ทำอะไรวันเกิด
ธรรมะก่อนฉัน
๕ มิถุนายน ๒๕๓๔
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์

ทำอะไรวันเกิด ก็ต้องทำชีวิตให้เป็นสุขที่สุด ฟังดีๆนะ ใช่มั้ย วันเกิดก็ต้องทำชีวิตให้เป็นสุขที่สุด อาตมาก็ต่อ อีกด้วยว่า จะสุขก็ต้องสุขอย่างดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราจะต้องทำดีที่สุด วันเกิดทำอะไร วันเกิดทำให้ชีวิตให้สุขที่สุด ทำชีวิตให้ดีที่สุด อย่างสัมมาทิฏฐิที่สุดด้วย แถมเงื่อนไขสุดท้าย ต้องอย่างสัมมาทิฏฐิที่สุดด้วย ในฐานะเราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราเรียนทฤษฎี เราเรียนสัจธรรม ของพระพุทธเจ้า เราเรียนความรู้ เราเรียนความจริงว่า เราควรจะดีอย่างไร ที่เป็นดีตามสัมมาทิฏฐิ สุขอย่างไร ที่เป็นตามสัมมาทิฏฐิ เราจะต้องเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวอาตมาจะไล่ไป สำหรับศาสนาอื่น เขาจะสุขอย่างไร เขาจะมีความลึกซึ้งอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องของศาสนาอื่น วันนี้อาตมาพูด ในฐานะ ลูกพระพุทธเจ้า จะบรรยาย จะพูดถึงเรื่องความสุข วันเกิดมันก็ต้องเอาให้สุขล่ะ วันเกิดทำอะไร? ก็ต้องทำความสุขให้แก่ชีวิต หรือทำความดีให้แก่ชีวิตอย่างดีที่สุด อย่างสุขที่สุด ไล่ไปตั้งแต่ มันยังสุขผิดๆ ไล่ไปตั้งแต่มันดีผิดๆ ดีแล้วมันผิดได้อย่างไร เหมือนกับเขาว่าเรานี่น่ะดี แต่ผิดนี่แหละ เราโดนตู่อยู่ทุกวันนี้ เขาว่าดีแต่ผิด จริงๆแล้ว ถ้าเราดีจริงแล้ว เราผิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ที่บอกว่าดีแต่ผิด นั่นก็เพราะว่า มันดีที่มันยังไม่จริง มันดียังไม่ถูกทาง ยังไม่สัมมาทิฏฐิ มันก็เรียกว่า ผิด เขาก็คงจะเข้าใจเราว่าเราดี แต่เราไม่สัมมาทิฏฐิก็ได้นะ

เอ้า...ก่อนจะว่าดี ก็ต้องพูดถึงตัวสุขเสียก่อน คนในโลกนี้นี่แสวงหาความสุข ทำชีวิตให้เป็นสุข แต่อวิชชา ไม่รู้จักความสุขที่ประเสริฐ ไม่รู้จักความสุขที่เยี่ยมยอด เราเป็นนักศึกษาธรรมะแล้วนี่ เราจะได้ฟังมาว่าสุข มันมีนะ ท่านเรียกว่า วูปสโมสุข หรือเรียกว่า สุขัลลิกะ เรียกว่า โลกียสุข อะไรพวกนี้นี่ มันมีคำว่าสุขพวกนี้อยู่หลายสุข โลกียสุขหรือว่าสุขัลลิกะนี่ เป็นสุขที่มนุษยโลก ธรรมดา รู้โดยอัตโนมัติ รู้ดีอยู่แล้ว แล้วเขาก็จะทำตัวให้สุข วันนี้วันเกิด ไป...เราสุขเกษมเต็มที่ คนที่มีจริตนิสัย มีความชอบ มีอารมณ์ มิจฉาทิฏฐิ ก็เอาแล้ววันนี้ จะสุขอย่างไร จะหยำเปอย่างไร เขาก็ไม่รู้ มีอบายมุขอะไรอย่างไร ที่เขาจะระเริง เขาจะบันเทิงเป็นความสุขได้ เขาก็ไปทำของเขา คนอย่างนี้ ไม่มีปัญญาแท้ วันเกิดตัวเองแท้ๆ ควรจะตั้งใจให้วันเกิด เป็นวันที่ดีของตนเอง สุขก็ควร จะสุข อย่างมีทิศทางเจริญ สุขอย่างเจริญ ไม่ใช่สุขอย่างเสื่อม สุขอย่างทราม หรือ สุขอย่างเสียหาย สุขอย่างทำให้ชีวิตตกต่ำ มันไม่ควรนี่ใช่มั้ย คนที่มีสติสัมปชัญญะปัญญาดีๆ มันไม่ควร จะเป็นอย่างนั้น แต่เขาไม่มีสติ ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ศึกษาชีวิตที่ดี เขาก็เลยปล่อยปละละเลย เอ้า...ระเริงเลย วันสุขวันนี้เต็มที่โว๊ย กินเหล้ากันให้เมา เลวหรือดี หือ! (พ่อท่านถามคนฟัง) กินเหล้ากันให้เมา ไม่เมาไม่เลิก วันนี้วันเกิดอั๊ว เอ้า...ก็มันเลวน่ะซิ กินเหล้าให้เมา แล้วก็ยิ่งเมา ก็ยิ่งเลว ยิ่งเมาสติก็ยิ่งเสียยิ่งเสื่อม สติเสียสติเสื่อม ก็ทำชั่วทำเลว ไปตามอำนาจกิเลส ที่อยู่ใต้ พื้นจิต ที่มันมีอำนาจบงการอยู่ในจิต ยิ่งควบคุมกิเลสไม่ได้ ยิ่งตั้งตัวตั้งใจไม่ได้ สติไม่มีไปควบคุม กาย วาจา ใจ เลย มันก็กิเลสสดๆ ก็ออกมาหมด วันเกิดก็เลยเละ ได้ทำชั่ว แต่เค้าว่า เค้าได้สุขนะ กินเหล้านี่สุข มันสุขตรงไหน มาเรียนดีๆ แล้วไม่ได้สุขอะไรหรอกนะ หรือไม่ก็เอาเลย วันนี้เที่ยว ให้เต็มที่เลย สุข...ว่าอย่างนั้นนะ เที่ยว...แหละ เขาก็ไปหาเรื่องเตร่ ไอ้เที่ยว ...สำมะเลเทเมา อะไร ก็แล้วแต่นะ เพราะฉะนั้น การฉลองวันเกิดของคนที่ยังอวิชชา คนที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ยังไม่เข้าท่า ยังไม่รู้ ความสุขที่ดี ให้ดีที่สุดหรือให้สูงให้เยี่ยมให้ประเสริฐขึ้นไปอย่างไรนี่ เขายังไม่มีความรู้นี่

วันเกิดเขาก็จะไปฉลองกัน อย่างที่ว่านี่ กินให้เต็มที่ มันแปลกนะ วันเกิดเราเคย ใช่มั้ย แล้วมาปฏิบัติ วันเกิด อาตมาพาทำ แทนที่จะไปกินให้เต็มที่ เป็นอย่างไร เรากลับไม่กินวันนี้ วันเกิดไม่กิน ถามจริงๆ เถอะ เด็กเกิดมาวันแรกนี่กินอาหารมั้ย กินมั้ย ไม่มีเด็กคนไหน เกิดมาวันแรก กินอาหารหรอก ไม่มีใคร ตลกบ้าๆบอๆ เอาอาหารไปป้อนเด็กวันเกิดหรอก ไม่มี วันเกิดวันแรก มันไม่ต้องกินอะไร หรอก เพราะฉะนั้น ลองดูซิวันเกิด เราก็ระลึกถึง วันที่เราเคยเกิดตั้งแต่เด็ก โอ๊ย! เราเกิดวันแรก เราไม่กินอะไร ก็ลองอดมันดูบ้างซิ มันจะตายมั้ย การหัดอดทน หัดอดหัดลดนี่ เป็นแนวทางของ ศาสนาพระพุทธเจ้า หัดอดหัดลดหัดละนี่ เพราะว่าเราเฟ้อเราเกินกันมานาน แต่คนไม่มีปัญญา ทางธรรม ไม่เข้าใจตัวนี้ ก็เลยบำเรอประคบประหงม เอาใส่ตัวเองให้มากๆเลย มีอะไร ก็จะเอามา ถล่มทลายให้แก่ตัวเอง แล้วไม่รู้ว่าถล่ม นึกว่าตัวได้ ตัวกำไร ตัวได้เปรียบ ได้มา ใครเขาเอาอะไร ๆ มาให้ ก็จะเอากันมาหมดเลย ใครเอามาให้ก็ดีอกดีใจ เขาว่าเราได้เปรียบนะ ใครเขาเอาอะไรต่ออะไร มาให้กันมากมาย เอามาก็จะได้เป็นของของกู เป็นของของตัว เราก็จะได้ ได้เปรียบ ได้มาก ได้สมบัติ ได้ข้าวได้ของ ได้โน่นได้นี่ ขี้โลภ ใช่มั้ย ได้มาแล้วก็ดีใจสมใจเป็นสุข ขึ้โลภมั้ย ขี้โลภ แล้วจิตขี้โลภ มากขึ้น ๆ จิตมันสมใจในขี้โลภนี่ มันก็อ้วนก็พีก็แข็งแรง จิตตัวโลภก็แข็งแรง จิตตัวโลภก็อ้วนก็พี ก็มีกำลังของความโลภมากขึ้น ๆ มันเป็นความเจริญ ของคนนั้นมั้ย ไม่ใช่ความเจริญเลย เป็นความเสื่อมของคน คนนั้นเสื่อม วันเกิดแท้ๆ ก็มีพฤติกรรม มีขนบประเพณี มีจารีตอะไร มีวิธีการ อะไรทำให้ตัวเองเสื่อมลงน่ะ มันดีเหรอ วันเกิดตัวเอง แทนที่จะต้องเป็นวันเจริญ สุขอย่างหลงๆ สุขเพราะเราได้เปรียบ สุขเพราะเราได้กำไรแบบโลกๆ ได้เปรียบเขาว่าได้กำไร เขาเอามาให้เราฟรี เขาขนไอ้โน่น ไอ้นี่มาแจกมาจ่าย เราก็ได้สมความโลภ ก็ดีอกดีใจ นั่นเป็นความเสื่อม นั่นไม่ใช่ ความสุขที่ดี ไม่ใช่ความดีที่ดี ไม่ใช่ความดี มิจฉาทิฏฐิ ฟังดีๆนะ อาตมากำลังขยายสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิในตัวของมันเอง

หนึ่งไปฉลองบำเรอตนด้วยอบายมุขเสพสุข จะกินเหล้ากินยาเป็นต้น เล่นการพนันเป็นต้น เที่ยวกลางคืน วันเกิดนี่เอาแล้ว ออกเที่ยวกลางคืน ใช่มั้ย ไปยันรุ่ง อะไรอย่างนี้ สำมะเลเทเมา มันยันรุ่ง แล้วมันผิดพลาดมั้ย มันผิดพลาดมั้ย วันเกิดมันจะควรจะเป็นวันที่เป็นบุญ บุญ เอาล่ะ เดี๋ยวอาตมา จะได้อธิบายบุญนี่ เดี๋ยวเข้าใจต้นๆ ว่าบุญคืออะไร แล้วก็ค่อยๆพาอธิบายไปก่อน เอาตรงนี้ก่อน ตรงอบายมุขเสียก่อน มันเป็นเบื้องต้นที่แท้จริง แล้วค่อยขยายไปถึงบุญ ถึงทาน แล้วก็ทำบุญ ทำทานน่ะ เป็นความถูกต้องมั้ย เป็นสัมมาทิฏฐิมั้ย เป็นความดีจริงมั้ย แล้วควรจะเป็น สุขมั้ย ไปหลงสิ่งที่เป็นบุญเป็นทาน ที่ไม่เป็นสุขแท้ นึกว่าเราได้ทำสิ่งที่เป็นบุญ เป็นทานที่ผิดพลาด แล้วก็หลงว่า มันเป็นความสุข ดีอกดีใจ นั่นก็เป็นความเข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิด เราก็ไปซ้ำ ย้ำซ้ำ ไอ้ความรู้ที่ ไม่ใช่ความรู้ เป็นความหลงผิด เป็นอวิชชา แล้วก็นึกว่าเราได้ ย้ำอวิชชาไว้ในวันเกิด เป็นของดี ย้ำอวิชชาไว้ในวันเกิดเป็นของดีหรือของเลว ตัวเองย้ำอวิชชา ให้เกิดอวิชชา ให้เกิดความโง่ ให้เกิดความเข้าใจผิดในจิต มันก็เลวลง อย่างนี้เป็นต้น

