ป่วยใจ ทำให้ป่วยกาย
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
ณ พุทธสถาน สันติอโศก

เราพูดกันยังไม่ถึงจุด ที่มันจะเข้าใจได้ทันทีง่าย และมันเป็นจริง ทุกวันนี้ เป็นจริงๆเลยนะ พวกเรานี่ ไม่ใช่ว่าไม่เป็น มันเป็น ซึ่งอาตมาก็เห็นใจนะ เพราะว่าพวกคุณก็ไม่รู้ตัว พวกคุณเป็น โดยที่คุณก็ไม่รู้ พวกคุณก็ไม่เชื่อว่าตนจะเป็นนะ เพราะว่ามันเป็นโรคทางจิต นึกว่าตน เป็นโรคทางกาย เพราะมันเจ็บปวด เพราะมันเจ็บที่กาย จิตของเราสบาย เหมือนเราไม่มีอะไร ลึกๆ มันเหมือนเราไม่มีจิตเป็นอะไรนะ แต่เราก็เจ็บทางกายนั่นแหละคือโรคทางจิต ที่มันมีอยู่ ในจิตของ เราลึกๆ เป็นกิเลส ที่มันมีภาวะต่อต้าน ภาวะที่มันขัดแย้ง ภาวะที่มันไม่ลงตัว เป็นภาวะที่ตัวเองไม่รู้ตัว เราไม่ใช่จะรู้ได้ง่ายๆหรอกนะ

ทีนี้ เราต้องฟังให้เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะหายง่าย หมอรักษาไม่ยากหรอก ในโรคนี่ ถ้าเราเข้าใจ เห็นจริงเลยนะ ถูกตัว ความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ลึกๆของเรา คือ ปวด แล้วหายทันที ฟังเดี๋ยวนี้ ก็หายเดี๋ยวนี้ ไอ้โรคที่ปวดที่เจ็บ ไอ้โรคที่เป็นหายทันทีเดี๋ยวนี้ มันง่ายแสนง่าย ไม่งั้นก็ทรมานทรกรรม ต้องไปหาหมอฮ้อ ต้องไปหาหมอหลวง ต้องไปหาหมอธิเบต ต้องไปหาหมอ แล้วก็ไปกินยาหมอธิเบต เจ้าพระคุณเอ๋ย ทรมานทรกรรม ซวยแสนซวย ยาหมอธิเบตนี่ ได้ข่าวว่าสุดยอดแห่งยา ก็เป็นเองแหละนะ

มีจุดหนึ่ง ที่อาตมาจะบอกให้เข้าใจ คือยังงี้นะ แง่หนึ่ง เชิงหนึ่ง ใครก็ตาม ที่ป่วยเจ็บป่วยนี่ ปวดแข้ง ปวดขา ปวดตรงโน้น ปวดตรงนี้ ไอ้โรคปวดๆ นี่แหละคือ โรคที่มาจาก neurosis มาจากโรคทางจิตง่ายที่สุดๆ นา ปวดตรงนั้น ปวดตรงนี้ ไม่เป็นปกตินะ ง่ายมาก และไปหาหมอฮ้อนี่ ส่วนใหญ่อาตมาบอกได้เลยว่า โรคทางจิตส่วนใหญ่ ไปหาหมอฮ้อ นี่ นวดจนตาย ไม่หายหรอก จริงๆ นวดจนตายก็ไม่หาย เพราะมันไม่ใช่โรคของตัวนั้นแท้ๆ สมุฏฐาน มันไม่ใช่อยู่ที่ไอ้ตัวที่เจ็บ ที่ปวด ที่เมื่อย ที่เพลียอะไรทั้งนั้น มันไม่ใช่

จุดที่อาตมากำลังจะบอก คืออย่างนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ไปให้หมอหลวง นี่ ที่เขาตรวจทางสรีระ ตรวจอย่างละเอียด ตรวจอย่างดีเลย ทางร่างกาย โดยเฉพาะตรงไหน ที่เราเจ็บ เราปวดอะไร นี่ ให้เขาตรวจตรงนั้น เขาตรวจเขาก็หาสมุฏฐานไม่ได้ เขาบอกไม่มีเชื้อ ไม่มีเหตุ ไม่มีโรคอะไร ถ้าบอกอย่างนี้เลย ถ้าบอกอย่างนี้ จงทราบว่า นั่นแหละ คุณเป็นโรคจิต เป็น neurosis เป็นโรค ทางจิต เป็นเหตุมาจากทางจิต นี่อันหนึ่งได้เลย ให้หมอหลวงเขาตรวจโดยเหตุผล ทางวิทยาศาสตร์ โดยทางเครื่องมือ ทางอะไรต่ออะไรตรวจแล้วเสร็จ มันปวดตรงนี่ มันเจ็บตรงนี้ อะไรก็แล้วแต่เถอะ ให้คุณบอกเขาว่าปวดหัว ปวดท้อง มันเป็นอะไรก็แล้วแต่ ปวดหัว ปวดท้อง ต่อให้ขี้ออกมาเป็นเลือด ปวดท้องจนกระทั่ง เยี่ยวออกมาเป็นเลือดก็ตาม ให้ไปตรวจเถอะ เขาตรวจเสร็จแล้ว มันไม่มีสมุฏฐาน ไม่มีเหตุที่เกิดโรค เขาตรวจไม่เจอ ไม่มีอะไรนี่ เป็นเหตุ จงรับทราบไว้นะ นั่นแหละคือ โรคทาง neurosis โรคทางจิต เป็นเหตุ ความไม่ลงตัวของจิต ความเครียด ความกดดัน ความสั่งสมปะทะ มันเป็นโรคประชดชนิดหนึ่งนะ neurosis นี่มันเกิดมาจาก โรคประชดชนิดหนึ่ง และมันไม่ไปประชดที่ใคร ประชดตัวเอง และมันเป็น ข้อต่อรอง กับคนอื่นนั้น ก็คือเอาตัวเองที่เจ็บปวดนี่ ไปประชดๆ ประชดคนอื่น หรือไปต่อรอง คนอื่น เป็นโรคอ้อน เป็นโรคออเซาะ แล้วก็ต่อรอง เจ็บกันป่วยกันแล้ว เห็นไหม ฉันเจ็บแล้ว เห็นไหม อะไรต่างๆนานา อะไรก็แล้วแต่ และมันประทุออกทางกาย ให้คนอื่น ได้สงสาร ให้คนอื่นเห็นใจอย่างนี้ เป็นต้น มันเป็นโรคออดอ้อน มันเป็นโรคออเซาะอีกด้วย มันเป็นอยู่ในตัว

