ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๙ หน้า ๑
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๔
เนื่องในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศาลีอโศก อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

เอ้ามาต่อนะ เราฟังนี่ เราก็จำได้ด้วย มีวิธีการจำ แล้วก็มีเนื้อหาที่ชวนให้จำ บางทีภาษาบัญญัติ มันจะเรียงลำดับบ้าง ถ้าเราเข้าใจเนื้อหาของมัน มันจะรู้จักลำดับ ลำดับเนื้อหาต่างๆมันจะขยายกัน มันจะเป็นหัวข้อก็ตาม หัวข้อก็ตั้งมาจากเนื้อหา ถ้าเรารู้เนื้อหา บางทีมันจะคลำหัวข้อขึ้นมาได้ บางที เนื้อหามันคล้ายกัน มันอาจจะสับกันบ้าง ก็ทำให้หัวข้อสับกันบ้างก็ได้ มีบ้างเหมือนกัน

ทีนี้ ถ้าเผื่อว่าผู้ใดเข้าใจดี มันก็จะจำได้ เราก็ควรจะจำได้ด้วย มีอะไรเป็นอะไรต่ออะไรบ้าง ถ้าแม้ว่า เราเอง เราจำเนื้อหาของมันมาก ยิ่งหลักเกณฑ์ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๗ ข้อ แล้วจะมานั่งจำว่า เนื้อหามัน เรียงข้อยังไง โดยไปเอาเนื้อหาเป็นหลัก บางทียังจำไม่ได้ บางทีถ้าเผื่อว่า เราพยายามจำหัวข้อ แล้วมันก็จะทำให้เราได้เนื้อหา ตามหัวข้อนั้นๆไปด้วย เราจำว่า ทรัพย์ของมนุษย์ หรือว่า ประโยชน์ ของมนุษย์ในโลกใหม่ ในโลกที่พระพุทธเจ้า ท่านค้นพบ เรียกว่าโลกุตระนี่ โลกของพระพุทธเจ้า มนุษย์ใหม่ มนุษย์โลกุตรบุคคล เราก็เคยได้ยินมา ในสัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ที่ได้ ในโลกใหม่นี้คือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา มี ๔ ตัวก็น่าจะจำได้ไม่ยากนัก จำได้ง่ายหน่อย แล้วค่อยแถม อีก ๓ ตัว มีหิริ โอตตัปปะ กับสุตะ หรือพหูสูตก็ได้ เราเรียกสุตะ ก็สั้นๆ เรียก พหูสูต พหุ ก็แปลว่ามาก กับการรู้ที่มากขึ้น หรือความรู้ สุตะ ก็คือความรู้ที่ได้รู้มากขึ้น มากขึ้นๆ อีก ๓ ตัว ถ้าเพิ่มเข้าไปก็เป็น ๗

เพราะฉะนั้น ทรัพย์ของมนุษย์ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ในหมวด ที่บอกว่า เป็นทรัพย์ของมนุษย์ แท้ๆ ธนสูตร สูตรแรกเลย ในเล่มนี้ เราก็บอกไว้เลย สูตรแรกเลย ถ้าจะไปอ่านเต็มก็เหมือนกัน ไม่อ่านเต็มนี่ ก็ย่อมาแล้ว ธนสูตร ก็คืออริยทรัพย์ อริยทรัพย์ ๗ ข้อ เอาหิริไปสอดไว้ให้มันถูกที่ ก็แล้วกัน ต่อจากศีล ต่อจากอันที่ ๒ เอามาสอดไว้ตรงกลาง มีศรัทธา มีศีล จาคะ ปัญญา เราก็เอาอีก ๓ ตัวนั้นมาสอดไว้ตรงกลาง ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ แล้วก็ จาคะ ปัญญา นี่เราก็จำหัวข้อ

ตอนนี้ ก็กำลังขยายความให้มันสอดร้อย จากตั้งแต่ศรัทธา แล้วก็ศีล แล้วก็เดี๋ยวจะเอาหิริโอตตัปปะ สุตะ จาคะ ซึ่งเรื่องของปัญญานั้น ก็ไม่ต้องไปเรียนมากหรอก ปัญญาก็คือ เราจะรู้ เราจะเข้าใจ เราก็จะมีความเห็นแจ้ง เห็นจริง ตอนฟัง เราก็ได้แต่แค่ฟังๆไป ฟังก็รู้เหตุ รู้ผล รู้ความ เข้าใจความหมาย ความเกี่ยวพันอะไรต่ออะไรของมันต่างๆนานา เราก็จะเกิดปฏิภาณ ปัญญา เข้าใจ เชื่อถือ เกิดศรัทธาตามในการฟัง นี่ได้เหมือนกัน เราจะไปได้ปัญญาที่แท้ ก็ต่อเมื่อ เราเอาไป ลงมือปฏิบัติพิสูจน์ เราก็จะได้ย้ำยืนยัน พิสูจน์ความจริง ความแท้ไปเรื่อยๆ จนมันเกิดผล มันเกิดผล เห็นในผลทั้งรูปธรรม และนามธรรม กายกรรม เราก็เป็นไปได้ ตามที่ท่านว่า ให้ทำอย่างนี้ วจีกรรม เราทำตาม ท่านว่านี่ก็เป็นอย่างนั้น ทำแล้วมันก็พิสูจน์ผล มีทั้งผลที่ทำลงไปแล้วเป็นอย่างใด มีผลสะท้อน มีผลกระทบ กระทบไป กระทบมา มันจะกระทบไป กระทบมานี่หลายรอบ หลายระดับ เรียกภาษาสมัยใหม่ว่า ปฏิสัมพันธ์ มันก็จะกระทบไปกระทบมา กระทบไปกระทบมา จนกระทั่ง รวบรวมเป็นผล พอกระทบแล้ว ก็จะมีผลเกิดตามอีก เกิดตามแล้วมันก็จะมารวมกัน สังเคราะห์กัน เข้ามาอีก กระทบกันต่อซ้ำ ซ้อนๆเข้าไปอีกหลายชั้น เรื่องของรูปธรรม และนามธรรม นี่มันมีมาก ที่มัน กระทบซับซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน มีเหตุ มีปัจจัยนั้น จะเป็นไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่มันเกิดฟลุกๆ แม้แต่ลูกบิลเลียด เวลาเขาแทงไปกระทบกัน มันก็จะไปตามมุมตามเหลี่ยม ที่มันได้สัดส่วน คนที่เรียน หรือว่าคนที่แทงบิลเลียด นี่ก็จะต้องรู้ว่า กระทบอย่างนี้ แม้แต่เรา จะแทงไปนี่ แทงให้ลูกมันเอียงขนาดไหน แทงแล้วลูกมันไปกระทบกัน แล้วมันจะหมุนกลับ หมุนย้อน หมุนอย่างโน้น อย่างนี้ อะไรต่ออะไรไปกระทบกับสิ่งอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ได้ฟลุกๆ เป็นไปโดยเหตุ โดยผล โดยทิศทาง โดยแรงกระแทก โดยลักษณะของความกลม ความลื่น แม้แต่ พื้นมันจะเอียง มันจะเท มันจะมีอะไร ที่จะเป็นเหตุปัจจัย ทำให้มันหมุนไปทางโน้น วิ่งไปทางนี้ อะไรต่างๆนานา ไม่ใช่เรื่องฟลุก เป็นเรื่ององค์ประกอบของสิ่งเหล่านั้น จะกระทบกันไปกระทบกันมา จะเกิดการวิ่งไปทางโน้น วิ่งไปทางนี้ โคจรไปทางโน้น มีวงจรไปทางโน้นอย่างนี้ ด้วยเหตุปัจจัย องค์ประกอบของมัน ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เราคำนวณได้ ที่เราจับเหตุปัจจัยมาได้ทั้งหมด หลายอย่าง เล็กๆน้อยๆ ละเอียดลออ แม้กระทั่งลมพัด แม้กระทั่งอยู่ในที่ที่สงัด อุณหภูมิอะไรก็ตามแต่ ประกอบหมดๆ ดิน น้ำ ไฟ ลม อะไรต่ออะไรต่างๆ นานาประกอบไปหมด

คนเราจะเก็บเอารายละเอียดเหล่านั้นมาเป็นเหตุปัจจัย มาเป็นองค์ประกอบได้มากเท่าไหร่ แล้วรู้ว่า เมื่อมันกระทบกัน เมื่อมันมาสัมพันธ์กัน เมื่อมันมาเกี่ยวข้องกันแล้ว มันจะเกิดผลอะไรตามมา มันจะไปอย่างโน้น มันจะมาอย่างนี้ รวมแล้วมันจะเกิดก่อเกิด สิ่งอย่างนี้ๆ รวมแล้วมันถึงจะเกิด มาเป็นผลอย่างนี้ ต่อออกมาเป็นอย่างนี้ นั้นล้วนแล้วแต่คือสัจจะ เป็นสัจจะจริงๆ ไม่ใช่เกิดโดย อันนั้น บันดาล อันนี้บันดล ฤทธิ์เดชอันโน้นมาทำให้มันเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ โดยอำนาจ ความชอบ ความชังอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เราจะเชื่อ เชื่อความจริง ปัญญาฟังเข้าใจ พอไปเกิดกระทำจริงแล้ว มันก็จะเกิดผล อย่างนี้แหละ ให้เราเห็น เราจริง ตั้งแต่รูปธรรม จนกระทั่งถึงนามธรรมในใจ ในจิตวิญญาณ หรือว่า สิ่งแวดล้อมที่เป็นนามธรรม เป็นรูปที่ไม่ใช่จิตวิญญาณ แต่ว่าเป็นนามธรรม หรือว่าเป็นอรูป ที่อยู่ข้างนอก ความเป็นไป เป็นกระแส อยู่ในการเกี่ยวข้องกันของสังคมมนุษย์ด้วย จิตวิญญาณ ของแต่ละคนด้วย จิตวิญญาณของแต่ละคนนี่ อย่างพวกเรานั่งรวมกันอยู่อย่างนี้ เรามีจิตวิญญาณ ที่เชื่อถือในศาสนา อาตมาพูดเรื่องศาสนา เราเชื่อถือศาสนาของพระพุทธเจ้า อาตมาก็พูดยืนยันว่า อาตมาพูดเนื้อหาของศาสนา ของพระพุทธเจ้า พวกคุณตั้งใจฟัง เอาจิตวิญญาณของแต่ละคนๆ ตั้งใจฟัง ความจริงที่เกิดขึ้น มีผลมาก ถ้าอาตมาไปพูดอย่างนี้ กับในกลุ่มหมู่ที่เขาไม่เชื่อศาสนา หรือเขาเชื่อศาสนา แต่เขาไม่ได้เชื่อศาสนาพุทธ เขาเชื่ออีกศาสนาหนึ่ง ซึ่งมีแนวคิดทางหนึ่ง มีจุดเป้าหมายอย่างหนึ่ง มีรายละเอียดอีกอย่างหนึ่งไปพูด พูดอย่างนี้ ก็จะไม่ได้ผลอย่างนี้อีก