เอ้า!เดี๋ยวค่อยขยายไปถึงบุญถึงทาน เอากันจุดแรกเสียก่อนว่า เมื่อวันเกิดแล้ว ก็จะต้องมีความสุข อะไรจะสุขล่ะ อ้าว...ฉันปล่อย ผีน่ะวันนี้ ปล่อยเปรตล่ะ วันแห่งสำมะเลเทเมาเลย กลายเป็น วันแห่งระเริง สำมะเลเทเมา เพราะฉะนั้น จะกินจะสูบจะดื่มจะเสพย์จะเล่น มันเป็นเรื่องเหลวไหล หมดเลย เป็นเรื่องเลวร้ายหมดเลย เคยมากันบ้างมั้ยที่นั่งๆอยู่นี่ พอวันเกิด แล้วก็ระเริงอย่างนี้ อย่างที่ อาตมาพูดนี่ เคยกันบ้างมั้ย เคยหรือเปล่า อาตมาว่าทุกคนน่ะน้า แม้แต่อาตมาด้วย แม้แต่อาตมา ก็เคยเข้าใจผิดอย่างนี้นะ ว่าเราจะต้องสุข มีความสุขที่สุดล่ะ วันเกิดนี่ จะต้องทำ ให้ตนเอง มีสุขที่สุด เสร็จแล้ว เราก็ไม่เข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่รู้จักสัจธรรม เราก็ไประเริงอย่างที่ว่า สำมะเลเทเมา กลายเป็นกินสูบดื่มเสพย์อย่างไม่เข้าเรื่อง คนเดียวโง่ไม่พอ พาคนอื่นมาโง่ด้วย พาคนอื่นมาเมาอีก พาคนอื่นไปสำมะเลเทเมา วันนี้วันเกิดอั๊วเลี้ยงเลย...ไป...เปิดซ่องฟรี แน่ะ (พ่อท่านหัวเราะ) ฉันเหมาเอง เละไปใหญ่เลย ไปเล่นการพนัน ไปเล่นการละเล่น ไปอะไรก็ไม่รู้ ไปดูหนัง ดูละคร ไปดูอะไรที่จะให้มัน คือไม่มีสติสัมปชัญญะปัญญาไตร่ตรองเลือกเฟ้น ปล่อยเลย นี่เป็นเบื้องต้นเลย ว่าวันเกิดของผู้ใด ไม่มีสติสัมปชัญญะปัญญาออกปานฉะนี้ ก็ได้ทำตนเอง ในวันเกิดนั้น เป็นวันซวย เป็นวันเลว เป็นวันเสื่อมให้แก่ตัวเอง ใครทำคนนั้นโง่ ใครทำคนนั้นแหละ ได้บาป ได้สิ่งที่เป็นอกุศลให้แก่ตนเอง ฉิบหายเงินด้วย ฉิบหายเวลาแรงงานด้วย บางทีวันเกิด เสร็จแล้วนี่ กว่าจะฟื้นตัวนี่ นะ ฟุบไปตั้งไม่รู้สามวันแปดวัน (พ่อท่านหัวเราะ) บางคนน่ะนะ หนักถึง ขนาดนั้น แน่ะ ทรมานตัวเอง กินอะไรก็ไม่รู้ ทำอะไรก็ไม่รู้ ไปจ่ายอะไรก็ไม่รู้ จนชีวิตร่างกาย ของตัวเอง เสื่อมเสีย สองวันสามวันสี่วันค่อยฟื้น ซวยตายเลย (พ่อท่านหัวเราะ) แทนที่จะแข็งแรง ในวันนั้น แล้วอีกวันรุ่งขึ้นยิ่งแข็งแรงใหญ่ กลับกลายเป็นยิ่งเสื่อมลงไป แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน เห็นมั้ยว่า อวิชชาของคนนี่มีมา ที่อาตมาพูดนี่ไม่ได้ใส่ความนะ แต่พูดสัจจะสู่กันฟังว่า เราควรจะต้อง ตั้งตัวอย่างไร ควรจะตั้งสติสัมปชัญญะปัญญาอย่างไร แล้วจัดแจงว่า ถ้าวันเกิด เราจะทำอะไร เราจะควรทำอย่างไร มันถึงจะดี

นี่อาตมาก็ขยายความให้ฟัง วันเกิดทำอะไร ก็ฟังไปดีๆ แล้วจะได้รู้ จะได้มีความรู้ แล้วจะได้ ไปทำวันเกิด วันเกิดเราทำอะไร มันจะได้เกิดคุณค่าบ้างนะ นี่ประเด็นความสุข ในพื้นฐานต้นๆ เสร็จแล้ว ไม่เข้าใจความสุขแล้ว ไปทำความสุขเหลวไหล ทำความสุขให้เราเสื่อมต่ำ เสียหาย ทั้งเงินทองวัตถุ เวลา แรงงาน เสียหายทั้งสุขภาพร่างกาย ไม่ดีไปกว่านั้นก็คือ ทำให้ตัวเองน่ะ ซับซาบเอากิเลสหนาขึ้น อวิชชาโง่ขึ้นเลวร้ายไปอีก ติดเป็นทรัพย์แท้ ทรัพย์แท้นี่มันเป็นที่กิเลส ที่จิตวิญญาณใช่มั้ย จิตวิญญาณไปได้ความเป็นอวิชชาที่โมหะหลงผิด โง่เพิ่มขึ้น แล้วก็ไปได้ให้ จิตวิญญาณ ซับเอากิเลส นึกว่ามันอร่อย นึกว่ามันสนุก นึกว่ามันสมใจอะไร ซึ่งเป็นเรื่องของ ความอยาก ในทางเลวร้าย อยากในอบายมุข อยากจะเสพย์อบายมุข อาตมาไม่มีเวลามากนะ เพราะฉะนั้น จะไม่ขยายความมากหรอก อบายมุขนี่มันเลวร้าย อะไรอย่างไรบ้าง มีอะไรอีก มากมายบ้าง เพราะฉะนั้น คนมีปัญญาพอสมควร เอาไปเลือกเฟ้น หรือเอาไปถามไถ่ผู้รู้อีก เพิ่มเติม เอาเองก็แล้วกัน อาตมาบอกแต่เป็นหลักๆว่า มันมีการพนัน มันมีสิ่งเสพติด มันมีคบมิตรชั่ว คบมิตรชั่ว มันไม่ใช่หลักต้น แล้วก็มีบันเทิงเริงรมย์ด้วย มหรสพ การละเล่นต่างๆ เที่ยวกลางคืน คบมิตรชั่ว ขี้เกียจขี้คร้าน นี่เป็นอบายมุขหก ชัดๆ เจนๆ แล้าเราก็ไม่รู้ พอวันเกิดก็ครบเครื่องเลย อบายมุขพร้อม คนนั้นซวยแล้ว ฉลองให้แก่ตัวเองด้วยความซวยอย่างโง่ อย่าเชียวนะ เพราะฉะนั้น วันเกิดทำอะไร อย่าโง่เง่าอย่างที่กล่าวนี่ ใครได้เสียท่ามาหลายครั้ง หลายปีหลายคราว แล้ว อาตมาขอแถม หน่อยนึงนะ มันคิดได้ตอนนี้ แต่ที่จริงก็ขยายต่อไปก็ได้นะ

เอ้า...ต่อมาที่นี้ วันเกิดเราควรจะมีมิตรมาก...ดี แต่ชวนมิตรมากมาแล้ว พามาสำมะเลเทเมา ในอบายมุข ซวยแล้วใช่มั้ย เพราะฉะนั้นคุณวันเกิด ควรจะมีมิตรมาก ตกลง มีมิตรมากมา แล้วคุณก็คิดว่า คุณได้เลี้ยง ได้เสียสละเงินทอง ได้เลี้ยงอาหารเพื่อนฝูงนี่ดี ตกลง อันนี้ก็เป็น ประเด็นหนึ่งว่า ก็ดีเหมือนกัน ได้ทาน ได้เสียสละเงินทองให้เพื่อนฝูงนี่กิน แต่เพื่อนฝูงที่ เราเชิญ มาเลี้ยงนั่นนะ โดยจริงแล้วไม่ใช่เพื่อนฝูง ที่ควรจะเลี้ยงเท่าไหร่หรอก ส่วนมากเพื่อนฝูง ที่ควรจะเลี้ยง ก็นึกถึงคนที่มีหน้ามีตา คนที่ร่ำที่รวย คนที่ถ้าเผื่อว่า เรียกเขามาแล้ว ต่อไปในอนาคต ไอ้เพื่อนฝูงคนนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา นี่ คิดอย่างนี้

ไอ้คนควรเลี้ยงน่ะคือ เพื่อนฝูงที่ยากจน เพื่อนฝูงที่ไม่มีหน้ามีตา เพื่อนฝูงที่มันกระจอกงอกง่อย นั่นเพื่อนฝูงอย่างนั้น ควรจะเลี้ยงใช่มั้ย แล้วเราได้ทำอย่างนี้มั้ย เราได้ทำอย่างที่อาตมากล่าวมั้ย ตอบซิ เปล่าเลย นึกถึงเพื่อนฝูงที่มันมีหน้ามีตา มันเด่นๆ โด่งๆ ดังๆอยู่ในสังคม อาตมาเคยโง่ อย่างนี้มาเหมือนกัน ไม่เคยระลึกไปทางสัมมาทิฏฐิหรอก อยากจะเลี้ยงเพื่อนฝูง ก็ไปเอาเพื่อนที่มัน จะต้อง ไอ้นี้มาบางที มันมีของติดไม้ติดมือมาเป็นของกำนัลบ้าง เป็นของขวัญวันเกิด มันจะให้เรา มากกว่าที่เราจะเลี้ยงมันด้วยซ้ำนะ นี่คิดทางหาทางเอาเปรียบ นี่จะได้กำไรแบบโลกๆ อย่างนี้ เสียด้วย ถ้าไอ้คนนี้ เชิญมันมาวันเกิด เออ...เราจะได้มีเวลา ทำความสัมพันธ์สนิทแน่น มีอะไร มันจะได้ประโยชน์แก่กันและกัน เดี๋ยวงานนี้ยังไม่สำเร็จ เลี้ยงมันวันนี้ มันอาจจะตกลงกับเราก็ได้ อะไรต่างๆ นานานี่ เป็นความคิดเชิงที่เหลวไหลเลวทราม ฟังไปเถอะ วันนี้โดนอัดน่าดู ที่เทศน์ว่า วันเกิดทำอะไรนี่ โดนอัด ที่จริงอาตมาก็เคยโง่อย่างนี้มาจริงๆ มาคิด มาเห็น มาเข้าใจความจริงได้ ตอนนี้ ตอนที่ปฏิบัติธรรมะแล้วก็มาได้ ไม่ใช่เพิ่งเข้าใจวันนี้นะ เข้าใจมาหลายวันแล้วละ เข้าใจมา นานแล้วละ แต่วันนี้ได้ฤกษ์ได้โอกาส ก็เปิดเผยกันเสียที เปิดเผยสู่กันฟัง เพราะฉะนั้น มิตรที่จะเลี้ยง ไม่ใช่คนที่ควรจะเลี้ยง แต่เป็นคนที่คุณจะเอาประโยชน์จากเขา เพื่อประโยชน์เกิด ตัวจะได้ประโยชน์ ได้หน้าได้ตา ได้งานได้การ ได้ลาภยศ สรรเสริญ ได้อะไรต่ออะไร...ไม่ถูก เพราะฉะนั้น จะเลี้ยง ก็ไปเลี้ยงคนที่ควรจะเลี้ยง มีคนที่ทำบุญวันเกิดนะ ไปเลี้ยงอาหาร ก็ไปเลี้ยงเด็กยากจน ไปเลี้ยง ชาวสลัม ไปเลี้ยงเด็กกำพร้า ไปเลี้ยงโรงพยาบาล คนที่ควรจะได้รับอะไร ก็ไปเลี้ยงพวกนี้ อย่างนี้ก็ยังดี เข้าทีนะ อย่างนี้ วันเกิดทำอย่างนี้เข้าทีกว่า อบายมุขตัดไปเลย ไม่มีอะไรจะดีสักอย่าง แต่ว่า ในเรื่องที่จะทำบุญทำทาน จะเลี้ยงอาหารนี่ เอาตกลงอย่างที่ว่านี่ จะเลี้ยงอาหาร ไปเลี้ยงคน ที่ควรจะได้เลี้ยง คนยากคนจน คนที่ควรจะได้เลี้ยง คนยากคนจนที่ไปเลี้ยงนี่นะ ก็มีซ้อนเชิง เหมือนกันนะ คนยากคนจนที่ไปเลี้ยงแล้วเขาก็ย่ามใจ ยิ่งเลี้ยงเขาก็ยิ่งขี้เกียจ ที่จะเป็นโรงนั้น โรงนี้ อะไรนี่ เป็นสลัมอย่างนั้น หรือเป็นหมู่อย่างนี้ เป็นขอทานอย่างโน้นอย่างนี้ ที่เป็นขอทาน ยิ่งไปเลี้ยงเขา หมู่นี้ประเดี๋ยวนี้ก็ไปเลี้ยงขอทานหมู่นี้ ขอทานหมู่นี้ก็ได้แต่งอมือ งอเท้า แบมือ ไม่ทำอะไรเลย ยิ่งเลี้ยงก็ยิ่งเป็นภาระสังคม ยิ่งเลี้ยงก็ยิ่งขี้เกียจ ยิ่งเลี้ยงเขาก็ยิ่งเสื่อมทราม ยิ่งเลี้ยง เขาก็ยิ่งติดนิสัย ที่เลวทรามเลวร้าย อย่างนี้ก็ต้องมีปัญญารู้ว่า ควรจะเลี้ยงผู้ใด หมู่ใด คนอย่างไร

