สัจจะ...มาฆบูชา'๓๔
โดย พ่อท่าน โพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔
ณ พุทธสถาน สันติอโศก

เจริญธรรม ทุกๆท่าน

วันนี้เป็นวันสำคัญ ที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในศาสนาพุทธ ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น แล้วเราก็เอาเหตุการณ์นั้น นำเรื่องราว นำจุดก่อ จุดเกิดต่างๆ หลายอย่าง เอามาใช้ ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะสืบทอด ผู้ที่จะนำศาสนานี้ ถ่ายทอดแก่พุทธศาสนิกชนต่อ และต่อๆไป ให้นานเท่านาน

เอ้า! ในประเด็นอะไรต่างๆ ของวันมาฆบูชา เราก็ได้พูดกัน วันนี้ อาตมาจะพูดถึง ในความหมาย ของประเด็น ที่เป็นความหมาย อาตมาว่า เขายังไม่ได้พูดกันนัก คือวันมาฆบูชานี่ เป็นวันสำคัญ ๒ ประเด็นง่ายๆ อาตมาบอกว่าง่ายๆ สำหรับอาตมา แต่หลายคนอาจจะรู้สึกว่ายาก คุณลองฟังดูว่า ง่ายไหม แล้วก็ตรงไหน ลองฟังดูก่อนก็ได้นะ

ประเด็นที่ ๑. หมายความว่า วันมาฆบูชา เป็นเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ส่อแสดงถึง สภาพจริงแห่งความรวมกัน มีความรู้สึกอันเดียวกัน เป็นความรวมกัน แล้วก็เป็นความรู้สึก อันเดียวกัน เกิดขึ้นจากลูกของพระพุทธเจ้าโดยตรง มันแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียว แสดงถึงความ เป็นสภาพหนึ่ง เป็นสภาพหนึ่ง โดยไม่ต้องนัด ไม่ต้องมีการกำหนด ไม่ต้องมี การบอกกล่าว แล้วก็มารวมกัน อย่างเป็นปึกแผ่น

คุณลักษณะอันเอกอันนี้ ในประเด็นที่กล่าวถึงนี้ เป็นความหมายของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ จะมีวันมาฆบูชา และในวันมาฆบูชานั้น จะมีพระสาวกมารวมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย โดยความเป็นหนี่งเดียว มารวมด้วยไม่ได้มีนัดหมายก่อน ไม่ว่าจะเกิดยุค พระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตาม ทุกพระองค์ จะมีมาฆบูชา พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีหลายครั้ง เพราะว่าอายุท่านยืน อายุท่าน ตั้งแปดหมื่นปีค่อยตาย อย่างนี้ท่านก็มีวันมาฆบูชาถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง จะมีพระอรหันต์มารวมกัน โดยไม่ได้นัดหมายเลย ในวันมาฆบูชา ถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง และครั้งละเป็นล้าน ในองค์ที่พระพุทธเจ้า ที่มีอายุยืน ถึงแปดหมื่นปี ดังนี้ เป็นต้น

สำหรับรุ่นหลังๆมา องค์หลังๆมานี่ มีความสั้นลง ก็อย่างพระพุทธเจ้า องค์สมณโคดมของเรา มีครั้งเดียว และมีจำนวนแค่ ๑,๒๕๐ แต่ก็เป็นความรวมที่ ไม่ได้นัดหมายอย่างแท้จริง ไม่ได้เกิด การบอกกล่าวกันหรอก ถึงยุคหนึ่ง ที่จะมี พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งอุบัติขึ้นมา เมื่ออุบัติขึ้นมาแล้ว มาฆบูชา ต่างคนก็ต่างมีความรู้ พวกเรานี่มีความรู้นะ มีความรู้เรื่องมาฆบูชา แต่ในสมัยพระพุทธเจ้า จะตรัสรู้ อุบัติขึ้นนี่ ในโลกยุคนั้นไม่มีศาสนาพุทธ คุณลองตั้งใจนึกตามดูดีๆ ในโลกยุคนั้น อย่างนั้นน่ะ ไม่มีใครรู้เลยว่า พุทธคืออะไร ศาสนาพุทธคืออย่างไร มีแต่ศาสนาอื่นๆใดๆ มีต่างๆ นานาสารพัด ส่วนศาสนาพุทธนั้น ยังไม่อุบัติ ยังไม่ปรากฏพระพุทธเจ้า ลักษณะของศาสนาพุทธ ไม่เหลือ ไม่มีมาฆบูชา วิสาขบูชา หรือว่าจารีต ประเพณี ระเบียบ แบบแผน ทฤษฎีหลักเกณฑ์อะไร อย่างของพุทธไม่มี สูญไปแล้ว ศาสนาพุทธ ถือว่าสูญไปแล้ว ไม่มีศาสนาพุทธ

เพราะฉะนั้น จะมีคำว่ามาฆบูชา จะมีพระอรหันต์มารวมกันตามจารีต ประเพณี ที่เคยมีมา อย่างที่ เรารู้สึกนี่นะ ไม่ปรากฏ แล้วใครก็จะระลึกไม่ได้ จะไม่มีการรู้ตัว อย่างพวกเรานี่ ศาสนาพุทธ ยังเหลืออยู่ เราเรียนมานี่ วันมาฆบูชา บางทีมัธยมก็เรียนมาแล้ว ว่ามีอะไรๆ พวกคุณก็รู้ แต่นั่น คุณต้องนึกตามดีๆว่า สมัยนั้น ยุคนั้น มันไม่มี ความเป็นพุทธไม่มี แม้เกิดพระพุทธเจ้าแล้ว ได้เทศนาแล้ว ได้มีอะไรแล้ว ประวัติศาสตร์ ตำนานมันก็ไม่มี เขาจะไม่รู้หรอก ว่า วันมาฆบูชา คืออะไร มีพระอรหันต์มารวมกันหรือ เขาก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าจะมาตรัสเล่าทีหลัง ถึงประวัติ แต่ดั้งเดิม ในยุคกาลก่อนๆ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จะมีมาฆบูชาอย่างนี้แหละ หลายครั้งด้วย อะไรต่างๆนานา ก็จะมาตรัสเล่า ตั้งแต่ละพระองค์ เพราะฉะนั้น การรวมกันโดยไม่ได้นัดหมายนี่ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก นี่ประเด็นหนึ่ง

ประเด็นที่ ๒. ก็คือ การมาแสดงความจริง การมาปรากฏตัวของความจริงว่า ศาสนาพุทธคืออะไร ศาสนาพุทธนั้นคือ การสอนคนให้เป็นอริยะเอาง่ายๆ สอนคนให้มีความบรรลุ หรือสอนคน ให้มีความเจริญ ให้มีการเกิดใหม่ เป็นโลกุตรบุคคลถึงขั้นสำคัญ ถ้ามีสมัยพระพุทธเจ้า ก็จะถึงขั้น พระอรหันต์สุดยอดได้ เป็นเรื่องที่มันยากมาก เป็นเรื่องพิเศษมาก แม้เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ก็ยังหา พระอรหันต์นั้น องค์หนึ่ง สององค์ สามองค์ ห้าองค์อะไร ก็ทั้งยากอยู่แล้ว

เนื้อหาแท้คือความเป็นอรหันต์ เนื้อหาของศาสนาของพระพุทธเจ้า ท่านสอนคนเป็นอรหันต์ แล้วอะไรต่างๆนานา มันจะปรากฏเอง ระบบมันจะปรากฏ จารีตประเพณีมันจะปรากฏ วัฒนธรรมมันจะปรากฏ ความสัมพันธ์อันสนิทของ พุทธศาสนิกชน มันจะปรากฏ ความสุขเย็น มันจะปรากฏ สันติภาพจะปรากฏ ภราดรภาพ สมรรถภาพ อิสรเสรีภาพ บูรณภาพต่างๆ มันจะปรากฏ มันจะปรากฏเอง นี่เป็นประเด็นสำคัญอีกอันหนึ่ง

อาตมาจะพูดถึง ๒ ประเด็นนี้ ในวันนี้จะอธิบายขยายความให้ฟัง ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า แล้วขณะนี้ล่ะ เราต้องพูดถึงสิ่งที่เป็นจริง มีจริงด้วย ไม่ใช่เราจะพูดแต่ตำรา ไม่ใช่เราจะพูด แต่ทฤษฎี พูดแต่ตำนาน หรือหลักตรรกศาสตร์ เท่านั้น ไม่ใช่ แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่เป็นจริง เป็นไปได้ เป็นไปแล้วหรือไม่ เราจะพูดถึงสิ่งนั้นด้วยทุกทีไป อาตมาถือว่า อันนี้สำคัญ