เพราะฉะนั้น กระแสความเชื่อ ฟังดีๆ นามธรรม และความเชื่อนี่ ที่อาตมาพูดออกไปนี่ ก็จะเกิดผล ผลได้ผลดีต่างกัน ความรวมที่เราเชื่อแต่ละคน แต่ละคนเชื่อนี่เป็นนามธรรม แล้วเกิดอยู่ในนี้ กระแสความเชื่อ กระแสศรัทธา เรียกเป็นภาษาขึ้นมาชัดขึ้น กระแสศรัทธาที่เกิดอยู่ในที่นี้ มีกระแสศรัทธา กระแสศรัทธาอย่างนี้แหละ ให้คุณหรือให้โทษ ถ้าให้คุณ เราเรียกว่าเทวดา กระแสศรัทธา ที่เกิดนี่เป็นนามธรรม กระแสศรัทธาในเรื่องของศาสนาด้วย เป็นเทวดาของศาสนา เป็นเทวดา เทวดาที่ไม่ใช่ในตัวเรา เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง แต่เกิดจากจิตวิญญาณของพวกคุณเชื่อ มันเป็นกระแส มันอยู่ในตัวเรา แล้วมันก็มีกระแสของมัน ที่คุณจะเอามันออก หรือมันเข้าก็ตาม มันจะมีอยู่ ในกลุ่มหมู่พวกเรานี่แหละ มีฤทธิ์ด้วยนะ มีฤทธิ์ด้วย ถ้ารวมกันแล้ว ก็มีฤทธิ์ มีอำนาจ มีปาฏิหาริย์ได้ด้วย ปาฏิหาริย์นี่คือ ความยังมีผลทาง Action Reaction อย่างเกินเชื่อ เกินที่เรา จะคาดคิด เรียกว่าปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เรื่องไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่ใช่เป็นเรื่องลอยลม เป็นเรื่องฟลุกๆ เป็นเรื่องประหลาดๆ ไม่ประหลาด ถ้าคุณเองคุณเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างสมบูรณ์ อย่างชัดเจนแล้ว ไม่ใช่เรื่องประหลาด อำนาจฤทธิ์แรงของเรา ความเชื่อนี่ มีน้ำหนัก มีฤทธิ์มีแรง

ถ้ากลุ่มหมู่ของเรากลุ่มนี้ มีอำนาจอย่างนี้ มีความเชื่ออย่างนี้ สมมุติว่า เอาเรื่องนี้ เป็นเป้าประเด็น แห่งสงคราม ในความเชื่อของศาสนา อีกหมู่หนึ่ง มีคนประมาณจำนวนเท่านี้ อีกหมู่หนึ่ง เขาเชื่อ อีกอย่างหนึ่งเลย คนละอย่างกับเรา เสร็จแล้วมาปะทะกัน ฤทธิ์เดชของความเชื่อนี่ จะเป็นกระแส รบกัน เหมือนกับเราเคยเห็นหนังสงคราม เขาทำเป็นรูปอภินิหาร แบบรูปธรรม เหมือนกับสงคราม รามเกียรติ์อย่างนี้ ลูกศรของคนนี้ยิงมา ของทางด้านนี้ยิงมาแล้ว ก็มาอะไรกัน นั่นแหละ เราจะเห็นเป็นรูปธรรม อย่างนั้น แล้วมันก็ตลก มันไม่เหมือนกัน รูปธรรมแบบที่ลูกศร มันก็ตีกัน ฆ่ากัน แกงกันเป็นไฟประลัยกัลป์ เป็นอะไรไปอย่างนั้น มันก็ไม่เป็น อย่างนั้น อย่างอินเดีย ทำก็เป็นรูปของอินเดีย สมมุติเป็นรูป อย่างหนังจีนทำ ก็เป็นเรื่องของอย่างหนังจีนทำ ไทยก็ทำไป อย่างหนังไทยน่ะ อาตมาก็ไม่ค่อยได้ดูหนังไทย เป็นคนไทย แต่ไม่ค่อยได้ดูหนังไทย ไปดูหนังจีน เสียเยอะ หนังอินเดียบ้างเล็กน้อย ก็เอาอันนี้ มาเล่าสู่ฟังประกอบ

ถ้าเราเข้าใจเรื่องนามธรรมไม่เป็น เราก็จะดูติดเป็นรูปธรรมดุ่ยๆ ไปอย่างนั้นน่ะ ดื้อๆ พาซื่ออย่างนั้น แต่ถ้าใครเข้าใจเป็น ก็จะเข้าใจไปจนถึงนามธรรมว่า อ๋อ มันก็มีฤทธิ์ หักล้างกัน มีฤทธิ์ที่จะชนะกัน อย่างใดอย่างหนึ่ง ทีนี้โดยสัจจะแล้วนี่ ความจริง ความดี ความถูกต้อง มันควรจะชนะความไม่ดี ไม่ถูกต้อง นี่เป็นความเชื่อของสัมมาทิฏฐิชนิดหนึ่ง แต่ในทางคนชั่ว เขาก็เชื่อว่าของเขาดี ของเขาถูกต้อง คนชั่วเขาก็ถืออย่างนั้นเหมือนกันน่ะ เขาก็ถือว่า ของเขาดี ของเขาถูกต้อง เขาก็จะมอง แล้วเขาก็จะทำของเขาว่ามีฤทธิ์ของเขาเหมือนกัน มันก็จะมาชนะความดี เขาก็ว่า ของเขาถูกต้อง เขาก็ว่าของเขาดี แล้วเขาก็มันจะมาชนะสิ่งที่เรามอง หรือว่าเราเชื่อของเราว่าดี เขาก็เชื่อของเขาว่าดี แล้ว เวลาผลของเขาชนะมันก็มี ผลของเขาชนะ เราก็ยังไม่รู้ได้ด้วยอีกว่า เขาเชื่อว่าของเขาดี เขาก็เชื่อว่านั่นชนะ นี่เป็นหลักสากล เขาเชื่อว่ามันดี มันถูกต้อง เขาจะต้อง เอาอย่างนี้น่ะ หลักสากลอันเดียวกัน แต่ความเข้าใจ ความเชื่อมั่น ศรัทธามันต่างกัน

เพราะฉะนั้น คำว่าความเชื่อ หรือศรัทธา จึงเป็นเรื่องที่ใครไปตัดสินจริงๆ ยากที่สุดเลย เพราะฉะนั้น เราจะตัดสินยังไง พระพุทธเจ้าถึงได้ อธิบายความเชื่อไว้ ๔ อย่าง ก่อนว่า ตถาคตโพธิศรัทธา เราเชื่อคำสอนของ พระพุทธเจ้า เพราะเรายังไม่รู้ความจริง เรายังไม่มีความจริงที่ลึกซึ้งใช่ไหม เราก็ต้องเชื่อคำสอน เชื่อคำบอก พระพุทธเจ้าสอนว่า ลองทำอย่างนี้ซิ อย่างนี้เป็นเหตุ เป็นผล อันนี้น่ะดี เสร็จแล้วไปพิสูจน์ตามซิ พิสูจน์ตามอย่างนี้ดีกว่า คุณก็ไปปฏิบัติตามจนเกิดผล ที่คุณพิสูจน์แล้วตาม แล้วคุณก็เห็นความจริงตาม คุณจึงเชื่ออันนั้นเป็นผล ผลนั้นเรียกว่าวิบาก วิบากนี่แปลว่าผล เราดูในนี้ศรัทธา ๔ ศรัทธาที่มีกรรมศรัทธา มีวิปากศรัทธา หรือวิบากนี่แหละ แล้วก็มีกัมมัสสกตาศรัทธา แล้วก็มีตถาคตโพธิศรัทธา ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็จะเอามาสอนเราว่า ท่านประสบสิ่งที่จริง เป็นสัจธรรม หรือเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งประเสริฐ เป็นสิ่งยอด หรือแม้แต่สิ่งใดไม่ยอด ท่านไม่ให้เราเป็นเรามี ท่านให้เราเป็น เรามีในสิ่งที่ดี แล้วเราฟัง เราเชื่อถือ แล้วเราก็มาปฏิบัติตาม พอปฏิบัติตามนั่นแหละ เป็นผล เกิดผลนั่นแหละ เราเรียกว่าวิบาก ผลอันนั้นแหละ ของคนใดก็เป็นของคนนั้น ของใคร ก็เป็นของ ของผู้นั้น คุณจะทำลงไปทุกอย่างทีนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เชื่อ ความเชื่อ ๔ อย่างนี้ เป็นความเชื่อ ทางด้านศาสนา และอาตมาขอยืนยันด้วยว่า นี้คือแก่นรากของศาสนาพุทธ ถ้าคุณไม่เกิดศรัทธาในกรรม ไม่เกิดศรัทธาในวิบาก ไม่เกิดศรัทธาในกัมมัสสกตาศรัทธา ไม่เกิดศรัทธาใน ตถาคตโพธิศรัทธานะ คนนั้นยังไม่ถึง แก่นรากของศาสนาพุทธ มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง มันเป็นเรื่องถึงแก่น ถึงรากจริงๆ แล้วความเชื่อที่อาตมาพยายาม ขยายความเชื่อไปเมื่อกี้นี้ โดยภาษานี่ คุณจะเชื่อ แล้วอาตมาก็ขยายเป็นภาษาไทย จากความเชื่อธรรมดา เป็นความเชื่อ ที่เรียกว่า อินทรีย์ ที่เรียกว่าพละ เป็นความเชื่อที่มันสูงขึ้น มีกำลังความเชื่อที่สูงขึ้นเรื่อยๆนี่ ที่อาตมาแปลเป็นไทยว่า เชื่อถือ ศรัทธินทรีย์ ก็เชื่อฟัง เอาไปปฏิบัติตาม คนเชื่อฟังมาก ก็ปฏิบัติตามมาก เอาจริงเอาจังมาก ถ้าปฏิบัติถูกก็เกิดผล ผิดก็เกิดผล แต่เกิดผลอย่างผิดนั่นแหละ ถ้าปฏิบัติถูกทาง ปฏิบัติถูกคำสอนของพระพุทธเจ้า ตาม มันก็เกิดผล แล้วคุณก็จะเห็นผลนั้นแหละ แล้วคุณก็จะเชื่อจากผลนั้นน่ะ ตาม เป็นเชื่อมั่น ถูกต้องด้วย ได้ผลอันสมบูรณ์ด้วย คุณจะเห็นผล อันสมบูรณ์นั้น ของคุณเอง เป็นกัมมัสสกตา เป็นวิบาก เป็นผลที่คุณได้ทำเอง แล้วคุณก็จะเชื่อของ ตนเอง แล้วคุณก็จะเห็นว่า เออ อันนี้เป็นของเรานะ