แม้แต่ ตอนนี้ เขยิบขึ้นมา เมื่อเลี้ยงคนที่ควรจะได้รับการเลี้ยงแล้ว ต้องเลือกต้องเฟ้น ทีนี้ เลือกไป เลือกไปนี่ ก็มีอยู่อันหนึ่ง ควรจะไปเลี้ยงพระ เลี้ยงสมณะ พระอย่างใดควรเลี้ยง พระที่ท่านไม่ติด พระที่เป็นพระอริยะ พูดกันอย่างต้นๆเสียก่อน เป็นพระอริยะ เป็นผู้ไม่ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นผู้ที่ไม่มีแล้วทรัพย์ศฤงคาร เป็นผู้ไม่มีเงิน ไม่มีทอง ไม่มีฐานะ ยิ่งไม่มีฐานะเท่าไหร่ ท่านยิ่งจน ยิ่งยากใช่มั้ย เราก็ควรจะไปเลี้ยงท่านไว้ ยิ่งท่านเป็นผู้ที่เป็นพระอริยะ เป็นผู้มักน้อย สันโดษ เป็นผู้ที่ ไม่โลภ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่โลภในทรัพย์ศฤงคาร เป็นผู้ที่เป็นพระอริยะจริงๆ ไปเลี้ยงอย่างนี้ ได้บุญกุศลด้วย เป็นสัจจะแท้ๆด้วย พระอย่างนี้น่าไปเลี้ยง

พระอย่างไร ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นพระอาเสี่ย เป็นพระรวยๆหรูๆหราๆ โด่งๆดังๆ ที่ไม่เข้าเรื่อง อย่าไปเลี้ยง นี่พระก็จะเป็นศัตรูกับอาตมาแล้ว ถ้าพูดอย่างนี้ขึ้นมา อย่าไปเลี้ยง หรือ แม้แต่พระใด ที่ท่านเอง ท่านมีคนไปเลี้ยงไปเกลือเอาไว้มากมายแล้ว ไม่ต้องไปเลี้ยงท่านหรอก หรืออย่างอาตมา วันนี้พวกคุณ ไม่ต้องมาเลี้ยงอาตมาอะไรมากมาย นี่วันเกิดอาตมาก็ไม่เห็นจะต้องมีมาอะไร มากมาย อาตมาไม่ได้เสียใจเลยนะ ไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไรเลยนะ ดีแล้ว ดีแล้ว เพราะอาตมา อย่างไรก็กินไม่หมด นี่กินไม่หมด กินก็มื้อเดียว มีคนถามอาตมาเหมือนกันว่า วันนี้วันเกิดท่าน ท่านจะไม่กินอาหาร หรือว่าจะกินอาหาร อาตมาบอกวันเกิดอาตมากิน แต่เดี๋ยวนี้ วันอโศกรำลึก อาตมาจะไม่กินนะ วันอโศกรำลึกนี่ เป็นวันเกิดสมณะจะไม่กิน วันนั้นจะประพฤติอย่างนั้น ส่วนวันนี้กิน

ทีนี้อาตมาพูดตอนต้นว่า เราลองดูซิว่า วันเกิดของเราหัดๆ อดบ้าง หัดอดบ้าง หัดไม่กิน เหมือนกับ เราเกิดมาใหม่ๆนี่ เราไม่กินอาหาร คนเกิดใหม่ๆ เด็กเกิดใหม่ๆนี่ไม่กินอาหาร จะหัดอย่างนั้นบ้างก็เอา แต่อาตมาหัดเป็นแล้ว อาตมาอดอาหารวันสองวันห้าวันอะไร อาตมาอดได้จริงๆ อดได้จริงๆแล้วก็ไม่ ทุกข์ร้อน ไม่มีปัญหาอะไรมากหรอก อาตมาได้ฝึกมาแล้ว เรื่องอดอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ใครที่ยัง ไม่เคยอด อดบ้างซิ หัดฝึกปรือบ้างซิ นี่อาตมาก็แนะไปเชิงหนึ่ง ประเดี๋ยวจะหาว่า ก็ไหนเวลาแนะ คนอื่น ให้อดอาหารวันเกิด ทีตัวเองกินน่ะ ประเดี๋ยวจะมาต่อว่าเสียอีก อาตมาทำได้ ทำได้ อดอาหาร ได้จริงๆ คนไหนที่ยังไม่ได้ฝึก หัดเสียบ้าง ทีนี้ฝึกได้แล้ว คุณจะกินก็กินเถอะ กินอย่างที่ไม่ได้ โลภโมโทสัน ไม่ได้ไปอยากกินอะไรบำเรอตน จนกระทั่งกินจนอ้วก พอวันเกิด กินจนอ้วก แย่เลย

ทีนี้วันเกิดนี่นะเขามีประเพณีจารีตให้มันสนุกสนาน แล้วเขาก็ทำเป็นทีท่า อย่างเอาตะวันตกเขามา เอาทางฝรั่งมา มีเค้กวันเกิด เค้กนี้ไม่ใช่เค้กจี้ นะ รู้จักเค้กจี้ไหม เค้กจี้นี่อาตมาไม่เอา มีเค้กวันเกิด เสร็จแล้ว ก็มีเทียนมาปัก แล้วก็เป่า อาตมาขอร้องนะชาวอโศกอย่าไปทำตาม โดยเฉพาะที่ เอาเค้ก วันเกิดมาแล้ว ก็เอาเทียนปัก แล้วก็ไปเป่า เป่าลงไป น้ำลายก็ลงไปในนั้น เชื้อโรคอะไร ถ้าตัวเอง มีโรคอะไร มันก็จะลงไป ถ้ามีโรคอะไรล่ะ? มี ไวรัส มีโรคหวัด มีโรคอะไรที่เป็นโรคติดต่อ มีทีบี มีโน่น มีนี่มีอะไรก็แล้วแต่ โอ้โห! โรคเยอะนะที่ออกมาจากทางน้ำลายทางพวกนี้ ใครไปกินเค้ก วันเกิด แบบนี้ ระวังเถอ ะจะรับโรคไป ซึ่งไม่เป็นการดีเลย ไม่ควรแนะนำทำเลยวิธีนี้น่ะ เราเกรงใจกัน พ่อแม่พี่น้องเป็นโรค เราก็เกรงใจ ก็ประเดี๋ยวจะหาว่ารังเกียจ ก็กินก็อะไรต่ออะไร แล้วมันดีตรงไหน เพราะฉะนั้น กรรมวิธีนี้เลิกไปได้เลย อย่ามาพ่นขี้ฟัน เพราะว่าคุณจะเป่าโดยไม่ให้ขี้ฟันออก อย่าเลย ถึงอย่างไร มันก็ไม่ดี เป่าไม่ให้น้ำลายน้ำเลยกระเด็นออกมา มันก็ไม่เข้าท่าอะไรหรอก ไม่เอา เปลืองเปล่าๆ ทำพิธีการไม่เข้าเรื่อง แหม...คิดมา แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง มาให้เขานิยมกันนี่ คิดมาเหลวไหล แล้วไทยก็เอาซะด้วยนะ คนไทยก็ชอบ แหม...เป็นไทยแท้ๆ ไปทำเค้กจี้กับเขามา ต้องไปเป่าเค้กเป่าเคิก ไม่เข้าเรื่อง

นี่อาตมาพูดอย่างนี้ ฝรั่งจะมาโกรธ ก็มาโกรธเถอะ อาตมาจะทำลายล่ะ ประเพณีจารีตที่เลวๆร้ายๆ แบบนี้ มันก่อให้เกิดการแพร่เชื้อโรค แพร่จริงๆนะ แพร่เชื้อโรค แล้วต้องให้เป่าด้วยนะ เป่าเทียน เป่าแรงๆ เป่าดับทีเดียวเลย ยิ่งอายุมากๆ หลายๆดอก หลายๆเทียน หลายๆเล่ม ก็ยิ่งพ่นลงไปแรงๆซิ โอ้! หมดเลย เชื้อ เทียนหลายๆเล่ม แล้วมันก็ยิ่งพ่นลงไปแรงๆซิ พรื้อ! โอ้! หมดเลย เชื้อโรคเท่าไหร่ ก็เต็มเลย เต็มไอ้เค้กก้อนนั้นน่ะ กินเข้าไปอ้วกตาย ต้องพูดกันให้ชัดๆอย่างนี้ ภาษาไทยนะ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องศึกษาดีๆ ต้องเรียนรู้จริงๆ อย่าไปเอาธรรมเนียม ประเพณีที่ไม่เข้าเรื่อง เข้าราว พวกนี้มาสืบต่อ ไม่เอา ๆ ไม่ทำ ไอ้เรื่องที่จะมีเค้ก มีวิธีการ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ดี...เดอ...อะไรกัน ร้องเริ้งอะไรกันไม่ต้อง เอา นี่ก็บอกกัน ให้ทราบนะ อธิบายกันให้เข้าใจ ไปเผยแพร่ต่อ แล้วอย่าไป ถล่ม เหมือนอย่างที่อาตมาพูดนี่ อาตมาพูดต่อหน้าพวกคุณ เหมือนอย่างคนกันเอง พูดกันได้ แต่ไปต่อหน้าต่อตา คนข้างนอก เขาไปพูด อย่างอาตมาพูด สำเนียงลีลาอย่างนี้ระวัง (พ่อท่านหัวเราะ) ได้รับหมัด รับมวยมา อย่ามาหาว่า อาตมายุนะ (พ่อท่านหัวเราะ) เหอ! (พ่อท่านถามคนฟัง) อ้า!...ไปโดนขนมเค้กโปะหน้ามา โดนหมัดโดนมวยมา อย่าหาว่าอาตมายุ คุณต้องระมัดระวัง ของคุณเอง นี่ก็กำกับไว้แล้วนะ นี่อาตมาพูดกับพวกเราให้ได้เห็น ชัดเจน ว่าเป็นการสื่อ ที่มันเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง แล้วมันชัดไหม อาตมาพูดอย่างนี้ มันแรงดี มันชัดดี ไม่เอา