ในประเด็นที่ว่า มันเป็นหนึ่งเดียว มีความรวม อาตมาบอกแล้วว่า เราจะพูดถึงลักษณะ ที่เป็นไปจริงด้วย สิ่งนั้นในชาวอโศกเรานี่ เราถือว่าเราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราได้ก่อเกิดมา ตั้งต้นตั้งแต่ อาตมาออกมาทำงานศาสนา มา ๒๐ ปี กำลังย่างเข้าปีที่ ๒๑ อาตมานี่ เป็นมหาเถระ แล้วนะ เลย ๑๐ ปีนี่ ท่านเรียกว่า เถระ คนที่บวชมา ๑๐ ปีนี่ ท่านเรียกเถระ ผู้ที่บวชเลย ๒๐ ปี ขึ้นไปนี่ ท่านเรียก มหาเถระ แต่เลย ๒๐ ปีนี่ก็ไม่เคยได้ยินว่า ท่านเรียกอภิมหาเถระนะ ก็ยังไม่เคย ได้ยิน เคยได้ยินเท่านี้ แล้วก็มีคนปฏิเสธเหมือนกันว่าไม่มี ในพระพุทธเจ้าท่าน ไม่เคยเรียกกันว่า เป็นมหาเถระ ท่านไม่เคยได้ยิน แต่เขาก็เรียกกันในเมืองไทยนี่ เรียก เคยได้ยินไหมล่ะ มหาเถระ ผู้ที่เป็นพระแก่ๆ แล้วบวชมานานพรรษาเลย ๒๐ ปีแล้วนี่ เขาเรียกว่า มหาเถระ

อาตมาทำงานมา ๒๐ ปีนี้ ทุกวันนี้นี่ ถ้าจะพูดถึงการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในชาวอโศกเรานี่ ที่ว่าลูกพระพุทธเจ้านี่แหละ คุณลักษณะอย่างนี้นี่ เหมือนอย่างสมัย มาฆบูชา ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้นัดหมายบ้าง มากันอย่างถึงแม้ว่าจะนัดหมายบ้างก็ง่ายดาย บอกกันเล็กๆน้อยๆ นัดกันพอสมควร หรือว่าให้ Signal (ซิกแนล) เราให้สัญญากันเล็กๆน้อยๆ เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เรารวมกันทั้งรูปธรรม มารวมกัน ตัวบุคคลมารวมกันพรักพร้อม เป็นหนึ่งเดียว ถ้าจะทำอะไร ก็พูดกันเข้าใจง่าย ทำได้เป็นน้ำหนักน้ำเนื้อที่สอดประสาน ทำงานอันใดที่สำคัญบอกว่านี้นะ เอาอย่างนี้นะ เป็นหนึ่งเดียว อันนี้ทำอย่างนี้ คุณลักษณะอย่างนี้รวมๆ ที่อาตมาค่อยๆ ขยายความ ไปนี่นะ ในชาวอโศกเรามีไหม เกิดขึ้นแล้วยัง เป็นไปได้ไหม อาตมาบอกแล้วว่า เราจะต้องนึกถึง คุณลักษณะเนื้อหา สาระของมัน เราอย่าเอาแต่รูปธรรมเป็นเปลือกๆ เป็นแต่แค่ ที่มันเป็นไป อย่างที่เป็นไปนั่นน่ะ มันไม่มีแล้วล่ะ อย่างนั้นไม่มีแล้ว จะมีพระอรหันต์ ไม่ต้องเอา ๑,๒๕๐ รูปหรอก พระอรหันต์ ๑๒ รูป มาประชุมพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย องค์ไหนอรหันต์บ้างล่ะ เราก็ยังสงสัย ก็ยังไม่ชัด เพราะฉะนั้น เราจะเป็นไปอย่างนั้นได้ยาก นี่ก็ว่ากันจริงๆแล้ว ก็มาฆบูชามา ตั้งหลายปี เต็มทีแล้ว ก็รอไปจนกว่าจะมี ๑๒ รูป มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ที่จริงก็รู้อยู่แล้วว่า มาฆบูชา เราจะนัดหมายกันเอง อยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น มันก็จะเป็นไป เรียกว่า โดยไม่ได้นัดหมาย มันก็ในที มันก็เหมือนนัดหมายกัน อยู่ในทีแล้วล่ะ นั่นก็เป็นเนื้อหาใหญ่ ถ้าเป็นไป ได้ดีก็ดี เนื้อหาใหญ่ เพราะฉะนั้น เนื้อหาใหญ่อย่างนั้นน่ะ เนื้อหาที่มันเป็นรูปธรรมของ พระพุทธเจ้า เอง เรายกไว้ แต่เราเอาความหมายรวม ความหมายหลัก เอามารวมกัน เป็นความรวมกัน แล้วก็ความเป็น หนึ่งเดียว ที่สอดคล้องกัน โดยเรียกว่า พรั่งพร้อมใจกัน ไม่มีการขัดแย้ง เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการต่อต้าน ลำบากอะไรเลย ได้ง่าย รวมกันได้ง่าย คุณลักษณะอย่างนี้น่ะ มีได้ เป็นได้ ชาวอโศกเรา อาตมาว่า มีแล้ว เป็นแล้ว อาตมาว่าอย่างนั้นนะ มีแล้ว เป็นแล้ว เพราะฉะนั้น ในวันสำคัญๆนี่นะ เหมือนกับเรานัดหมาย ไม่ยากหรอก พร้อมๆ พรั่งๆ จะมีจำนวน พอสมควร ตามฐานะของพวกเรา จำนวนพอสมควร

ทุกวันนี้ ก็อยู่ในลักษณะเอาละ ไม่ถึง ๑,๒๕๐ ก็ ๑๒๕ ก็แล้วกัน จะต้องการเมื่อไหร่ล่ะ ๑๒๕ ได้ทันที ง่ายดาย พรักพร้อม ในจำนวนคน ที่มีจิตวิญญาณนี่นะ มีความเข้าใจ เป็นศีลสามัญญตา เป็นทิฐิสามัญญตา เป็นเป้าหมาย ดิ่งไปสู่ ทิศทางของโลกุตระ คนชนิดนี้นะ จะมารวมกัน พรักพร้อม จริงๆ ร้อยคนขึ้นไป แล้วก็ไปมีน้ำหนัก ที่จะสร้างสรร ที่จะทำอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ขึ้นไปนี่นะ ทุกวันนี้ นี่หายาก

คนร้อยกว่าคน ประมาณ ๑๒๕ ดังที่กล่าวแล้ว และเป็นคนที่มี ถ้าจะพูดว่าอุดมการณ์ จะมีอุดมการณ์ เป็นหนึ่งเดียว เป้าหมายตรงกันเปี๊ยบ แล้วก็จะเป็นคนไม่ขบถ เป็นคนไม่เหลาะแหละ เป็นคนมั่นคง เป็นคนแน่ชัด นอกจากแน่ชัดแล้ว ยังมีปัญญาที่จะเข้าใจว่า จะก่อเกิดอะไรขึ้น สังคมนั้น ให้เป็นไปในจุดหมายเดียวกัน อย่างที่อาตมาพยายามใช้ภาษาขึ้นมาตั้ง เราจะสร้างสังคม ให้มีอิสรเสรีภาพ ให้มีภราดรภาพ ให้มีสันติภาพ ให้มีสมรรถภาพ ให้เป็นบูรณภาพขึ้นมา อย่างนี้นะ ยกตัวอย่างง่ายๆนี่ ให้เป็นอย่างนี้ได้นี่ จะมีความเข้าใจ มีปัญญาเข้าใจความหมายว่า เราจะประกอบ ไปด้วยอะไร เราจะทำอย่างไร มีคนในขนาดร้อยกว่าคนนี่นะ ๑๒๕ คนนี่ ทุกวันนี้ อาตมามีในมือ มีพร้อมแล้วก็ได้ทำงานกันอยู่ ที่จริงเกินกว่านั้น แต่ว่าใน ๑๒๕ คนนี่ตกๆหล่นๆ เรียกว่า บางคน อาจจะผลุบๆ โผล่ๆ บ้าง ยังไม่ค่อยจะว่ามั่นคง จะว่าแน่ชัด ก็มีการหล่น การร่วง มีจริงๆ ใน ๑๒๕ คน ไม่น้อยไปกว่านั้นได้ มี ทีนี้ คนที่จะมารวมกันนี่ ในหมู่พวกเรา เวลาจะมีกิจกรรม มีงานนัดหมาย มีงานอะไรต่ออะไรกันนี่ เราก็พยายามรวมกันแล้วนะ คนในพวกเรานี่นะ ที่จะมาทำพิธีกรรม จะมาจัดกิจกรรม เป็นกิจกรรมศาสนาโดยตรง เช่น ปลุกเสก เช่น พุทธาภิเษก ที่จะต้องใช้ทั้ง วันเวลาถึง ๗ วัน มาทำกิจทางศาสนากันนี่แหละ พยายามอบรม พยายามรังสรร พยายามสร้างสรร รังสรรอะไรกันอยู่นี่ ไปอย่างนี้น่ะ ในจำนวนเข้าบ้าง ออกบ้างๆๆก็ได้ ในประมาณนี้แหละ ค่าเฉลียแล้ว ประมาณ ๑,๒๕๐ นี่เราทำมาแล้วนี่ งานปลุกเสก พุทธาภิเษก นี่ ทำมากี่ปีๆแล้ว ก็ยืนอยู่นี่ ค่าเฉลี่ยได้ขนาดนี้ ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๗ วันนี่ ค่าเฉลี่ยจะได้ ๑,๒๕๐ นี่ ตอนนี้ เป็นหลักอยู่อย่างนี้ได้ ได้แล้ว สถิติต่างๆ ที่เราจด ที่เราทำอะไรต่ออะไรพวกนี้ ทุกวันนี้ มันดีที่ว่า มันมีสถิติ มันมีเครื่องมือ เครื่องไม้ มีอะไรต่ออะไรให้เราได้โน้ต ได้จด ได้ทำกัน พวกเราก็ร่วมมือกัน จนกระทั่งมีอะไรต่ออะไร ตัวเลข มีหลักฐาน มีอะไรต่างๆ นานา มายืนยันชี้บอก ก็เป็นข้อมูล เป็นหลักฐานอะไรต่างๆนานา ให้อาตมานำมายืนยันกับพวกเรา นำมาแจ้งมากล่าว มาบอกกับ พวกเราได้นะ

