ผี วิญญาณ นรก สวรรค์ มีจริงหรือ
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เนื่องในงานรามบูชาอาสาฬหะ ครั้งที่ ๑๑ ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๔

เจริญธรรม ท่านผู้ยังใฝ่ในธรรมของทุกๆศาสนาอยู่ทั้งหลาย

อาตมามาพูดในรายการสุดท้าย ในเรื่องที่จะพูด ก็เป็นเรื่องที่ฟังแต่ชื่อก็ น่ากลัวนะ ผี วิญญาณ นรก สวรรค์ มีจริงหรือ ก็ต้องขอตอบว่า ขอตอบคำถามจากชื่อเรื่องที่ให้พูดนี่เสียก่อนว่า มีจริงหรือ ก็ขอตอบว่ามีจริง แต่คนไม่ค่อยรู้จักผี ไม่ค่อยรู้จักวิญญาณ ไม่ค่อยรู้จักนรก ไม่ค่อยรู้จักสวรรค์จริง ความจริงนั้น มีจริงๆ แต่คนไม่ค่อยจะรู้จักผีจริงๆ สวรรค์จริงๆ นรกจริงๆ วิญญาณจริงๆ ที่คน ไม่ค่อยรู้จัก

ก็มาไขความกันให้ชัดเจน เท่าที่เวลาจะมี ดังที่พิธีกรได้กล่าวบอกไปแล้วว่า ถ้าเผื่อผู้ใด มีข้อข้องใจ มีปัญหาอะไรจะถาม ก็เขียนขึ้นมาได้ ฝากผู้ที่จะนำคำถามนั้น ขึ้นมาให้อาตมา จะได้ตอบ ให้ไขข้อข้องใจอันนั้นให้นะ อาตมาคงขยายความละเอียดไม่ได้ ตั้งใจฟังนิดหน่อย มันอาจจะสั้น อาจจะชี้บอกลงไป ไม่รอบถ้วน ไม่ลึกอะไรมากมายนัก เพราะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ ความจริงแล้ว ผี พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ชัดเจนเลยว่า ผู้ที่จะเห็นผีจริงๆได้นั้น มีแต่เฉพาะ พระอรหันต์เท่านั้น นี่คือคำตรัสของ พระพุทธเจ้า ฟังอีกทีหนึ่งก็ได้ ผู้ที่จะเห็นผีได้จริงๆนั้น มีเฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น คำนี้สั้น แต่ว่าเป็นความจริง ผีต่ำที่สุดเราเรียกว่า ผีนรก ที่มันอยู่ในนรกระดับต่ำ ในนรกระดับต่ำ เราก็เรียกมันว่า อบาย โดยเฉพาะคำภาษาไทยๆ อบายนี่ แปลเป็นภาษาไทยว่านรก อบายนี่ นรกต่ำ ที่สุด ก็คือหัวหน้านรกๆ ภาษาบาลีแปลว่า มุขะ เพราะฉะนั้น หัวหน้าก็คือ อบายมุข นี่เป็นหัวหน้านรก ผีอยู่ที่นรก เทวดาอยู่สวรรค์

ทีนี้กับเทวดา เราจะไปดูที่ไหนๆ ไม่เห็น

ผีคือจิตวิญญาณ

เทวดาคือจิตวิญญาณ

ฟังดีๆนะ ในหัวข้อนี่บอกว่า ผี วิญญาณ นรก สวรรค์ หัวข้อว่าอย่างนั้น เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันหมด ผียังมีแถมคำว่า เทวดาเข้ามาอีกตัวหนึ่ง มีแต่ผี แต่ไม่มีชื่อเทวดา แต่จำเป็นต้องพูด เพราะว่า มันคู่กัน ผีนี่อยู่นรก เทวดาอยู่สวรรค์ และผีและเทวดานั้นไม่อยู่ที่ไหนเลย นอกจากวิญญาณ วิญญาณอยู่ที่ไหน ผีหรือเทวดาอยู่ที่นั่น

เพราะฉะนั้น คนไปบอกว่า ผีอยู่ป่าช้า ผีอยู่ต้นตะเคียน ผีอยู่เรือนร้าง ผีอยู่อะไรต่ออะไรต่างๆ ที่เขาบอกว่า ไปอยู่ที่นั้นที่นี่ อะไรก็ตามใจเถอะ ผีเหล่านั้น เราเรียกกันติดปากว่าผีหลอก ไม่ใช่ผีจริง เพราะฉะนั้น ใครไปกลัวผีหลอก ก็คือคนที่ไม่รู้เรื่อง คนโง่ๆ แล้วก็กลัวกันเต็มบ้านเต็มเมือง โดยเฉพาะคนไทย ฝรั่งเองไม่ค่อยจะกลัวหรอก เพราะว่าไม่เคยได้ถูกหลอกมาอย่างนั้น ไม่รู้เรื่อง หรือ แม้แต่ผีอยู่ที่ร่างศพคนตาย คนตายแล้ว ไม่มีจิตวิญญาณแล้ว คนตายแล้วเหลือแต่ซาก เสร็จแล้ว เราก็บอกว่าผีๆ นั่นแหละ ถ้าคนตายอยู่ที่ไหน ศพคนตายอยู่ที่ไหน แล้วก็ว่า ผีอยู่ที่นั่น นี่ก็ความโง่ คือความที่ไม่เข้าใจ ความที่ไม่มีปัญญารู้ชัดแจ้งนะ อาตมาเคยบรรยายสมัยแรกๆ ที่อาตมาบวช อาตมาได้บรรยาย ธรรมมาแต่ตอนต้นเลย อาตมากระหน่ำเรื่องผี พยายามสอนเรื่องผี เรื่องเทวดานี่มาก สอนให้รู้จักสภาพที่ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิในระดับต้น ที่หลงกันอยู่เยอะ อยู่ต่างจังหวัด อาตมาบรรยายอยู่มากมาย และบรรยายหนัก อาตมาเคยท้าทาย เคยบอกว่า ใครไปจับผี ที่อยู่ป่าช้าก็ดี อยู่ที่ไหนที่มันเฮี้ยนๆนะ ผีเฮี้ยนๆ อยู่ที่ไหนๆ ใครไปเจอที่ไหนๆ จับมาขายให้อาตมา ตอนนั้นอาตมาให้ตัวหนึ่ง ๓ ล้านบาท ใครจับผีมาให้อาตมาได้ อาตมารับ ซื้อตัวละ ๓ ล้าน ขึ้นราคามาเรื่อย ขึ้นมา ๓ ล้าน ตอนนี้อาตมาขึ้นเป็นตัวละ ๕ ล้าน เดี๋ยวนี้ให้ตัวละ ๑๐ ล้าน ใครไปจับผีได้ที่ไหน ใส่ปีบใส่เข่งมาดีๆ จับมาดีๆ ใครไปเจอที่ไหน ใครว่าที่ไหนมีผีนะ นอกจากจิตวิญญาณแล้วละก็ ไม่มีผี ขอยืนยัน