อาตมาไม่อยากให้เป็นนะ เพราะว่า พวกคุณไม่รู้ตัวหรอก มันก็เป็นแล้ว มันก็เจ็บที่ตัวเราแล้ว จริงๆแล้ว ก็เสียไปทั้งหมู่ด้วยเหมือนกัน โอ๋ย พวกอโศก ทำไมมันถึงป่วยมากนัก อาตมาว่า พวกเรานี่แข็งแรงๆ จริงๆ แข็งแรง เพราะเราไม่ได้ไปรับมลพิษ ไม่ได้ไปรับอะไรบ้าๆบอๆ ไอ้เรื่องมอมเมา อะไรต่างๆ แม้แต่อาหารการกิน จะไปรับเอาอาหารการกิน ที่มอมเมาจาก โรคทางนอกมา เราก็ไม่ได้รับ เรากินอาหาร อาหารการกินของเราถูกสัดถูกส่วน ได้ค่าของอาหาร ที่ดีนา แล้วๆเราก็ไม่ได้ไปเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา เที่ยวไปส่ำส่อน ไปเที่ยวซอกแซก เที่ยวไปเอาเชื้อโรค เชื้อภัยอะไรมา ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรกับเขามากมาย ไม่ได้ไปคลุกคลี ไม่ได้ไปวุ่นวาย กับพวกที่มีโรคอะไรต่างๆนานาอะไรมากมายใช่ไหม เราก็อยู่ในหมู่ในกลุ่มพวกนี้ พวกเราไม่ได้ไปท่องเที่ยว ไม่ได้ไปเตร็ดเตร่ ไม่ได้ไปสำมะเลเทเมา อะไร มันก็ไม่มีทาง ที่จะไปรับเชื้อโรค เหล่านื้มาง่ายๆ

เอาทีนี้ บอกว่าพวกเรานี่ มันปวด มันเจ็บ เพราะมันพักผ่อนไม่พอ เพราะมันทำงานหนัก มันมีบางคนนะ ทำงานหนัก ยกตัวอย่าง คนที่ทำงานหนักมากขึ้นคนหนึ่งคือ พรพิชัย แล้วเขาป่วยไหม ใครทำงานมากกว่าพรพิชัยบ้าง แล้วบอกว่าทำงานมากแล้วปวย และก็พรพิชัย ทำงานขนาดนั้น แล้วไม่เห็นป่วยตรงไหนเลย คือพวกเราหลายๆคนที่เห็นกันอยู่นี่ก็ ทำงานแข็งแรง และทำงานอยู่มากไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ก็ไม่ได้ป่วย ไม่ได้เป่ยอะไร คนที่ป่วยจริงๆ มันทำมากกว่า เขาจริงๆนะหรือ ก็ทำมากจริงๆก็ป่วย ที่บอกว่าทำงานมาก แล้วจึงป่วย

อาตมาเคยอธิบายแล้วพวกเรานี่ ทำงานมาก แต่ไม่มากเท่าชาวโลก ข้างนอกเขาแย่งลาภ แย่งยศเขาหรอก อย่างอาตมายกตัวอย่าง พวกขายของอยู่ตามร้านโต้รุ่งนั่นนะ พวกร้านโต้รุ่ง ทั้งหลายแหล่ ถ้าใครเคยรู้เคยเห็น ไม่เป็นอันนอนอันกิน นะพวกนั่นจะบอกให้ มันขายโต้รุ่ง ๒๔ ชั่วโมง โอ๋ย มันทำงานกัน ประเดี๋ยวไปซื้อของมาเติม ประเดี๋ยวไป มันก็จะต้องมาคอยเฝ้าร้าน กันอยู่ถึง ๒๔ ชม. มันก็ไม่ค่อยได้หลับ ได้นอนอะไร มันก็เที่ยวได้กินอะไร มันก็กินจุบจิบ เติมตัวเอง ไปเอิกเกริก เฮฮาอะไรของมันไปตามเรื่องตามราว หน้าเหลืองๆ พวกนั้นนะ หน้าเหลืองๆ ไม่ใช่เหลืองอย่างพวกเราน่ะ พวกเรานี่หน้าเหลืองอีกอย่างหนึ่ง พวกนั้นหน้าเหลือง อีกอย่างหนึ่ง เหลืองแต่ไม่คล้ายกันนะ ดูดีๆ เถอะ ดูสังเกตดีๆ