เอ้า...ทีนี้ต่อเรื่องเลี้ยง ต่ออีก จะไปเลี้ยงอาหารคนที่ควรเลี้ยง แม้มาถึงขั้นที่อาตมาพูดแล้วว่า ไปเลี้ยงอาหารพระ ไปถวายอาหารพระ จริงนะ ถวายอาหารพระ ถวายอาหารสมณะผู้สงบ ที่แท้จริง ผู้เป็นพระอริยะ เป็นสมณะอริยะ สมณะที่ยิ่งเป็นพระอรหันต์ด้วย ก็ยิ่งดีใหญ่ใช่มั้ย พระพุทธเจ้า ก็บอกแล้วว่า มีอานิสงส์ยิ่งกว่าถวายพระอนาคามีร้อย ถวายพระอนาคามีหนึ่งก็ยิ่งดีเท่ากับถวาย พระสกทามีร้อย ถวายพระสกทาคามีหนึ่งก็ดียิ่งกว่า เทียบค่าถึงขนาด ถวายพระโสดาบันเป็นร้อย อย่างนี้เป็นต้น มันก็ดีจริง ถ้าเข้าใจสัจธรรม เพราะท่านไม่ได้ติดยึด ท่านไม่ได้โลภโมโทสัน ท่านไม่ได้ มาบำเรอตนอะไร แล้วถวายง่ายด้วยนะ ถวายอาหารกับพระอริยะ นี่ถวายง่าย ไม่ต้องไปเอา อาหาร แพงๆ อาหารปรุงแต่ง อาหารที่เลิศลอยในโลกๆ เขาราคาแพงๆ อะไรเอามา ประคบประหงมกัน ไม่ต้องด้วยซ้ำ อะไรที่จำเป็น อะไรที่สำคัญก็ถวายได้ ถ้าจะไปถวายพระ ไปถวายสมณะนั้นๆ แต่ถ้าเผื่อว่าเอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก สมณะท่านก็ไม่อด ไม่อยากอะไรหรอก เราเอาวันเวลานี้ ซึ่งมี ๑๒ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมง ที่เราจะมีเวลาไป เอาไปแจกจ่ายทาน จะถวายอาหาร หรือจะให้อาหาร แก่ผู้ที่ควรให้...ก็ดี มีปัญญา มีสัมมาทิฏฐิดีๆ คนไหนควรให้ เอ้อ...วันสำคัญของเรา เราก็ไปทำบุญ ทำทาน จะทำทานอาหารก็ดี คนที่ควรได้อาหาร คือใคร? แล้วก็ทาน ให้พอเหมาะพอดี อย่าไปบำเรอ บำรุงเบอะๆบ่ะๆ เบ่ะๆ เสียๆ ทิ้งๆ ขว้างๆ ให้มันเกินเขต เกินการก็แล้วกัน แล้วก็ไม่ไปมอมเมาเขา จนเกินไป หรือแม้ผู้ที่ไม่ควรจะให้ทาน ให้อาหารก็ต้องให้รู้อย่างที่ว่านี่ จริงๆนะ ต้องใช้ปัญญา จริงๆ การทำทานโดยปัญญานี่...ดี อย่าทำทาน โดยไร้ปัญญา เพราะฉะนั้น การที่จะทำสิ่งที่ดี เราก็มาหา ถึงคำว่าทาน ทีนี้ก็เข้ามาคำว่าบุญมั่ง...บุญ เพราะฉะนั้น วันเกิดทำอะไร วันเกิดควรทำบุญ วันเกิดควรทำบุญ ทีนี้คนเรามานึกถึง ก็ทำบุญ ทำอย่างไร ทำบุญก็ควรทานเป็นเบื้องต้น ใช่มั้ย

ทำบุญคือควรทาน คือเสียสละความโลภ เอาความโลภออกไป เสียสละซะ ลดความโลภ ทำลาย ความโลภ ในตัวเราออกไป นี่เป็นการทำบุญ เพราะฉะนั้น เราไปให้วัตถุ ให้สิ่งของ ทานวัตถุสิ่งของ แก่คน แก่ผู้ที่ควรให้ วันเกิดเราจึงเป็นวันที่ ไม่ควรจะเอาของใคร ใช่มั้ย แต่ความจริงแล้ว เป็นอย่างไร ทุกวันนี้ วันเกิดฉันไม่ได้ของขวัญวันเกิด จากพ่อ จากแม่ ร้องไห้ กำปั้นทุบให้แน่ะ วันเกิด เราไม่ควรเอา วันเกิดเราควรทำบุญ ทำบุญคือสละความโลภ วันเกิดนี่ ไม่ต้องเอาอะไรของใคร ดีที่สุด เห็นมั้ย กลับกันมั้ยทุกวันนี้น่ะ วันเกิดต้องได้ของขวัญจากคนนั้น คนนี้ ถ้าไม่ให้ของขวัญฉัน เสียใจ น้อยใจ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เห็นมั้ยว่า มันเป็นจารีต ประเพณี วัฒนธรรม ที่เสียหรือดี เลยกลายเป็น ทุกวันนี้เลยตั้งหน้าตั้งตา จะต้องภูมิใจ ดีใจที่วันเกิดเรา มีคนเอาของมาให้เยอะ คนนั้น ก็เอามาให้ คนนี้ก็เอามาให้ เยอะฟูใจดีใจที่ได้โลภ ได้มากๆ โอ๊!...เรานี่ยิ่งใหญ่ มีคนมานับถือ มีคนมาให้ของ มีคนมาอะไร เอามาเบอะๆบ่ะๆ เยอะๆ แยะๆ วันเกิดก็เลย เป็นวันขี้โลภ ฟังดีๆนะ ฟังธรรมะอาตมาเดี๋ยวนี้ ตีลังกาหัวทิ่มดิน เพราะฉะนั้น จารีตประเพณี ที่บอกวันเกิด เราจะต้อง ได้ของ ของคนมากๆ ขี้โลภมาก ไม่ควร ผิด ผิด ต้องทำบุญ

ทำบุญคือ เราต้องเป็นผู้ให้ วันเกิดเรานี่ เราจะให้ใครได้มากๆ ก็ให้เข้าไป ไม่ใช่ไปเอาของเขา วันเกิด เราต้องทำทาน จะได้บุญ ไม่ใช่วันเกิดคือคนอื่นเอามาให้เรา แล้วเราก็ขี้โลภ แล้วเราก็ได้บาป ไม่ใช่บุญ นะ... บาปคือการโลภโมโทสัน บุญคือการชำระความโลภ ชำระความเห็นแก่ตัว ชำระสิ่งที่ ควรจะชำระออก แม้แต่วัตถุ เราก็ไม่ควรเอาวัตถุเขา ควรจะให้วัตถุแก่เขาให้น้ำใจ ให้วัตถุ ให้แรงงาน แรงกาย เพราะฉะนั้น จะไปทำงานทำการอะไร ช่วยเหลือเฟือฟายเขา ก็วันเกิด ดี ได้บุญ ช่วยเหลือ แรงงานกัน สิ่งในงานที่ควรทำ งานที่ดี ไม่ใช่ไปช่วยงานที่ไม่ดีด้วยนะ ก็มีปัญญา อันนี้ก็อธิบาย มีเงื่อนไข กำหนดกำกับลงไปนิดหน่อย เพราะฉะนั้น คำว่าทำบุญ หรือทำทานนี่ ต้องทานจริงๆ ต้องให้ไม่ใช่เอา เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเจ้าของวันเกิด ไม่ใช่ว่ามานั่งตั้งหน้าตั้งตาจะเอาของเขา ต้องให้เขาดีที่สุด อย่ามานั่งเอาของเขา จะให้แก่ใครล่ะ อย่างน้อยที่สุด เราก็ให้คนที่ควรจะให้ เป็นกตัญญูกตเวที วันเกิดของเรานะ เราก็ให้อะไรแก่พ่อแก่แม่ แก่ผู้มีพระคุณ วันเกิดของเรานะ เราควรเอาไปให้ ไม่ใช่วันเกิดของเรา พ่อแม่ไม่ให้อะไรฉันน่ะ เอ๊ย! (พ่อท่านหัวเราะ) มันผิดนะ วันเกิดของเรา เราต้องกตัญญูกตเวที วันเกิดเรา เราต้องไปให้พ่อให้แม่ ไม่ใช่ให้พ่อให้แม่มาให้เรา วันเกิดเรา เห็นมั้ยว่า มันกลับกันหมดแล้ว ผิดมั้ย วันเกิดทำอะไร วันเกิดทำอะไรถูกต้อง ทำมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ กระทำอย่างผิดๆ เคยทำกันมามากมั้ย เคยทำกันมาทุกคนหรือเปล่า ก็เกือบทุกคนน่ะแหละ

นอกจากว่า ไม่ได้คำนึงถึงวันเกิดกัน อย่างคนยากๆจนๆ หรือคนอยู่ในวงนอกๆ ชนบทอะไรนี่ ไม่ได้ ไปคำนึงถึง วันเกิดวันแกดอะไรหรอก ก็ไม่มีลัทธิ...ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในวันเกิด ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าทำซิ นึกถึงวันเกิด วันเกิดเราควรทำอะไร วันเกิดจะทำอะไร เสร็จแล้ว ไปทำตามลัทธิ หรือ ทำตาม ความนิยมของคนที่นิยมผิดๆ วันเกิดนี่ เราจะต้องได้ของขวัญ วันเกิดเราจะต้อง เป็นผู้ได้ ...ผิด วันเกิดเราจะต้องเป็นผู้ให้ วันเกิดเราจะต้องทาน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะให้ ผู้ที่มีพระคุณ เป็นกตัญญูกตเวที...ดี วันเกิด ต้องให้ของแก่พ่อแก่แม่ ไม่ใช่วันเกิดของเรา พ่อแม่ต้องเอามาให้ฉัน พี่ต้องเอามาให้ฉัน น้องต้องเอามาให้ฉัน เพื่อนต้องให้ของฉัน เพราะวันเกิดของฉัน ไม่ควร

เราควรจะให้เพื่อน ให้พี่ ให้น้อง ให้ผู้มีพระคุณ ให้แก่ครูบาอาจารย์ ให้แก่ผู้ที่มีคุณค่าประโยชน์ แก่ประเทศชาติ แก่ใครก็แล้วแต่ วันเกิดของเรา เราทำบุญทำทานอย่างนี้ ต้องกตัญญูกตเวที ถ้ามีปัญญาก็ว่า เออ...ทำกับคนที่มีกตัญญูกตเวที ...เราควรกตัญญูกตเวที แก่ผู้ที่มีพระคุณแก่เรา อย่างนี้ดี การทำอย่างนี้เป็นวันเจริญ วันเกิดเราได้ทำสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความถูกต้อง อย่างนี้ดี วันเกิดของเราแบบนี้ดี ไม่ใช่ว่าจะไปโลภโมโทสันเอา มาให้แก่ตัวเอง เห็นไหม นี่ก็กลับกัน เห็นมั้ย วันเกิดก็ทำกันผิดๆมานาน วันเกิดของฉัน ฉันจะต้องได้ ไม่ถูก วันเกิดของฉัน ฉันจะต้องจ่าย ต่างหาก ฉันจะต้องให้แก่ผู้นั้นผู้นี้ไปให้มากที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ แล้วก็อย่าอ้าขา ผวาปีก เตี้ยอุ้มค่อม เกินไปล่ะ ไม่ค่อยจะมีก็ยังไปแอ๊ค ไปยืมคนนั้นมาให้ ไปยืมคนนี้มาให้ บ้ากันเท่านั้นเอง ไม่ถูกต้อง เรามีก็พอสมควรที่จะให้ได้ก็ให้ เป็นทาน หรือเป็นการเสียสละ เท่าที่เราจะทำได้ ก็เป็นกุศล เป็นบุญกุศลแท้ๆ เป็นทรัพย์ของเรา เป็นทานของเราจริงๆ นี่ก็เรื่องทำทาน ทำบุญ

ลึกซึ้งขึ้นไปกว่านั้น วันเกิดเรา อาตมาบอกแล้วว่า เราจะต้องมีความสุขที่สุด เราจะต้องทำดีที่สุด อย่างสัมมาทิฏฐิ นี่เป็นคำตอบว่า วันเกิดทำอะไร วันเกิดควรจะทำให้ชีวิตของตนเองสุขที่สุด ดีที่สุด อย่างสัมมาทิฏฐิที่สุด เพราะฉะนั้น เมื่อกี้ก็ขยายความมาแล้วว่า สุขที่สุดนี่ สุขอย่างโลกๆนั่นน่ะ ยังไม่สุขที่สุดหรอก สุขอย่างโลกียะ สุขัลลิกะเป็นสุขหลอกลวง สุขที่อาตมาเคยแปล หลอกลวง สุขัลลิกะ แปลว่า สุขตอแหลนี่ มันไม่ใช่สุขที่แท้จริง มันไม่ใช่สุขที่ดี มันไม่ใช่สุขที่ประเสริฐ วูปสโมสุข หรือเป็นสิ่งที่พ้นทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่สมโลภสมอยากนี่ซิ สุขสงบระงับ เป็นความสุข ที่ได้สงบระงับ ไม่บำเรอความอยาก นี่เป็นความสุขที่เจริญ เป็นความสุขที่ดี เป็นการชำระกิเลส เป็นบุญด้วย บุญนี่ชำระกิเลส ชำระที่เราอยากได้อะไรมาบำเรอตนนี่ มันเป็นกิเลส เป็นสมุทัย ของอริยสัจ เราก็ล้างกิเลส ความอยากได้อะไรมาบำเรอสมใจนี่ เป็น...อยากได้สมใจอะไรต่ออะไร นี่...ล้าง เพราะฉะนั้น ในวันเกิด เราควรทำใจในใจของเรา ไม่อยากได้อะไร ไม่โลภอะไร แล้วจะไม่โกรธ อะไรใครเลย ฟังดีๆนะ เพราะฉะนั้น วันที่จะสุขคือ สงบจากกิเลส สงบจาก ความโลภ ให้ใครมาเอาใจเรา ให้ใครมาบำเรอเรา แหม...วันเกิดเรานี่ จะต้องน้อยใจเก่งด้วยนะ ดูซิคนไม่มาวันเกิด จำวันเกิดฉันก็ไม่ได้ ช่างน้อยใจ แบบนี้ซวยหมดเลย อย่าไปทำใจอย่างนั้น ต้องทำใจในใจ ให้อย่าไปน้อยอกน้อยใจ ใครเขาจะจำวันเกิดของเราไม่ได้ ก็ช่างเขาเถอะ