เอ๊า!ทีนี้ เราจะรู้จักผีได้อย่างไรในตัวคนนี่ คนเรามีจิตวิญญาณ มีวิญญาณในคนนี่ ที่เป็นๆอยู่นะ ยังไม่ตายนะ บอกแล้วว่าคนตายไปแล้วเหลือแต่ซาก นั่นน่ะไม่มีผี แต่เราก็ไปกลัวซากผีฝังอยู่ที่ไหน หรือว่าซากผีอยู่ ใครเคยอยู่ที่ไหนๆ เราก็ไปจำเอาไว้ด้วยซ้ำไปนะ ว่ามันอยู่ที่นั่น มันไม่อยู่หรอก มันไม่มี ผีหรือ เทวดา จะไม่อยู่ที่อื่น นอกจากจิตวิญญาณ ฟังไว้ดีๆ คนที่เป็นนักศึกษา ประสงค์จะศึกษา ฟังภาษาอาตมาพูดแค่นี้ แล้วไปไตร่ตรองดีๆ ในตัวเรานี่เป็นแท่งทดลอง เป็นแท่ง เหมือนหลอดทดลอง นักวิทยาศาสตร์จะมีเหมือนหลอดทดลองเป็น TEST TUBE นะ นี่หลอดทดลองนี่ ในหลอดทดลองนี่ มี SUBJECT อยู่ในนี้เลย มีจิตวิญญาณอยู่ในนี้แล้วเรียบร้อย นี่เราจะเรียนผีอยู่ที่นี่ ในของทุกๆคน เรียนเทวดาอยู่ที่นี่ อยู่ในนี้ ชัดเจนแล้วมันจะชัดเจนที่สุด เพราะมันอยู่ในตัวเราๆ จะเรียนได้ทุกเมื่อ ตลอดเวลาเลย เราจะพยายามศึกษาคำไข คำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ท่านอธิบายอะไร เอาไว้ละเอียดลออ จิต เจตสิก ต่างๆ วิญญาณนี่คือจิตวิญญาณ เจตสิกต่างๆ นี่มันแสดงอย่างไร เป็นอย่างไร

ขอนิยามขอกำหนดลงไปเสียก่อนว่า ลักษณะของจิตวิญญาณ ที่เป็นลักษณะอาการ ท่านเรียกว่า เราจะรู้จิตวิญญาณได้ ด้วยการรู้ ด้วยญาณปัญญา ของเราเองนี่ เราจะอ่าน ฟังดีๆนะ ถ้าคุณฟังธรรมะของอาตมาวันนี้แล้ว คุณจะมีตาทิพย์จริงๆ โดยไม่ต้องไปนั่ง เพ่งหลับหู หลับตา เขาเรียกว่าทำสมาธิ นะ ไปนั่งหลับตาก็ไปเกิดภพ เกิดภาพอยู่ในจิต เห็นผี เห็นเทวดา เห็นสัตว์นรก สัตว์สวรรค์อะไรก็แล้วแต่ ไปนั่งเพ่งยังงี้ เพ่งยังงั้นน่ะ เห็นผีหลอกเยอะเลย เพราะว่าไปปั้นเอาเอง และเรียนกันอยู่อย่างนี้เยอะมากเลย มากสำนักทีเดียว เรียนกันวิธีนี้ ไปเที่ยวนั่งหลับตา แล้วก็เพ่ง ปั้นอะไรสร้างขึ้นมา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า มโนมยอัตตา เป็นอัตตาชนิดหนึ่ง ที่เพ่งแล้วสำเร็จด้วยจิต โดยเกิดภาพข้างในจิต หรือว่าเกิดรูปที่สำเร็จด้วยจิต เป็นรูปในจิต เพ่งขึ้นมา เห็นได้เหมือนกับเป็นของจริง แต่แท้จริงก็คือ อุปาทาน ชนิดหนึ่ง ที่ปั้นขึ้นมาเป็นรูป

ความเป็นจริง คำสอนของพระพุทธเจ้า นั่น จิตวิญญาณไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสัน วิญญาณไม่มีโฉม ไม่มีตัว เราจะรู้จักจิตวิญญาณนี่ จะรู้จักสิ่งที่ถูกรู้ด้วยญาณ วิญญาณเรานี่ เป็นนามธรรม เราจะรู้ได้โดยญาณของเรา และ จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ เราสัมผัสสิ่งนั้นได้ สิ่งที่สัมผัสเห็น สัมผัสรู้ได้ด้วยญาณ ท่านเรียกว่า รูป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ โดยนามๆ คือจิตวิญญาณ คือปัญญา คือ ญาณปัญญา นี่มันจะไปรู้สิ่งที่ถูกรู้นั้น ซึ่งเป็นนามธรรมเหมือนกัน แต่ถูกรู้ได้ด้วยญาณ เช่น อาการโกรธ เราจะรู้ได้ อาการโกรธ มันไม่ได้อยู่ตรงที่ อาตมาชี้หรอกนะ มันอยู่ในตัวของเรา มันอยู่ในจิตเรา อาการโกรธ บางทีมันโกรธสั่นไปถึงขา มันอยู่ที่ขา สั่นไปถึงมือ มันอยู่ที่มือ โกรธ มันก็ทิ่มหน้าคนก็ได้อะไรนี่ ก็แล้วแต่ โกรธไปที่ตา ตาเขียว มันขึ้นมาที่ปาก ปากแบะ แหกเขี้ยว เขาถึงเขียนยักษ์ที่ขี้โกรธ ที่ผูกโกรธนี่ไว้ตาโปน เขี้ยวยาว อาตมาคงทำไม่เหมือน เพราะว่าอาตมาหล่อกว่ายักษ์