มีคนถามหลายที คนนอกนะ โดยเฉพาะคนต่างประเทศ เขาอยากจะทราบว่า สมาชิกทั่วประเทศ ของอโศก มีสักเท่าไหร่ อาตมาตอบกับเขาไม่ได้สักที แล้วก็ไม่ได้คิดจะไปหามาตอบเขาด้วย อาตมา เคยตอบกับชาวคริสต์ เคยตอบเขาว่า คุณอยากจะรู้สมาชิกของชาวอโศก คำตอบของอาตมาก็คือ คุณคิดถึงยุคสมัยของศาสนาคริสต์ของคุณ ตอนที่มีนักบุญ ๑๒ คน ได้ทำการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ใครบ้าง ที่บอกว่า เป็นชาวคริสต์ เปิดเผยได้ไหม เขารู้นี่ ตำนานประวัติศาสตร์ของศาสนาเขา ใช่ไหม พวกเราหลายคน ไม่รู้ก็จะงงๆ ไม่รู้เรื่อง แต่ใครพอจะรู้ประวัติแล้ว ก็จะรู้ว่า สมัยโน้น เขาไม่บอกตัว เขาไม่เปิดเผยตัวหรอก ขืนเปิดเผยตัว ตาย ตายนะ สมัยที่เขาจับพระเยซูตรึงกางเขน เสร็จแล้ว ก็นักบุญอีก ๑๒ นี่ หนีกันหัวซุกหัวซุน เสร็จแล้วก็ปลอมตัว แล้วก็พยายามที่จะเปิด ถ่ายทอดศาสนา พยายามที่จะสร้างหมู่กลุ่ม พยายามที่จะเผยแพร่ มีสัญญลักษณ์ มีสัญญาณ มีโน่นมีนี่กัน ทำงานกันใต้ดิน ไม่มีใครปรากฏตัวกันหรอก บอกกันอยู่นัยๆ ในประวัติเขารู้ดี ชาวคริสต์เขา อาตมา ก็บอกว่า ชาวอโศกน่ะ ทุกวันนี้นี่นะ ไอ้ที่เขาไม่กล้าประกาศตัวเป็นชาวอโศกนี่ มีอยู่ไม่น้อย แต่ในวิญญาณของเขาก็รู้แล้วว่า อโศกเขาศรัทธา อโศกเขาเข้าใจ อโศกนี่เขาได้สนับสนุนอยู่ด้วย แต่เขาไม่กล้า เปิดเผยตัว ไม่กล้าบอก ไม่กล้ามาร่วม ไม่กล้ามาแสดงตัวมีอยู่เยอะ นัยคล้ายกัน นั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราจึงจะไปนับเอาจำนวนสมาชิก มาให้คุณนั้นไม่ได้ มีขั้นหัวกะทินี่แหละ บอกมีเท่าไหร่ ๑,๒๕๐ วันนี้วันมาฆบูชา ประกาศเลข ๑,๒๕๐ เสียเลย ใครจะเอาไปซื้อหวย ก็อย่าไปซื้อ ก็แล้วกัน เพราะว่ามันไม่ใช่เลขหวย ๑,๒๕๐ ค่าเฉลี่ยของเราได้ พอฟัง ๑,๒๕๐ แล้วนี่ โอ้ โฮ! ชาวอโศกนี่ มีคนแค่ ๑,๒๕๐ เท่านั้นนะ สมาชิก แต่ผลงาน กิจกรรม บทบาท การมีฤทธิ์ หรือว่ามีแรง ที่จะมีผลกระทบต่อสังคม มีอะไรต่ออะไรต่อสังคมนี่ เขาว่า ชาวอโศกนี่ น่ากลัว เขาว่า ชาวอโศกนี่ร่ำรวย แล้วเขาก็รู้ดีว่า ชาวอโศกนี้แน่นแฟ้น เป็นปึกเป็นแผ่น จะสลาย หรือจะทำลาย ไม่ง่ายนัก ผลมันออกไปอย่างนี้ เข้าในประเด็นที่ ๒

ประเด็นที่ ๒. ที่บอกว่า มีการมาปรากฏผล มีการบอกตัวผล ในความหมายของมาฆบูชา นั้นก็คือว่า แต่ละล้วนเป็นพระอรหันต์ แต่ละล้วนนั้นล้วนแต่ เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็คือ คนที่ได้สัจธรรม มาปรากฏ มายืนยันสัจธรรม มายืนยันความจริง มี ๑,๒๕๐ คน มายืนยันความจริง ในสมัย พระพุทธเจ้า มายืนยัน ความจริงได้อย่างนั้น

ทีนี้ในสมัยนี้ อาตมาบอกแล้วว่า เราจะไปเอา ๑,๒๕๐ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่านั้นน่ะ มันไม่ได้ ได้ ๑๒๕ ก็บุญแล้ว แต่วันนี้ มากกว่า ๑๒๕ นะนี่ สี่ร้อยจะถึงไหมนี่ คงถึงน่ะนะ ราวๆ ๓๐๐-๔๐๐ กว่า ๒๕๐ คงถึง ๓๗๕ ประมาณ ๓๗๕ คนคงถึง สิ่งเหล่านี้ นี่เป็นการยืนยันความจริง ไม่ได้นัดหมายนะ วันนี้จะมี มาฆบูชา อาตมาโผล่มาเมื่อเช้านี้ อาตมาโผล่มา ไม่ได้ประกาศล่วงหน้า ไม่ได้บอกใครๆ แต่พวกเราก็มา สดับตรับฟังซับซาบ วันนี้ไม่ใช่วันเสาร์ วันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์ วันนี้วันพฤหัส แล้วบ้าน ของคุณ ก็ไม่ได้อยู่ข้างๆวัด นี่ทุกคนเมื่อไหร่ ไม่ใช่บ้านอยู่ข้างวัดนี่ ก็ไม่ได้ประกาศ ไม่ได้นัดหมาย โดยตรง ไม่ได้บอกเลยว่า วันมาฆบูชา จะมีการเทศน์เย็น ก็บอกเมื่อเช้านี่เองว่า จะมี ๖ โมง แล้วเรา ก็มีมา ได้ประมาณ ๓๗๕ คนนี่มาได้ แล้วคนที่มานั้นน่ะ มันไม่ได้หมายความว่า เอาตัวคน เป็นตัวๆๆ เฉยๆ แต่ละคนๆ นี่มีความเข้าใจ มีความศรัทธา มีความยินดีที่จะมารวม จะมีอะไร ก็ไม่ว่าอะไร หรอก อย่างน้อย อาตมาขึ้นมาแล้ว ก็มาพูดอะไรให้ฟัง ก็แล้วแต่เถอะ จะพูด จะฝอย อะไรไปต่างๆ นานา สารพัดยังไงไม่เกี่ยงละ จะเทศน์เรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยงละ ขอมานั่งฟัง ก็แล้วกัน ขับรถขับรา มาอยู่ข้างนอกโน่น ก็เสียค่ารถค่าอะไรมา บางคนมีงาน มีกิจ ก็บอกว่าไม่ไป จะมานี่ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราก็จะมา สิ่งเหล่านี้ มันถึงแสดงถึงลักษณะจากจิตใจจริงๆ ส่อถึงความจริงอันหนึ่งว่า เห็นความสำคัญ