ใครจำได้ก็แล้วไป ใครจำได้แล้วก็จะพากันทำดีอะไรก็ทำ วันเกิดของเรานี่เราเคยพาทำสิ่งที่ดีกัน ก็มาชวนกัน หรือว่าเราลืมวันเกิด อย่างอาตมาลืมวันเกิด คุณก็มาเตือน นี่วันเกิดท่านนะ อ๋อ เหรอ ... เอ ดีแล้ว เราจะได้ทำดี ไม่อย่างนั้น วันเกิดนี่มันควรจะเป็นวันสำคัญ ที่เราจะได้ตั้งตัวดีๆ ตั้งใจดีๆ ได้ทำสิ่งที่ดีขึ้น ให้มากที่สุด ให้ลึกซึ้งที่สุดให้ได้ เราก็จะเป็นประโยชน์ต่อตน ต่อท่าน เพราะว่า คนที่มีคุณธรรมที่ดีนี่ เป็นประโยชน์ตน คือคนอื่นจะได้ประโยชน์จากเราทันที สัจจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราจะเกิดประโยชน์ตนก็คือ เราจะมีคุณค่ามีประโยชน์ คนอื่นจะได้คุณค่าประโยชน์ จากเรา ไปทันที มันไม่ค้านแย้งกันเลย สัจธรรมมันจะไม่ค้านแย้งกัน มันจะสอดคล้องกัน อย่างที่ว่านี้

เมื่อเรานึกถึงว่า เราจะต้องมีสุขที่สุด เราจะต้องนึกถึงสุข ที่ลึกซึ้งให้ดี สุขอย่างที่เหลวไหล อาตมาพูดมาแล้ว ตั้งแต่อบายมุข หรือมาสมในลาภ ยศ สรรเสริญ เมื่อกี้ก็พูด กตัญญูกตเวทีแล้วว่า เราจะต้องเป็นผู้ที่สมโลภ เราควรจะได้นะ วันเกิดนี่ ต้องคนเอาของ เอาเขิงอะไรมาให้ ไม่เอา มาสรรเสริญเยินยอก็ไม่ต้องหรอก วันเกิดของท่าน ก็มาสรรเสริญเยินยอกันใหญ่ ไม่ต้องก็ได้ ไม่มีความจำเป็นอะไรมากมาย จะมาตั้งยศ ตั้งฐานะให้ในวันเกิด ก็ไม่ต้อง ไม่ต้องไปติดใจ อยากจะได้ลาภ อยากจะได้ยศ อยากจะได้สรรเสริญ หรือจะต้องเป็นสุขอย่างโลกีย์

ฟังดีๆนะ วันเกิดคือวันที่จะต้องทำชีวิตให้สุขที่สุด แต่ไม่ต้องสุขอย่างโลกีย์ นี่แหละโลกุตรบุคคล เป็นบุคคลที่จะต้องรู้ว่า เราเคยติดรสโลกีย์ ได้สุขอย่างโลกีย์มานานแล้ว วันนี้เป็นวันเกิด ต้องทำใจ ให้ดีเลย จะต้องมีปัญญา เราจะต้องศึกษาให้เป็นวันที่ไม่ได้รับโลกียสุข แต่จะต้องเป็นวันที่สงบ หรือเป็น วันที่โลกุตร ใจของเราจะต้องว่างจากความโลภมาบำเรอตน จะต้องไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่มีความไม่สบายใจ ความไม่ชอบใจอะไร จะต้องทำใจให้ว่างจากกิเลสทั้งมวล ให้สะอาด ใครจะมายั่ว ใครจะมายวน ใครจะมาอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ไปเกิดโลภ โกรธหลงให้ได้ จึงเรียกว่า วูปสโมสุข เรียกว่า สุขอย่างสงบระงับ ในวันเกิด เราจะต้องทำใจในใจ นี่ระดับปรมัตถ์แล้วนะ นี่มันเข้ามาถึงขั้นระดับ ปรมัตถ์แล้ว ต้องทำใจในใจ ให้สงบระงับ อย่างนี้ นี่ วันเกิดควรจะทำอย่างนี้ วันเกิดทำอะไร ทำอย่างนี้ วันเกิดจะทำอะไร ทำอย่างนี้ แล้วจะไปสุขที่สุด วูปสโมสุขนี่จะเป็นสุข อันประเสริฐ สุขพิเศษ ไม่ใช่แค่โลกียสุขเท่านั้น ต่ำต้อยไป

ทีนี้คนโลกๆเขาก็จะสุขกันแบบโลกียสุขกัน เขาพากันไประเริงบันเทิง อย่างที่พูดไปต้นๆ อบายมุข ก็ตาม ไปหาทางได้ จะได้อะไรก็แล้วแต่ ได้ลาภ ได้ยศ หรือเสพกาม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เอาล่ะ เสพกามหยาบๆน่ะ อาตมาถือว่า พวกเสพกามหบาบๆนี่ เป็นอบายมุข ทั้งนั้นน่ะ ไปเที่ยวซ่อง ไปเที่ยวอะไรนะ ปล่อยตัวใหญ่เลย วันเกิดแท้ๆทำเละๆเทะๆ อย่างนั้นมันเป็นความต่ำ อบายมุขแล้ว แม้ไม่อบายมุข สูงขึ้นมา กามก็ไม่ต้องเสพซิวันนี้ เรื่องผู้หญิงผู้ชายก็ตาม ลดลงไปด้วย นั่นแหละ จะยิ่งสงบระงับ ทำตนให้เจริญ ทำตนให้เป็นอริยะ ทำตนให้ประเสริฐ ศีลสูงขึ้นด้วยซ้ำ เป็นวันที่ อย่าว่าแต่เสพกามเลย ในเรื่องผู้หญิงผู้ชายเลย แม้แต่ตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณห้านี่ ก็เป็นกาม จะต้องได้กินของอร่อย ถึงจะเป็นวันเกิด นั่นแหละโลกียสุข สิ่งที่ยังต่ำอยู่ ไม่เอา วันนี้ไม่ต้องกินอร่อย อะไรก็ได้วันเกิดนี่ อย่างที่อาตมาบอกแล้ว ดีไม่ดีอดมันซะเลย ยิ่งดีใหญ่ หรือไม่อดก็กิน แล้วก็พยายาม พิจารณาจริงๆว่า โอ๊ย! นี่อาหาร เขาก็จะมายั่ว มาปรุงอร่อยมายั่ว วันเกิดท่านนะ วันเกิดคุณนะ เอาไปเลย ปรุงอย่างยั่วเลยนะ อาหารก็อร่อย แสงเสียงสี เพลงไพเราะ อะไรก็แล้วแต่ เอามายั่วๆๆ เราก็พยายามอย่าไปตกเป็นทาส ที่เขามายั่วให้ได้ แม้เขาจะมีมา เราห้ามไม่ได้ล่ะ มีคนศรัทธาเลื่อมใส มีคนรัก มีคนนับถือบูชา เขาก็จะเอามาให้ เจตนาจะเอามายั่วยุก็ตาม เจตนา ไม่ยั่วไม่ยุก็ตาม ด้วยความจริงใจ ไม่ได้เอามายั่วยุหรอกนะ แต่คิดอย่างนี้จริงๆ น่ะ แหม.. ท่านควร จะได้กินของอร่อย ควรจะได้ของประณีต ควรจะได้ของราคาแพง ควรจะได้ของ ที่ยอด แบบโลกีย์ โดยตามเขา ที่เขาไม่รู้ตัว เขาไม่ค่อยเข้าใจหรอก เขาก็เอาอย่างนั้นมา

เจตนาเขาไม่ได้เอามายั่วยุเราหรอก เจตนาเขาอยากจะให้เราได้เสวยของดี เราจะต้องตั้งหลักตั้งใจ ให้ดีๆนะ นี่มาแล้ว ยั่วมาเลยนี่ วันเกิดเขาก็ปรุงแต่ง มาอย่างเพี้ยบเลย เพื่อที่จะมายั่วให้เราตกหลุม แล้วจะได้เกิดกิเลส ระวัง ระวัง วันเกิดแล้วเราก็จะต้องตกหลุมอย่างนี้ มันห้ามไม่ได้ ยิ่งดัง ยิ่งเป็น คนมีคุณค่า ยิ่งเป็นคนที่เขารักนับถือ เลื่อมใสยกย่องบูชา เขาก็จะเอามา มันห้ามไม่ได้ คนไม่รู้ ก็มีเยอะแยะ ใช่ไหม คนที่อวิชชา คนที่ไม่เข้าใจ แต่เขาเจตนาดีนะ เขาว่า

๒. ท่านควรจะได้ฉันอาหารอร่อยๆ ท่านควรจะได้สิ่งที่ประณีต แบบรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แหม หอมกรุ่นมาทีเดียว สีสวยมาทีเดียว ตกแต่งมาอย่าง โอ้โห! วิภูสนัฏฐานาเลยนะ เป็นฐานะแห่ง การตกแต่งเลย เราจะต้องเว้นขาด ในฐานะแห่งการตกแต่งพวกนี้ให้ได้ แต่เขาก็ตกแต่งมา ประดับ ประดา ประดิษฐ์ประดอยมาทีเดียว มาบำเรอเรา เราต้องตั้งหลักให้ดีๆ วันนี้วันเกิดเรา เราอย่าตก เป็นทาส สิ่งเหล่านี้เป็นอันขาด ถ้าเราได้ตั้งหลักดีๆแล้วก็ได้ปฏิบัติอย่างนี้ซิ เป็นวูปสโมสุข บอกแล้ว ว่าวันเกิด จะต้องเป็นวันอย่างไร ต้องทำชีวิตของตนเองให้สุข ประเสริฐที่สุด ให้เป็นความสุขที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าสุขแต่แค่โลกียะแค่นั้นก็...ในโลกเขาก็ทำกันอยู่แล้ว ในฐานะของเขาที่ไม่รู้ เขาก็ตกกระได ขาเป๋กันเยอะเลย วันเกิดก็บำเรอตนซะอ่วมเลย แหมรูปก็พรั่งพร้อม รสก็พรั่งพร้อม กลิ่นเสียงพรั่งพร้อม บำเรอตัวเอง แหมตกใต้ถุน (พ่อท่านหัวเราะ) ตกสวรรค์ แต่เขาว่า เขาได้สวรรค์ นะ แต่เป็นสวรรค์ลวงน่ะ เคยบอกแล้วเคยอธิบายให้ฟังแล้วว่า คนใดที่ได้ย้ำ ได้บำเรอตน ในรูป รสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นสวรรค์ลวง ได้สมใจในรสอร่อยของโลกียะ เราก็ยิ่งย้ำใจ ยิ่งประทับใจ ก็ยิ่งชื่นใจ ยิ่งชอบใจ ยิ่งอยากจะได้อีก กิเลสมันก็หนาขึ้น นั่นน่ะมันก็ซวย เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้เท่ารู้ทัน เป็นผู้ที่มีปัญญาในทางธรรมต้องเข้าใจอันนี้ให้ได้ แล้วอย่าไปย้ำ แล้วอย่าไปทำให้ตนเอง วันเกิด โดยเฉพาะ วันเกิดตนเอง ต้องมีปัญญาดีๆ จะต้องศึกษา และต้องเข้าใจ อย่างสัมมาทิฏฐิ อย่าไปเพิ่ม กามคุณห้า ให้แก่ตนเอง โลกธรรมเมื่อกี้พูดแล้ว ลาภยศก็ตาม