นั่นแหละเป็นลักษณะอาการ ฟังให้ดี คือการรู้รูป นาม ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด ในพระไตรปิฎก รู้รูปนามได้ด้วยอาการ ขอใช้ภาษาหน่อยนะ อาการ ลิงคะ นิมิต อุทเทศ มี ๔ ลักษณะ มี ๔ สภาพ อาการก็คือ อาการนี่แหละ ลิงคะก็คือ ความแตกต่าง นิมิตก็คือ เครื่องหมาย ที่มันจับรู้ เราไปจับเครื่องหมาย อย่างนั้นน่ะ อาการ แล้วก็มีเครื่องหมาย เรารู้ได้ อย่างอาการโกรธนี้ เป็นเครื่องหมาย เป็นลักษณะเป็นนิมิตหมาย เป็นลักษณะหมาย ที่เราจับความหมายนั้นได้ อาการนั้น โดยญาณของเรานี่ จับอ่านรู้ว่า อาการมันโกรธ อาการโลภ อาการที่เกิดราคะ อาการกาม อาการโกรธ โลภ หลงอะไรอย่างนี้เป็นต้น เราต้องเรียน เราต้องฝึก จริงๆ ฝึกให้เกิดญาณๆ อ่าน ญาณนี้แหละ คือตาทิพย์ ไม่ต้องไปนั่งหลับตาเพ่งอย่างนี้หรอก ทำความรู้สึก ทำความอ่าน มีสติ แล้วก็มีความรู้สึกอ่าน อาการอารมณ์ๆของจิตวิญญาณ ที่เป็นอาการโลภ โกรธ หลงนี่แหละคือผี อาการ โลภ โกรธ หลง นี่คือผีจริงๆ ผีแท้ๆ อาตมาไข ความลับให้ฟังแล้ววันนี้ อยู่ในตัวที่นั่งอยู่ทุกคน ขอยืนยัน นั่งอยู่นี่ คือผีทั้งหลาย ไม่ใช่อาตมาดูถูก พูดถูกๆ ผู้ที่ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในตัวเองนั้น คือผี ผีจริงๆ ผีแท้ๆ

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มีพระอรหันต์เท่านั้น ที่จะเห็นผีได้อย่างสมบูรณ์ ก็หมายความว่า พระอรหันต์ ท่านรู้จักจิตวิญญาณ รู้จักอาการโลภ โกรธ หลง หยาบ กลาง ละเอียด อย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วท่านก็ล้างกิเลส หรือล้างผีนั้นออก อย่างจริงจัง จนกระทั่ง มันตายหมด ยังไม่หมดผีอยู่ตราบใด แม้เป็นพระอนาคามี ยังเหลือผี คือกิเลสส่วนเหลือ ก็ยังไม่เป็น พระอรหันต์ทั้งหมด ก็ยังไม่ได้เป็นผู้รู้แจ้งในเรื่องผีทั้งหมด ต้องเห็นผีจริงๆ เศษเล็ก เศษน้อยๆ จนกระทั่งถอนอนุสัย อาสวะล้างเกลี้ยง จนไม่เกิดอีกเลย ในจิตวิญญาณ ผู้นั้นแหละหมดผี เพราะฉะนั้น ผีจึงมีหลายระดับ ชั้นต่ำ กลาง สูงอะไร มีหลายระดับมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ของชีวิตมากที่สุด แต่คนทุกวันนี้ ประมาท ไม่เรียนรู้เรื่องผี จึงกลายเป็นผีจริงๆ ไม่ใช่ผีอย่างที่ ไปพูดว่า ผีหลอกอยู่ในป่าช้า สิงอยู่ในนั่น อยู่ในนี่ ไม่ใช่เลย เป็นผีที่หลอกตั้งแต่ระดับโลก ระดับประเทศ ระดับผู้บริหารใหญ่ๆ จนกระทั่งถึง ผีกระจอกงอกง่อยอยู่ยากๆ จนๆ เต็มไปด้วยผี เต็มบ้านเต็มเมือง

เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเมืองนรก สังคมมนุษย์ทุกวันนี้ เป็นเมืองนรก ยิ่งเราหลงใหลว่า เป็นเมือง ศิวิไลซ์ เป็นเมืองเจริญ เช่น เมืองหลวง กรุงเทพฯ เป็นต้น ไม่ควรจะเรียกกรุงเทพฯ ควรจะเรียก กรุงผีจริงๆ คุณจะเห็นตื่นเช้าขึ้นมา ออกจากบ้าน จะพบผีตลอดทางเลย ผีโกรธ ผีโลภ ตลอดทางเลย ผีจริงๆ อาตมายืนยัน ไม่ได้พูดเล่นนะ ฟังสัจธรรมให้ดีๆ ผีจริงๆ เลย เกิดมาแต่วิญญาณ เกิดมาจากวิญญาณของแต่ละคน อาการของมันเกิดออกมาจริงๆ คนที่มี ความระงับๆ ไม่ให้ผีมันปรากฏตัว ไม่ให้ผีมันแสดงอาการ ไม่ให้ผีมันแสดงสภาพขี้โกรธ ขี้โลภ อะไรออกมาบ้าง ก็แสดงว่าผู้นั้น ได้สำรวมสังวรได้หัดฝึก ก็ยังพอเป็นไป ก็ยังพอไปได้ แต่ความจริงแล้ว ก็ห้ามกันไม่ค่อยหวาดค่อยไหว อย่าง อาการอย่างหยาบ อย่างแรง อย่างร้าย แสดงกันออกมา เต็มไปหมดเลย ตลอดเวลา ในเมืองกรุงเทพฯ มีเทวดาเหมือนกัน แต่เป็นเทวดาหลอก

เอ้า! ตอนนี้จะไขเทวดาก่อน เมื่อกี้ไขผีไปแล้วบ้าง ทีนี้ไขคำว่าเทวดา เทวดาก็คือ จิตวิญญาณ อยู่ในมนุษย์นี่แหละ ไม่ต้องไปเรียนรู้ ไม่ต้องไปสงสัย และ ไม่ต้องไปคำนึงกังวลอะไรมากหรอก อ้ายผีที่อยู่ข้างนอก หรือผีเทวดาอยู่ข้างนอกตัว ลอยอยู่บนท้องฟ้า ลอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ คอยหลอกหลอนอยู่ที่มืด อยู่ที่สว่างอะไรก็ตามใจเถอะ อย่าไปคำนึงเลย ในสิ่งเหล่านั้นไม่มี ขอยืนยัน มีแต่อุปาทานของคนเท่านั้นแหละกลัว แล้วก็หลอกหลอนตัวเอง หลอกหลอนเป็นเทวดา หลอกหลอนเป็นผีนี่แหละ เดือดร้อนทุกข์ร้อนมาก เพราะว่ากลัวผีกัน และก็ไม่รู้จักกลัวตัวเอง ที่มีผีอยู่ในตัวเอง ร้ายกาจด้วย ผีขี้โกรธ ขี้โลภ เต็มไปอยู่ ตัวเองนี่แหละ ไม่รู้ตัวนะ