พวกเราเหลืองๆทองๆ ของเขาเหลืองๆแดงๆ เหลืองนั่นมันมีออกมายังไงไม่รู้ เหลืองแดงๆ แล้วมันจะกลายเป็นเหลืองช้ำๆ เพราะฉะนั้น หน้าจะคล้ำๆ ช้ำๆ เหลืองแดงๆ เพราะอะไร เพราะพวกนั้น เขาไม่พักผ่อน หรือมีไม่พอซึ่งมีอะไรในร่างกายแล้ว หรือในตัวสรีระเขาแล้ว เขากลับพยายาม ที่จะรื่นเริง เบิกบาน หวือหวาน่ะ รื่นเริงเบิกบาน กระดี๊กระด๊า เอะอะมะเทิ่ง เลือดฉีด มันก็เลยมี สภาวะที่มันเซียวลงได้ตามลักษณะของสิ่งที่ขาด แต่มันก็มีเลือดวิ่งมาก เลือดนี่จะวิ่งมาก ตามลักษณะกระดี๊กระด๊าของเขา ขี้โลภมาก ขี้โกรธมาก ก็ขึ้นอยู่เรื่อย เรื่อยละ เลือดนี่เขาวิ่งอยู่พล่านอยู่ในร่างกาย เพราะความขี้โกรธ ขี้โลภ ของเขามาก ความกระดี๊กระด๊า อะไรของเขาไปตามโลก ปรุงแต่งโลกๆของเขา เป็นภาพอย่างนี้ เหลืองออกแดงๆ และเป็นช้ำๆ เหมือนอย่างที่ว่านี่ ดีไม่ดี มันยังกลายเป็นเรื่องรูปลักษณะยังไง คุณก็ฟังดูก็แล้วกัน มันอธิบายยาก แต่ส่วนพวกเรานี่ เหลืองทองๆ ไม่ใช่เซียวๆ ซีดๆ แต่มันจะค่อนข้าง มาทางเหลือง ทางทองๆ เหลืองทางทองๆ เหลืองทางมันไปทางเหลืองๆ มันไม่มีแดง เข้ามาปนนะ เพราะพวกเรา ไม่ได้จัดจ้านในความโลภ ในความโกรธ เลือดไม่ได้พุ่ง ไม่ได้ฉีด อะไรแรงๆเหมือน กะเขา เพราะฉะนั้น มันจะไม่เหมือนกะเขา มันจะเหลืองเย็นๆ อย่างที่ว่า นี่พอ พูดมาถึงคำเย็น อาตมาก็มาสะดุด อาตมามาสำนึกได้ว่า อาตมาพูดผิดไป มันเหลือง มาทางเย็น มันไม่เหลืองไปทางร้อนๆ เหมือนคนเขา นี่ มีลักษณะแตกต่างกันอยู่นัยที่ลึกซึ้ง อยู่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ ถ้ากินอยู่หลับนอนได้พอเป็นไป เราไม่ใช่ว่า เราเอง เรานอนไม่พอ เรานอนเราไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเฮฮาอะไรเหมือนอย่างเขา พวกเขานี่เอ๋ย ขนาดที่ไม่มีเวลาที่จะพัก ก็ยังไปเที่ยวไปเตร่ มันไปสำมะเลเทเมา มันยังไปเอะอะมะเทิ่งสนุกครึกครื้น ไปเล่นไพ่ ไปเที่ยวเตร่ ไปตีบิลเลียด ไปสนุกอะไร ก็แล้วแต่ ไปๆ มันมีเรื่องที่เที่ยวเยอะ คนทางโลกเขานะ แต่ของเรา เรื่องเที่ยวน้อย

เพราะฉะนั้น ถึงเวลานอน เราก็นอน ถึงเวลาพัก เราก็พัก พักก็พักนะ ขนาดเขาง่วงนอน เขายังไม่ค่อยนอนเลย พวกชาวโลกๆน่ะ ชาวโลก ขนาดง่วงนอน เขายังไม่นอนเลย ใครสมบุกสมบันมาทางโลก จะรู้ดี แต่พวกเรานี่ ไม่เท่าไหร่หรอก ถึงเวลาที่จะนอนแล้วก็นอน ไม่ได้ไปฝืน หนีไปเที่ยวเตร่อะไรนักหนา เหมือนอย่างพวกอะไรเขา

เพราะฉะนั้น มันจะไม่ค่อยขาดเท่าไหร่นา เรื่องของทางจิต โรคทางจิต นี่ มันจึงค่อนข้าง จะมีอยู่เยอะ ในพวกเรานี่มีกระเส็นกระสายน้อยมาก ก็แล้วแต่ ตามแต่คนที่เรียนรู้ตัวเอง ได้จริงหรือไม่จริง อาตมาพูดอย่างนี้แล้ว ก็อย่าไปฝืนมากนักละ ถ้าฝืนมาก เดี๋ยวจะซับซ้อน ขึ้นไปอีก แม้ว่าเราเอง เรายังรู้สึกว่ายังปวดยังโน่นยังนี่อยู่ ก็อย่าพึ่งไปไม่ได้ เราต้องสู้ทนเอา อย่าพึ่ง ค่อยศึกษาพิจารณาดูเอา ค่อยๆผ่อน ค่อยๆคลายไป อย่าไปฮวบฮาบ อย่าไปแกล้ง ต่อต้านต่อสู้ตัวเอง ประเดี๋ยวจะกลายเป็นต่อต้านมากขึ้นอีก ก็ยิ่งเจ็บปวด เจ็บป่วยมากกว่าเก่า เข้าไปอีก ไม่ดีนะ เพราะฉะนั้น และให้ศึกษาฟังที่อาตมาพูดไปนี่ อาตมาพูด ไม่ได้หมายความว่า จะหักล้างหรือว่าจะมาบังคับให้คุณเอง คุณป่วยก็อย่าป่วย ไปพูดได้ยังไง มันเจ็บจริงๆ มันปวดจริงๆ และไปพูดว่าไม่ก็ไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าให้ศึกษา ให้ใช้ญาณปัญญา ให้ใช้การสอดส่องพิจารณาแล้วค่อยๆ ปรับตัว แล้วค่อยๆ พิจารณาดู จิตลึกๆ ว่เรามันมีอะไรนะ เป็นตัวซับซ้อนอยู่ข้างใน จิตใต้สำนึก หรือจิตลึกๆ นี้ มันไม่ค่อยรู้ตัวหรอก เราจะไม่ค่อยรู้ตัว แล้วมันก็จะประชด เป็นต้นว่า มันขี้เกียจ พอขี้เกียจแล้ว เราก็เลยไม่อยากจะทำ พอไม่อยากจะทำ มันก็หาเรื่องซิ จะหาเรื่องก็ยาก ทีนี้ จะหาเรื่องว่า เราเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นอะไร เป็นนั่นเป็นนี่ มันก็จะไม่จริง เมื่อไม่จริง จิตลึกๆ ทำงานเลย เฮ้ย เอ็งป่วยเสียบ้างซิ เอ็งป่วย มันก็เลยจะป่วย ปวดนั่น เจ็บนี่ ขึ้นมาทันที จิตนะเป็นตัวสั่ง จิตนั่นนะ เป็นตัวให้เป็น มันขี้เกียจ หรือมันจะประชด มันไม่อยากจะทำไอ้นี่ มันไม่อยากไอ้โน่นไอ้นี่ มันก็ปฏิเสธยาก มันก็เลย มีอาการพวกนี้ขึ้นมา ให้มันเป็นจริง พอออกมามันเป็นจริง ก็อ้างได้ ตัวเองไม่รู้หรอก ปวดจริง เจ็บจริง อ้างได้