ยกตัวอย่าง อาตมาพูดธรรมะอยู่ทุกวันนี้ อาตมาไม่ได้ไปท่อง ไม่ได้ไปอ่าน ไม่ได้ไปเที่ยวได้ฟังคนนั้น ขยายความ มีอาจารย์สอนบรรยายไว้ แล้วจะจำมาพูดให้พวกคุณฟัง โดยเฉพาะชาตินี้ไม่มีเลย บอกอย่างนี้เลย แหม เขาหมั่นไส้มาก คนที่เขาฟัง แหม มันอวดเก่งจริงๆ แหม มันรู้เอง มันไม่มี ครูบาอาจารย์ มันไม่ฟังใครมา แล้วมันเอามาสอน ดูซินี่ แล้วมันบอกว่า ของมันเอง พวกศาสนาพุทธ เรานี่ บอกว่าผู้ที่ตรัสรู้เอง นี่ยกให้พระพุทธเจ้าคนเดียว รู้เองนี่ มีพระพุทธเจ้า องค์เดียวเท่านั้นแหละ หนอย นี่มันเอาศัพท์ของพระพุทธเจ้ามาพูด นี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร อาตมาก็พูดความจริงน่ะนะ อันนี้แหละ เป็นกัมมัสสกตาของอาตมา เป็นของๆตนเอง ของอาตมาเอง ที่อาตมาได้สั่งสม ที่อาตมาได้กระทำ อาตมากระทำมา เรียนมา ฝึกมา อบรมมา ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าก็ฟังมาเองแล้ว พูดอย่างนี้ยิ่งน่าหมั่นไส้ใหญ่ อะไรวะ มันเจอพระพุทธเจ้า จริงเหรอ มันเคยพบกับพระพุทธเจ้าจริงเหรอ อาตมาก็ไม่รู้จะพูดกับพวกคุณอย่างไร อาตมาก็ไม่ได้ พูดมากกว่านี้ ในเรื่องบุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็พูดไปอย่างนี้ ใครจะเชื่อไม่เชื่อ แล้วอาตมาก็ไม่เอา มาเล่าเล่นด้วย ก็พูดพาดพิง มันก็เกี่ยวไปถึงอย่างนี้แค่นี้ๆ จะเชื่อแค่ไหนก็แล้วแต่

อาตมาว่า อาตมาฟังมาเอง ได้ฟังมาด้วย มีครูบาอาจารย์ก่อนๆก็มีด้วย แล้วก็ได้เรียนรู้มา ตั้งแต่หลายปางแล้ว ปางนี้มันไม่มี พิสูจน์ได้ว่า อาตมาไม่ได้ไปพบพระพุทธเจ้า ปางนี้ ชาตินี้ อาตมาก็ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ มาสอนธรรมะอะไรให้แก่อาตมาในชาตินี้น่ะ คลำหาได้ ตามประวัติได้ นี่ชาตินี้ตามได้นี่ ไม่มีนี่ ไม่มีแล้วเอามาจากไหน เอามาพูดจังเลย แล้วพูดให้มันมีเหตุมีผลไหม พูดแล้วมันมีน้ำหนัก พอเชื่อถือไหม ขยายความเป็นพิสดาร

อาตมาว่าอาตมาขยายความนี่ พิสดารเลยน่ะ มากมาย จนกระทั่ง โอ้โห! คุณฟังบ้างทิ้งบ้าง ก็ยังได้เยอะ เพราะอาตมาพูดเหลือเกิน เอามาขยายเหลือเกิน คุณฟังบ้าง ทิ้งบ้างยังได้เยอะ หลายคนประมาทด้วยนะ บอก เอ๊อ พ่อท่าน ไม่ต้องไปฟังมากหรอก ประเดี๋ยวท่านก็พูดอีกล่ะ (ผู้ฟังหัวเราะ) ฟังๆทิ้งๆ มั่งก็ได้ นั่งฟังมั่ง หลับฟังมั่ง ก็เหลือแหล่ เดี๋ยวพ่อท่านก็พูดอีกนั่นแหละ มีคนประมาทอย่างนี้ด้วยนะ เอาเถอะ ประมาทมากๆ ก็เป็นทางแห่งความตาย ทางแห่งความเสื่อม คนประมาทมากๆ

ถ้าใครฟังมากๆนี่ แม้แต่อาตมาจะพูดซ้ำ พูดซาก มันก็มีนัยที่มีเหลี่ยม มีมุม มีอะไรที่ลึกซึ้ง ละเอียดซับซ้อน ตลอดเวลา เยอะแยะ จริงซ้ำ จริง ซ้ำเท่าเดิม แต่ขยายมากกว่าเดิม ก็มีอยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งอาตมาก็บอกไม่ได้ว่า จะขยายเมื่อไหร่ มันพูดไปถึงจุด มันขยายไปมีเนื้อหาต่อ มันก็ต่อไปอีก ต่ออยู่เรื่อยๆ เหมือนอย่างวันนี้ กำลังเน้น ศรัทธา ๔ ก็พยายามเน้นลงไปอีก ใครฟังศรัทธา ๔ ที่อาตมากำลังอธิบาย อยู่ขณะนี้ ว่าอาตมา อธิบายลึกกว่าเก่าได้อีก อาตมาได้อธิบายลึกกว่าเก่าได้อีก อาตมาแน่ใจขนาดนี้ อาตมาแน่ใจว่า ได้อธิบายศรัทธา ๔ นี้มากกว่าทุกครั้ง ที่เคยพูดมาในขณะนี้น่ะ ของเก่าพูดมาแล้ว แล้วก็ขณะนี้ กำลังขยายอยู่ ถ้าใครเคยฟังมาก่อนเป็นพื้น รู้แล้วเข้าใจเป็นพื้น มาแล้ว มาฟังในขณะนี้อีก กำลังฟังนี่ จะมากขึ้นอีก จะมีแนวลึกขึ้นอีกจากศรัทธา ๔ อย่างนี้เป็นต้น ก็ทำอยู่อย่างนี้ แล้วก็ของอาตมาเอง กัมมัสสกตา แม้อาตมาเอาตัวเอง ออกมายืนยันรับ นี่ก็ขยายความ กัมมัสสกตา ก็ของอาตมาเอง

อาตมาเอามาสอนนี่ มันก็ไม่ได้เกิดเอง มันก็ได้มาจากเหตุ มาจากไหนล่ะ เรียนมาจากพระพุทธเจ้า ก็ฟังมาก่อน มาปฏิบัติตามก่อน จนกระทั่งเกิดผลก่อน แล้วก็ฝังในตัว เราเป็นวิบากเป็นผล แล้วอาตมาก็เอาอันนี้มาอ่าน เป็นภาษาพูดสู่ฟัง