เอาทีนี้ เทวดา ที่อาตมาเรียกว่าเทวดาหลอกนั่น เพราะว่าไม่ใช่เทวดาจริง เป็นเทวดาลวง เป็นเทวดาชนิดที่ คนหลงมันว่าเป็นความสุข ความทุกข์นั่นก็คือนรก ความสุขนั่นคือสวรรค์ ที่นี้เขาก็หลงสวรรค์กัน สวรรค์ที่ได้เสพสม เช่นว่า อยากได้สมใจ อยากจะได้เงิน อยากจะได้ลาภ ได้ยศ พอได้มาสมใจก็ดีใจ อาการที่เป็นสุขใจดีใจอย่างนั้นแหละ คืออาการของเทวดา เรียกว่า สมมุติเทพ เทวดาสมมุติ เทวดาหลอก ไม่ใช่เทวดาจริง เทวดามีอยู่ ๓ ลักษณะ มีอยู่ ๓ เทวดา ๑.สมมุติเทพ ๒. อุบัติเทพ ๓. วิสุทธิเทพ เทวดาตัวปลอมนั่นแหละคือ สมมุติ ไม่ใช่เทวดาจริง เพราะเทวดานี้ จะขึ้นสวรรค์ลงนรก ๆๆๆ เป็นสังสารวัฏอยู่ อย่างไม่รู้จักสิ้น ไม่เรียนรู้ไม่ได้ล้าง ก็ไม่ได้ลด ไม่ได้ละ แล้วก็จะบำเรอ เมื่อเวลามันอยากได้เป็นนรก เป็นความไม่สมใจ อยากได้ อยากเป็น อยากมีอะไร ก็แล้วแต่ มันก็จะเดือดร้อน ดิ้นรนนั่นแหละ คือ ผีนรก ผีความโลภ อยากจะฆ่าเขา อยากจะอาฆาตเคียดแค้น อยากจะริษยา อยากจะทำร้ายอะไรก็แล้วแต่ เป็นตัวโกรธ เป็นผี ตัวโทสะ ตระกูลโทสะ เมื่อเราได้สมโทสะ เราก็นึกสบายใจ เป็นเทวดา พอได้ โทสะ ก็โทสะขึ้นมา มันก็ทุกข์ พอได้แก้ได้บำเรอโทสะนั้นไปสมอยาก ได้ด่าเขาไปบ้าง ได้แก้แค้นเขาไปบ้าง ได้ริษยา ได้ทำอาการริษยาสะใจอะไรไปบ้าง ก็เป็นสวรรค์ลวง เสร็จแล้ว ก็ใหม่ เอาใหม่อีก แล้วก็วนเวียน มาโลภใหม โกรธใหม่ หลงใหม่อยู่อย่างนั้น ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น สมมุติเทพ นี้จะไม่มีการดับสนิท จะไม่มีการจะเรียนรู้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น เวลาเรียนรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว จะต้องรู้จิตวิญญาณ ที่มันเกิดโกรธ หรือโลภอะไรพวกนี้ชัดๆ เมื่อหลงผิด ก็ตาม นัยละเอียด อาตมาคงไม่ได้พูดมากมายนะ

เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ ลึกซึ้ง และมากมาย เหลือเกิน พูดกันกี่ปีๆ ขนาดพระสัมมาพุทธเจ้า ที่เป็นปราชญ์เอก สอนอยู่ ๔๕ พรรษา ๔๕ ปี สอนละเอียด ลอออยู่นั่นแหละ ก็ยังสอนกันได้ต่ออยู่ และ อาตมาในระดับลูกศิษย์ จะไปใช้เวลา ๕๐๐ ปี ก็ยังพูดกันไม่หมดนะ ยังมีคนเคยถามอาตมาว่า พูดอะไรนักหนา เทศน์อะไรนักหนา ตื่นเช้ามาก็เทศน์ เทศน์ทุกวัน ตื่นเช้ามาก็เทศน์ๆๆ เป็นปีแล้ว ไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ตั้ง ๑๐-๒๐ ปี มาแล้ว อาตมาบวชมาแล้ว ๒๐ ปี แล้วก็เทศน์อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วเอาอะไรมาเทศน์ จะมีอะไรเทศน์หรือ อาตมาตอบเขาไปว่า อาตมาถ้าจะอายุยืนถึง ๑๐๐ ปี อาตมายังไม่แน่ใจเลยว่า จะบรรยาย สิ่งที่ต้องการที่จะพูด ให้พวกเราฟังนี่ หมดหรือไม่ ซึ่งแน่ใจว่า จะไม่หมด แม้อายุจะ ๑๐๐ ปีตาย ก็คิดว่า จะเทศน์ไม่หมด มันลึกซึ้งมาก แต่วันนี้มาพูด ไม่ได้มากหรอก ก็เอาแต่มันพอจะเป็นไปนะ

สรุป เทวดา อย่างสมมุตินี่เป็นเทวดาหลอก เป็นสุขหลอกๆ คนเราไม่ศึกษาสิ่งจริง ที่เรียกว่า สัจธรรมเหล่านี้ จึงปล่อยให้ผีเพ่นพ่านเต็ม แม้แต่ตัวเราเอง ก็เป็นผีอยู่ในสังคม เมื่อเป็นผี อยู่ในสังคม จึงเที่ยวได้ทำร้ายทำลายสังคม ทำร้ายมนุษยชาติอยู่ตลอดเวลา แล้วก็บอกว่า ตัวเอง จะแก้ปัญหาๆ แก้ไม่ได้ขอยืนยัน ถ้าคนไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง ในสิ่งที่มันเป็นตัวทุกข์ ตัวเหตุแห่งทุกข์ คือตัวผีร้าย หรือ ตัวกิเลสตัณหา ถ้าไม่รู้สิ่งเหล่านี้ ไม่มีทางแก้ปัญหาได้เด็ดขาด ขอยืนยันๆ อวดเก่งให้ตายยังไง ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ ไม่มีทางแก้ปัญหาสังคมได้สมบูรณ์ ขอยืนยัน แก้ไปชั่วระยะ นึกว่าดี นึกว่าถูก ยังงั้นยังงี้ แม้แก้เป็นระบบปกครองบ้านเมืองอะไร ก็ตามแต่ จากประชาธิปไตย จะเป็นสังคมนิยม จะไปเป็นคอมมิวนิสต์ จะเวียนมานี่ มหาประชาธิปไตย มาหาเป็น เสรีประชาธิปไตยอีกแล้ว ก็เต็มไปด้วยกิเลส มอมเมากันเข้าไปอีก หมุนเวียนกันอีก หนักเข้าก็สุดท้าย ก็หมุนเวียนไปอีกๆ ระยะนี่ๆ อาตมาบอกไม่ได้ วนเวียนไปอีก สุดท้าย เดี๋ยวไปหาเผด็จการๆ ประชาธิปไตย สังคมนิยม วนเวียนอยู่อย่างนี้นะ ไม่รู้แล้วหรอก เทวดาที่สมมุตินั้น มีอยู่ทั่วทุกคน ในหมู่ปุถุชน แล้วก็หลงเทวดา หลงว่าเป็นความสุขที่แท้จริง พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว ว่าไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงไม่มี พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ความทุกข์ เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะที่จริง เป็นสัจจะของผู้ประเสริฐ ความสุขไม่มี จริงๆ แล้วก็ คือหมดทุกข์ หมดสุข เรียกว่า อทุกขมสุข หรือ อุเบกขา ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข นั่นคือ ความสงบ นั่นคือ การปราศจากทุกข์ และไม่มีสุขอย่างโลกๆ ที่เรียกว่า สุขัลลิกะ หรือโลกียสุข จะไม่มีสุขอย่างนั้นอีก เป็นอันขาด ผู้ที่ฆ่าผีในตัว และรู้เท่าทันเทวดาลวง ฆ่าผี หรือฆ่าเทวดาลวงนั้นได้ จิตก็เกิด ฟังดีๆนะ จิตจะเกิดใหม่ เรียกว่า โอปปาติกโยนิ