เมื่อเช้า อาตมาเทศน์ถึงความมีศาสนา อาตมาเทศน์ถึงความเป็นศาสนาในตัวคน มีศาสนาในตัวคน คนมีศาสนาแล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อเช้านี้ก็เทศน์ให้ฟัง คนที่จะมีศาสนานี้ มันจะรู้สึกอยู่กับคำสอน ของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็จะมีกิริยา มีพฤติกรรม กาย วาจา ใจ มีความสัมพันธ์อยู่กับอะไร ต่ออะไร นี่ มันเข้าบทโพธิปักขิยธรรม มีสติรู้ตัวถี่นะ รู้ตัวเสมอว่าเรา จะไปๆมา จะมีอยู่ที่ไหน อย่างไรก็แล้วแต่ กระทบสัมผัสทำโน่น ทำนี่ อะไรอยู่ก็จะรู้จักกรรม มีธรรมวิจัย วิจัยกรรมของเรา กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี แล้วก็วิจัยเวทนา วิจัยอารมณ์ เมื่อสัมผัสแตะต้องกับเรื่องนั้น เรื่องนี้ เราออกมาขึ้นรถเมล์ เดินมาถึง คนเขามองตั้งแต่หัวจรดเท้า เราก็รู้ว่าเขามองเรา บางทีคนมอง ก็เหมือนดูถูก เราก็รู้สึก เวทนาก็รู้สึก รู้สึกอย่างไร แล้วเราก็ปรับความรู้สึกของเราว่า มีวิจัยว่า เออ! เขารู้สึกอะไรกับเรา เขามองเราตั้งแต่หัวจดเท้านี่ เขาคงจะคิดว่าเรานี่เป็นบ้านะ แล้วเราจะปรับใจ อย่างไร มันจะปรับใจ หรือเดินมาก็มาชนกับเขา มาแย่งกันขึ้นรถเมล์ หรือขับรถไป มีคนมาแซง มีคนมาด่า แซง ไอ้บ้า ขับช้าอยู่ได้ อะไร ต่างๆนานาก็แล้วแต่ เราก็ฟังเขา จะรับเขา คำด่า คำอะไรเขา เอามาวิจัย มีสติ รู้ทันอารมณ์ตน จะรู้ว่า เอ๊ ! เรารู้สึกอย่างไรนะ เราควรจะปรับจิต ที่มัน เป็นอารมณ์อย่างนี้ อย่างไร

แม้บางทีเราแพ้นะ แหม ! มันโมโหแล้วก็รู้ตัว อย่างน้อยก็รู้ตัวว่า เรายังมีกิเลสนะ เราข่มไม่อยู่ โกรธแล้วนะ ก็รู้ตัวว่าโกรธ แต่ก็รู้ รู้นะ มีวิจัยอยู่ แต่อดไม่ได้กิเลสมันแรง เราสู้กิเลสไม่ได้ นี่แหละ เราได้ปฏิบัติธรรม เราเป็นคนศาสนา เราเป็นคนที่ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม เราเป็นคนที่ปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ มีสัมมัปปธาน ๔ มีการสังวร มีการระมัดระวัง สังวรปธาน ปหานปธาน พยายามรู้ กิเลส รู้อารมณ์ ก็พยายามเปลี่ยนแปลง สู้อารมณ์ที่มันเป็นโทสะ โลภะ มีความโลภ มีความโกรธ อะไรเกิด รู้เวทนา รู้จิต รู้กาย รู้จิต รู้เวทนา รู้จิต ปฏิบัติรู้นิวรณ์ รู้กาม รู้พยาบาท รู้ถีนมิทธะ รู้อุทธัจจ กุกกุจจะ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น รู้แม้จะรู้ยังไม่ละเอียดก็ตาม ยังรู้ยังไม่ลึกซึ้งก็ตาม แต่มันจะอยู่กับ ตัวเรา เราไปไหนๆ มาไหนๆ เราบางทีมีอะไรพวกนี้ คนที่มีอาการ มีศาสนา มีตัวปฏิบัติธรรม เป็นพระโยคาวจร เรียกว่าเป็นพระโยคาวจร จะมีพวกนี้ นี่คือการปฏิบัติธรรมของ พระพุทธเจ้า นี่คือ ตัวที่เป็นนักวิปัสสนา หรือเป็นนักปฏิบัติธรรม ที่มีตัววิปัสสนา เป็นตัวปฏิบัติธรรม อยู่กับตัวเรา เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ ได้จริงๆ จะได้มากได้น้อย คุณต้องปฏิบัติเอาจริงๆ อย่างนี้นะ เป็นอยู่บ่อยๆ เป็นอยู่เสมอ มีวันเวลา วันหนึ่ง คืนหนึ่ง สองวัน วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงนี่ ที่เรารู้สึกตัว ทั่วพร้อมอยู่ อาจจะไม่ถึง ๒๔ เพราะว่าเรานอนหลับ ไอ้นอนหลับนี่ ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ ไอ้ตื่นๆ อยู่นี่ จะเผลอไผล ล่วงๆหล่นๆบ้าง ก็มีน้อยกว่าที่เรารู้สึกตัวของตัว มันจะรู้ตัวจริงๆ พระโยคาวจร ผู้ปฏิบัติธรรมนี่จะรู้ แล้วก็เราก็จะใส่ใจ รู้สึกพอใจที่จะติดตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า หลักธรรม ยิ่งตัวเรายังไม่มากนี่นะ ยังไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้ามากๆ ยังไม่มีบท พุทธภาษิต หลักเกณฑ์ ต่างๆ นานา ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ล้วนแต่เป็นพุทธภาษิต ที่บอกละชั่ว ประพฤติดี เป็นบทที่ บอกให้ทำในสิ่งที่ดีงาม ประพฤติสิ่งที่ดีงาม เราจะรู้สึกว่า มันน่าใส่ใจ มันน่ารัก มันน่าที่จะได้ รับรู้ รับอ่าน บางทีก็ท่อง บางทีก็จำ จำได้เพิ่มๆ แล้วก็เอามาไว้ที่ตัว เหมือนเราเป็นนักสะสมวิชา นักสะสมตำรา นักสะสมความรู้ สะสมไว้แล้ว

สะสมความรู้นี่ มันมี ๒ ชนิด ชนิดที่สะสมความรู้เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ เพื่อเป็นนักศึกษา ที่มี ความรู้ ทางศาสนานี่ แล้วเราก็จะได้ชื่อว่า เราเป็นผู้รู้ทางศาสนา นี่นะ แต่เขาไม่มี ตัวเป็นพระ โยคาวจร ไม่มีตัวอย่างที่อาตมาบอกว่า เป็นนักปฏิบัติ มีโพธิปักขิยธรรมในตัวเองนี่ มีสติปัฏฐาน ๔ มีสัมมัปปธาน ๔ มีอิทธิบาท ๔ อยู่ในตัว เขาไม่มีสติสัมโพชฌงค์ หรือว่า ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ยังไม่ถึงขีดนี้ เขาจะมีแต่สนใจตำรา แล้วก็เพลิดเพลินนะ สนใจเพลิดเพลินท่องได้ สอบเมื่อไหร่ก็ ได้คะแนนดีๆ ได้เยี่ยม ได้ยอมรับ มีความรู้ แล้วก็แสดงออก ทางโน้นทางนี้ จนกระทั่ง ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้เป็นเจ้าคุณ ได้เป็นอะไร ต่ออะไรต่างๆนานา พัฒนาก้าวหน้า ในการมี ชีวิตอยู่ ได้รับลาภ ยศ สรรเสริญกัน อย่างดีๆ นั่นคือการศึกษา เป็นผู้ที่ใฝ่หา ความรู้ชนิดหนึ่ง เหมือนกัน มีเยอะ ส่วนผู้ที่ ใฝ่หาความรู้อย่างที่อาตมาอธิบายไปแล้ว เมื่อกี้นี้ ก่อนนั้นน่ะด้วย แล้วก็มีตัวที่ปฏิบัตินี้ด้วย เป็นพระโยคาวจรที่แท้ มีโพธิปักขิยธรรมอยู่กับตัว อยู่กับชีวิต จะมีมากใน วันๆ หนึ่ง จะมีอยู่กับตัว เราจะมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ว่าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ยิ่งใหม่ๆ ยิ่งจะรู้ตัวง่าย ยิ่งใหม่ๆ นี่ โอ้โฮ! เรารู้สึกว่า เรามันอยู่กับธรรมนี่ ไปไหนมาไหน ก็รู้สึกว่า เราได้ พอเวลาแก่วัด เสียอีกนี่ เหมือนกับตัวไม่ค่อยมีแล้ว เอ๊ ! ไม่ค่อยรู้ตัวทั่วพร้อมแล้ว ไปตามเรื่องตามราว ปล่อยๆ ปละ ละเลยไปเยอะอย่างนั้น เสียด้วยซ้ำไป ถ้าแก่วัด หรือเป็นผู้ที่ไม่สังวร เป็นผู้ที่ไม่ใส่ใจที่จะต้องให้ มีโพธิปักขิยธรรมอยู่กับตัว ผู้นั้นก็จะประมาท หลุดๆล่อนๆ ไม่ค่อยทรงสภาพนี้น่ะ แต่ถ้าผู้ใดยังทรง สภาพนี้อยู่จริง แล้วก็มีจิตใจนี้น่ะเบิกบาน ร่าเริง บันเทิงใจกับ คุณภาพอันนี้นี่ คุณภาพอันที่เรา จะมีโพธิปักขิยธรรมอยู่กับเรานี่ มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นผู้ที่ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม รู้จักกาโย องค์ประชุม คำว่าองค์ประชุม คือสิ่งที่อยู่กับตัวเรา รอบๆนี่ สัมผัสสัมพันธ์อยู่นี่