สมัยเกิดเป็นคนอินเดีย ก็อธิบายเป็นภาษาอินเดีย สมัยนี้เกิดเป็นคนไทย อธิบายเป็นภาษาไทย ภาษาอินเดีย ลืมหมดแล้ว ชาตินี้จำไม่ได้ จำมาได้ภาษาไทย อธิบายภาษาไทยอยู่นี่ ชาติหน้า จะไปเกิดเป็นอะไร ก็ยังไม่รู้ ก็จะไปอธิบายภาษานั้นอีกล่ะ อธิบายให้สู่ฟัง อธิบายจากเนื้อหาสาระ อันเดิม แต่อธิบาย เป็นภาษาคนละภาษา เกิดเป็นอินเดียก็อธิบายเป็นภาษาอินเดียออกไปให้ฟัง แต่เนื้อหาเก่า อันเดียวกัน เกิดเป็นคนไทย ขณะนี้ก็อธิบายเป็นภาษาไทยให้ฟัง เนื้อหาเก่า สภาวะเก่า ของเก่า ผลเก่า ของๆตนอันเก่า เท่าที่เรามี เรามีมากขึ้น เราก็เอามาอธิบายมากขึ้น เรามีน้อยก็อธิบาย เท่าที่มันมี มีขนาดไหนก็อธิบาย สมควรจะอธิบายขนาดไหน ก็เอาออกมาอธิบายให้เท่านั้นๆ จากของๆคน จากสิ่งที่เป็นกรรม เป็นวิบาก ที่เราทำมาแล้ว เป็นกรรม เป็นวิบากกรรมน่ะ รวมเป็น กัมมัสสกตา เรียนจากพระพุทธเจ้า จากตถาคตโพธิศรัทธา เราเชื่อพระพุทธเจ้า เราก็เรียนตาม พระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ได้กรรม ได้วิบาก ปฏิบัติเป็นกรรม เราปฏิบัตินี่ คือกรรม กรรมก็เป็นผล มันก็จะสังเคราะห์กันอย่างที่ได้อธิบายเมื่อกี้นี้ ทุกอย่างมีเหตุ มีผล เรามาสังเคราะห์ บวกลบคูณหารกัน เป็นปฏิสัมพันธ์เป็นสภาพ Action Reaction แล้วก็สังเคราะห์ ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร ใช้ทั้งภาษาอังกฤษ ทั้งภาษาไทย ทั้งภาษาบาลีแล้วพูดไปน่ะ มันก็จนกระทั่ง คั้นผลออกมา ภาษาไทย คั้นผล ได้ผลยอดออกมา ได้ผลยอดออกมา ผลยอดอันนั้นแหละ เป็นกัมมัสสกตา ของมีทั้ง การกระทำ มีทั้งเหตุการณ์ในการกระทำเราก็มี มีเรื่องราว มีนิทาน มีเหตุ มีสมุทัย มีปัจจัย มีนิทาน มันจะมีเรื่อง มีเหตุต่อไปๆๆๆ มันมีทั้งเรื่องด้วยนะ

นิทานนี่ คือเรื่อง เรื่องนั้นมันก็ประสม ประสาน มีทั้งเรื่อง เรื่องนี่มันประกอบไปด้วยเหตุและ ลีลาองค์ประกอบต่างๆนานา แล้วก็มีเป็นผล เป็นปัจจัย เป็นสมุทัย สมุทัยก็คือเหตุ สมุทัยก็คือปัจจัย แล้วก็มีปัจจัยตามผลไปอีก ตามไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะขยายความยังไง เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยนี่ เป็นตัวเหตุและปัจจัยๆๆๆๆๆๆๆๆ เกิดเป็น อิทัปปัจจยตา เพราะเหตุนี้แล้ว ก็ถึงเกิดผลนี้ เพราะผลนี้ มันก็เป็นเหตุต่อไปใหม่ ประสมกับ เหตุใหม่ เป็นผลใหม่ แล้วก็เหตุใหม่มีอีก ผสมกับเหตุอื่น เหตุใดอีก กับผลเก่าอีก สังเคราะห์เป็น ผลใหม่อีก แล้วก็มีเหตุ มีเหตุๆๆๆๆๆ หรือมีปัจจัย สมุทัย ประสมกันเข้าไป เป็นผลใหม่ๆ เข้าไปเรื่อยๆๆๆ สูงขึ้น หรือเจริญขึ้นเป็นผลที่ดีขึ้น เป็นผลเจริญขึ้น เรื่อยๆ ถ้าเราเจริญ มีผลเจริญ แล้วก็มีเหตุที่ส่งให้เจริญ มันก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็จะมีเหตุ ที่ทำให้ไม่ดีบ้าง ก็เป็นตัวอย่าง เป็นองค์ประกอบ ที่ทำให้เราได้ศึกษา มีไหนไม่ดี เราก็ไม่เอา แก้ไข พยายามละเว้นสิ่งที่ไม่ดี พยายามละ ส่วนที่ไม่ดีออก เอาส่วนที่ดีมาใช้ๆๆๆๆ ประกอบไปเรื่อย ๆ มันก็จะเกิดผล อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จึงเรียกว่า ทุกอย่างเกิดมาแต่กรรม เกิดมาแต่บทบาท เกิดมาแต่กิริยา เกิดมาแต่สิ่งที่เริ่มมาจากเฉยๆ จากนิ่งๆ จากไม่มีอะไร มันก็จะมี อะไรนี่ สงเคราะห์มันอยู่เรื่อยๆๆๆ เกิดไปตลอดกาลนาน แล้วเราจะมีตัวในคนคือ ศรัทธา จะเป็นความเชื่อ อันนี้แหละ เป็นทรัพย์ ติดตัวไป วิญญาณจะมีธาตุของเวทนา สัญญา สังขาร รวมเรียกว่าวิญญาณ เป็นนามธาตุ มันก็จะ รู้สึกอย่างนี้ แล้วก็จำไว้อย่างนี้ แล้วมันก็สังเคราะห์ สังขารนี่มันก็จะเอาปรุง มาปน มาคุ้ย มาเขี่ย มาอะไรต่ออะไรขึ้นมา ก็จะมารู้สึกจากสัญญามารู้สึกปรุงเข้าไป ก็สังขาร หรือ สังเคราะห์ หรือ solution solve ออกมาเป็นภาษาไทยด้วย ภาษาอังกฤษด้วย มันก็จะออกมา เป็นผลออกมา อย่างนั้นน่ะ ตลอดไป ในคนจะมีอันนี้ เป็นทรัพย์ติดตัวติดตน ทางด้านจิตวิญญาณ จะมีอันนี้เป็นทรัพย์

ส่วนรูปที่จะเป็นรูปหยาบนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของทรัพย์พวกนี้  คุณมีบารมี คุณมีกรรม คุณมีวิบากเท่าไหร่ คุณมีกัมมัสสกตาเท่าไหร่ ก็เป็นมรดกของคุณ ส่งให้คุณไปจนกระทั่ง มันมารวม เป็นรูปธรรม มาเป็นร่างเป็นกาย มาเป็นขันธ์ ๕ เป็นชีวิตที่ยังไม่ปรินิพพาน มันก็จะหมุนเวียนไปๆ พอสลาย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายความว่าตาย ตายจากขันธ์นี้ ร่างกายนี้ มันก็จะมีวิบาก นั่นแหละ เป็นกรรม เป็นวิบาก แต่อย่าไปคิดเหมือนวิญญาณล่องลอยตุ๊บป่องๆๆ แล้วก็คอยไปอุทิศ ส่วนกุศลให้ เรียกมาเข้าทรงอะไรต่ออะไร หรือว่าจะต้องไปพูด ไปจาอะไรกันนี่ อย่าไปคิดอย่างนั้น ไม่ใช่ นามธรรมพวกนี้ มันไม่ได้เป็นดังที่หลายๆคนเดาไป คนละทิศ คนละทาง ไม่ใช่ แต่มันจะมีอำนาจ มีฤทธิ์ของสิ่งนี้ น่ะตามจริงที่เราได้สั่งสมเป็นสุจริต หรือทุจริต หรือกุศล หรืออกุศล อยู่ในนั้นไป มีอะไรมากก็ออกฤทธิ์อันนั้นมาก มีอะไรน้อยก็ออกฤทธิ์อันนั้นน้อย แล้วมันก็จะไป เกิดตามฤทธิ์ ตามวิบาก หมุนเวียนไป ต่อเนื่องไป จนกระทั่ง จนกว่าคุณ จะปรินิพพาน

ถ้าคุณยังไม่ได้อริยคุณ ยังไม่เข้ากระแส ยังไม่มีจิตวิญญาณ ที่มีคุณภาพ จนกระทั่ง เข้ากระแส เป็นพระอริยะ คุณก็จะเป็นปุถุชนนั่นแหละ เวียนไป เที่ยวได้เกิดตาย เกิดตายอย่างโลกๆ ถ้าคุณเริ่มได้ มันก็จะค่อยๆมีฤทธิ์ มีแรงขึ้นไปเรื่อยๆๆๆๆๆ โอ้ กว่าจะตายมา กว่าจะสะสมได้ ปริมาณ ในขนาดที่มีฤทธิ์ มีฤทธิ์ที่เข้ากระแส นี่หมายความว่าผู้เที่ยงแท้ ที่จะปรินิพพาน เที่ยงแท้ที่จะถึง ความเป็นผู้ประเสริฐสูงสุด กว่าจะมีอย่างนี้เป็นสมบัติ เป็นทรัพย์ กว่าจะเข้ากระแส อย่างที่ว่านี่ โอ้โฮ ไม่ใช่เรื่องเล่น แล้วคุณก็จะมีปัญญา ตามอินทรีย์ ๕ มันจะตามด้วยศรัทธา กับปัญญา เป็นอันท้าย อินทรีย์ ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มันจะมี ศรัทธาต้องมีปัญญา ประกอบด้วย ถ้ามันงมงาย มันก็งมงายดื้อๆทื่อๆ มันก็หัวหกก้นขวิดไปได้ง่าย เพราะไม่มีกำลัง ของปัญญา เป็นตัวหางเสือ ถ้าเผื่อว่าศรัทธามีปัญญานี่ จะมีปัญญาเป็นหางเสือ มันจะไปในทิศทาง ที่กำลังไปในทาง ที่ถูกมากขึ้น