อาตมานี่เคยเจอประท้วงแบบนี้ แม้แต่ผู้อยู่ใกล้ชิด แต่ก่อนนี่ ไปหาหมอ ปวดป่วยจริงๆเลยนะ เลยประท้วง ร่างกายปวดป่วยจริงๆ แต่หมอตรวจแล้วไม่เจอสมุฏฐาน หมอก็กระซิบบอกอาตมา บอกว่า ไม่มีโรคอะไรหรอก คุณไปทำอะไร ให้เขาน้อยใจ เสียใจแน่ะ ว่ายังงี้ แต่ก่อนนี้ ตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมาก็ได้รู้ อ้อ ยังงี้เอง ถึงต้องมาคอยรักษาดูแล คอยอะไรอยู่บ้าง จึงเห็นจริงนะ และหยูกยาอะไร ก็ไม่ให้อะไรนะโรคพวกนี้ มันเป็นโรคที่อยู่ในสมัยนี้ นะ โรคอย่างนี้อยู่ในสังคม อยู่ในโรงพยาบาลนี่มาก ไม่ใช่แต่พวกเราหรอก คนในสังคมก็มาก เป็นโรคทาง neurosis นี่มากกว่า ๕๐% ๖๐-๗๐% เป็นโรคทางนี้ไปเยอะ มันเป็นโรคประท้วง มันเป็นโรคเครียด เป็นโรคที่กดดัน เป็นโรคที่ประชด เป็นโรคอะไรต่อมิอะไรพวกนี้ และมันก็ประทุ ออกมาทางกาย ให้กายไปเจ็บไปปวด ไปป่วย เป็นนั่นเป็นนี่

เพราะฉะนั้น ยาแก้ปวดจึงขายดี นี่ มันรวยหมดเลยนี่ ไม่รู้กี่อย่างๆ มาทำบริษัทขายยานี่ ทำมาหมดน่า ยาทัมใจ ปวดหาย ยาประสาดนอแรด ออ โอ้อะไร ต่างๆ นานา อาตมาว่ามันเยอะ มันแยะ ยาแก้ปวด มันมาทำขายน่า มันขายดี มันปวดจริงๆ เป็นจริงๆ ง่ายนาทางโรคก็ไม่ใช่น้อย ว่าจะมีแต่พวกเรา แต่พวกเรานี้ มันมีอยู่ เพราะมันมารวมหมู่กัน รวมกลุ่มกันเขา และก็เลย มีแต่พวกซ้อนเชิง อีกทีหนึ่ง แต่ก่อน ถ้าเผื่อคุณอยู่ทางโลก ไม่เป็นนะ แต่พอมาทางธรรมเข้า กลับไปอ่อนแออีก เชิงหนึ่ง อ่อนแออีกเชิงหนึ่ง มีอัตตามานะ มันจะบำเรอตนเอง มันจะเอาตามใจ ตัวเองๆ โดยที่เราคิดว่า เอ๊ะ เราก็มาเสียสละ เราก็มาสร้างสรร พอเป็นอยู่ ก็ดีแล้วละ ถึงแม้จะยังไง ยังโน้นอย่างนี้บ้าง อยู่ในนี้ ก็พอไปได้ มันก็ไม่นั่นอะไร เป็นโรคอย่างที่ อาตมาว่า ขี้เกียจบ้าง ประชดบ้าง เครียดบ้าง เอาตามใจตัวเองในลักษณะนั้น ลักษณะนี้ ไม่ได้บ้าง ก็ประท้วงไป อะไรไปอย่างนั้นนา