วันเกิดของเรา ไม่ใช่วันที่เราจะต้องได้ วันเกิดของเราจะต้องเป็นวันที่เราเสียสละ หรือจ่ายต่างหาก ถ้าเรามีจะจ่าย ถ้าเราไม่มีจะจ่ายก็อย่าไปบ้า ไปกู้หนี้ยืมสินไปหาทางมาจ่าย มาอะไรไม่เข้าเรื่อง มีเท่าไหร่ก็จ่าย มีเท่าไหร่ก็ทำทาน มีเท่าไหร่ก็เสียสละ แล้วทานต้องมีปัญญา ดังที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น แม้แต่กามคุณห้า ก็ไม่ควรบำเรอตน วันเกิดควรทำอะไร เอ๊! ชักจะไม่ค่อยเข้าท่านะ ตาย! ที่ทำมาน่ะ มันผิดมาตลอดสายเลยมั้ย หือ? ผิดมั้ย? ผิดมาตลอดสายเลย ตาย!...วันเกิด ทำอย่างไร วันเกิดทำอะไร ทำแต่เรื่องไม่เข้าร่องเข้ารอย ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิกับพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น วันเกิดเราต้องศึกษาจริงๆ ทำดีๆ ไม่ให้เกิด แม้กระทั่งโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ติดในโลกียสุข เป็นกามสุขัลลิกะ บำเรอด้วย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่ต้อง หรือถ้าคุณห้ามไม่ได้ เขาเอามาบำเรอ ต้องตั้งใจ ตั้งใจแล้ว โอ้โห!...มาแแล้วนี่ อาหารก็ยั่วยวนมาทีเดียว ตั้งใจอย่าให้เป็น การหลงในกามคุณ รสนั้นต้องตั้งใจสู้ ให้เป็นโลกุตรธรรม ทำจิตให้ว่างให้กลาง ไม่หลงไปในรส ในรูป ในกลิ่นในเสียงในสัมผัส เขาจะมีอะไรมา เราห้ามไม่ได้สุดวิสัย ต้านไม่ได้ เขาจะเอามาให้ คุณก็ต้องตั้งรับ แต่ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องเอามาหรอก นี่วันเกิด อาตมาไม่ต้องเอาดนตรีมาเล่นหรอก อาหารไม่ต้องหรูหราฟู่ฟ่า โอ้โห! มันเป็นไปได้นะนี่ อาตมาประสบผลสำเร็จพอสมควร วันนี้ วันที่ ๕ วันเกิด ไม่อย่างนั้น โอ้โห!ตาย... ถ้าไม่อย่างนั้นนะ ปล่อยไปกันใหญ่ แล้วพวกเรานี่ แสดงว่าพวกเรา มีปัญญาแล้วเข้าใจ แต่ละคน แต่ละคน ก็ไม่ต้องอะไรมากมาย โอ๊!ดี นี่ทำถูกต้องแล้ว นี่ปกติขนาดนี้ ก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะ นี่ขนาดนี้

คนไม่รู้เขาจะเอามาเอง คนรู้แล้ว เอามาทำไม ใช่มั้ย คนรู้แล้ว ไม่ต้อง คนไม่รู้ เขาจะเอามาเอง คนเขารู้ว่า เอ๊ย! วันเกิดอาตมา เอ้า!...จะต้องไปทำบุญกับท่าน เขาก็เอามาเลย ตามประสา เขาปรุงแต่งมา อย่าง...นี่คนเขาไม่รู้ เขายังไม่เข้าใจในโลกุตรธรรม เขาไม่เข้าใจ ในสัจธรรมที่ดี เขาจะต้องเอามาเอง แล้วมันต้องมี พอ...เหลือ... ไม่ต้องมา ให้หรูหราฟู่ฟ่า เพื่ออวดเพื่ออ้าง โอ๊! วันเกิดเรานี่ โอ! คนเอามาประโคม ประคบ ประหงม เอามากันเต็มเลย โอ้โฮ! กินกันไม่หวาดไม่ไหว เอาไปแจก ก็ยังไม่พอ เอาไปแจกหมูแจกหมาอีก มันเยอะ ไม่ไหวหรอกแบบนี้เสียเศรษฐกิจด้วย แล้วก็ เหน็ดเหนื่อยด้วย แล้วก็ไม่สมควรจะเป็นตัวอย่างอันไม่เข้าท่า มันเป็นตัวอย่างอันไม่เข้าท่า มันกลับกันแล้ว มันซ้อนเชิงแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่มีคุณธรรมสูง มีคนเคารพนับถือบูชา โอ๊!กลับ ไม่มีอะไรเป็นปกติสามัญ พอเป็นไป ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป พอเป็นพอไป หรือจะน้อยไปหน่อย ก็ยังดีด้วยซ้ำ ว่าเออ...ท่านก็น้อยนะ ทุกคนเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมา แต่ว่าไม่ต้องไปบำรุง บำเรออะไรกัน มีคนมารับฟังธรรม

เออ...วันพิเศษอย่างนี้ มาพบท่าน ท่านเผื่อจะมีอะไรดีแจก ท่านไม่บอกก็ตามเถอะ เผื่ออาจจะมี อย่างวันนี้เป็นต้น ก็บอก...ไม่มีอะไรหรอกครับ วันที่ห้า มีวันเกิดก็ไม่มีอะไร จริงๆ อาตมาไม่ได้เตรียม ว่าจะมีอะไร อาตมานี่จริงนะ วันนี้มีคนบอกว่า ขอให้วันที่ ๕ มิถุนา นี่เป็นวันเกิดท่าน ท่านช่วยเทศน์ ให้หน่อยเถอะ เขาบอกไว้จริงๆนะ ท่านกุสโลจำได้ อาตมาลืมจริงๆ ก็รับปากไว้แล้วลืม เมื่อเช้านี้ ท่านกุสโลมาถาม บอก...พ่อท่านจำได้มั้ย ว่าวันเกิดวันที่ ๕ พ่อท่านจะต้องเทศน์ให้เขานะ มีคนมา ขอให้เทศน์ แล้วเขาก็จะจองเท็ปนี้พันม้วนเขาบอก บอกเออ!บอกว่า ผมจำได้ นึกได้นึกได้ ลืมแล้ว ใครไม่รู้ แล้วเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ท่านก็เลยบอกอาตมาว่าเรื่องนี้แหละ เรื่องว่าวันเกิดจะทำอะไร วันเกิดทำอะไร ว่า อ๋อ! เออ! ใช่...ใช่ คิดได้ คิดได้ คิดได้แล้ว ท่านมาทวนสัญญา อาตมาก็เลยบอก เออ...ดี เอาล่ะตกลง อาตมาก็จะเทศน์ ก็ถึงได้บอกเมื่อเช้านี้ขึ้นมา ลืมจริงๆ ไม่ได้ไปนั่งผูกมัดยึด แต่มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกนะ ขี้ลืมมากเกินไปอย่างนี้ก็เสียความ (พ่อท่านหัวเราะ) เสียเรื่อง เสียงานเหมือนกัน มันก็เป็นข้อบกพร่องชนิดหนึ่งเหมือนกัน ก็บอกให้ทราบ อย่าไปขี้ลืม อย่างอาตมา มากนัก ที่จริงอาตมาไม่เจตนาจะขี้ลืมหรอก เรื่องมันเยอะนะ เพราะเรื่อง บางสิ่ง บางอย่างก็ไม่ได้... ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาตมา แหม ทำเป็นวันเกิดตัวเอง จะทำเขื่อง ทำหรูอะไรนี่ ไม่เอา ไม่ต้องไป นั่งติดยึดอะไรมากมาย ประเดี๋ยวจะกลายเป็นเราอะไร ต้องสำคัญที่เรา อะไรวันสำคัญ ของเราอะไร ตัวกูของกูมันจะเกิดขึ้นมาก ก็ไม่พยายาม แต่ขนาดนั้น มันก็ยังมีงาน ที่จะต้องทำ งานในวันเกิด จะต้องมีโน่นมีนี่ มันมีเองของมันแหละ อย่างเราเป็นคนสำคัญ ในเรื่องที่จะสำคัญ มันจะสำคัญ ของมันเอง มันจะเกิดเอง นี่ก็ได้เทศน์เรื่องสำคัญ อาตมาก็ต้องมานึกว่า วันนี้จะต้องเทศน์เรื่อง ทำอะไรวันเกิด หรือ วันเกิดจะทำอะไรดี คล้ายๆ อย่างนี้ แต่อาตมาว่า ตั้งชื่อว่า วันเกิดจะทำอะไรดี มันไม่น่าฟัง เพราะฟังแล้วมันรู้สึกง่ายๆ รู้สึกไม่เป็นชื่อที่น่าจะฟัง น่าจะสดุดใจ หรือว่าน่าจะ ขวนขวายหาชื่อ ที่น่าจะฟัง น่าจะสะดุดใจ หรือว่าน่าจะขวนขวายหามาฟังมากเท่าไหร่ แต่ถ้าบอกว่า วันเกิดทำอะไร ตั้งชื่อไว้แค่นี้ มันภาษาความไม่เสียกันหรอก อาตมาว่าฟังดีกว่านะ ชื่อเรื่องเท็ปม้วนนี้ว่า วันเกิดทำอะไร หรือ ทำอะไรวันเกิด ดีกว่า บอกว่าวันเกิดจะทำอะไรดี มันเบาไปนะ มันเบาไป ทำอะไรวันเกิด เออ...อย่างนี้เข้าท่า...นะ

อาตมาก็ได้สาธยายมาแล้วว่า ทำอะไรวันเกิด มาเรื่อยๆ จนกระทั่งขณะนี้ มาสาธยายถึงตอนที่ว่า แม้แต่เรื่องของกาม เรื่องของความสุขที่จะบำเรอตน ก็ต้องเรียนรู้ แล้วก็ลดให้ได้อีก ลดให้ได้ แม้แต่ที่สุด ไปจนกระทั่งให้ลึกซึ้ง เป็นความสุขที่ วูปสโมสุข ที่สงบระงับยิ่งไปกว่านั้น สงบระงับ ไปอะไรล่ะ เราก็เป็นผู้ที่สบาย เป็นผู้ที่มีคุณค่า เป็นผู้ที่มีคุณงามความดี ไม่ติดยึดในตัวตน เมื่อย วันเกิดนี่ จะตัองทำงาน...นะ... เอาล่ะตอนนี้เข้ามาถึงบทบาท วันเกิดจะทำอะไร ทำงาน แนะ วันเกิดทำงาน ไม่ใช่วันเกิดคือฉันไม่ทำงาน แล้วฉันจะสำมะเลเทเมามันทั้งวันน่ะ วันนี้ กินสูบ ดื่มเสพมัน ให้เต็มที่เลย อย่างที่ต้นๆพูดไปแล้วนั่น เละเลย เสียหายไปหมด หนอย! วันเกิด เป็นวันที่ ไร้ค่าเสียอีก นอกจากไร้ค่า ยังผลาญพร่าไปอีก ว้า! นอกจากผลาญพร่าไม่พอแล้ว ยังเป็นตัวอย่าง เป็นแบบ ยิ่งเราเองเป็นคนที่มีคนนับถือ เป็นคนที่เขามองว่า เราเป็นตัวอย่าง เป็นตัวแบบ เป็นคนที่ เขาจะเอาอย่างตามด้วยนะ จะเป็นดารา จะเป็นคนมีชื่อเสียง จะเป็นคนที่มีคุณค่า เขาก็ยอมรับ นับถือในสังคมอย่างไรก็แล้วแต่เถอะ เรายิ่งไปเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีไม่งาม มันยิ่งแย่ใหญ่เลย เขาจะเอาตามนะ แม้แต่คิดดูซิ อย่างดาราหนัง ดาราละคร อย่างนี้ ทุกวันนี้ มันซ้อนเชิงนะ ดาราหนัง ดาราละคร ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่คนวัยรุ่น คนที่กำลังตามพระเอก คนที่กำลังหาฮีโร อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่าเด็กๆหนุ่มๆสาวๆ เขาพยายามที่จะหาฮีโร่ ประจำใจ เพื่อที่จะเอาอย่างตาม เพราะเขาอยู่ในวัย ในวาระที่เขาจะต้อง หาคนที่ประทับใจ หาคนที่จะเป็นตัวแบบ