เพราะฉะนั้น กว่าคุณจะเข้ากระแส คุณจะต้องมีศรัทธาที่มีปัญญาจริงๆ ของตนเอง อาตมา มาพูดเท่าไหร่ๆก็ไม่เชื่อหรอก ถ้าเผื่อว่าคุณไม่มีปัญญาของตัวเอง ที่เป็นอินทรีย์พละ เป็นวิบาก เป็นอินทรีย์พละที่เป็นวิบากของคุณ ถ้าคุณไม่มีมากพอ ฟังอาตมาพูด มันก็ไม่เข้าท่าหรอก ถ้ามันมีน้ำหนักของศรัทธาในโลกียะ มากๆ ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ปุถุชน มีความเฉลียวฉลาดยังไง มันก็ไปโน่นน่ะ อาตมาพูดให้ตาย แม้เข้าใจก็ไม่เอา น้ำหนักของแรงฤทธิ์ที่จะมา ในทางนี้ ไม่เอาหรอก แล้วยิ่งจะให้มานั่งฟังอย่างนี้น่ะ โอ๊ย มาฟังทำไม เอาเวลาไปคิดโน่นแน่ะ เดี๋ยวก็ได้ ล้านหนึ่ง สองล้าน เดี๋ยวก็ได้ยศ ได้ศักดิ์ เดี๋ยวก็ได้อร่อยโลกียสุข ไปอร่อยอย่างโน้นดีกว่า ที่มานี่ มันไม่อร่อยนะ นี่มาทุกข์ทรมาน มาอะไรต่ออะไร ไม่เอาละ เห็นว่าไร้ค่า

แต่คุณเห็นว่ามีค่า คุณมาเสียสละ เวลา ๗ วัน ยังอุตส่าห์ลา ตั้งโอ้ ๗ วันนี่บางคนได้เงินตั้งเยอะนะ นี่ ไม่เอาล่ะ ๗ วัน เงินก็ไม่เอา ลาภ ยศ เกียรติ หรือไปเสพสุข โลกียสุข อะไรโน่นน่ะ ที่จริงก็โลกียสุข นี่แหละ ของแต่ละคน สละโลกียสุขอย่างโน้นมา มาอย่างนี้ มาทรมาน อากาศก็ร้อน แล้วก็พูดเสียด้วยนะ ว่าที่นี่ ต้องมาอบ มารม ต้องมาตื่นตั้งแต่ตี ๓ โอ๊ย เคาะระฆังอีกแล้ว มันยังไม่ทันไหวเลยนี่ เอาอีกแล้ว เดี๋ยวอบเช้า อบกลางวัน อบบ่าย อบเย็นอีก ไม่ไปเย็น ก็ยังอุตส่าห์ซัดสวดอีก อัดอีก หาว่าไม่รู้จักอะไรอีก จนกระทั่งร้องมาเลยบอกว่า มันเมื่อยนะ มันไม่ไหว มันง่วงนอน ที่เขียนมาอ่าน เมื่อวานนี่ พอพูดไปแล้วก็เอา มีผลสะท้อนตอบ มีแรง กระแส react ตอบมาว่า มันไม่ไหวจริงๆ อายุมากแล้ว อาตมาก็บอกว่าอายุ คงจะ ๖๐ หรือ ๗๐ น่ะนะ แล้วใช้ภาษาลูกน้อยด้วย ลูกน้อยนี่คง ๖๐ หรือ ๗๐ บอกว่าไม่ไหวแล้ว ก็อบจริงๆรมจริงๆ แล้วก็ต้องทรมาน ต้องตั้งตนอยู่บนความลำบาก จริงๆ ทุกขายะจริงๆ คนที่เข้าใจด้วยปัญญา คนที่ศรัทธาก็รู้ว่ามานี่ มาได้อะไร

อาตมาพยายาม อธิบายให้เห็นเหตุ เห็นผล ว่าการมาอย่างนี้ เราก็สละเวลามา เราศึกษา เราพยายาม มันเป็นยัญพิธีด้วย ประโยชน์ตนด้วย ประโยชน์ท่านด้วย แต่ละคน ใครจะทำหน้าที่ใด ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เป็นอย่างนี้ อยู่ในสังคม จะต้องมีจารีต ประเพณี มียัญพิธี มีรูปแบบ มีการอบรมสั่งสอน สมัยใหม่นี่ เขากำลังตามรอยสมัยเก่า เรียกว่าสัมมนาบ้าง เรียกว่าประชุมบ้าง เรียกว่าทำอะไรกัน อะไรต่างๆนานา เขาก็มีวิธีการอย่างนี้แหละ เข้า course บ้าง อะไรๆบ้าง เข้า course ๗ วันอะไร ก็แล้วแต่ summer course เรียกภาษาโลกเขาก็ได้ เหมือนกันนั่นแหละ อยู่ในวิธีการ จะทำอย่างไร ก็วิธีการของเรา ทำอย่างนี้ มีอาตมาเป็นวิทยากร เมื่อวานนี้ก็มีใครเป็นวิทยากรบ้าง แล้วก็มี แนววิธีสื่อ เราก็มีวิธีจะสื่อเข้าอย่างนี้ กลางวันอย่างนี้ บ่ายอย่างนี้ เย็นอย่างนี้ อะไรทำกันไป แล้วเรามาแล้ว คนที่ศึกษาตั้งใจเข้า course ตั้งใจเรียน ก็มาตั้งใจทำเอารับเอา อย่าปล่อยเวลา ไปเปล่าซิ ไม่อย่างนั้นเราก็เสียเวลาเปล่า

ทางโลกเขาก็ทำ เราไม่ได้ต่างกันเลย ที่จริงทางโลก เขาก็ทำกัน เรียกกัน คนละภาษา แล้วก็มีการสื่อ กันคนละอย่าง ซึ่งที่จริง มันก็คล้ายกันอีกน่ะแหละ การสื่อก็คล้ายกัน ไม่ได้ต่างกันอะไรเท่าไหร่ นี่เราทำกันจนกระทั่ง วิธีการของเรา ถ้าเข้าใจละเอียด ทางโลกเขา มาพิจารณา มาเรียนรู้ดีๆๆ นักวิชาการ มาเรียนรู้ดีๆ วิธีการเข้า summer course นี่ แหม มาสัมมนากัน หรือว่า มาเข้า course ตอนนี้ อ้อ วิธีการเขาทำอย่างนี้ เขาเอาไป apply นะ เขาเอาไปประยุกต์ เขาเอาไปทำ เหมือนอย่างเรานี่ เขาไปทำของเขาซิ ให้มีภาคปฏิบัติด้วยนะนี่ ให้ตัวเองต้องมีกฎ ระเบียบอย่างที่ว่านี่ โอ้ย มาอย่างโน้น อย่างนี้ มีกฎระเบียบ พื้นฐาน มาปฐมนิเทศ กันเสียก่อน ต้องอย่างนี้ๆ ตกลงกันก่อนนะ เอ้า อย่างนี้แล้วก็ทำอะไรไป จนกระทั่งเข้ามานี่ ต้องประพฤติ ปฏิบัติ ต้องอย่างโน้น อย่างนี้ ของเขาน่ะนะ ไปสัมมนาหรือว่าไปเข้า course ดีไม่ดี ไปสัมมนา เขาไม่เข้าใจอย่างเรา นอกจากจะกิน อย่างหรูหรา ฟู่ฟ่าแล้ว ยังแถมมีเบรก เดี๋ยวค้อฟฟี่เบรก ประเดี๋ยวมี supper ประเดี๋ยวมีค้อฟฟี่เบรก ประเดี๋ยวมีซับเปอร์ ประเดี๋ยวมีไอ้โน่น ไอ้นี่อีก แล้วก็ยังมีอะไรต่างๆ ผสมผเส เขาไม่เข้าใจ เขาก็ทำอย่างนั้น ประกอบในการสัมมนา หรือในการเข้า course ที่จะอบรมศึกษาอย่างนั้นๆ

แต่ของเราว่า เราทำอย่างนี้ดีกว่า วิธีการของเรา แทนที่จะมา supper จะมาเบรกโน่น เบรกนี่ อด แน่ะ ลดแน่ะ ของเขาเพิ่ม เขานึกว่าเพิ่มน่ะดี แต่อัดกันเรื่องภาษา เรื่องวิชาการ เรื่องแง่คิด เหตุผลอะไร ต่ออะไร เอาอันนั้นเป็นใหญ่ ของเรานี่ มีด้วย ให้ปฏิบัติลดด้วย ละด้วย ขัดเกลาด้วย มีสัลเลขธรรม นี่มันต่างกันอย่างนี้

สรุปแล้ว คุณจะเกิดความเชื่อ หรือเกิดศรัทธา จากทุกๆกรรมกิริยา กรรมกิริยาของชาวโลก เขาทำ อย่างนั้น ของเราทำอย่างนี้ แล้วผลที่เกิด คุณจะรู้ว่า เออ อันนี้คือผล นี่คือวิบาก เอ๊ เรามาอย่างนี้ เรามาอด เรามาลดมาละอย่างนี้ เรารู้สึกยังไง เราเข้าใจกิเลสไหม กิเลสมันเบาคลาย เสร็จแล้ว เราทำอย่างนี้ได้แล้ว ผลทำอย่างนี้แล้ว เอ๊ มันคือยังไง มีผลดียังไง คุณก็ใช้ปัญญา ของคุณนี่แหละ ตรวจสอบ วินิจฉัยเลือกเฟ้นเอา ดี คุณว่า เอ๊อ ดีนี่ อย่างนี้เราเห็นว่า ไอ้นี่มันเจริญ นี่อย่างนี้เจริญขึ้น เราก็ไปเอา ไม่มีใครบังคับคุณหรอก คุณไปแล้วคุณมานี่ คุณมาเสร็จแล้ว คุณกลับไปบ้าน เอ๊ มีผลนี่เกิด เหมือนกันนะ ไม่เข้าท่า คุณก็ไม่เอา ว่าโอ้นี่เข้าท่า แหม อย่างนี้ดีนะ คุณก็อยากจะทำอีก อยากอะไร คุณก็ทำเองได้ ก็วิธีอย่างที่เราทำที่นี่ คุณก็ไปทำที่บ้านเองซิ ไม่มีเพื่อน มากหน่อย ยากหน่อย คุณก็ต้องพยายามใฝ่ใจเอาน่ะ ต้องพยายามตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เอาเป็นกรรม ไปอบรมกรรมของเรา มันก็จะเกิดวิบาก แล้วมันก็จะเกิดกัมมัสสกตา ถ้าคุณทำถูก ทำตรง ตามตถาคตโพธิศรัทธา ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้แล้วเอามาบอก มาสอน คุณถูกตรง มันก็เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน กี่ยุค กี่สมัย กี่กัป กี่กัลป์ พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้ นำพาอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ กี่กัป กี่กัลป์ ก็เกิดศรัทธา ๔ อย่างนี้เป็นทรัพย์