ที่อาตมาพูดโดยภาษา คุณเอาไปพยายามเข้าใจสภาวะ เข้าใจความจริงคุณเอง ตรวจตรา ไปเรื่อยๆ บอกแล้วว่า อย่าพึ่งไปหักโค่น ถ้าใครยังปวด ยังเจ็บจริง ยังจะต้องรักกษา ก็ว่ากันไปบ้าง แต่ให้พิจารณาเรื่องนี้ จะฟังไปแล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ฟังไปแล้ว ก็ไม่พิจารณา ตรวจอ่านตัวเองจริงๆ ไม่ดี เอาไปตรวจอ่านจริงๆ เลยนะ แล้วจะดีนะ ไอ้โรคประท้วงนี่ พวกเราหลายคน โอ้โฮ จะเป็นจะตาย ไม่ใช่โรคน้อยๆ เลยนะ จะเป็นจะตายอยู่นี่ พอออกไป หน่อยเดียวเท่านั้นหายเลย ไม่ต้องรักษา เดี๋ยวนี้แข็งแรงปั๋งเลย ไม่ได้รักษาอะไรหรอก หายโรคเลย เมื่ออยู่เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ อาการไม่ได้เบาๆ เลยนะ เมื่ออยู่โอย อาการไม่เบา พอออกไปหาย นี่มันมาอยู่ในพวกเรา ที่อาตมายกตัวอย่างในพวกเรา ให้เห็นชัดๆ ในพวกเรานี่ มาอยู่แวดวง กรอบข่าวอย่างพวกเรา เสร็จแล้ว มันก็เลยบีบ อาตมาอธิบายไม่ออก อธิบายไม่เก่งกว่านี้ พอมาอยู่ข้างนอก อีกเรื่องหนึ่ง อยู่ข้างนอก ไม่มีใครมาสอดส่อง ไม่มีใครมาเพ่งมอง ไม่มีใครมาตั้งกฎติเตียน คอยชี้คอยจี้อะไร มันก็ไม่มีปัญหาพวกนี้เกิด แต่อยู่พวกเรานี้ มันจี้ มันมีอยู่ในกรอบในข่าย มันจี้มันอะไรๆ เลยยาก เพราะฉะนั้น ใครพอจะอยู่เป็นอารามิก อารามิกา จะอยู่เป็นอาคันตุกะประจำ ยังจะอยู่อะไรนี่ แหม มันก็ต้องมีกฎ มีระเบียบ มีอะไร มีข้ออะไร ติง พอจะไปก็ไม่อยากไป จะออกไปข้างนอก จะปลดออก คล้ายๆอย่างพระสึกก็ไม่เอา ก็ไม่อยากไป อยู่มันยังงี้ มันก็เลย เป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าออกไปจากนี้ปั๊บ อาตมาว่าหาย จะหายเยอะเหมือนกันนี่ ไอ้ที่มันเป็นนี่ จะหายจริงๆ นี่โรคนิวโรซีสจริงๆ โรคทางประสาท NEUROSIS โรคทางประสาท โรคทางจิต ทางจิต เพราะฉะนั้น ก็ให้ศึกษา ที่พูดนี่ ก็ได้บอกแล้ว และย้ำอีกหนึ่งว่า ไม่ได้มาบังคับ ไม่ได้รีดพวกคุณ แหม จะต้องรีบหาย ทั้งๆที่ก็ยังไม่หาย จะต้องไม่เอา และไม่เป็นก็ไม่ใช่ ให้เอาไปศึกษา แล้วค่อยเอาไปตรวจตราสอดส่อง แล้วค่อยๆ ซึมซับ ถ้าเผื่อว่า ญาณปัญญา มันเกิดจริง เป็นจริงนะ มันเข้าใจแท้ปี๊บหายเลย ไม่ต้องหยูกยาอะไรหรอก และไม่ต้องไปทรมาน ทรกรรม ปวดตัว ทั้งๆที่ไม่สมุฏฐาน เจ็บป่วย ในร่างกายไม่พอ ต้องไปล่อยาหมอธิเบตนี่ แสนที่จะโอ้โฮ เขาว่ายังไง รสชาติเป็นยังไง ทั้งขื่นทั้งขม แสนที่จะทรมานอีก โอ๋ย ซวยตายเลย คือ มันอวิชชา เพราะเราไม่รู้ตัว ไม่เท่าทัน จึงมาแนะนำ เพื่อให้ศึกษา ไม่ใช่ไปบีบบี้ ไม่ใช่ไปบังคับทันที อะไรต่างๆนานา พูดซ้ำย้ำอยู่หลายเที่ยวแล้ว ตรงนี้ฟังให้ดีๆนะ พอฟังไปแล้ว ก็คิด มักจะฟัง ไม่ค่อยครบ ไม่ค่อยจะตรงหรอก ไปถึงก็หาว่า อาตมาว่าอย่างโน้นอย่างนี้ เอาเลย หักโค่นเลย ก็ยิ่งจะพัง ซับซ้อนใหญ่นะ ถ้าอย่างนั้น ยิ่งพังซับซ้อนไปใหญ่ ไปไม่รอด ไม่ได้นา อันนี้มันเรื่อง จิตวิญญาณ มันต้องสุขุมประณีต ต้องละเมียดละไม ต้องดีๆ พึงไปผลีผลาม ทำอะไร ก็ทำผลีผลาม ตูมตามอะไร ประเดี๋ยวก็จะเจ็บ จะตายกันเอาง่ายๆ

แต่ถึงอย่างไรก็ดีนะ พวกเราก็ อาตมาว่ามีส่วนที่พัฒนาๆอะไรขึ้นมา ไม่ใช่น้อยหรอก เป็นไปได้ด้วยดี ขึ้นมาเยอะทีเดียวนะ

