อน มันก็ไม่ร้อน มันก็ไม่ทุกข์ เราก็ไปสบายๆ แต่ไม่ใช่พวกเฉื่อย ไม่ใช่พวกเฉื่อย พวกอยู่ในระดับ อยู่ในสภาพที่พอเหมาะพอดี ก็ไปกันได้น่ะ

นี่ พวกนี้เราเองเราได้เอามาพิสูจน์ พวกเราเอามาพิสูจน์ แต่ก่อนนี้ อยากได้อะไรเร็วๆๆๆๆ อยากได้แบบโลกๆ ด้วยนะ เดี๋ยวนี้ก็ แต่ก่อนอยากได้ อย่างโลกๆ ก็ลด ลดราลงไปได้ เออ เอาล่ะ ไม่ค่อยอยากจะเร่งเร้าไป เอาละ แล้วก็มาทางนี้ มาเอาอย่างทางนี้เถอะ แต่กลับไม่ค่อยจะเร่งเร้า เหมือนอย่างโลกแฮะ มาเฉื่อยทางนี้อีกแล้ว แหม ต้องมาเอาปฏักจิ้ม เอาไฟจุด ไอ้ทีที่จะไปแย่ง ไอ้ที่ไม่ควรแย่งนั่น แหม เร่งเร้าเร่งร้อนรีบร้อนอยากได้เร็วนะ... เพื่อนก็ต่างคน ต่างแย่งนี่ ทางโน้น คนมันเยอะใช่ไหม แย่งทางโน้น แล้วมันมีซ้อนลึกอยู่ตรงที่ว่า มันควรจะได้มากๆ มันควรจะโลภๆๆๆ เพราะฉะนั้น ในทางโลก มันมีแต่โลภๆๆๆ มันมีตัวโลภ เป็นตัวพลังงาน มีโลภเป็นพลังงานหนุน ให้ไปแย่ง

พอมาทางธรรมนี่ ความโลภลด มันก็เลยไม่มีพลังอันนี้ เป็นพลังงานจี้ให้เรามาเอาอันนี้ อาตมาถึง บอกว่า มันซับซ้อนมากเลย เราต้องมีความปรารถนา มีความต้องการ มีความอยากได้อยู่ เพราะฉะนั้น กำลังของความอยาก มันไม่ได้ให้หมดไปทีเดียว ต้องใช้ อยากได้มา แต่ว่าไม่ใช่ได้มา เป็นของเรา ไม่ต้องได้มาเป็นเราหรอก แต่เราก็ได้ พอได้มาแล้ว เราทำโดยสุจริต มันก็เป็นของเรา โดยกรรม กัมมัสสโกมหิ เป็นของเราแล้วโดยกรรม นั่นแหละเป็นทรัพย์ที่ซ้อน เป็น กรรมวิบาก เป็นกรรมศรัทธา คุณเชื่อในกรรมใช่ไหม มันเป็นของของเราจริงๆ โดยเราทำใจซ้อนอีกว่า ไม่ต้องไป ยึดติดว่า เป็นของเรา แต่มันก็เป็นของเรา ยังไม่ปรินิพพานเมื่อใด มันก็เป็นของเรา ใครแย่งไม่ได้ ใครโกงไม่ได้มันซ้อน เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปจำ ไม่ต้องไปจด ขอให้ทำจริงเถอะ เป็นเราทำจริง... นี่โดยฝีมือเรา โดยความสามารถของเรา นี่โดยเราสร้าง จริงๆ แล้วมันก็เป็นของเรา แล้วเราทำใจซ้อนอีกว่า ไม่ต้องไปยึดติดว่าเป็นของเรา นี่มันลึกซึ้ง ซับซ้อน อย่างนี้ ศาสนา พระพุทธเจ้า แล้วฝึกหัดจริงๆ แล้ว สร้างสรรจริงๆ คุณจะมีทรัพย์จริงๆ มีกรรม มีวิบากนั้น เป็นของตนของตน มีกัมมัสสกตา มีกัมมัสสกตาศรัทธา คุณจะเชื่อกัมมัสสกตา ไม่ว่าจะสร้าง วัตถุทรัพย์ ไม่ว่าจะสร้างคุณธรรม ไม่ว่าจะสร้างอะไรก็ทั้งนั้นแหละ คุณสร้างจึงจะ เป็นของคุณ คุณไม่สร้าง ไม่เป็นของคุณ แล้วคุณไปอยากได้เฉยๆ ไม่มีอะไรได้ฟรี ไม่มี