ฟังศรัทธา ๔ นี่ เห็นชัดขึ้นไหม กรรมเป็นใหญ่ กัมมัสสกตา กรรมเป็นของๆตน กัมมทายาท กัมมทายาโท คุณมีมรดกอันนี้ต่อไปจนกระทั่งปรินิพพาน นี่เป็นมรดกของมนุษยชาติ จนกว่า จะปรินิพพาน ไม่มีมรดกอะไรยิ่งใหญ่เท่ามรดกอันนี้ มรดกกรรมนี่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใครไม่เชื่อ อย่าเชื่อ ไม่ง้อเลย จริงๆ ไม่ง้อจริงๆ ใครไม่เชื่อ อย่าเชื่อ ไม่มีมรดกอะไรยิ่งใหญ่เท่ามรดกอันนี้ เราจะเป็นทายาท ก็มีกรรมนี่แหละเป็นทายาท เป็นมรดกของใครของมัน กัมมัสสกตา กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท ของใครของมัน แล้วมันจะพาเราเกิดเราเป็น กัมมโยนิ จะพาเราเกิด เราเป็น กรรมนี่พาเราเกิด เราเป็นของๆเรา พาเราเกิดเราเป็น ไม่ใช่ใครมาให้ จะไปเข้าท้องแม่ อาตมาจะว่า เข้าท้องพ่อ ท้องแม่เลย เข้าท้องพ่อไม่ได้ จะไปเข้าท้องแม่ไหน ก็โดยกรรม ที่สมสัด สมส่วน ไม่มีอะไรปลอม ไม่มีอะไรโกง จะไปเข้าท้องแม่หมา ก็เพราะคุณมีวิบาก จะต้องไปเข้า ท้องแม่หมา คุณจะไปเข้าท้องแม่ เสือ ช้าง ม้า วัว ควาย สัตว์ประเภทไหนก็ตาม

ศาสนาพุทธเรา พระพุทธเจ้าสอนไว้ละเอียดหมด เกิดเป็นสิงห์สารา สัตว์ได้ ในวิบากเกิดเป็นคนได้ เกิดเป็นคนตามวิบาก ตามบุญ ตามบาป เหมือนกัน เกิดเป็นคนชั้นต่ำ ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นระดับไหน ตามของจริง ที่คุณมีบุญ มีบาป มีกุศล อกุศล มีของจริง ที่เป็นกรรม เป็นมรดก กัมมโยนิ ไปเกิดตามนั้น ไม่มีอะไรปลอมแปลง

เพราะฉะนั้น เราจะเกิด ถ้าคุณขยันที่จะเห็นว่า เออ เป็นเผ่าวัว เผ่าควาย เป็นพันธุ์ควายนี่ดีนะ ก็ไม่เป็นไร คุณเกิดชาตินี้น่ะ มันผิดเผ่าแล้ว ปฏิบัติกรรมให้มันเหมาะๆ จะได้ไม่เป็นควาย ควายมันเป็นยังไงล่ะ มันกินหญ้า อ๋อ ไอ้กินหญ้านี่ มันเรื่องเล็ก กินหญ้า กินพืช กินผักนี่ มันเรื่องเล็ก เพราะฉะนั้น คุณมาปฏิบัติ ถึงยังไง เรามาปฏิบัติมังสวิรัติ เราก็ไม่ได้กินหญ้าหรอกนะ คนมันพูด ประชดน่ะ คุณกินหญ้าหรือทุกวันนี้ คุณกินผัก กินพืชอะไร ไม่ใช่กินหญ้า กินสักเท่าไหร่กัน แหม ไม่ค่อยได้กินหญ้าน่ะ นัยที่ว่ามันจะเป็นควายนี่ มันก็คือนัยทั้งรูป ทั้งนามอะไรหลายๆอย่าง ที่จริง โดยนามนั่นแหละ เป็นตัวลึก คุณจะทำอย่างไร ให้มันโง่เหมือนควาย ให้มันเซ่อๆเหมือนควาย ทำอย่างไร หรือไปทำยังไงก็แล้วแต่เถอะ โดยวิบากอย่างนั้น มันก็ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ถ้าวิบากจริงๆก็ คือว่า... ไม่ใช่อย่างนั้น เท่านั้น ไม่พอ อันนั้นก็ด้วย มันเป็นเรื่องความอยากเท่านั้นเอง ความอยาก ไม่ได้พาให้เกิดทีเดียว ขี้เกียจ เป็นคนจะต้องให้เขาใช้ โง่ๆ เง่าๆ ทำอะไรเซ่อๆซ่าๆ อะไรก็ทำไปซิ

หรืออย่างชัดที่สุด ก็คือว่า มันจะมีวิบากที่จะต้องส่งเสริม ให้ไปเกิดเป็นหนี้เป็นสิน เป็นการใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรมอะไรกันนี่ เราก็เชื่อเวร เชื่อกรรม เพราะฉะนั้น ผู้ใดไปเป็นหนี้ ไปเป็นสินมากๆ เป็นการใช้หนี้ ใช้กรรม เราจะต้องไปทดแทนอะไรต่ออะไร อย่างที่อาตมาว่า พวกพ่อค้า แม่ค้า แม้แต่ข้าราชการ แม้แต่พวกอะไรพวกนี้ที่เอาเปรียบ เอารัด เสร็จแล้วก็เป็นหนี้ ไปใช้เวร ไปใช้หนี้ ใช้กรรม อะไรต่ออะไรกันนี่ ตอนนี้ เราก็เป็นเจ้านายของควาย คราวหน้า เราก็เป็นควาย ไปเป็นควาย ให้เจ้าหนี้มาเป็นนาย หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ นี่พูดง่ายๆ เหตุผลง่ายๆให้ฟัง เป็นเรื่องจริงนะ เป็นเรื่องจริง ไปอ่านนิทาน ๕๐๐ ชาติของพระพุทธเจ้าบ้าง เยอะๆแยะอะไรต่างๆนานา ทำวิบาก แก่กันและกันไว้ โอ้ตอนนี้ต้องมาอย่างโน้น อย่างนี้ มาแก้แค้นกัน มีเวรานุเวรต่างๆนานา สารพัด ที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ คนก็รวบรวมเอาไว้ เป็นนิทานตั้ง ๕๐๐ เรื่อง ๕๐๐ ชีวิต ๕๐๐ ชาติ เกินกว่านั้นอีก มีไอ้ที่ไม่ได้บันทึกรวมไว้ใน ๕๐๐ ชาติมีอีกเยอะแยะ เป็นสิงห์สาราสัตว์ เป็นไอ้โจรก็มี เป็นอะไรก็มี

เมื่อวานนี้ กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเป็นฤาษี เล่าเป็นฤาษีก็มี เป็นฤาษีมาแสดงราคะออก ในปางหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัต มาพูดกันเมื่อวานนี้ พระเจ้าพรหมทัต พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้น เป็นพระเจ้า พรหมทัต เป็นมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตที่ยกให้ เราจะเชื่อ ต่อเมื่อเรามี มันจะมีญาณ ค่อยๆ รู้ถึงกรรม ถึงวิบาก แม้จะระลึกชาติเป็นตัวเป็นตน ระลึกชาติเป็นรูป เป็นแบบ เป็นอะไร ต่ออะไร เป็นเรื่องไปอย่างจริงๆนี่ เหมือนกับดูหนังนี่ ไม่ออกก็ตาม มันจะมีญาณในลึกๆ ความเชื่อที่เกิด อือ มันมีอะไรต่ออะไรขึ้นมาไรๆ เป็นนามธรรม เป็นอรูปอะไรต่ออะไรบ้าง ไม่ปะติดปะต่อ ไม่เป็นเรื่อง เป็นราวเหมือนอย่างหนัง ที่ฉายกันต่อเรื่องกันน่ะที่จริง มันก็จะมีน้ำหนัก ของสิ่งเหล่านี้ เกิดจริงๆ คุณจะรู้

สรุปแล้ว เมื่อกี้อาตมาอธิบายไปถึงกรรมพันธุ มันจะนำเกิด แล้วมันจะเกิดเป็นเผ่า เป็นพันธุ์ โดยเฉพาะ ก็คือ เรามาสั่งสมพันธุ์อริยะ มาสั่งสมพันธุ์เป็นพุทธะ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แกนความประเสริฐของชีวิต ที่เราจะมีชีวิตต่อไป มีกรรมนี่แหละเป็นมรดก ต่อไปให้คุณเกิด เจริญขึ้นๆ คุณก็ต่อเผ่า ต่อพันธุ์เดิมนี่ สร้างพันธุกรรม แต่ละชีวิตที่เกิดมานี่ พยายามสร้างพันธุกรรม เราเป็นผู้ผลิต เราเป็นผู้ที่จะผสมให้เกิดพันธุกรรมที่ดี แล้วมันจะเป็นกรรมพันธุ เป็นกรรมพันธุ์ ที่จะออกไปให้เกิด ฟังภาษานี้ออกไหม คุณแต่ละคน เจ้าของกรรม เจ้าของการบรีด บรีดพันธุ์ของเราให้ได้ นี่คุณกำลังพยายามที่จะมาเอาเชื้อ เอาเผ่า เอาเชื้อพันธุ์นี้ มาสะสม เชื้อพันธุ์ของพุทธ อย่างพระพุทธเจ้าพาเป็น มาเป็นมนุษยชนิดนี้น่ะ พันธุ์นี้น่ะ พันธุ์อย่างนี้น่ะ เอาพันธุ์อย่างนี้น่ะ แล้วมาสั่งสมฟังทุกวินาที ทั้งเกิดฟัง ทั้งเกิดอบรม ทั้งเกิดทำอินทรีย์ ทำศรัทธา ทำวิริยะ ทำสติ วิริยะในเรื่องนี้น่ะมากๆ พากเพียรในอย่างนี้ให้มาก ตัวอย่าง อย่างนี้ต้องลาออก เท่านั้นน่ะ ลาออกมานี่บานตะเกียงตั้งเยอะแยะ ในที่นี้น่ะ มากมาย