ถ้าคนที่มีปฏิภาณน้อย ก็จะนับองค์ประชุมอยู่ใกล้ๆ ถ้าคนที่มีปฏิภาณมาก ก็จะมีกระแสสัมพันธ์ ขยายออกไปไกล ออกไปต่อ ต่อออกไปตามที่ผู้ใดจะมีปฏิภาณ ปัญญา มีญาณลึกซึ้ง มีญาณไกลได้ องค์ประชุมอยู่นี่ เช่น เรานั่งอยู่ที่นี่ มีใครอยู่บ้าง แม้เรานั่งอยู่กับใคร เราก็มีสติสัมปชัญญะ รู้แต่ละคน แล้วศาสนาพุทธนี่ ไม่ใช่ศาสนาที่บอกว่า ไม่รู้จักคนอื่น ศาสนาพุทธนี่ จะพยายามรู้จัก คนอื่น แล้วจะมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น ที่ท่านบอกว่า มีเจโตปริยญาณ จะรู้ใจคนอื่น แล้วเราก็ จะต้องพยายามมี มัตตัญญุตา เป็นสัตบุรุษ มีการประมาณว่า เออ! คนนี้เขานะ ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้บุคคล คนนี้เขาอย่างนี้นะ คนนี้นี่ขี้งอน คนนี้ขี้ยึด ขี้ติด ไอ้ ความไม่ดี เขาเรียกว่า ขี้ สิ่งที่ดี เขาเรียก แก้ว เพราะฉะนั้น ยึดนี่ เขาก็เรียกว่าขี้ยึด ขี้งอน งอนๆมากๆ เขาก็ไม่ต้อง เรียกมากหรอก เรียกขี้งอนเท่านั้น ก็ใช้ได้ รู้แล้วว่า นี่งอนมาก งอนเป็นขี้ เลย มีความใช้ไม่ได้ ที่มันไม่ดีมากๆๆ เขาก็เรียกว่าขี้ ขี้งอน ขี้เหนียว ขี้ติด ขี้ยึด อะไรต่างๆนานานี่ ขี้โกรธ ขี้โลภ เขาไม่เรียกแก้วโลภ เขาไม่เรียก แก้วโกรธ เขาไม่เรียก เขาเรียกขี้ ตัวไม่ดี มันมีมากๆ เขาเรียกขี้ ภาษาไทย เลวเขาเรียก ขี้ ดีเขาเรียกแก้ว

เราจะรู้คนอื่นเขา แล้วเราก็จะประมาณ เออ ! เขาดีของเขา เขาเป็นของเขา เราต้องเข้าใจเขา เราจะมีปัญญาอย่างไร ที่จะทำให้เขาลดลงได้บ้าง มีวรยุทธที่จะทำให้เขาลดได้ ถ้าลดไม่ได้ เราก็ต้อง อนุโลมให้เขา แล้วก็ปล่อย เออ ! อย่าถือสาเขา เขาย่อมเป็นเขา เขาขี้งอน เออ ! ก็ขี้งอน เราช่วยเขาไม่ได้ ก็อย่างนี้น่ะ เราอย่าไปตอแย อย่าไปเที่ยวได้ทำอะไรให้มันเกิด กระทุ้งกระเทือน อะไรกันมากนัก แล้วมันจะไม่สงบ อย่างนี้เป็นต้น จะรู้จักผู้อื่น อยู่กับผู้อื่นอย่างประสานมิตรดี ศาสนาพุทธไม่ใช่ว่า ช่างหัวเอ็ง ข้าคือข้า ไม่เกี่ยว ตัวใครตัวมัน ไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่เรื่องของ ตัวใครตัวมัน ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของ ความประสาน เป็นภราดรภาพ ซึ่งมีฝีมือในการประสานมาก มีฝีมือ จึงเกิดสันติภาพอยู่ได้

คุณจะหาคนในสังคมนี่ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวมกันอยู่ไม่มีหรอกในโลก พระโสดาบัน ไม่ได้หมายความว่า คนหมดความโกรธ ความโลภ พระโสดาบันนี่ไม่ใช่นะ เพราะฉะนั้น สังคมนี่ ไม่ได้หมายความว่า สังคมมีแต่นักบวช มีแต่พระอรหันต์ ไม่ใช่ สังคมไม่ใช่มีแต่นักบวช สังคมมีทั้ง ฆราวาส มีอุบาสก อุบาสิกา และในอุบาสก ในอุบาสิกานั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า มีแต่พระอรหันต์ ทั้งหมด มีโสดาบัน และโสดาบันก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ใช่ เป็นผู้ที่รู้จักความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว แล้วก็มีทิศทาง ที่แน่นอน รู้จักวิธีปฏิบัติ ที่แน่ใจว่า คนนี้มีมรรค มีทางเดินที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่ไม่มีทาง ที่จะไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ในอนาคต มีความรู้ทางที่แน่ชัด รู้ทางที่แน่ชัด ยังไม่รู้ภูมิตัวทั้งหมด เท่านั้นเอง ยังไม่รู้กิเลสของตัว ทั้งหมด ยังไม่รู้ ภูมิของตัวทั้งหมด แต่รู้แล้วว่า ทางปฏิบัติอย่างไร จึงจะไปสู่ ความเป็นพระอรหันต์ รู้แล้ว แล้วก็ได้ปฏิบัติลงไปแล้ว ถ้ารู้เฉยๆ ยังไม่ปฏิบัติ ก็จะมีเล็กๆน้อยๆ ยังไม่รับรองว่าเป็น พระโสดาบัน พระโสดาบัน ที่เป็นโสดาปัตติมรรค ยังไม่มีการเดินทางไป ถึงครึ่งทาง ยังไม่มีมรรค ที่เป็นผลนี่นะ

ที่จริงมรรคก็คือ ทางเดินที่เดิน สมมุติว่า ทางเดินร้อยกิโลนี้ เป็นถึงผลของ พระโสดาบัน เรายังไม่ได้ เดินมาถึงห้าสิบกิโลล่ะ เราเดินมาได้บ้าง ๑๐ กิโล ๒๐ กิโล ถูกทางแล้วนะ แต่ยังไม่มีผลถึงการเดิน นี่ถึง ๕๐ กิโล ครึงหนึ่งนี่ ยังไม่ถือว่า เป็นผู้ที่ถือว่าเข้าข่ายผล แต่มีผลล่ะ ได้เดินแล้ว ได้มีมรรคผล ได้สารัตถะของศาสนา ที่ปฏิบัติลดละจางคลายโลภ โกรธ หลง ลด ละอะไรที่มันเป็นโลกียะ ซึ่งเป็น ความสุข ความทุกข์ ของโลกๆ โลกียะ จะเป็นระดับต่ำ ตั้งแต่อบายมุขมาก็ตาม เราได้เลิก เราได้ละ มาจริงๆ เราได้รับผลอันนั้น อย่างมั่นใจ เป็นผลที่เรารู้ว่า นี่เป็นโลกุตรผล เป็นผลแห่งการเลิกละลด หน่าย คลาย จิตหมดโลภ หมดติด หมดยึดอร่อยโลกียะ ได้ดับโลกอย่างนั้นมาจริงๆ แม้ในตัวเราเอง นี่มีในระดับขีดสมมุติว่า อบายมุขนี่มี ๑๐๐ หน่วย เราก็ไม่ได้ทำไปหมด ที่จริงอบายมุขควรจะหมด ในโสดาบัน อบายมุขนี่ควรจะหมด แต่เราก็ยังไม่หมด เรายังมีกิเลสกาม กิเลสโลกธรรม กิเลสความโลภ โกรธ ในกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วก็ในเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรอีกตั้งเยอะแยะ อัตตามานะ มีอีกมากมาย เพราะฉะนั้น พระโสดาบันนี่ จะได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น และรู้แน่ๆเลย อย่างนี้เป็นอารมณ์ของจิตสงบ อารมณ์ของโลกุตรภูมิ อารมณ์ของโลกุตรจิต จะรู้ สภาพ แล้วก็รู้อารมณ์ มั่นใจแล้ว่า รสนี้เป็นวิมุติรส รสนี้เป็นธรรมรส เป็นรสสงบอย่าง พุทธศาสนา ไม่ใช่รสอย่างฤาษีนะ