เพราะฉะนั้น คนอยากรวย จงให้เขาให้หมด ไม่รู้จะว่ายังไง มันถึงขั้นนี้แล้ว ไม่พิสูจน์กันชาตินี้หรอก คุณจะรวยนี่ ไม่พิสูจน์กันชาตินี้หรอก พิสูจน์กันชาติต่อๆไป เพราะมันจะเป็นกรรม เป็นวิบากของคุณ ตราบใด ที่คุณยังไม่สามารถที่จะระลึกชาติได้จริงๆ หรือไม่ต้องระลึกชาติหรอก เกิดมาคุณจะรู้เลย อ๋อ ชาตินี้เรามีสิ่งนี้ อย่างอาตมา ไม่ต้องมีใครมาบอก ไม่ต้องระลึกชาติก็ได้ เออ ทำไมนะ เรามีอย่างนี้แหละ จะกินเขาก็เอามาให้กิน จะอยู่เขาก็เอามาให้อยู่ เป็นครูนะ อาตมาก็เป็นแค่ครู ทุกวันนี้ เป็นครูไม่มีปริญญาด้วย ปริญญาทางธรรมก็ไม่มีสักใบ นักธรรมเอก นักธรรมโท นักธรรมตรี ก็ไม่มี แล้วก็โดนมา สอนธรรมะเสียอีกแน่ะ เขาก็ว่ามาทำให้พระธรรมวินัย วิปริตเสียอีก ก็สอนอย่างนี้ เอ๊ะ คนก็ยอมรับนะ คนก็ยอมรับนับถืออยู่ ดีไม่ดี ผ่าไปพูดว่านี่หลักรัฐศาสตร์นะ หลักเศรษฐศาสตร์นะ นั่นแน่ะ ไม่ได้มีปริญญาเศรษฐศาสตร์ ไม่ได้มีปริญญา รัฐศาสตร์สักใบ ทำเป็นพูด สังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์อะไร ที่เขาไปเรียนกันมา คนละศาสตร์ ๒ ศาสตร์ ๓ ศาสตร์อะไร ก็ไม่ได้มีศาสตร์อะไรกับเขา แต่เราก็ว่า นี่เป็นเรื่องรัฐศาสตร์ นั่นเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ นี่เป็นเรื่องมนุษยศาสตร์ นี่เป็นเรื่องเกษตรศาตร์ นี่เป็นเรื่องของพาณิชยศาสตร์ สอนพาณิชยศาสตร์ ระดับ แอ๊ดวานซ์ด้วยนะ... สอนระบบบุญนิยมยังงั้น กำไรต้องมาลงช่องนี้นะ กำไรคือได้ให้เขา กำไรคือต่ำกว่าทุน...ขณะนี้พาณิชยศาสตร์ เขายังไม่กระเตื้องเลย เขายังไม่รู้สึกตัวหรอกว่า เดี๋ยวนี้มี พาณิชยศาสตร์ แอ๊ดวานซ์ระดับไหน ที่เขายังไม่รู้ ว่า...เอ๊ การค้านี่ เรียกว่ากำไร อย่างนี้มันเรียกว่า กำไรได้ยังไงนี่ เขายังไม่รู้ นะ ไปถามมหาวิทยาลัยไหน ที่มีเรียนพาณิชยศาสตร์ เปิดเรียนกัน ยังไม่รู้หรอก อันนี้ พวกคุณนี่ เห็นไหม Advance ขนาดไหนนี่ ล้ำยุคขนาดไหน พวกเราล้ำยุคนะ นี่ล้ำยุคขนาดไหน แล้วคุณเชื่อไหมที่พูดนี่ ไอ้ที่พูดเชื่อๆๆๆนั่น ไม่เห็นมี พาณิชยศาสตร์สักคน ไม่ได้เห็นจบพาณิชยศาสตร์สักคน

นี่การค้าการขาย ค้าอย่างนี้ แล้วมาทำอย่างนี้ให้จริง ค้าอย่างนี้แหละกำไร ขายอย่างนี้ให้ได้ เราไม่ได้พูดเล่นนะ ไม่ได้ศรัทธามาพูดเล่นๆ แล้วก็ทำเป็นโก้ๆ เฉยๆ เราจะทำอย่างนี้ ให้ได้จริงๆ การพาณิชย์ของชาวโลกุตระ ต่อไปนี่ คิดราคาทุนตามโลกเขานี่นะ คิดหมดละ ค่าโน่นค่านี่ แม้แต่ค่า เผื่อขาดหก ตกหล่น ค่า error นี่เขาคิดรวมไปในทุนนะ ทุนยังมี error บวกไว้หน่อย อีกด้วย นอกจาก คิดค่าเสื่อม ค่าโน่นค่านี่อะไรหมดแล้ว นี่คือทุน เราคิดอย่างเขาเหมือนกัน คิดทุน ตีราคาทุน อย่างเขา แต่เสร็จแล้ว เราขายต่ำกว่าทุนได้ จริงๆ เพราะแรงงานของเรา เราลดได้ ส่วนเกินอะไร หลายๆอย่าง เราก็ลดได้ แล้ววัตถุดิบ ทุนรอนที่เป็นวัตถุดิบของเรา จะมีมากกว่าเขา เพราะเราจะมี วัตถุดิบ หมุนเวียนของเราอย่างเพียงพอ เพราะฉะนั้น เราขาย คิดตามอัตรา ทุนของแบบโลกเขาแล้ว เราต่ำกว่าทุนได้จริงๆ จริงๆเลยนะ ระบบของเรานี้ จะขายต่ำกว่าทุนได้ อย่างนี้จริงๆเลยในโลก ในโลก ๒ โลกนี่ โลกโลกียะ กับโลกโลกุตระอยู่ด้วยกัน จะเห็นความจริง จะเป็นความจริง ขณะนี้ ทุกวันนี้ เราก็พยายามที่จะพิสูจน์ความจริง แล้วเราคิดว่า เราทำอย่างนี้ได้ มันเป็นความเลวหรือ แต่ก่อนนี้เราคิดว่า นี่สร้างขึ้นมา ทุนอย่างแม่ค้าอย่างนี้ ทุนเท่านี้ เราต้องขาย ให้ได้เกินทุนนี้มากๆๆๆ ใช่ไหม ได้มากเท่าไหร่ เราก็ดีใจเท่านั้น... ได้ มากเท่าไหร่


อ่านต่อ หน้าถัดไป

ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอน ๗ / FILE:1337L.TAP