การเกิดทางจิตวิญญาณ เมื่อวานนี้ อาตมาเทศน์แล้ว เรียกว่าการเกิด มันมี ๔ อย่าง การเกิดมดลูกนี่ อย่างคน ม้า วัว ควาย นี่มีมดลูก การเกิดอย่างนี้ สมสู่แล้ว เสร็จก็จะมีเชื้อไปปฏิสนธิในมดลูก ก็เกิดออกมา แล้วก็คลอดออกมาเลย คลอดออกมาเป็นตัวเลย อย่างนี้เรียกว่า ชลาพุชโยนิ การเกิดอย่างเป็นตัวทันที การเกิดอีกอย่างชนิดหนึ่ง เรียกว่า อัณฑชโยนิ นี่การเกิดอย่างเป็นไข่ก่อน อย่างนก อย่างจรเข้ จิ้งจก ตุ๊กแก อะไรพวกนี้ เป็นไข่ก่อน แล้วไข่จึงจะฟักเป็นตัว อีกทีหนึ่ง เรียกว่า การเกิดอย่าง อัณฑชโยนิ ส่วนการเกิดอย่างประเภทที่มันไม่ต้องเป็นไข่ ไม่ต้องไปอยู่ในมดลูก จากเหงื่อ จากไคล จากการหมักหมม จากการแตกตัว จากพวกจุลินทรีย์ บ้าง อมีบา พวกอะไร ก็แล้วแต่ พวกอีกชนิดหนึ่งนะ เราเรียกว่า สังเสทชโยนิ การเกิดลักษณะต่างๆ พระพุทธเจ้าตรัสมา ถึง ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้วนะ เรื่องเหล่านี้ และการเกิดจริงๆ อีกอย่างหนึ่ง คือการ เกิดของวิญญาณ เรียกว่า โอปปาติกโยนิ

อาตมากำลังพูดถึงนี่คือ การเกิดจริงๆ คนเราเกิดใหม่ได้ เกิดทางโอปปาติกโยนินี่แหละ เรียกว่า เกิดเป็นพระอริยะ เกิดจริงๆ เป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ จิตวิญญาณเกิดจากความต่ำ เป็นจิตวิญญาณที่สูงขึ้น เรียกว่า มนุสโส หรือเรียกว่าเทวดาแท้ การเกิดชนิดนี้ จากเทวดาสมมุติ เป็นอุบัติเทพ อุบัตินี่แปลว่า เกิด เป็นเทวดาที่เกิดจริงๆ ลดกิเลสลงไปได้มากได้น้อยเท่าไหร่ เกิดจริง เกิดจริงๆ จนเต็มรอบก็ได้รอบหนึ่ง ถ้าได้เกิด ได้คุณภาพขนาดหนึ่ง ท่านเรียกว่าโสดาบัน เกิดจากคนเป็นอริยะ เกิดจากคนธรรมดาปุถุชน นี่เป็นอริยะ เรียกว่า พระโสดาบันนะ นี่คือ การเกิดแท้ๆ เพราะฉะนั้น ผู้ใดรู้จักวิญญาณ มีญาณ มีตาทิพย์ อ่านจิตวิญญาณออกจริงๆ เลย แล้วก็รู้จักกิเลส มีวิธีการของพระพุทธเจ้าสอน ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มรรคองค์ ๘ หรือโพธิปักขิยธรรม ทฤษฎีเหล่านี้ของพระพุทธเจ้า เราเอามาฝึกฝน ศึกษาแล้ว ล้าง รู้จักกิเลสจริง รู้เท่าทันอาการ ลิงคะ นิมิต รู้จักความแตกต่างของความโลภ อาการโลภ นี่มันต่างกับอาการโกรธ อาการโลภจัดๆ กับอาการโลภน้อยๆ หรือว่าโลภไม่เท่ากัน ครั้งนี้โลภจัด ครั้งนี้โลภน้อยลง มันมีลักษณะ แตกต่างกัน ความแตกต่างนั้น เราเรียกว่าลิงคะ หรือเพศ มันต่างกัน มีเครื่องหมาย มีนิมิตหมาย มีลักษณะหมาย ให้เราจับได้ อาการพวกนี้อ่านออก มาเรียนรู้ธรรมจริงๆ แล้วจะอ่านกิเลสออก แล้วมีวิธีฆ่ากิเลส ลดกิเลสให้ตายได้จริงๆ กิเลสตายเท่าไหร่ คือผีโลภ โกรธ หลงนี่ตายลงไปเท่าไหร่ เทวดาก็เกิดจริงเท่านั้น คุณจะมีตาทิพย์ เห็นผี เห็นเทวดาตรงนี้แหละ นี่คือเรื่องจริง ถ้าปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักผี ไม่รู้จักเทวดา ไม่รู้จักนรกสวรรค์ที่แท้ ปฏิบัติธรรมสูญเปล่าทั้งสิ้น เราต้อง การจะเปิดเผยสัจธรรมพวกนี้อยู่ ไม่เอาตังค์หรอก สอนฟรีๆ เรื่องเหล่านี้แนะนำฟรี แต่ไม่ไปเอา ชอบแต่จะไปเสียสตางค์ ให้ผีเขาหลอกเอานะ เดี๋ยวจะบอก ผีอันไหนหลอกเก่ง เดี๋ยวจะบอก