ถ้าพ่อแม่เป็นตัวแบบได้ดี เขาก็จะเอาพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เป็นตัวแบบไม่ดี เขาก็จะเอาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ไม่ดี เขาก็จะเอาคนอื่นคนใดก็แล้วแต่ ที่จะเป็นตัวแบบ เป็นธรรมชาติของมัน เป็นธรรมชาติของมนุษยชาติในโลก เพราะฉะนั้น ถ้าคนไหนที่เขาศรัทธาเลื่อมใส ชอบใจพอใจ ก็ควรจะระมัดระวังตัวให้ดี ต้องเป็นตัวแบบที่ดี แล้วยิ่งเป็นตัวแบบที่ลึกซึ้งได้... มันยิ่งวิเศษ เพราะฉะนั้น จะเป็นดารา เป็นโน่นเป็นนี่อะไรนี่ ถ้าเป็นตัวแบบที่ลึกซึ้งได้วิเศษ อย่าไปให้คนเขามา ติดยึด แล้วคนในจำนวนวัยรุ่นนี่มันเยอะ แล้วมันก็แรงด้วย ทุกวันนี้ วัยรุ่นนี่ นอกจากเยอะแล้ว แรงและเอาตามเร็ว ทั้งเร็วทั้งแรงด้วย ถ้าดี...เร็วแรง ได้... สวยเลย จะเป็นวัยรุ่นหรือวัยแก่ วัยหนุ่ม วัยสาวอะไรก็ตามใจเถอะ ถ้าตามอย่างดี มันยิ่งเร็ว ยิ่งแรง ยิ่งดี แต่ถ้ามันตามอย่างที่ไม่ดี ยิ่งเร็วด้วย ยิ่งแรงด้วย มันก็ยิ่งบรรลัย พฤติกรรมของคนนี่ มันเกิดทุกขณะ ทุกวาระจิต ทุกกาละ ทุกวินาที ยิ่งกว่าวินาที พฤติกรรมมันเกิดตลอดเวลา

ถ้าเผื่อว่าเขาไปยินดี อย่างที่ไม่ดี ไปยินดีเอาสิ่งที่ไม่ดี เขาก็ต้องดำเนิน พฤติกรรม ของเขา ยิ่งแรงด้วย ยิ่งเร็วด้วย ยิ่งมากคนด้วย คิดดูซิว่ามันเสื่อมขนาดไหน ถ้าไปเอาที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น คนจะเป็น ตัวอย่าง จะต้องรู้ว่าตัวเองในโลกนี้ เราอย่านึกว่าเราเอง ไม่ได้หลงตัวหรอก แต่ว่า...เราอย่านึกว่า เราเองนี่ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ ฉันไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ฉันไม่ใช่คนดี คนดัง คนเด่นอะไร ไม่มีใครรู้ ใครเห็นหรอก ฉันจะทำชั่วช่างฉันเถอะ ไม่ควรดูถูกตัวเอง ไม่ควรประมาทตัวเอง อย่างนั้น ควรจะนึกบ้างว่า เอาเถอะ ถึงแม้เราจะเป็นธุลีละอองอันหนึ่ง ในสังคม เราจะเป็นเศษเล็กเศษน้อย อันหนึ่งของสังคมก็ตาม ก็ควรจะรักษาให้ตัวเองเป็นเศษ เป็นธุลีที่ดี อาจจะมีคนยอมรับนับถือ เห็นด้วย อยากจะเอาตามอย่างอยู่บ้าง ต้องระมัดระวัง อย่าไปทำเป็นกลบเกลื่อน ฉันไม่ใช่คนดี คนเด่น คนดังอะไร ช่างเถอะ ฉันทำอะไร ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำชั่วทำเลวอะไรนัก ก็ไม่เสียหายอะไร

ไม่ควรจะพูดอย่างนั้น ไม่ควรจะคิดอย่างนั้น และไม่ควรทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะต้อง ระลึก ยิ่งความจริงแล้ว เราเป็นคนดี หรือเป็นคนเด่น หรือเป็นคนดัง เป็นคนที่คนจะเอาอย่างตาม เป็นคนเคารพนับถือ ยิ่งถึงขั้นบูชาด้วย เขาเคารพนับถือบูชา ยกย่องด้วย เรายิ่งต้องระมัดระวังตัว ให้ดี ทำสิ่งที่ดี จะได้เป็นตัวอย่างที่ดี นำพาดี ต้องลึกซึ้ง ต้องเป็นคนที่ลึกซึ้ง เป็นคนที่ทำสิ่งที่มี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ซับซ้อนลึกซึ้ง ที่ดีที่งาม ที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งอาตมาบอกตายตัวไม่ได้ บอกตายตัวไม่ได้จริงๆ

อาตมาก็ว่า อาตมาทำดีที่สุด แม้บางทีอาตมาร้องเพลง อาตมาไม่ได้ร้องเพลงอย่างเลวร้าย เลวทราม อาตมาร้องเพลง อย่างที่มีโอกาสกาละ และทำเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า ไม่ใช่ทำ ด้วยกิเลสตัณหา ไม่ใช่ร้องเพลง เพราะอาตมาอยาก ไม่ใช่ว่าอาตมาร้องเพลง เพราะบำเรอตน อาตมาบอกแล้ว กาละทุกวันนี้ อิทธิพลของเพลงมีมาก อาตมาจะต้องเสนอ หรือว่ากระทำ สิ่งที่เรียกว่าเพลง ตามที่อาตมามีความสามารถด้วย และทำให้เป็นคุณค่าประโยชน์ นี่เป็นฐานะ ของอาตมา เป็นสิ่งที่อาตมารู้ตัวเองดีว่า อาตมาควรทำหรือไม่ควรทำ อย่างนี้เป็นต้น หรือแม้ว่า จะทำตน จะมีกิริยา กาย วาจา ใจ จะพูดจะทำตนอย่างไร ก็จะต้องประมาณ จะต้องคำนึง จริงๆ ว่าเราควรจะทำให้มันดีที่สุด เพราะฉะนั้น วันเกิดทำอะไร ทำความสุขให้แก่ชีวิตที่สุด ทำความดี ที่สุด อย่างสัมมาทิฏฐิที่สุด จะต้องซับซ้อน อย่างแท้จริงเลย

ต้องเรียนรู้จริงๆเลยว่า ชีวิตของเรา กายกรรม วจีกรรมของเรา วันเกิดนี่เอาให้ดี กายกรรมวจีกรรมนี่ จะเป็นไปอย่างไร ต้องเป็นโลกุตระให้มากที่สุด วันเกิดนี่แหละ โลกุตรมากที่สุด และถ้าเผื่อว่า เราทำได้อย่างถาวร ทำได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าเราได้ฝึกปรือมา เราจะทำง่าย วันเกิดวันนี้ก็ทำได้ เพราะว่าฝึกฝนมาเมื่อไหร่ก็ทำได้ ทำได้โดยไม่ยาก ทำได้โดยไม่ลำบาก ทำได้โดยเป็นฌาน ทำได้โดย ไม่มีกิเลส นิวรณ์ ไม่มีกาม พยาบาท ไม่มีถีนมิทธะ ไม่มีอุทธัจกุกกุจจะ วันนี้เบิกบานร่าเริง ไม่มีถีนมิทธะ วันนี้ไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งซ่าน ไม่ได้เรื่อง...ไม่มี วันนี้ไม่วิจิกิจฉา วันนี้เข้าใจอะไร ต่ออะไรชัดเจนดีจริงๆ วันนี้ได้ประพฤติปฏิบัติ ได้กระทำอะไร จะเป็นกายวาจาใจอย่างไรชัดเจน ทำสิ่งที่ดีจริงๆ ทำสิ่งที่เป็นสุขสงบ ไม่ใช่สุขอย่างโลกียะ ไม่ใช่สุขัลลิกะ ไม่ได้บำเรอตนเลย วันนี้จิตว่างโล่ง โปร่ง ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นจิตอุเบกขาฐาน มีฐานแห่งอุเบกขา เจตสิกอยู่จริงๆได้เลย นี่ยิ่งเป็นการทำที่ตนเอง ควรจะทำให้ได้ ทำได้ในวันนี้วันสำคัญนะ วันนี้วันคล้ายวันเกิด ไม่ใช่ วันเกิดจริงหรอกนะ แล้วเราก็มีภูมิปัญญา แล้วก็ใช้วัน ใช้โอกาสนี้ทำได้ยิ่งมีคนมางาน วันเกิดนะ นี่ มีคนมารับฟัง รับเห็น รับสัมผัส รับคิด รับรู้ แล้วมีโอกาสอย่างอาตมานี่

เอานะ ทีนี้คำตอบของอาตมา วันเกิดจะทำอะไร อาตมาก็จะต้องบอกว่า วันเกิดอาตมาไม่ห่วง เรื่องสุข ไม่ห่วงเรื่องสุข อาตมาก็จะต้องทำ คำนึงถึงเรื่องดี ทำอะไรดีที่สุด อาตมาจะทำทาน ทานอะไรดีที่สุด ที่เหมาะสมกับฐานะของอาตมา อาตมามีเงินมั้ย...ไม่มี อาตมามีทุนรอน จะไปเลี้ยงอาหาร คนอื่นมั้ย...ไม่มี ทานอย่างนี้ไม่ได้ อาตมาจะทานวัตถุเงินทองก็ไม่มีให้ทาน จะทานข้าว ทานน้ำให้แก่ผู้อื่น อาตมาก็ไม่มีฐานะจะทำได้ จะทานอะไร วัตถุทานไม่มี อภัยทาน... อาตมาอภัย อยู่ตลอดเวลา วันนี้จะอภัยอะไรอีก ก็ไม่รู้จะมีอภัย อะไรอีก ก็อภัยอยู่ตลอดเวลา อาตมาอภัยอยู่ทุกวัน อาตมาว่าอาตมา ไม่ต้องอภัยใครหรอก เพราะมันอภัยไปในจิตแล้ว จิตอาตมา เป็นตัวอภัยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นยังเหลืออะไรล่ะ ธรรมทาน อาตมาจะทำธรรมทาน วันนี้อาตมาจะ ทำอะไร ทำอะไรวันเกิด โพธิรักษ์ทำอะไรวันเกิด ทำธรรมทาน วัตถุทานก็ไม่มีวาสนาได้ทำหรอก เพราะไม่มีวัตถุไปทาน อภัยทานก็อภัยอยู่แล้วด้วย ใครไม่เชื่อก็...เอ้าไม่เป็นไร ใครมีอะไรยังติดใจ ก็มาบอกด้วย อภัยอยู่แล้ว อาตมาทำใจอภัยอยู่ตลอดโลกอยู่แล้วเสมอๆ เพราะฉะนั้น อันนั้นก็รู้ยาก

ทีนี้ทำธรรมทานนี่ เป็นทั้งรูปธรรมได้ด้วย อาตมาก็จะเทศน์ เห็นมั้ย ธรรมทานนี่เป็นเทศน์ มันมี บางปีนะ มีคนพิมพ์หนังสือให้อาตมาแจกวันเกิด อ้าว! เขาก็ทำให้ เพราะอาตมาไม่มีสตางค์หรอก เขาบอกท่านทำซิ ฉันออกทุนให้พิมพ์ วันเกิดท่าน ท่านทำหนังสือเป็นธรรมทาน เป็นวัตถุ เอ้า!ก็ทำบางปี แต่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่า ให้พวกคุณมาเฮละโลให้ทำนะ มันคิดได้ตอนนี้ มันคิดได้ ก็เลยพูดออกไปผสมซะให้มันครบๆ ทำธรรมทานเป็นวัตถุ ก็มีพิมพ์หนังสือธรรมะ เทศน์นี่ ไม่ต้องยากนี่ เอ้า!ก็รับ... รับเทศน์ ก็เทศน์ พวกคุณก็มารับธรรมทานนี้ไป เทศน์นี้เขาจะเอาเป็นเท็ป เขาจะเอาไปแจก หรือเขาจะเอาไปขาย หรือจะเอาไปทำอะไร เอ้า! ว่ากันไป อีกเรื่องหนึ่ง ก็ทำต่อกันไป นี่มันก็จะเป็นธรรมทานออกไปเพื่อผู้อื่น