้แค่เมื่อคืนนี้ ก็แค่ให้คนขึ้นไปให้ดูเขื่องหน่อยเท่านั้นน่ะ ๑๔ คน มีเยอะแยะ มากเป็นเท่าไร เป็นร้อยละมั้ง ที่ลาออกจากงานมาเดี๋ยวนี้ ที่จะขนกันขึ้นไปจริงๆ ไล่ไปตั้งแต่นี่น่ะ ตั้งเท่าไหร่ล่ะ เอาไปซินี่ เต็มเวทีเลย ถ้าจะเอา จริงๆน่ะ ถึงเป็นฆราวาสอื่นๆ ที่ไม่ได้ขึ้นไปอีกเมื่อคืนนี้ ก็ตั้งเยอะ ตั้งแยะ เมื่อคืนนี้เขาคัดเอาหน้าใหม่ๆหน่อย หน้าเก่าๆที่ลาออกมาแล้วเยอะๆแยะๆเลย อยู่ที่นี่ ตั้งเท่าไหร่ล่ะ เก่าเอี่ยมแล้ว ตั้งเยอะ ตั้งแยะ ลาออกมาแล้ว ทำไมคุณลา ก็เพราะคุณเกิดศรัทธา แล้วคุณทำไมมาวิริยะอย่างนี้ ทำไมมาเพียรอย่างนี้ทั้งๆ ที่สัมภาษณ์กันแล้วเมื่อคืนนี้ แล้วออกมาแล้ว เป็นยังไงล่ะ ทำงานทางโน้นเบากว่านะ ได้เงินเยอะกว่าด้วย ออกมาทางนี้ โธ่เอ๊ย หนักกว่าด้วย โดนจู้จี้ จุกจิกยิ่งกว่าอีก เข็นเช้า เข็นเย็น คนเข็นไม่ใช่แต่เฉพาะทางอาตมาด้วยนะ เพื่อนฝูงก็ช่วยเข็นด้วย จี้แล้ว จี้อีก บางคนก็อยู่ไม่ได้ ทนไม่ไหว บางคนก็อยู่ได้ สั่งสม วิริยะ วิริยินทรีย์ สั่งสมการสร้างสติ สตินทรีย์ สร้างนะ สร้างสตินี่

มันไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ให้ลึกซึ้งกว่านี้ ให้มันรู้ตัวทั่วพร้อม มันรู้ว่าตัวเรา แล้วก็รู้ว่าเราอยู่ในวาระนี้ ขณะนี้เราตื่นอย่างไร เรามีสติรู้ตัวอย่างไร แล้วเรามี ธัมมวิจัยหรือไม่ เป็นสติสัมโพชฌงค์ไหม เป็นธัมมวิจัย มีวิจัยสัมโพชฌงค์ไหม มี วิริยสัมโพชฌงค์ไหม มานั่งอยู่นี่ หลายคนนอนเอือกอยู่โน่น ไม่มีวิริยสัมโพชฌงค์ หรอก บางคนเพียร บางคนทำงานอยู่ที่ในครัว ขณะที่ทำงานที่ในครัว มีเสียงอยู่ในครัวด้วยนะ เสียงธรรมะ มีอยู่ในครัวด้วย ทำงานไปแล้ว ก็ได้ฟังไปด้วย มีวิริยินทรีย์ ไปด้วย มีความเพียร ที่จะทำงานนั้น แล้วก็รับ เป็น วิริยะสัมโพชฌงค์ด้วย หรือแม้ไม่ฟังอาตมาเลย ทำงานอยู่ที่ในครัว ก็มี วิริยสัมโพชฌงค์ คือเพียร ทำงานนี้ล่ะ กำลังปรุงอาหารนี่แหละ ก็รู้จัก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของตนเอง กำลังทำอาหาร กำลังทำการงาน การสำรวม สังวร กระทบสัมผัส รูป เสียง กลิ่น รส เท่านี้ก็รู้ตัว ปรับปรุงตัว เป็นตัวปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมแท้ อยู่ในตัว หรือโพชฌงค์ ๗ ทำอยู่นี่จริงๆ วิริยะอันนั้น ก็เป็นวิริยสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสติสัมโพชฌงค์ ก็ก่อเกิด สตินทรีย์อยู่ เหมือนกัน คุณนั่งฟังนี่ คุณก็มีสติ จะเป็นสตินทรีย์ได้ไหม

บางคนฟังไปก็เฉย ไม่มีวิจัยอะไรหรอก ฟังไปเรื่อย บางคนวิจัยเหมือนกัน แต่วิจัยแล้วมันมีน้ำหนัก ของโลกีย์มาบวก มาเป็นตัวข้อมูล มีตัวโลกียะ เข้ามาครอบ คือตัวฟุ้งซ่าน โลกียะนั่น มาผสม ฟังไปแล้ว บวก ลบ คูณ หาร ออกมา กดออกมา เป็นข้อมูลออกมา คอมพิวเตอร์ มีข้อมูลของโลกีย์ มันก็ออกมาเป็นโลกีย์ มันไม่เป็น ธัมมวิจัย ตัวที่เป็นโลกุตระ มันก็ไม่ใช่สัมโพชฌงค์ ไม่ใช่องค์แห่ง การตรัสรู้ เป็นองค์แห่งอวิชชา มันเป็นองค์แห่งความโง่ องค์แห่งโลกียะ มันก็เป็นโลกียะ มันไม่เป็น โลกุตระ มันไม่มาทางโพชฌงค์ มันไม่มาทางตรัสรู้ มันไม่มาทางโลกุตระ มันก็ไปทางโลกียะ ไปทางอวิชชา คุณจะรู้มากขึ้นด้วยนะ

อวิชชา อาตมาแปลว่าความรู้นะ อวิชชา แปลว่าความรู้ รู้มากๆ ก็ได้ อวิชชาแปลว่า ความรู้ รู้ที่ไม่พาไปปรินิพพาน ไม่พาไปนิพพาน รู้ ไม่ได้พาไปประเสริฐแท้

เพราะฉะนั้น ความรู้ใดที่ไม่ได้พาไปทางนิพพาน ไม่ได้พาไปทาง เป็นมนุษย์โลกุตระ ความรู้นั้น เป็นอวิชชาทั้งนั้นแหละ ให้มากให้มายอย่างไรก็แล้วแต่ ดีไม่ดี มันก็ยิ่งไปโกงเขาเพิ่ม ยิ่งไปเอาเปรียบ เขาเพิ่ม ยิ่งไปล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ ยิ่งไปหลงเสพโลกียสุขในโลกๆเพิ่ม นั่น มันเป็นความรู้ เป็นอวิชชา เป็นความรู้ที่มันพาไปโลกีย์ยิ่งหนา ยิ่งหนัก เป็นโลกีย์ เป็นปุถุชนหนา หนักเข้าไปใหญ่เลย ฟังเนื้อหาให้ดีๆ แล้วคุณจะเข้าใจ

สรุปแล้วคุณจะสร้างอินทรีย์พละนี่ สติก็จะจริง จะเจริญไปในทาง สติสัมโพชฌงค์ หรือเป็นสติที่ เป็นสัมมา สัมมาสติ สมาธิ ตัวตั้งมั่นแข็งแรง มีผลของอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อยู่ในสมาธิ แล้วเมื่อสมาธินี่ มันก็จะเกิดฌาน เกิดการเพ่งเผากิเลส เพ่งเผากิเลสๆ เป็นญาณประกอบ ฌานต้องมี ญาณ ก็จะรู้ จะเห็นของจริงว่า มันรู้กิเลส ละกิเลสออกได้ เผากิเลสออกได้ จางกิเลส ออกได้เรื่อยๆๆ ญาณที่เห็นจริง เป็นจริง คุณจะเกิดจริงๆ จากของจริงเหล่านั้น มันก็จะเกิดฌาน ที่เป็นญาณ เป็นวิมุติ เป็นญาณ เป็นวิมุติ ลดลงไปเรื่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ จางคลายลงไปเรื่อยๆ เป็นวิราคะ เป็นวิมุติ เป็นนิโรธ เป็นนิพพานไปเรื่อยๆ เห็นของจริง เป็นอินทรีย์พละ เพราะฉะนั้น คุณจะเชื่อ ก็เชื่อด้วยของจริงอย่างนี้ มีอินทรีย์ มีพละของตนเห็นกำลังของความเชื่อ มีกำลังปัญญา ที่ชัดเจน ในสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริง

ละ ลดกิเลสได้แล้ว มันเป็นอย่างไรล่ะ ละลดกิเลสได้แล้ว มีชีวิตเป็นยังไงขึ้น เกิดความเชื่อมั่นยังไง เกิดเข้าใจหมู่กลุ่ม เกิดเข้าใจพฤติกรรม เกิดเข้าใจกิจกรรม เกิดเข้าใจการงาน เกิดเข้าใจอาชีพ เกิดเข้าใจ กาย วาจา ใจ เราเป็นคนมีกาย วาจา อย่างนี้ดีกว่า เราเป็นคนใช้แรงงานอย่างนี้ดีกว่า เราเป็นคนที่มาทำงานอย่างนี้ดีกว่า เงินไม่เอาก็ได้ แล้วเป็นสุขไหม เป็นสุข อย่างนี้ดี เราว่า เราประเสริฐ เราประสบผลได้ มีวิบาก มีกุศล มีของได้ มีทรัพย์ เรามาเอาอย่างนี้ เราได้ทรัพย์ อย่างนี้น่ะ