รสอย่างฤาษีนั้น นั่งสะกดจิตเอา แล้วก็ว่าดับไปเฉยๆ ปั้นรูปล่อตัวเองไว้เป็น มโนมยอัตตา ขึ้นสวรรค์ ลงนรก เล่นอะไรต่ออะไรต่างๆนานา อย่างที่เขาเล่นน่ะ ยังมีคนสงสารอาตมาเลยว่า อาตมานี่ ควรจะต้อง ไปนั่งหลับตาอย่างธรรมกาย ไปนั่งหลับตาอย่างสายโน้นบ้าง จะได้เจริญทางธรรมบ้าง ก็มีคนเขียนจดหมาย มาบอกอาตมาอยู่ ให้อาตมาต้องพยายามไปอะไรต่างๆนี่ อาตมาก็เพิ่งอ่าน จดหมายเขา เขาเอามาให้ดู วันนี้บอกว่า จะได้เจริญทางธรรมบ้าง เขาก็หวังดีนะ เขาก็เข้าใจว่า อาตมานี่หลงทาง แล้วเขาเองน่ะ เขามีทาง เขานั่งสะกดจิต เขานั่งทำอะไรพวกนี้ มีมโนมยอัตตา มีสวรรค์ มีนรก มีอะไรต่ออะไรต่างๆนานา เขาก็มั่นใจของเขานะ อาตมาก็เข้าใจนะ เขามั่นใจ ของเขาจริงๆ แต่ที่อาตมานำมาเปิดเผย และนำมาให้พวกคุณ ไปพิสูจน์นี่ อย่างที่อาตมากำลังเล่า กำลังบอกนี่ แต่ละคนต้องรู้ของตนๆ มีสภาพรู้ ว่า อ้อ วิมุติรสเป็นอย่างนี้ ธรรมรสเป็นอย่างนี้ แล้วคุณก็จะมีสภาพ ที่ได้อันนั้นพอเพียง อย่างมั่นใจทีเดียวว่า ทิศทางอย่างนี้ เราแน่ชัด เราไม่ไปอื่นล่ะ ถึงแม้ว่าจะมีกิเลสมาก ก็จะออกไปที่อื่นบ้างก็ตาม คุณไปแล้ว คุณก็จะระลึกถึงว่า อันนี้มีน้ำหนักที่แน่ชัด ยังไงๆ ไปโน่นก็ยังระเริงไปตามกิเลสน่ะ โสดาบันก็ตาม

บอกแล้ว โสดาบันก็ยังมีกาม ยังมีโลกธรรม ยังหลงไปในลาภ ในยศบ้าง หลงไปในกามบ้าง อะไร ก็ยังมี แล้วก็ไม่ต้องไปมีมากนักหรอก อย่าบอกว่าไม่เป็นไรหรอก นางวิสาขายังไปมีลูกมีเต้ามาตั้ง ลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ ใครจะไปมีเอาให้เท่านางวิสาขานะ น้อยกว่านั้นไม่ควร ใครจะเอามั่งๆ อยู่นี่ก็เชิญ ถ้าไปแล้ว ไม่แน่ใจว่า จะได้ลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ แล้วอย่าไป เดี๋ยวมันมาไม่ได้ แต่ถ้าคุณไปมี ลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ อาตมาเชื่อว่าจะคิดถึงอาตมา ยิ่งยุคกาลนี้แหละ จริงๆ ถ้าจะไปแต่งงานแล้วไปเชียว แล้วมีให้ได้ มีลูกหญิง ๑๐ ลูกชาย ๑๐ ให้ได้เชียว แล้วอาตมารับรอง จะนึกถึงอาตมาจริงๆ ไม่ต้องกลัวล่ะ แน่ๆเลย ยุคกาลสมัยนี้ มีลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ ดูเถอะ ผีมาเกิดไม่ใช่น้อย ลูก ๑๐ คนนี่ อาตมามั่นใจ ลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ นี่ผีอยู่ในนั้นไม่ใช่เบา เพราะทุกวันนี้ คนมันเยอะแล้ว ผีมันเยอะมาเกิด มันเสี่ยงมาก การมีลูกนี่เสี่ยงมาก เพราะว่า วิญญาณเทวดามาเกิด มันน้อยแล้ว เดี๋ยวนี้มันมีแต่ผีกันทั้งนั้น นี่พูดอย่าง เราๆนะ คนข้างนอก เขาฟังรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องยังไง อาตมาไม่มีปัญหาหรอก พวกคุณฟัง อย่าให้มันเป็นเรื่องบ้าๆบอๆ ไปก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจชัดๆน่ะ เพราะคนเรานี่มีวิบาก ของแต่ละคนใช่ไหม แล้ววิบาก พวกนั้นน่ะ มันมาเกิดเข้ามา มันบอกไม่ได้หรอก ใครได้อย่างไรก็ตามวิบาก

ถ้าเผื่อว่า เราปิดประตูพวกนี้ มันจะได้ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรมากเกินไปนัก ก็อย่าไปเปิดประตู ถ้าเรา มีทางปิดประตู ในสมัยนี้ปิดประตูได้เลยนี่ ไม่ต้องไปหรอก พรรคพวกก็มี หมู่ฝูงก็มี เพราะฉะนั้น ในเรื่องของโสดาบัน เราเข้าใจไม่ค่อยถูกกันทุกวันนี้ ในศาสนาพุทธ นึกว่า เป็นพระโสดาบัน เข้าใจเลยเถิด เข้าใจสูงไป เมื่อคนเข้าใจในฐานต้นนี่ สูงเกินไป เกือบๆ จะเป็นอย่างนี้ เขาเข้าใจว่า โสดาบันนี่ เหมือนกับคุณลักษณะของพระอรหันต์ แล้วคนเราเข้าใจผิดอย่างนี้ แล้วจะเจอ พระโสดาบันเหรอ ก็เพราะเขาจะเอาคุณภาพ ในระดับพระอรหันต์ มาเรียกว่าโสดาบัน เขาจะไม่เจอ เขาจะเอาไม้บรรทัดอันนั้น มาคอยวัดอยู่เรื่อย นี่ยังไม่ใช่โสดา ไม่ใช่โสดา เพราะขนาดยังไม่ถึงอรหันต์ ตามที่เขาหมายนะ เขาก็เรียนมา ยังไม่ถึงโสดา มันยังไม่หมดตัว ละสักกายสังโยชน์ นี่ ต้องละตัว ละตน หมดตัวหมดตน ยังมีตัวมีตน นี่ยังไม่ได้โสดา คนเหล่านี้ น่าสงสาร เพราะฉะนั้น พระโสดาบัน เขาก็ไม่เจอ เพราะเขาตั้งจิตไว้ผิด ประเมินค่าไว้ผิด ไม่เจอ เขานึกว่า คุณลักษณะ มันขนาดอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อคนเราไปผิดอย่างนี้แล้ว ต้นไม่มี ไม่ต้องพูดถึงปลาย ต้นไม่เคยเกิดเลย แล้วจะเอาปลายที่ไหนมาเกิด ไม่เกิดไม่มี

ทีนี้ความจริงของคนที่ ไม่ผิดระดับนี่ เราจะรู้ โสดาบันมีขนาดไหน อาตมาก็พยายามบอกขนาด อธิบาย พวกเรามาศึกษากัน แล้วก็จะเข้าใจ ที่อาตมาเน้นวันนี้ ก็เน้นให้รู้ว่า ตรวจตนเอง เราเองว่า เรามี ธรรมรส วิมุติรส แม้ว่ามันยังจะไม่สนิทเด็ดขาด แต่มันสงบระงับ ที่คุณมั่นใจตัวเองได้ ไว้ใจตัวเองได้ว่า อบายมุขอย่างนี้ เราเคยติด โดยเฉพาะ ยิ่งเราเคยติดมาแล้วนี่ มันจะยิ่งชัด แม้คุณ จะไม่ติดมาก่อน แต่คุณก็แน่ใจ ด้วยปัญญาอันยิ่ง แน่ใจด้วยเจโต จิตของคุณเลยว่า โอ้ ! ไอ้นี่ เราไม่เคยติดมาเลย แล้วเราก็ไม่ติด เป็นอบายมุขอย่างนี้ๆ นี่คุณได้ฟรีมาแล้ว