ตอนนี้ ก็ปีนี้ มันมีอะไรต่ออะไรที่ก่อทางรูปธรรมมากขึ้น อะไรๆก็รู้สึกว่า โอ้โฮ เกิดต่างๆ นานา สารพัดขึ้นมา ต้องใช้ทุนรอนก็เยอะ แรงงานก็พยายาม ดึงแรงงานขึ้นมาใช้ ให้มากขึ้น มันก็คน ที่จะเข้ามา ข้างนอกจะเข้ามา ก็ยังไม่มาก พอกับการขยาย การเจริญของพวกเรา และพวกเราเอง ก็โตไม่ค่อยเร็วๆ อาตมาก็พยายามเคี่ยวเข็นนะ พยายามที่จะเพิ่ม ถ้าอัตตา และมานะกิเลส อัตตามานะนี่ มันลดลงไปได้อีกจริง พวกเราจะเชี่ยวชาญ คล่องแคล่วว่องไว มีพลัง เพราะวิมุตินี่คือ พลังอันแท้จริงๆนะ อาตมาก็จะเทศน์เรื่องนี้อยู่ว่า ยิ่งวิมุติสุดจริง ดูเหมือนจะอันนี้แหละน่า ยิ่งวิมุติสุดจริง ยิ่งปาฏิหาริย์ คือวิราคะ จางคลาย กิเลส มันจางคลายไป จริงๆ และก็จางคลายลงไปใกล้วิมุติ จนกระทั่ง มันเป็นวิมุติสุดจริงๆ เลยนี่นะ ยิ่งมันจางคลาย ลงไปได้มากเท่าไหร่ ยิ่งมันจะมีสภาพปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์จริงๆเลยนะ ปาฏิหาริย์ ที่ดูไม่ออก บางทีนึกไม่ออก อาตมาเคยพูดกับพวกเรานี้ อัศจรรย์นะ ปาฏิหาริย์นะ คนไม่ได้ทำ เอามาลอกเลียนเล่นไม่ได้ง่ายๆ หรอก คนอย่างพวกเรานี่ หรือการก่อ การสร้าง การเป็นการไปนี่ เป็นวัฒนธรรม อย่างที่เป็นอยู่นี่ มันวัฒนธรรม ปาฏิหาริย์น่ะ คนอย่างพวกเรานี่ คุณฟัง คุณจะบอกว่าเอ๋ มันไม่เห็นแปลก มันไม่เห็นปาฏิหาริย์ อะไรมากมาย มันไม่เห็นหวือหวา จริง คนไม่ได้นิยมชมชื่น คนไปนิยมชมชื่นแบบโลกๆ ไปเล่นกลเก่งๆ ปาฏิหาริย์ แบบเดินน้ำ ดำดินอะไร เหาะเหินเดินอากาศ นี่ อันนั้น ปาฏิหาริย์ ใช่อันนั้น มันเป็นไปตาม กระแสโลก ธรรมดา แต่วิเศษที่คนเขานิยมชมชื่น แต่ทางนี่ เขาไม่มีทิศทางที่จะมาเลยด้วย ถึงแม้พวก ก็ยังไม่ชัดด้วยซ้ำ ว่ามาลดมาละ มาจางมาคลายนี่ มันปาฏิหาริย์นะ มาลด มาละ มาจาง มาคลาย และเสียสละอย่างบริสุทธิ์ คุณดูเหมือนสละไม่มาก เพราะคุณไม่มีเงินจำนวน ๑๐ ล้าน ๕๐ ล้าน ร้อยล้าน เสียสละอย่างทางโลก เขาเสียสละๆ อะไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ เป็นชิ้นวัตถุรูปใหญ่ๆ โตๆ คุณไม่มีสิ่งเหล่านั้นมาเสียสละ และดูเหมือนว่า คุณไม่ได้เสียสละ เพราะคุณหมดแล้ว นี่บาทหนึ่งก็ไม่มี มีแต่แรงงานทำอยู่อย่างนี้ เสียสละอะไร เหมือนกับว่า เหมือนไม่ได้เสียสละ แต่เสียสละยิ่งกว่าเขาเสียสละ ซ้อนเชิงในการเข้าไปเสียสละนี่ คุณเข้าใจ ด้วยปัญญา คุณเต็มใจเสียสละ ไม่มีภาวะซับซ้อนเหมือนเขา จริง คุณอาจจะมีภาวะ ที่มันยัง ไม่เกลี้ยง มันยังมีภาวะซับซ้อนที่ว่า นั่นเราเสียสละ แต่เราก็ยังมีใจ อยากจะได้สรรเสริญ เยินยอบ้าง ลาภบางทีเราเอง ใครเขาไม่มี ใครเกื้อหนุนไม่มีใคร แหม ทีคนนั้นให้ ทีเราไม่ให้ อาจจะมีเกี่ยงๆ มีพ้อๆ นี่มีน้อยๆ อย่าว่าน้อยใจ อาจจะไม่ถึงน้อยใจ มันยังมีเทียบๆ เคียงๆ มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ มันก็อาจจะมีอาการทางจิต ที่มันเป็นกิเลส กิเลสเบาๆบางๆ กิเลสเล็กๆน้อยๆ พอเข้าใจนะ ที่อาตมาอธิบายนี่ มันอาจจะมีเหลือบ้างก็ตาม ก็บริสุทธิ์สะอาดกว่าคนโลกไหมละ บริสุทธิ์ สะอาดกว่า ความบริสุทธิ์ สะอาดพวกนี้แหละ มันเป็นวิมุติสุดจริง หรือ วิราคะ ลึกซึ้งไปเรื่อยๆ ค่าของมันมากมาย และมันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ เป็นปาฏิหาริย์ ที่คุณมากอปรก่อ วัฒนธรรม มากอรปก่อสังคมอย่างพวกเรานี่แหละ เกิดกรรมกิริยา เกิดการงาน เกิดสัมมากัมมันตะ เกิดสัมมาอาชีวะขึ้นมา เป็นรูปร่างที่จะเป็นบุญนิยมนี่ ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่ธรรมดาๆ ที่คนจะสร้างได้ง่ายๆ ถ้าไปพูดบรรยายที่สนามหลวงเดี๋ยวนี้ มีคนมานั่งฟัง บอกว่า หลักเกณฑ์บุญนิยมเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องการอะไรมากหรอก ค้าขาย พวกค้าขาย ต้องขายเท่าทุน หรือต่ำกว่าทุน หรือขายฟรี แจกฟรี เขาก็บอกว่า อันนี้ มันก็ดี ฟังไป มันก็ดี เหมือนกันละ เองไปเพ้อไปเถอะ ฝันเพ้อไปเถอะ มันไม่มีใครเขาทำได้หรอก มีอย่างที่ใหน จะมาค้าขายเท่าทุน ยังไม่พอกัน ผ่ามาขายต่ำกว่าทุนนี่ ดีไม่ดี บอกว่าเราจำหน่ายจ่าย การค้าขายนี่ จำแนกแจกฟรีด้วย อย่ามาโม้ขี้ฟันเสียให้ยากเลยนา ขี้โม้ไม่เข้าท่าหรอก ฟังให้ดี ถ้าทำได้อย่างนี้ มันก็ดี ไม่ค้านในเหตุผล ในหลักการ แต่ในภาคปฏิบัติ ในภาคประพฤติ ในภาคพฤติกรรม ไม่มีใครทำได้หรอก จริงๆนะ ไปถามสังคมเขาดูซิ เขาอยากได้ไหม อย่างนี้ พฤติกรรมอย่างนี้ อยากได้ไหมละ อยากได้น้ำลายย้อยเลย จะบอกให้ เป็นดีมานสังคม เป็นอย่างมาก เป็นอุปสงค์ของสังคมอย่างมาก สังคมอยากได้พฤติกรรมอย่างนี้ หรือการค้า อย่างนี้ ที่อาตมายกตัวอย่าง ในการค้าขายก็ตาม บุญนิยม ชนิดอื่นๆทั้งนั้นแหละ เขาอยากได้ เหมือนกันหมดนะ ประเด็นอื่น แง่อื่นก็ตาม