อะไรทรัพย์ ไม่เห็นเงินสักบาท ไม่ได้เงินสักบาทด้วย ทรัพย์อยู่ไหน เขาได้กันเป็นกอบ เป็นกำ ไปซื้อเพชร ซื้อพลอย ไปอะไรต่างๆ นานาเยอะแยะเลย ไปซื้อเครื่องแต่งตัว ซื้อบ้านใหญ่ๆ ที่ดินเยอะๆ ซื้อไอ้โน่น ไอ้นี่ สมบัติโลกๆเสียมาก นี่เรามาไม่มีๆๆๆๆๆๆ แล้วมาเอาอะไร คุณก็ต้องรู้ว่า คุณมาเอาอะไร

เพราะฉะนั้น ทรัพย์ที่เป็นนามธรรม ทรัพย์ที่เป็นสิ่งวิเศษ ทรัพย์ที่เป็นศรัทธา ทรัพย์ที่เป็นศีล ลาออกมา จะมาทำงานใหม่ อย่างเมื่อคืนนี้บอกว่า มาเปลี่ยนงานใหม่ มาทำงานนี้ แล้วมาอะไร มาก็ปฏิบัติตามศีลนี่แหละ เพราะคุณเกิดเชื่อแล้ว แล้วคุณก็มาปฏิบัติศีล ศีลจะเกิดอะไร คุณก็จะเกิดหิริ เกิดโอตตัปปะ เกิดสุตะที่รู้ยิ่งขึ้น รู้ยิ่งขึ้น นับวันคุณก็รู้มากยิ่งขึ้นเป็น พหูสูต รู้ยิ่งขึ้น รู้ทั้งของจริง เป็นพหุสัจจะ

อาตมาว่า พหุสัจจะนี่เขาก็เคืองนักหนา ว่ารากศัพท์เดียวกัน พหูสูต กับพหุสัจจะนี่ เอา เราก็ไม่เป็นไร เขาก็ว่าอย่างนั้น เอ้า ก็แล้วไป ก็ไม่มีปัญหา ฯลฯ... เราก็ต่อเผ่า ต่อพันธุ์ไปอย่างนี้ แล้วเราก็ได้อาศัย คุณได้อาศัย อาตมาได้อาศัยกรรม อาศัยวิบาก อาศัยงาน อาศัยความเป็นอยู่อย่างนี้ อาศัยด้วย อย่างนี้ เราก็เลี้ยงตน ยังชีวิตเป็นกัมมปฏิสรโณ อย่างนี้น่ะ คุณมา ลาออกจากงานโน้น งานนี้ คุณก็มามีชีวิตอยู่อย่างนี้ คุณก็มาอาศัยกรรมของคุณเหมือนกัน ถ้ามาอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่ทำงาน ทำการ ไม่มีกรรมอะไร กรรมเหมือนกันน่ะ เป็นกรรมอกุศลอยู่อย่างนี้ เสร็จแล้วคุณก็อยู่กับหมู่ ไม่ได้หรอก มันจะถูกสังเคราะห์ ขจัดออกไปเลย มันเหมือนขยะ มันไม่อยู่ในเนื้อนี่ แบบนี้มันขยะ มันก็จะถูก เขี่ยๆ ออกไปเรื่อย ประเดี๋ยวก็หลุดออกไป

หรือคุณก็เห็นว่า นี่ ไม่ใช่เนื้อเดียวกับเรา คุณก็ไปเอง ของคุณเหมือนกัน จะว่าอีกทางหนึ่งก็ได้ ฉันไม่ชอบเอง ฉันไม่เอาอันนี้ ก็ได้ให้เก๋ๆหน่อย ที่จริง ไม่ใช่หรอก เขาเคียะออก หมู่เคียะคุณออก แต่คุณบอกว่า ไม่ใช่ ฉันไม่เอาพวกคุณเอง ฉันลาออกมาเอง ฉันหนีออกมาจากพวกคุณ พวกคุณก็เห็น เนื้อหาสาระอะไร ฉันไม่เห็นชอบใจอะไร ไม่ใช่เนื้อหาสาระที่น่ายินดี ฉันไม่เอาเองน่ะ ก็ได้ ก็แล้วแต่ใครจะซัดใคร เราจะซัดเขาว่าโมหะก็ได้ เขาก็บอกว่า คุณนั่นแหละ โมหะ พวกนี้ มันโมหะทั้งนั้น มันโง่งมงาย ก็ได้ โดยโวหาร โดยบัญญัติ โดยภาษา จะเอามาซัดกันอย่างไรก็ได้ มันอยู่ที่ศรัทธา อยู่ที่ปัญญาของใคร ปัญญาเชื่อในอย่างใด เชื่อแล้วก็ศรัทธา แล้วก็ปัญญา จะเชื่อในอย่างใด มันก็อย่างใด อย่างนั้นตามจริงน่ะ

เมื่อวาน อาตมาได้ขยายสัทธาสูตร ได้ขยายให้เห็นความบริบูรณ์ ภาษาของพระพุทธเจ้าสั้น แต่ลึกซึ้ง บริบูรณ์จริงๆ เพราะฉะนั้น ในการศรัทธาของพระพุทธเจ้าที่จะมีทรัพย์นี่ มันไม่ใช่ มีแต่ทรัพย์ ที่ศรัทธาตัวเดียว มันจะต้องมีตัวขยายว่า มันจะต้องมีศีล ศีลคืออะไร คืออย่างไร ศีล คือ หลักเกณฑ์ ที่เราเอามาประพฤติจนได้ จนเป็นปรกติ ไม่ฆ่าสัตว์ ในความหมายอย่างง่าย เราก็ไม่ฆ่าจนได้ ใจเราไม่ได้อยากฆ่าจริงๆนะ ไม่ได้คิดอยากฆ่า อยากเบียดเบียน อยากทำร้าย ทำลายใคร เออ ชีวิตเขา ชีวิตเราหนอจริงๆเลย ไม่ใช่ฆ่า โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย โอ้ ฆ่าเฉยๆ ฆ่าด้วยอย่างอำมหิต ไม่ใช่อำมหิตหรอกน่ะ ไม่ได้ใจร้ายเลยนะ ฆ่านี่ ไม่ได้ใจร้ายเลยนะ ก็ฆ่าธรรมดา ฆ่าเฉยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรล่ะหรอกนะ แล้วแกก็ตาย บางทีก็ฆ่าเล่นๆด้วย บางทีฆ่า เอามาทำอาหาร ก็ไม่ได้อะไรนี่ ไม่ได้โหดร้ายอะไร ใจดี๊ ใจดี โอ้ย น่าฆ่านะ ไม่ได้โหดร้าย อะไรนี่ ก็ได้ ความรู้สึกของคุณ ยังไงล่ะ แล้วมันเลวร้ายบ้างไหมเล่า ถ้าใครคนใดคนหนึ่ง เขาบอกว่า โอ๊ยคุณนี่ น่าฆ่าจังเลยนะ โอ้ย ขอฆ่าเถอะ คุณจะว่าอย่างไง คุณจะว่าคนนั้นเขาใจดีเหรอ

เพราะฉะนั้น เราจะไปมองยังไง จะอ่านอย่างไง เราต้องรู้ว่า ชีวิตคือ ชีวิตเล็กชีวิตน้อย สัตวโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น เออ อย่าไปเบียดเบียนเขาเลย อย่าไปทำให้เขาตายเลย มันวิบาก ของเขา เขาจะอยู่ทุกข์อยู่สุขอะไรก็ช่างเขาเถอะก็ว่าไป เราน่ะ พยายามใช้ชีวิต ให้มันเจริญ ให้มันพัฒนาเถอะ เจริญ คืออะไร พระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่า เจริญคือ ความสั่งสมทรัพย์

ทรัพย์ต่อไปก็ให้เชื่ออย่างพระพุทธเจ้าพา เชื่ออย่างพระพุทธเจ้าสอน เชื่อว่าชีวิตประเสริฐ เป็นอย่างนี้ แล้วก็มาก่อกรรมอย่างนี้ มาอบรมกรรมอย่างนี้ ให้มันเกิดเป็นผล เป็นวิบาก เป็นกัมมัสสกตาอย่างนี้ แล้วเราก็มา ทำๆๆๆๆๆ ท่านบอกว่าเริ่มต้นจะเชื่อ โดยบริบูรณ์ ต้องมีองค์ปฏิบัติ คือศีล หลักเกณฑ์ว่า เอ้า ถ้าประพฤติปฏิบัติอบรมตนอย่างนี้ ไม่ลักทรัพย์ ไม่มีราคะ ลดราคะ จะมีก็น้อยลงๆ ตามลำดับขั้นตอน พูดก็ให้มันดีอย่างนี้ อย่าไปพูดปด พูดมดเท็จ พูดส่อเสียด พูดให้ทะเลาะวิวาทกันพูดให้อะไร คุณก็มาทำ อย่าไปติด เมา สุราเมรยะ เอ้า เลิกความเมา เลิกความเสพ ความติดออกมา เขาแปลแต่ว่าเหล้า เพราะฉะนั้น ศีลข้อ ๕ นี่ ถ้าคนไหน ไม่กินเหล้าเลย ไม่ได้ปฏิบัติกันพอดี เพราะไม่ได้เลิกเหล้า มันเลิกแล้วน่ะ โอ้ ศีลข้อนี้ เลยไม่มีอิทธิพล ไม่มีตัวปฏิบัติอะไรมากมาย ที่จริงข้อสำคัญมากข้อที่ ๕ ตัวเสพติด อะไรก็เสพติดหมด

แม้แต่พระโพธิสัตว์ ก็เสพติด พระอวโลกิเตศวรนี่ เสพติดโพธิสัตว์อยู่ ยังไม่ยอมจะเป็นพระพุทธเจ้า


อ่านต่อ หน้าถัดไป
FILE:1337P.TAP