เรามาตรวจจริงๆ คนที่แม้ว่าตัวเองนี่ไม่ติดอบายมุขเป็นต้น เราก็ไม่ได้ติดมา เราก็ไม่ต้องล้าง แต่เราได้ฟรี เราได้มาแล้ว คนเรานี่มีบุญบารมี มีวิบาก มีสิ่งที่เราเคยได้ เคยเป็น เคยมี อาตมาเคยเล่า ให้ฟังว่า อย่างอาตมานี่ พยายามที่จะไปเป็น อย่างคนเขาเป็นน่ะนะ คนโลกๆ เขานี่นะ เหมือนกับ อาตมา เคยใช้ศัพท์ว่า มันเหมือนลิงลมอมข้าวพอง มาโลกีย์เขาก็มอมเมาเรา มาเป็น อย่างโน้นซิ แมน เขาเป็นอย่างนั้นน่ะ ที่จริงมันไม่ใช่แมนหรอก มันถูกหลอกไป อะไรนี่ มันจะต้องไปเต๊ะท่า เป็นแมน ที่เขาว่า ผู้ชายมันต้องเผด็จศึกผู้หญิงเก่งๆ อะไรอย่างนี้นะ อาตมาว่า เอ๊! เราทำไม เผด็จศึก ผู้หญิงไม่เป็นว้า มันน้อยใจเหมือนกันนะ เรารู้สึกว่าน้อยๆ ต่ำต้อยเหมือนกัน เผด็จศึกผู้หญิง ไม่เป็น เหมือนเขานี่ แหม ! เราไม่แมนนี่นะ เขากล้า แต่ก่อนไม่มีโรงอาบอบนวด โรงโสเภณีโดยตรงเลยละ เขากล้าไป เอ๊! ไปดูกับมันบ้างนะ ไปก็ไปแอบดู เขา เอ๊! เราทำไมมันไม่แมน เหมือนเขาเลย เขามันยังไงนะ มันอย่างนี้จริงๆนะ แล้วอาตมาก็ไม่มีใครมาบอกหรอก เราก็ช่างมันเถอะว้า เราไม่เป็นไม่เก่ง ก็ช่างหัวมันเถอะ แต่ทำทีเป็นเก่ง เป็นเต๊ะท่าเหมือนกันนะ เต๊ะท่า ปิดบังเขาไป ไม่ไป มาคุยโขมงโฉงเฉง บางทีก็กล้อมแกล้มไปกับเขา อย่างนั้น แต่ตัวเอง ไม่ได้ไปเป็น ที่อย่างเขาเป็น หรอกนะ อย่างนี้ เป็นต้น หัดกินเหล้า หัดสูบบุหรี่ หัดโน่น หัดนี่ อบายมุขต่างๆนี่นะ หัดเล่นไพ่ โอ้! เล่นไพ่นี่ เขาเรียกว่าตือสนาม เล่นฉิบหายมากมาย เพราะว่า มันตือสนาม เขาเรียกว่าหมู หมูสนาม คือภาษาจีน แปลว่าหมู หมูสนาม เล่นก็เสียกันเรื่อย อาตมานี่เสียเรื่อยนะ เราก็เล่นกับเขา เล่นอะไรก็แล้วแต่เถอะ การพนันไอ้โน่น ไอ้นี่อะไรต่างๆนานา ก็พยายามเล่นกับเขา กินเหล้าเมายา ก็พยายามกินกับเขา ไม่ติด ไม่เป็นแมนเลย ไม่เก่ง มันรู้สึกต่ำต้อย เหมือนกันนะ น้อยใจเหมือนกัน นี่มันคิดไม่เป็นเห็นไหม

เดี๋ยวนี้ล่ะเหรอ อ๋อ ! เรานี่มันเข้าใจแล้วละ รู้จักสัจธรรมแล้วละ เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่เป็นอย่างเขา น่ะนะ อย่าได้ไปเสีย น้ำใจเลย อย่าได้ไปน้อยหน้าน้อยตาเลย ไอ้คนที่ไปเป็นน่ะซี แหม! เรานี่มันก็โง่นะ ไม่ต้องไปให้เขาหลอก ตัวเองไปหลอกเขาเสียอีกน่ะ เพราะฉะนั้น รู้ตัวซะ เลิกซะเถอะ ปรับปรุงตัวมาๆ นี่ เราจะต้องรู้ตัวเราเอง ชาตินี้เราไม่ได้ไปตกต่ำ เราไม่ได้ไปติดอบายมุข ไม่เห็นต้อง ไปเลิกเลย ไม่เห็นต้องติดเลย ดี มันมีของตัวของตนมานั่น มันเป็นบุญ สะอาดบริสุทธิ์มาได้เท่าไหร่ ยิ่งดี ยิ่งดี ไม่ต้องแปดเปื้อนอบายมุขมาได้ยิ่งดี ต้องรู้ตัวเอง ตรวจ แล้วเราก็จะรู้รส รสที่เราไม่เคย ไปติดมานี่ มันก็ว่างๆ อย่างนี้ เขาอร่อย มันไม่เห็นอร่อย ตรงไหนเลย อย่างผู้ชายนี่ถาม ทาลิปสติกนี่ อร่อยไหม ไม่เคย เอ้า ! นึกๆ ซิ มันอร่อยอย่างไร นึกออกไหม ทาลิปสติกนี่มันอร่อย แหม ! เพลิน มันชื่นใจ มันได้นึกออกไหม ไม่ออก นั่นแหละ คุณไม่มีกิเลสตัวนี้ ไม่มีรสอร่อยอันนี้ ไม่มีความสุข ความทุกข์อันนี้ ไม่ได้ทาลิปสติกทุกข์ไหม ได้ทาลิปสติกสุขไหม ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ขนาดนี้ยังอย่างนี้ เคยทาลิปสติกไหม ไม่ได้ทาลิปสติก เคยทุกข์มีไหม พอทาลิปสติกเคยสุขมีไหม ชอบ แอ๊คด้วยใช่ไหม เป็นรส นั่นแหละ คืออัสสาทะ คือ รสโลกีย์ มันก็เป็นรส คนที่ไม่มีรส มันก็ไม่มีรส

อย่างที่ถามนี่ อาตมาเจตนาถามให้ฟัง เคยกินเหล้าไหม แล้วเวลาทุกข์ เพราะไม่ได้กินเหล้ามีไหม ได้กินเหล้า เข้าไปแล้ว มันก็สุขดีอร่อยดี มันดี มีไหม ไม่มี นั่นแหละ มันก็เฉยๆ เอ๊! มันเป็นยังไง เรานึกไม่ออกด้วยซ้ำไปว่า มันเป็นยังไง มันกินเหล้า แล้วมันก็สุขดี อร่อยดี มันดีเพลิดเพลินดี มันเป็นยังไง มันนึกไม่ออกใช่ไหม คนที่ไม่เคยน่ะ แล้วก็ไม่เคยเอาจิตไปนึก เอาจิตไปลอง เอาจิต ไม่เคยนี่ คุณก็ไม่มี คุณก็ได้เปล่า แล้วเราไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก มันไม่ได้สุข ไม่ได้ทุกข์ อะไร เฉยๆ ไม่ติด คุณได้แล้ว ของใครๆ เกิดมาเป็นผู้หญิงก็ของอย่างผู้หญิง เกิดมาของผู้ชายนี่ อาตมา พยายามสมมุติ ของผู้หญิง ผู้ชายให้มันชัดเท่านั้นเอง มันก็ติด ของผู้หญิงก็ของผู้หญิง ของผู้ชายก็ของผู้ชาย โลกมันหลอกเรา ทั้งนั้นแหละ

สมัยโบราณนะ สมมุติสมัยโบราณให้ฟัง คุณเดาๆไปสำหรับคนสมัยใหม่ คนเก่าๆแก่ๆ พอจะตามได้ สมัยโบราณนี่ เขาไม่ได้หรอก คนแก่มีไหม ที่แก่มาแล้ว จนสมัยนี้ ไม่เคยทาลิปสติกมาเลย ตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งโต แก่เดี๋ยวนี้ ไม่เคยทาลิปสติกนี่มีไหม ไม่เคยสุข ไม่เคยอร่อยกับลิปสติกเลย มีไหม ไม่รู้ด้วยเหรอ เอ้า! โยมพลอยบอก ไม่รู้ด้วยลิปสติก ไม่เคยสุข ไม่เคยทุกข์กับลิปสติกเลยใช่ไหม ไม่เคย นั่นสมัยก่อนนี้ ยิ่งคนแก่เขาไม่มี เขาก็ไม่หลงมอมเมา คนยุคโน้นก็เฉยๆ จริงๆแล้ว จะบอกให้ คนทาลิปสติกนี่ เขาบอกว่า เป็นพวกผู้หญิงหากินด้วย แต่ก่อนๆ ว่าไหมโยมพลอย เคยได้ยินไหม คนที่เขาทาลิปสติกนี่ เขาบอกว่า เป็นผู้หญิงหากิน ใช่ โยมพลอยบอกว่าใช่คะ แต่ก่อนนี้อย่างนั้น เดี๋ยวนี้ ยอมรับว่า เข้าที่สังคมไป อะไรต่ออะไรไป จะบอกว่าหากิน ไม่หากินเท่ากันเลยเดี๋ยวนี้น่ะ อาตมาก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ประเดี๋ยวจะหาว่า มาว่า (หัวเราะ)