เอาสรุปเทวดาเสียก่อน เมื่ออุบัติเทพ เมื่อเราฆ่าสมมุติเทพได้ ฟังให้ดีนะ ฆ่าเทวดาหลอกให้ได้ เทวดาหลอกนั้น คือสิ่งที่บำบัดผีเท่านั้นเอง อยากขึ้นมาเมื่อไหร่ โลภ โกรธ อยากจะต้องการรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อยากได้เงิน อยากได้ทอง ได้มาสมใจ แปลงเป็นเทวดาดีใจขึ้นสวรรค์หอฮ้อ พออยากได้อีกใหม่ เป็นผีอีก ได้มาสมใจ ขึ้นสวรรค์ใหม่ หมุนอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักพอ ถ้าผู้ใด ลดความอยาก ฆ่าความอยากที่มาบำเรอตนนี้ได้จริง กิเลสนั้นตายจริงๆ ความอยากก็หายไป อยากในโลภ ในโกรธ ก็ตาม สมใจในโกรธ สมใจในโลภ ก็ตาม จับตัวมันให้มั่น อย่าหลงผิด โมหะนี่คือ ความหลงผิด อย่าไปหลงผิด จับให้มั่นให้ถูกเนื้อถูกตัวของอาการ ของนิมิตแห่งจิต เจตสิก สิ่งที่ถูกรู้นี่แหละนามธรรมนี่แหละ เรียกว่า รูป เป็นสิ่งที่ถูกรู้ โดยญาณปัญญาของเรา เมื่อจับได้แล้ว มีวิธีฆ่าได้จริงๆแล้ว จึงจะเกิดอุบัติเทพ เป็นเทวดาเกิดจริง จนกระทั่ง กิเลสมันหมด ในเรื่องไหน ก็แล้วแต่

เช่น สมมุติว่า คุณติดบุหรี่ คุณติดเหล้า คุณติดแล้ว มันก็เป็นกิเลสอยู่ อย่างนั้นนะ เรามาจับเรื่อง แต่ละเรื่อง เราจะเลิกบุหรี่ เราจะเลิกเหล้า ผู้หญิงจะเลิกทาลิปสติก ผู้จะเลิกผัดหน้าผัดตา จะไม่ทาหน้าทาตาแล้ว ทั้งที่หน้านี่มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มีรูขนให้ระบาย เสร็จแล้ว ก็ไปเอาอะไรมาอุด อุดเอาไว้ชั้นเดียวไม่พอ อุดเข้าไป ถูกเขาหลอก ๗ ชั้นแน่ะ ทาเข้าไปถึง ๗ ชั้น บางคนหน้า เป็นหน้ากากเลย เสร็จแล้วสุขภาพก็เสื่อม และมีธาตุเคมี อีกด้วยต่างหาก เอาละ อาตมาไม่วิเคราะห์มากหรอก ไม่มีเวลามาก เรามาลองดู มาลองเลิก สิ่งเหล่านี้ เมื่อคุณมาลองเลิก แล้วคุณจะรู้เลยว่า เมื่อเราติด เราจะโหยหา เราจะอยากๆได้เงิน อยากได้แก้แค้น อยากมันมี ความอาฆาต พยาบาท บางคนนี่อยากแก้แค้น มาหัดเลิก หัดละ หัดอภัย อยากกินของอร่อย อยากได้ตามสิ่งที่มันสมใจ ทางตาได้เห็นสีสวย ได้ยินเสียงไพเราะ เขาจะหลอก เขาจะมอมจะเมา เสียงไพเราะยังไง ก็แล้วแต่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เรียกว่า กามคุณ ๕ นี่ เราก็จะมาเรียนรู้ แล้วมาลดจริงๆ แต่ละอย่างนี่ๆ คุณมาเรียนจริงๆ เลย คุณจะจับ อาการ นิมิต เหล่านั้นได้ อุเทศ คำกล่าวถึง ที่อาตมายกเอาขึ้นมาแสดงนี่ คืออุเทศ กำลังแสดงเทศนา เพื่อให้คุณเกิดการรู้ อุเทศ คือหัวข้อที่ยกขึ้นแสดง ก็แสดงให้ฟังอยู่นี่ เดี๋ยวนี้ก็ขยายความอยู่นี่ เรียกว่า อุเทศ เมื่อคุณรู้แล้ว คุณก็ไปศึกษาให้เห็นจริง ให้รู้อาการ ให้รู้นิมิตของมัน มันแตกต่างกันยังไง จับให้มั่น คั้นให้ตาย แล้วมีวิธีฆ่า ก็พยายามฝึกหัดอบรม ฝึกฝนให้มัน ฆ่าให้มันตาย ตายจริงนะ เมื่อตายหมด ไม่ว่ากิเลสชนิดไหน เมื่อถอนอนุสัยอาสวะ ถอนตายสิ้นแล้ว สมมุติว่า กิเลสแค่สูบบุหรี่ คุณเรียนรู้จนกระทั่งล้างเลิกบุหรี่ได้จริง สะอาด จิตใจเฉย ไม่สุข ไม่ทุกข์ เห็นบุหรี่ก็เฉย ไม่มีมานะด้วย อันนี้มันสูงแล้ว ไม่มีจิตลบหลู่ดูถูกคนอื่น เห็นเขาสูบเออ เขาก็สูบ ก็สงสารเขาแหละนะ แต่ว่าต้องการจะช่วยเขา ถ้าช่วยไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ช่วยได้ก็บอกกัน แนะนำกัน บอกเขาหยุดเถอะ นรกอย่างนั้น อย่าไปเที่ยวเลย สวรรค์หลอกอย่างนั้น นะ เลิกเถอะ ถ้าบอกเขาได้ แนะนำเขาได้ เขาเลิกได้ตามก็ดีไป เลิกไม่ได้ก็แล้วไป เราก็ช่วยกันไปยังงี้