เพราะฉะนั้น ค่าของ DEMAND สูงอย่างนี้ นี่แหละ มันสูงนะ ถ้าเผื่อว่า ทางโลกเขาต้องการมากๆ และไม่ค่อยมีราคา มีลิ่วเลยนะ ราคามันสูงลิ่วเลยนะ โก่งราคากดราคาเอาได้ตามใจชอบเลย ทางนักเศรษฐศาสตร์ ทั้งหลาย เขาหาวิธีอย่างนี้อยู่เสมอ เป็นวิธีการที่จะหาทางเอาเปรียบ เอารัดได้ กำไรเอาแบบโลกๆ ได้มากๆ แต่ของเรานี่ มันเป็นจริงเลยนี่ และมันเป็นจริงเลย และมันก็ได้จริงๆเลย นี่ อาตมาได้อย่างพวกเรามาทำนี่ ได้พฤติกรรมที่เกิดขึ้นมา อย่างพวกคุณ ทำขึ้นมานี่ ที่จริงนี่ ไม่ได้อาตมาได้หรอก สังคมมันได้ โลกมันได้ขึ้นมา อาตมาพาทำ มันก็มีรูปร่าง ได้ขึ้นมาให้อาตมารู้ ให้อาตมาเห็น ไม่ใช่เป็นของอาตมาหรอก พฤติกรรมรูปร่าง เรื่องราว ที่มันเกิดขึ้นมาช่วยนี่ มันไม่ใช่เป็นของอาตมา แต่มันเป็นของสังคมหมู่นี้ จะบอกว่า ของสังคม ทั้งโลกก็ด้วย สังคมทั้งโลก พฤติกรรมของมนุษยชาติ สังคมกลุ่มหนึ่ง ชุมชนกลุ่มหนึ่ง มีพฤติกรรมอย่างนี้ มีลักษณะอย่างนี้ พร้อมกับความเต็มใจ หรือความจริงใจ ความสะอาด บริสุทธิ์ของใจ นี่ มากขึ้น มีปัญญาเข้าใจทิศทางนี่ และเราก็ทำได้อย่างนี้ เราก็ภูมิใจของเราอย่างนี้ และเราก็พอใจของเราอย่างนี้ เราก็สบายใจของเราอย่างนี้ มันไม่มี อะไรซับซ้อน มันไม่มีอะไรฉ้อฉล ไม่มีเล่ห์กลอะไรแฝงๆ ปนๆไปในก็เหมือนอย่างโลกๆเขา โลกเขาจะทำบุญทำทาน จะทำทานยิ่งทำทานร้อยล้าน พันล้าน อะไรขึ้นมา โอ้โฮ ยิ่งซับซ้อน ยิ่งเขาจะเสียสละฟรีๆด้วย ร้อยล้าน พันล้าน โดยที่ว่าเขาจะมีอะไร ที่จะได้ตอบแทน ยาก ไม่ง่ายหรอก ไม่ง่าย และหาได้ยากจริงๆ ถ้าเขาทำทาน อยู่ทุกวันนี้ ที่เขาทำทานทีหนึ่ง สองแสน สามแสน ล้านหนึ่ง ลงหนังสือพิมพ์โน่นนี่ PROPAGANDA กันอยู่ หรือไม่ PROPAGANDA ก็ตาม ยาก และไม่บริสุทธิ์ ค่ามันจึงไม่สูง ค่ามันยังไม่สูง มันเป็นปาฏิหาริย์ถึงขนาดว่า เขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ มันไร้ค่า ฟังดีๆนะ มันปาฏิหาริย์ จนกระทั่งเขาเห็นว่า มันไร้ค่า แต่ถ้าคนเขามีปัญญา อย่างอาตมานี่ อาตมาบอกว่า โอ้โฮ นี มีค่าเหลือเกิน เมื่อกี้ ก็พยายามเทียบค่าให้คุณฟัง มันมีค่าเหลือเกิน มันปาฏิหาริย์ เหลือเกิน มันเป็นนามธรรม มันเป็นกำลังสังคมเป็นรูปธรรม อาตมาพูดขนาดนี้ มันยังไม่ใหญ่ ถ้ารูปธรรมของเราใหญ่ รูปธรรมของเรานี่ มีฤทธิ์มีแรง มีพลังของวิมุติ มากมายนะ วิมุตินี่ เป็นพลัง

พระพุทธเจ้าตรัส ก็เคยเอามาอ้างมาอิงมาอธิบายให้ฟังแล้ว มีพลังของวิมุติ นี่นะ เป็นพฤติกรรม เป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งเป็นวัตถุดิบ เป็นการงาน เป็นกิจการ เป็นการงานเป็นไอ้โน่น ไอ้นี่ ถึงขั้นที่เรียกว่าเด่น ชัดเลย ทางโลกเขาก็มีกิจกรรมแบบนี้ การค้าขายเป็นต้น กิจการ สร้างสรรอะไร ก็แล้วแต่ จะผลิตอะไรก็แล้วแต่เถอะ เป็นกิจการ แบบบุญนิยมขึ้นมาชัดๆ แล้วนะ และ เราก็มีปริมาณ และคุณภาพ ส่งเข้าไปถึงสังคมเขาเข้าไปจริงๆ เมื่อนั้นแหละ ไปเป็นตัวจริงๆ แล้วก็ไปเป็นตัวเปรียบเทียบ หรือเป็นตัวแข่งขัน ซึ่งเราจริงๆ เราไม่ได้ไปแข่งขัน เขาหรอกนะ ไม่ได้ต้องการเข้าไปชนะ คะคาน แต่เราต้องการทำอันนี้ขึ้นมา เราเห็นเรารู้ว่า มันเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ประชาชนได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากเรา เราต้องการ ประโยชน์อันนั้น กับประชาชน ไม่ต้องการเอาชนะคะคาน แต่โดยสัจจะแล้ว ถ้ามันโตพอ มันมีพลังงานมากพอ มีกิจการใหญ่โต กว้างขวางพอ รับรองว่า ทางด้านโน้น เขาก็จะต้อง เตรียมตัว เพื่อที่จะสู้ หรือ แข่งขัน เราไม่ได้แข่งขัน แต่มันจะเกิดการแข่งขันไปในตัว เขาจะสู้ เพราะเขา เหมือนเขาโดนปราบ และยิ่งมีน้ำหนักของเรานี่ มีน้ำหนักมาก แม้น้อย แต่มีน้ำหนักมาก เพราะมันผนวกไปด้วยความจริง เพราะผนวกด้วยความดี ผนวกไปด้วยกุศล มันเป็นการเสียสละ มันเป็นการสร้างสรร มันเป็นการเกื้อกูล มันเป็นอะไรที่ดี