อาตมาก็มานึกเมื่อเช้านี้ เดินออกกำลังกาย วันนี้เทศน์ ต้องเทศน์ให้ดี พยายามเทศน์เรื่องนี้ให้ดี เขาตั้งเรื่องมาก็ดีแล้ว เรื่องนี้ดีนะ ทำอะไรวันเกิด นี่ดี จะเทศน์เรื่องทำอะไรวันเกิดให้ละเอียด ให้ชัดๆ พอในเวลาหนึ่งชั่วโมง นี่ก็เกือบจะครบชั่วโมงแล้ว มันจะได้อยู่ ในหนึ่งม้วนพอดี พอดี ว่าจะเทศน์ ให้มันละเอียด ให้เป็นระดับขั้นตอนไป ให้รู้โทษภัย ของวันเกิด ให้รู้บุญ หรือคุณค่าของวันเกิด ว่าเราได้ปฏิบัติตรงมั้ย ว่าเราไม่ได้ทำบาปให้แก่ตนเองในวันเกิดนะ เราไม่ได้ทำชั่วทำเลวให้แก่วันเกิด ของตัวเองนะ เราทำบุญ เราทำคุณค่าให้แก่ตัวเอง ในวันเกิด เราทำสิ่งที่ดีนะ และเราก็ทำความสุข ให้แก่ตัวเอง อย่างประเสริฐนะ ไม่ใช่สุขอย่างแค่ตื้นๆ เขินๆ ไปหยำเป เมาแอ๋เต็มที่แล้ว ก็จะเป็น ความสุข วันเกิดของฉัน ไปกินเชื้อโรคจากเค้กของใครมา ก็วันเกิด ฉันก็พ่นเชื้อโรคใส่เค้ก ให้คนอื่นได้กินไป แจกเชื้อโรควันเกิด ซวยมั้ย บาปมั้ย เป่าเทียนเค้ก ขี้ปากขี้ฟัน ขี้น้ำลายลงไปในเค้ก คุณจะมีเชื้อโรคมากเชื้อโรคน้อย อะไรก็ตามแต่ มันไม่ควรทั้งนั้นแหละ ใช่มั้ย เพราะฉะนั้น เค้กน่ะ ไม่ควรจะไปทำเลย ไม่ควรจะไปพ่นน้ำลายใส่เค้ก และตัดให้คนกิน เลิกวัฒนธรรมเค้กนี่ได้เลย มันเรื่องของเค้กจี้แท้ๆ เค้กจี้นี่ภาษาผวนก็ แปลว่า ขี้เจ๊ก ใครไม่รู้ฟังไว้ เค้กจี้นี่ขี้เจ๊ก อย่าไปทำเลย ลัทธิวันเกิดแบบนี้ มีการให้เค้กกัน แล้วก็มีการตัดเค้กกัน มีการกินเค้ก แจกเค้กกันอะไรนี่ แล้วก็เป่า แหมยิ่งอายุมากๆ ก็ยิ่งเป่าอย่างที่ว่าแล้วนี่ โอ้โห! ยิ่งพ่นแรงๆ ไอ้น้ำลายไอ้ขี้ กระเซ็นอะไร ยิ่งออกไป เต็มเค้กเลย ดีไม่ดีขี้เสลด มีเชื้อโรคติดลงไปด้วย จะเชื้อโรคมากน้อยก็ตามใจ มันไม่ควร ไม่มีเชื้อโรค ไม่ได้กินน้ำลาย คุณจะกินมั้ย มีน้อยหรือ มีมากก็ตาม ไม่เข้าท่า ไม่ควรทำ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง อย่างนี้เป็นต้น วันเกิดของเราควรทำอย่างไร ทำมาอย่างไร

แม้แต่บอกแล้วว่า เราเป็นคนไม่ควรจะต้องได้ วันเกิดเหมือนอย่างที่กล่าวแล้วเมื่อกี้นี้ โอ้ย! เขาปรุง แต่งมาเลย เขาไม่ได้เจตนาจะมายั่วหรอกนะ ด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ว่ามันอร่อย แล้วเราจะติด กิเลสอะไรนี่ เขาไม่ได้เจตนาก็ เอ้า! คุณต้องตั้งหลักของคุณเองแหละ เขามาให้คุณห้ามยากนะ ห้ามยาก เขาจะเอาวัตถุควรให้เอามาให้ เขาจะกตัญญูกตเวที อย่างอาตมานี่ เขาเอาวัตถุควรให้ มาให้ เอาสิ่งของควรให้มาให้ เอามาให้กิน เอามาให้ใช้ เอามาให้ทำประโยชน์ สืบสานต่อไป เขาควรให้ เราจะต้องเป็นผู้ตั้งหลัก อย่างสูงเลย เพราะฉะนั้น คนที่เจริญ คนที่เป็นพระอริยะสูงๆ จะมีคนเอามาให้มากๆ จะมีคนเอามาให้เยอะๆ ยั่วๆ เยอะด้วย จะมาทำบุญทำทานให้ก็มากๆด้วย ใจเราทีนี้ต้องตั้งหลักเลยทีนี้

ใจเราจะยินดีฟู่ฟ่า พอใจในสิ่งที่ เขาเอามาให้มั้ย ถ้าพอใจคนนั้นก็ซวย วันเกิดก็ได้กิเลส วันเกิดก็ได้ ดีใจฟูใจ พอใจ เต็มใจ ที่เขาเอามาให้ ยินดีในสิ่งที่เขาเอามาให้ นี่ก็เป็นกิเลสที่เราได้ ซวยไป คนที่ไม่มีภาวะ แข็งแรงอย่างนี้ อาตมาถามย้อน ควรจะรับของเขามั้ย คนที่จิตใจไม่แข็งแรง อย่างที่ อาตมาว่านี่ ไม่เป็นพระอริยะชั้นสูงนี่ เขาเอาของมาให้ เขาเอาไอ้โน่นมาให้ แล้วคุณก็จะต้อง เกิดกิเลส ชอบใจ ยินดีฟูใจ คุณก็ได้บาป ไอ้บาปอย่างนี้ มันซวย ยิ่งกว่าคุณได้ของมานะ ของราคา ห้าร้อย ของราคาแสนหนึ่ง เขาให้มาแสนหนึ่ง คุณได้เงินแสน แต่กิเลสที่คุณฟูใจน่ะ ราคาแพงกว่า แสน เขามาให้ล้าน กิเลสที่ฟูใจน่ะ มันแพงกว่าล้านนะ ยิ่งฐานะสูงเท่าไหร่ ยิ่งแพงซ้อนไปกว่านั้น เป็นสมณะนี่ รับของแพงๆ แล้วก็ฟูใจ ระวังเถอะทนไม่ได้ก็ซวย มั้บลงไปหนึ่งก็แพงขึ้นนะ แพงขึ้นนะ ฟังให้ทันนะ ฟังให้ชัดๆ เพราะฉะนั้น จริงๆแล้ว อย่าดีกว่า อย่าเอามาให้ดีกว่า เอามาให้ ประเดี๋ยว ฉัน แทนที่จะได้ของจริง แต่ได้กิเลสที่ราคาแพงกว่า เป็นทรัพย์แท้นะ กิเลสนี่ คือทรัพย์แท้ ที่จะติดตัวไป ถ้าคุณเป็นกิเลส ก็เป็นกิเลสจริงๆ คุณได้กิเลสน่ะราคาแพงกว่าสิ่งที่คุณได้รับ

ถ้าฐานะของคุณ ไม่ใช่พระอริยะที่ควรจะรับแล้ว ปฏิเสธไว้ก่อนดีที่สุด ปฏิเสธไว้ก่อนดีที่สุด มาถึงตรงนี้นี่ลึกซึ้ง จะจบแล้วนะ ถึงที่สุดแล้วนะ เพราะฉะนั้น ผู้ใดไม่ใช่พระอริยะที่แน่จริงแล้ว ปฏิเสธของที่จะรับ ในวันเกิดไว้ก่อน ดีที่สุด แต่ถ้าพระอริยะ ที่สูงสุดเป็นพระอรหันต์ ประเคนท่าน ไปเถอะ คุณจะให้ท่านเท่าไหร่ก็ได้พระอรหันต์ นะ ใช่มั้ย นี่อาตมาต้องพูดด้วยบัญญัติภาษา คุณแน่ใจว่า องค์นี้เป็นพระอรหันต์ ให้ท่านไปเลย ให้มากเท่าไหร่ ท่านก็ไม่ซวย คุณก็ไม่ซวย เพราะคุณไม่ได้ทำให้ท่านตกต่ำ คุณไปให้พระอรหันต์

แต่ถ้าคุณไปให้พระที่ไม่ใช่พระอรหันต์พระอริยะ ไปให้ท่านมากๆ ท่านซวย คุณเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมมือ ทำให้ท่านตกต่ำด้วย ทำให้ท่านมี ปาณาติบาต ทางจิตวิญญาณ จิตท่านตกล่วง เพราะจิตท่าน ไปฟูใจที่ท่านได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้กิเลสอะไรมาให้แก่ตัวเอง คุณก็เป็นคนร่วมมือ คุณเป็น คนทำให้ท่านต่ำด้วย เพราะฉะนั้น การทำทานจึงมีประมาณ ประมาณทั้งบุคคล ว่าควรให้ขนาดไหน สำหรับผู้ใด คนที่ควรให้ที่ดีควรให้ก็ให้ คนนี้เป็นพระอริยะชั้นสูง จะให้เท่าไหร่ ก็ไม่มีประมาณ ไม่มีปัญหา คนนี้ไม่ใช่พระอริยะชั้นสูง อย่าไปให้มาก ยิ่งคนที่เป็นคนขี้โลภเลยทีนี้ ให้เท่าไหร่ก็... ถมเท่าไหร่ ไม่รู้จักเต็ม กิเลสหนาขึ้น หนาขึ้น ไม่ต้องให้ ให้อดอยากซะมั่ง ให้ขมีขมัน ให้ขวนขวาย ให้สร้างสรรขึ้นมา ไม่ต้องไปประคบประหงม แต่คนที่เขาขาดแคลนจริงๆ แม้เขาจะมีกิเลส ก็เอาล่ะ พอสมเหมาะสมควร อย่าไปบำเรอเขา

ฟังดีๆนะ อาตมาพูดจน หุ้มจนครบหมดแล้วนะ เพราะฉะนั้น จะทำทานกับคนที่อดอยาก ยากแค้น เขาไม่มีจะกิน จะอยู่ วันเกิดของเราเอาเถอะไปให้เขา แม้เขาจะมีกิเลส เขาดีใจฟูใจก็เถอะ อย่า... เราเป็นคนประมาณเอง ประมาณให้ดี อย่าไปให้เกิน อย่าไปให้เขาเกิดย่ามใจ เกิดกิเลสเกินควร เกิดติดเกินไป ให้พอเหมาะพอดี นี่เห็นมั้ยว่า การประมาณนี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะเรียนรู้ ในการทาน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เอาละ...อาตมาได้เทศน์มา ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ได้สรุปตอนท้ายแล้ว ก็ขอสรุปอีกเป็นตัวจบว่า ทำอะไรวันเกิด ทำความสุขให้แก่ชีวิตดีที่สุด เอาคำว่าดี ทำความสุขให้แก่ชีวิตที่ดีที่สุด อย่างสัมมาทิฏฐิที่สุด ซึ่งอาตมาก็ได้ขยายความให้ฟังแล้วว่า สุขนั้น...โลกียสุข ยังไม่สูงอะไร และโดยเฉพาะ คนไม่เข้าใจโลกียสุข ก็ไปเอาอบายมุขมาบำเรอตน สำมะเลเทเมาในวันเกิด เสียหาย ไปเลย นั่นได้บาปไม่สมควรอย่างยิ่ง หรือแม้แต่ในเรื่องของลาภยศ ที่บอกแล้ว ว่าไม่ควรได้ แม้แต่กาม ก็ไม่ควรบำเรอตน หรือแม้แต่ผู้ที่ควรจะให้ เราจะไปให้ ก็ตาม หรือผู้ที่ตั้งรับก็ตาม ในวันเกิดของตน หรือวันเกิดของผู้เป็นผู้มีพระคุณ จะพ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์ หรือมิตรสหาย ที่มีพระคุณ คนที่ควรจะได้รับทาน เราก็จะต้องไปให้ทาน หรือไปทำบุญด้วย หรือไปให้ด้วย ก็ต้องประมาณคน ต้องกะให้ดีว่า ควรจะเป็นประโยชน์คุณค่าอย่างไร ถ้าไม่เป็นประโยชน์คุณค่าแล้ว ต่างคน ต่างทำบาป ด้วยกันทั้งคู่ วันเกิดจึงเป็นวันได้บาป ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น วันเกิดควรจะเป็นวันได้บุญ ควรจะเป็นวันที่ทำให้เจริญ วันเกิดของใครคนนั้น ก็ควรจะเจริญ ในวันนั้น มันจะเจริญอย่างไร อาตมาได้สาธยายมาแล้ว ตามเวลาที่ พอสมควรแก่เวลา ก็ขอเอวังลงแต่เพียงเท่านี้


ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์
ตรวจทาน ๑. โดย สม.จินดา ๘ ก.ย.๒๕๓๔
พิมพ์โดย อนงค์ศรี ๖ ก.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๒ โดย สม.จินดา ๘ ก.ย.๒๕๓๔

FILE:1781.TAP