คนไหนที่เห็นสวรรค์แก้จิตที่สะอาด จากกิเลสอย่างนั้น เราเรียกว่า วิสุทธิเทพ บอกแล้วเทวดา ๓ ชนิด สมมุติเทพ เป็นสวรรค์ลวง เป็นเทวดาหลอก เทวดาลวง ฆ่าความเป็นเทวดาอย่างนี้ได้ เกิดจริง เรียกว่า อุบัติเทพ เริ่มอุบัติเรื่อยๆ เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ โอปปาติกโยนิ เกิดเป็นเทวดาจริง ขึ้นมาเรื่อย จนกระทั่ง สะอาดไปเรื่อยๆ สะอาดๆ จนกระทั่งบริสุทธิ์เลย กิเลสตาย สิ้นเกลี้ยง เรียกจุด สุดท้ายนี้ว่า วิมุติหลุดพ้น หรือตัวดับสนิท นิโรธ นิพพาน ตัวดับสนิทนี่แหละ นิโรธ ดับสนิทกิเลส แม้เรื่องเดียว ก็นิพพานในเรื่องเดียว อาตมายกว่าเราไปติดบุหรี่ ก็นิพพานเรื่องบุหรี่ๆ คุณพยายาม ไปเรียนรู้เถอะ แล้วคุณจะรู้อาการ อ๋อ อาการที่ เราไม่สุข ไม่ทุกข์ อาการที่เราเฉยๆ จิตว่างๆ จากกิเลส อยากก็ไม่มี ไม่อยากก็เฉยๆ ธรรมดาสามัญอย่างคนที่ไม่ติดบุหรี่นี่ จิตว่างๆ จิตธรรมดา นี่แสดงว่า คุณมีนิโรธตัวนี้ในบุหรี่ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงก็สูบบุหรี่เยอะ เพราะเรื่องราวมันเยอะ ทุกข์ร้อนมันเยอะ นึกว่าดับว่าเป็นการแก้ไขนี่ ให้มันเบาๆ ทุกข์ เพลาๆทุกข์ไปยังงั้นแหละ เอายาเสพติดมาบำบัดไป

เอ้า เทวดาอาตมาก็ไขแล้ว ผีนรกก็เปิดเผยไปบ้าง ที่จริงผีนี่มีมากมายนะ บรรยายไม่หมดง่ายๆ รู้จักผี ฆ่าผีตายก็เป็นเทวดา เพราะฉะนั้น ผี กับเทวดา จะอยู่คู่กัน ตราบใดที่ยังเป็นผี เป็นกิเลสอยู่ ล้างกิเลสออก ก็เป็นเทวดาแท้ จนกระทั่งกิเลสหมด เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น มันจะมีมากหลากหลาย มีผีอยู่เท่าไหร่ ก็มีเทวดาขึ้นไปได้เท่านั้น มีผีอยู่เท่าไหร่ มีเทวดาได้เท่านั้น คุณต้องเรียนรู้ที่ตัวเรา นี่เป็นผี เป็นเทวดา หรือว่าเป็นนรก เป็นสวรรค์ที่แท้ ทุกวันนี้ เราไปกลัวนี่ อาตมาไม่ได้ดูด้วยเลย สุสานคนเป็น เขาว่าฮิตกันนักหนา และเป็นรายการผีๆด้วย อาตมาไม่รู้ว่า ผีหลอกผีดีอะไรแค่ไหน อาตมาไม่ได้ดูเลย พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย มันจะต้องหามาดูบ้างเหมือนกันนะ เผื่อจะได้เอามาบรรยาย มาให้พวกเราบ้าง ว่ามันหลอกกันมุมไหนบ้าง และมันจะมี ส่วนที่จะหยิบมา เป็นอุทาหรณ์ ประกอบในการที่จะสอน จะชี้ได้บ้างแค่ไหน ยังไม่รู้ ยังไม่มีโอกาสได้ดูจริงๆ สุสานคนเป็น ว่าฮิต ก็จบไปแล้ว ไว้ดูอีกทีหนึ่ง จะหาทาง หาโอกาสจะดู แล้วก็จะได้เอามาสอน อาตมาไม่ได้ดู เพราะว่าอาตมาติดหรอก

ทีนี้ เรื่องของวิญญาณ ที่อาตมาได้พูดไปแล้วนั้นว่า ผี หรือเทวดา นั่น คือวิญญาณ ไม่นอกไปกว่าวิญญาณ นอกเหนือจากสภาพของวิญญาณแล้ว ผีและเทวดา ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย เพราะฉะนั้น เราจะไปเข้าใจว่า เทวดาอยู่บนฟ้า ผีอยู่ใต้ดิน อะไรพวกนี้ นี่งมงายทั้งนั้นแหละ เลอะเทอะ ในคำถามที่อาตมาผ่านๆ มา เมื่อกี้นี้ ถามมา เข้าทรง เข้าเซิงผีนั่นผีนี่ อะไร คงจะได้ตอบกันหรอก ก็ยังไม่ต้องพูดตอนนี้ เดี๋ยวคงได้ตอบทีในนี้ คิดว่าพูดอีกสักสองสามนาที ก็จะจบนะ เหลือเวลา ไปอีกสัก ๒๐ นาที ประมาณนั้น ตอบปัญหานี้ และการตอบปัญหา ก็คงจะไม่นอกไปกว่า ในเรื่องของผี วิญญาณ นรก เทวดา สวรรค์ มีจริงหรือไม่ อาตมาไขความจริง ให้ฟังแล้ว

เพราะฉะนั้น คนที่มาเรียนรู้ตามทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่น ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ จะมีตาทิพย์ ได้รู้ ได้เห็นความจริง คือได้เห็นผี ได้เห็นเทวดา ที่แท้จริง ทุกวันนี้ เรียนรู้ผีเทวดาหลอกๆกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่เลย น้อยนักน้อยหนา ที่จะรู้แจ้งในเรื่องของผี เรื่องเทวดาจริงๆ เสร็จแล้วก็ไม่เกิด ผลประโยชน์อะไรเลย ยิ่งงมงายกันไปใหญ่ ในคำถามจะมีตอบในเรื่องที่ถาม ไอ้โน่น ไอ้นี่บ้าง ผีไป ทำน้ำมูกน้ำมนต์ ทำโน่นทำนี่ ดูเหมือนผ่านๆตา อาตมายังไม่ได้อ่านแท้ ผ่านตา เมื่อกี้ ดูเหมือนมี ไม่มีไม่เป็นไร อาตมาอธิบายโยงถึงได้