เอาละ ก็ขยายความตื้นๆ หรือหยาบๆ ขึ้นมาพอเป็นตัวอย่าง เป็นรูปธรรม ที่เห็นชัดเจน ทีนี้ก็เข้าหา เนื้อแก่นต่อว่า ในคนที่ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว รู้จักปรมัตถธรรม รู้จักเนื้อหา โสดา สกิทา อนาคา โลกที่อาตมา พยายามแบ่ง พยายามที่จะอธิบายตัดเกรดในขนาดของโสดา สกิทา อนาคา อะไร ให้ฟัง ที่จริงน่ะ โสดาบัน ไม่ใช่มาละอบายมุขอย่างเดียว ละความโลภ ความโกรธ ที่ไปสัมพันธ์กับ โลกในระดับของกาม ในระดับของโลกธรรม ในระดับของอัตตามานะด้วย เช่น ยังมีอัตตามาก จัดจ้านอยู่ ก็เป็นโสดาบันไม่ได้หรอก อัตตามานะยังหยาบอยู่ ก็เป็นโสดาบันไม่ได้ ต้องลดอัตตา มานะลง ประมาณหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ใช่หมด ส่วนอบายมุข นี่ต้องขาดน่ะ ถ้าจะเอาโสดาบัน ที่แท้นี่ จะต้องเอาเกรดนี้ อบายมุขในระดับที่เราเข้าใจง่ายๆนี่ พวกอบายมุข ทั้งหลาย หยาบๆ นี่ขาด ความหลงกาม กามไม่จัดจ้าน กามไม่หยาบคาย ก็กามอยู่ในระดับหนี่ง ของโสดาบัน จะต้องขาด กามหยาบจัดจ้าน ในกาม ในราคะ ในโทสะ โทสะหยาบๆ กามหยาบๆ พยาบาทหยาบๆ กามหยาบๆ ต้องลด หลงในลาภในยศ ในสรรเสิรญในขั้นหยาบ เพราะฉะนั้น ในการที่จะไปตะกละตะกลามลาภ จะไปทุจริตในลาภ โสดาบันไม่ทำแล้ว โดยเฉพาะ ทุจริตไม่ทำ ไปทุจริตหยาบๆ ทุจริตใหญ่ๆ ทุจริตที่มันตีกลับนะ มันตีกลับ ถ้าเผื่อว่าให้โกงห้าร้อย ไม่โกง ทุจริตนะ

แต่โกงห้าล้านล่ะ เอ๊! โสดาบัน บางทีก็ไหวหวั่นนะ ๕๐ ล้านล่ะ โสดาบันก็โส ก่อนเถอะ ภาษาอีสาน โสนี่ หมายความว่า เสี่ยง ยอม โส นี่นะ เสี่ยง ยอมเสี่ยง โส คือยอมเสี่ยง เอาละ บาปก็บาปก่อน ละวะ ๕๐ ล้านนี่หว่า แต่ถ้าห้าบาท ห้าสิบบาท ห้าร้อย โสดาบันไม่เอาหรอก (ผู้ฟังหัวเราะ) โสดาบัน ระดับขี้หมาหน่อยน่ะ โสดาบันขึ้นแม้ห้าพันก็ไม่เอา โสดาบันดีขึ้น ห้าแสนก็ไม่เอา โสดาบันดีขึ้น ห้าล้านก็ไม่เอา เอาละ ต่อไปก็ไม่ต่อละ อธิบายเอาเอง อย่าไปทำก็แล้วกัน ความโลภนี่ ในหยาบๆ นี่ต้องไม่มี โสดาบัน ความแค้น พยาบาท โกรธเคือง ที่จะทำหยาบคาย ก็ไม่ต้องไม่มี ในลาภ ในยศ ก็เหมือนกัน สรรเสริญก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อบายมุขนี่ขาด แต่สิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่นะ โลภในลาภ ที่ยังโลภอยู่ โสดา โลภในยศ ในสรรเสริญ ก็ยังโลภอยู่ แต่ในทุจริตนี่ ถ้าเผื่อเราแน่ใจของเรา คือเรา ไม่ทุจริตเลย ไม่ว่าจะกี่ล้าน กี่แสน กี่ยศ ชั้น สรรเสริญอะไร ขนาดหนักๆ จะไปทำอย่างทุจริต หมายความว่าอย่างนั้น โสดาบัน จะต้องไม่ทำ ให้เราแน่ใจอย่างนี้แล้ว เราจะมั่นใจว่า เออ! อย่างนี้ จิตใจของเราไม่แล้ว อาจจะวูบวาบ แต่ว่ากล้าทำลงไป เป็นรูปธรรมจริงๆ ไม่ละ ใจมันอาจจะมีกิเลส แต่ทำลงไปโดยเป็นรูปธรรม ไม่กล้าทำชั่ว อย่างนี้น่ะ จะไปทุจริตเพื่อลาภ เพื่อยศ โสดาบันไม่ทำ อย่างนี้เป็นต้น ตัวทุจริตไม่กล้าทำ

เราต้องพยายามอ่านอาการ อ่านอารมณ์ อ่านจริงๆ แล้วคนเรา จะรู้ชัดเจนว่า นี่คือ คุณค่าของ ความเป็นมนุษย์ ความประเสริฐ เป็นสมบัติอันแท้ โสดา สกิทา อนาคา เพราะฉะนั้น เราปฏิบัติ อย่างที่อาตมากล่าวแล้วเริ่มต้นมา เราจะมีตัวปฏิบัติ เราคิดไปเรื่อย มีโพธิปักขิยธรรม มีสติรู้ตัว ทั่วพร้อม ปรับปรุงตนเองไป ปรับปรุงกาย วาจา อย่างนี้ รู้ว่ามันไม่ดี ไม่งาม กรรมกิริยาอย่างนี้ ไม่ดี ไม่งาม ปรับใจเรานี่ จะปรับทั้งโลก ปรับทั้งธรรม กิเลสลาภ ยศ กิเลสโลภ โกรธ หลง ที่ประกอบ ไปด้วย การทำกิจ ทำการ ทำงานต่างๆนานา มันจะค่อยๆซึม ค่อยๆสูง ค่อยๆชัดเจน ค่อยๆเป็นไป ลำดับๆ สูงขึ้นเรื่อยๆๆ อย่างจริง ตัวคนต้องรู้ของตนๆ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ

ที่อาตมาต้องขยายความเหล่านี้ เพื่อที่จะเอามาถามพวกคุณ ในประเด็นที่ว่า มีของจริง มีความจริง นี่ขยายความ เนื้อหาของปรมัตถ์เหล่านี้ นี่ ไม่ได้พูดถึง อรหันต์นะ ต้องมีอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปนั้นน่ะ อาตมามิบังอาจแล้วละ มิบังอาจแน่ๆแล้วละ แต่เราจะเอาความจริงของโลกุตรธรรม วันมาฆะ อย่างนี้ อาตมาพูดไปนี่ คุณก็นั่งฟัง ๑๒๕ คนนี่ ฟังแล้วชัด โอ้! อย่างนี้ นี่เราผ่าน วันนี้เหมือนกับ สอบนะ อาตมาก็ทบทวน คุณก็บุพเพนิวาสานุสสติ ระลึก ระลึกชาติ ระลึกตามที่อาตมาเทศน์ อาตมาพูด ก็ระลึกตาม อ๋อ! อย่างนี้ เราทำมา บางคนมาแล้วหลายปี แม้ไม่หลายปีก็ตาม อย่าไปดูถูก ดูแคลนกันว่า เฮ้ย! ไอ้คนนี้เพิ่งมาไม่กี่เดือน เรามา ๗ ปีแล้ว ยังโซดาอยู่เลย เรามา ๗ ปี แล้วยังโซดา เฮ้! อะไร จำนวนผู้ที่มาร่วมงานทั้งหมด ทั้งในและนอกศาลา ๓๗๕ คน เป็นไปได้ยังไง โมเมหรือเปล่า นับจริงหรือเปล่า มีสมณะ ๒๗ สมณุทเทส ๒ สิกขมาต ๙ รูป จำนวนผู้มาร่วมงาน ทั้งหมด ทั้งใน และนอกศาลา ๓๗๕ โมเมเหรือเปล่า ทำไมมันตรงเลขนักล่ะ

นี่ อาตมาไล่พื้นฐานตั้งแต่โสดา อาตมาขอของจริงๆ แล้วเรารู้ เป็นปัจจัตตังนะ รู้โดยตนของตน มีเวทิตัพโพ วิญญูหิ หมายความว่ามีธาตุรู้ เวทิตัพโพ คือความรู้ ญาณทัสสนวิเศษ เป็นบัณฑิต เสียเอง เวทิตัพโพ วิญญูหิ มีธาตุ วิญญู มีธาตุรู้ของตน ตนเองเป็นวิญญู เป็นบัณฑิตเสียเอง เราต้องรู้ของตนๆ ไม่ใช่ให้ใครมาสอบญาณ โอ้ ! นี่ญาณ ๒ นี่ญาณ ๕ ญาณ ๘ ญาณ ๑๖ ไอ้นั่น อย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ใช่ นั่นออกนอกทางหมด พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเลย อย่างนั้นน่ะ แต่มันก็เป็นของมันเอง มากันใหญ่เลยทุกวันนี้ มีสภาพสอบญาณ สอบอะไรต่างๆ นานา อาตมาพูดไปแล้ว ก็ไปพูดเหมือนกับไปแว้ง ไปว่าคนอื่นเขาอยู่เรื่อยน่ะนะ ที่จริงไม่ได้ไปแว้ง ไปว่าหรอก เขาเป็นอย่างนั้นมา หมายความว่าอย่างนั้น มันไม่ถูกทาง แล้วอย่างนี้มันถูกทาง ก็พยายามยืนยัน กับพวกเราให้ฟัง

เพราะฉะนั้น อาตมาพูดอยู่เดี๋ยวนี้นี่ พวกคุณก็ระลึกถึงตัวเองแต่ละคนๆ ว่า


(อ่านต่อ หน้าถัดไป)
สัจจะมาฆบูชา / FILE:1664A.TAP