ขอสรุป ตอนนี้ก็ต้องสรุปลงแล้ว ได้ไขแล้วว่า ผีคืออะไร นรก ผี จิตวิญญาณ ที่มันเป็นกิเลส โดยเฉพาะ ในตัวของแต่ละคน กิเลส โลภ โกรธ หลงนั่นแหละ เป็นตระกูลใหญ่ เพราะฉะนั้น มันจะออกลีลา ลูกเล่นนาๆ สารพัด ที่คนไม่มีวิชชาแท้ มีแต่อวิชชา ต่อให้ไปจบความรู้ ขนาดดอกเตอร์มา ๓ ดอกเตอร์ ๔ ดอกเตอร์ ก็ตาม ไปจนชั้นโพสดอกเตอร์ มาก็ตาม หรือจะเรียนรู้ ด้วยวิชา อะไรอื่น ที่จะเป็นหลักประกันดีกรีทางโลก เขากำหนดให้มา ขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่เรียนรู้เรื่องนี้ ยิ่งเป็นผีร้าย เพราะยิ่งโลภได้อย่างสะดวก เพราะทางสะดวก มันมีเยอะ ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น สอนให้มีความรู้ ความสามารถจริง จะรู้ม๊ากมาก จะเรียนจบดอกเตอร์ กี่ดอกเตอร์ ก็ไม่ได้ว่าอะไร จบแล้ว จิตจะต้องเจริญ ยิ่งมีความรู้มาก ยิ่งมีความสามารถมาก ยิ่งมาสร้างสรร เสียสละม๊ากมาก ท่านไม่เคยสอนว่า ยิ่งรู้มากๆ สามารถมากๆ แล้วยิ่งไปเอาเปรียบ ม๊ากมาก เอามาให้แก่ตัวแก่ตน เป็นของตนมากๆ ท่านไม่เคยสอน พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน เพราะฉะนั้น คนดีของพระพุทธเจ้า จะจน จะไม่โลภโมโทสัน ไม่สะสม จะอาจหาญ แกล้วกล้า ว่าไม่มีสมบัติในตัวเลย ไม่สะสมทรัพย์ ศฤงคารเลย ก็อยู่ได้อย่างมีคนกราบไหว้บูชา

คนมากราบไหว้บูชาคนรวยนั้นไม่เก๋ ไม่เท่ ไม่ใหญ่อะไรเลย คนกราบไหว้คนจนจริงๆ อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่จนเพราะขี้เกียจขี้คร้าน จนเพราะสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ใช่ จนเพราะเราไม่สะสม จนเพราะเราตีราคา ค่าตัว ของเราถูกมาก จนไม่ต้องรับค่าแรงอะไรเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น คนชนิดนี้ ย่อมไม่ร่ำรวยๆ ทำงานไม่ต้องเอาค่าจ้าง ทำงานช่วยเหลือสังคมประเทศชาติ ช่วยเหลือโดยไม่จำเป็นจนต้อง รับรายได้ ถ้ารับรายได้มา ก็พอกินพอใช้ กินน้อยใช้น้อยด้วย เมื่อกินน้อยใช้น้อยด้วย เสร็จแล้วที่เหลือ ก็เอาไปเจือจานสังคม ไปเผื่อแผ่ช่วยเหลือเฟือฟายผู้อื่น กล้าจริงๆ อาจหาญชาญกล้า ที่จะเป็นผู้กล้า ที่จะไม่สะสม แล้วยืนอยู่ในสังคมมนุษย์นี้ได้ อยู่ได้โดยที่จนๆ นี่แหละ อยู่ได้ ในสังคมมนุษย์นี้ ต้องการคนชนิดนี้ มาพิสูจน์มากที่สุด คนร่ำรวยอยู่ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องประหลาด ใช้เงิน หว่านอยู่ ไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่คนที่จนๆ ที่อยู่ในสังคม ไม่มีทรัพย์ศฤงคารนี่แหละ อยู่ได้ในสังคม อย่างไม่ต้องห่อเหี่ยว ไม่ทุกข์ร้อน ไม่ลำบากลำบนใจอะไรเลย และสุขภาพร่างกาย ก็ไม่เสียด้วย คนชนิดนี้ซิ เป็นคนที่ประเสริฐ เป็นคนที่เป็นไปได้ยาก

เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อมาเรียนรู้ผีเทวดา หรือมาเรียนรู้นรก สวรรค์ จริงแล้ว เราจะรู้ว่า บุญที่แท้นั่นก็คือ คนเป็นเทวดาแท้ ชำระปุญญะ ภาษาบาลีนี่แปลว่า เครื่องชำระ ได้ชำระกิเลสจริงๆ นั่นแหละ ได้ขึ้นสวรรค์ ได้เป็นเทวดาแท้ เพราะฉะนั้น เทวดาลวงๆ เป็นกามสุขัลลิกะ เป็นโลกียสุข อย่างทุกวันนี้ ที่เสพสุขกันอยู่ทุกวันน่า ได้เสพไอ้โน่น ได้กินของอร่อย ได้ฟังเสียงเพราะ ได้สนุก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเป็นกามคุณ ๕ ก็ดี หรือแม้แต่เป็นภพชาติ ที่เป็นภวตัณหา อาตมาไม่มีเวลาที่จะไขความภวตัณหาแล้ว พูดแต่กามตัณหาเล็กๆน้อย เท่านั้นนะ วิภวตัณหา ที่สูงขึ้นไปกว่านี้อีก ก็ไม่มีโอกาสได้พูดแล้ววันนี้นะ ถ้าเรามา เรียนรู้กิเลสตัณหา เหล่านี้จริงๆแล้ว เราจะเป็นคนอยู่ในสังคม ที่จะเป็นประโยชน์ คุณค่า ไม่เห็นแก่ตัวอย่างมาก ไม่เห็นแก่ตัว อย่างสมบูรณ์เลยแหละ หมดตัวหมดตน หมดความเห็นแก่ตัว เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวเลย นั่นแหละ ยิ่งเป็นคนมีคุณค่า เป็นคนจน แต่เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรู้ มีความสามารถ ช่วยเหลือเฟือฟาย สังคมมนุษย์อยู่ อย่างบริสุทธิ์ใจ โลกทุกวันนี้ เอาเปรียบเอารัด โดยวิธีซ้อนเชิง ฉ้อฉล หลอกล่อ ให้เขาตายใจ แล้วตัวเองก็กอบโกยสะสม ซ่อนแฝงบำเรอโลกียสุขของตนอยู่ จนกว่าจะตายไป คนไม่รู้เท่าทัน ก็ไม่มีใครมาเปิดเผย อาตมามาเปิดเผย จึงถูกจับ ไม่ใช่ เปิดเผยธรรมดา เปิดเผยไป เดือดร้อนแม้กระทั่ง เทวดาใหญ่ๆ เขาร้อน แต่ เทวดาเก๊นะ เทวดาสมมุติ เทวดาปลอม เขาเดือดร้อนอาสน์ เขาก็เลยจับอาตมาซะ หาว่ามาทำลายบัลลังก์ที่เขานั่ง อันแสนสุข เขาก็เลยเดือดร้อนไปนะ

มีต่อ ตอบปัญหา


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ
ตรวจทาน ๑. โดย สม.จินดา ๓๐ ส.ค.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา ๑๔ ก.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๒. โดย สม.ปราณี ๑๕ ก.ย.๒๕๓๔
เข้าปกโดย สุริยา รุ่งเรือง
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
FILE:1784.TAP