ถอยทัพทางโน้น ก็ยอม ทุกวันนี้ เรายืนหยัดอยู่ได้ด้วยหลักสัจจะพวกนี้ เราเล็กนะ ทุกวันนี้ เราไม่ใหญ่เลยนะ หรือว่าใครว่า อโศกใหญ่ ไม่ใหญ่นะ ปริมาณเนื้อแท้ๆ จริงๆนี่ ก็ไม่เท่าไหร่เลย คนที่เอาจริงๆ เอาจังแท้ๆมา พยายาม พัฒนาตัวเอง และตัวเองก็มีฤทธิ์แรง มีเจโต และ มีปัญญา มีกำลังอินทรีย์ มีศรัทธินทรีย์ มีปัญญินทรีย์ หรือมีศรัทธาพละ ปัญญาพละ จริงๆ นี่ก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่ยืนหยัดอยู่ได้ พวกเรานี่ ไม่ต้องหลบเลี่ยง ไม่ต้องหลบลี้ ไม่ต้องหนีเลย ทำอยู่กับประชาชน ในสังคมนี่แหละ ไม่อาย แต่ไม่ใช่หน้าด้านนะ ไม่อาย นี่ ไม่ใช่พวกหน้าด้าน ไม่ต้องหลบเลี่ยง ไม่ต้องพราง ไม่ต้องบัง ทำสบายของเรา เป็นแต่เพียงพอประมาณ อย่าให้มันไปกระทุ้ง กระแทกกระเทือนเขาแรงเกินไป จนเขาเอง เขาทนไม่ได้อะไรพวกนี้ เราก็รู้อยู่ มุมเหลี่ยมของมัน ประเด็นของมันว่า มันจะเกิดความไม่สงบ หรือว่าเป็นไปไม่ดีอะไรอย่างนี้ ไม่เป็นอยู่ผาสุก ในสังคมอย่างนี้ เราก็ประมาณอยู่ ประมาณไม่ให้ไปบาด ไปเสียด ไม่ให้ไป ละลาบละล้วง ล้ำขีดแดงที่ควรระวัง เราก็พยายาม อาตมาคุมนโยบายนี่อยู่ ระวังอย่าให้ไป ล้ำขีดเแดง จนกระทั่งมันเกิดภัย เกิดเขาโกรธจัด ร้ายจัด จนกระทั่ง มาทำลายเรา จนกระทั่ง จริงๆเขามีอำนาจ อาตมาก็เคยบอกพวกเราว่า เขามีอำนาจที่จะถอนราก ถอนโคน เราทำลาย เราสูญสิ้น ภายในพริบตาได้ เขามีจริงๆ เพราะอย่างนี้ เราอย่าไปยั่วเสียให้ยาก ยั่วประเดี๋ยว ก็ตายจริงๆ นั่นแหละไม่ได้

อาตมารู้อยู่อย่างนี่ และอาตมาก็พาพวกเราก่อเกิดไปอยู่ เจริญอยู่ เจริญไปเรื่อยๆ ไอ้ความเจริญ เหล่านี้ มันเป็นไปเอง เราไม่ได้แข่งขัน เราไม่ได้ต้องการ เราไม่คิดจะปราบปรามนะ เราไม่ได้ต่อสู้ หรือเราไม่ได้ไปล้มล้างอะไร อย่างที่เขาว่าพวกเรา นี่มาล้มล้าง ตั้งใจจะมาล้มล้างพุทธศาสนา จะมาล้มล้าง จารีตประเพณีอันดีงาม เขาพูดผิดนะ ถ้าประเพณีอันใด ดีงามอยู่ อาตมาไม่ล้ม ล้างหรอก แต่ถ้าประเพณีอันใดมันไม่ดีงาม แต่เขาหลงว่าดีงาม เขาไม่รู้ว่าเขาหลง เขาไม่รู้ว่าเขาหลง ประเพณีอันไม่ดีงามนะ

อาตมายกตัวอย่างมาตั้งหลายทีบ่อยๆ ยกตัวอย่าง เช่น ประเพณีกฐิน มันดีงามอยู่หรือ ถามหน่อยเถอะ ประเพณีกฐินนี่ เนื้อหาของประเพณีกฐิน คือ พระขาดแคลนผ้าจีวร ไตรจีวรมานุ่งห่ม สมัยนี้ พระขาดแคลนจีวรมานุ่งห่มเหรอ ไม่ และเขาทอดกฐิน เอาผ้าจีวร ไตรจีวร เพื่อเอาไปให้พระ จะได้นุ่งห่มเหรอ เปล่า ก้อนเงิน กฐินคือก้อนเงิน ในเจตนามุ่งมั่น เอาแต่ก้อนเงินๆ มา สารพัด ที่จะไปทำอะไร ไม่ได้เอามาซื้อ ไตรจีวรหรอก ก้อนเงิน นั่นเป็นวิธี หาเงินอย่างยิ่ง ในเรื่องของคำว่ากฐิน เดือดร้อนกันไปทั้งหมด พอหน้ากฐินเมื่อไหร่แล้ว ก็โอ้โฮ เขาเขียน ภาพการ์ตูนล้อยังกะอะไรดี หลบกระสุนซองกฐิน หลบลูกระเบิดกฐิน มันเป็นที่อึดอัด ขัดเคือง คนระอาศาสนา มันทำลายศาสนาทางจิตวิทยาสังคมมากมาย กฐินนี่ แล้วเขาก็อ้างว่า เป็นการสนับสนุน ส่งเสริมศาสนา ส่งเสริมแง่อะไร จะบอกว่า อ้างว่าให้ยินดีในการทำทาน ปัดโธ่! มันยิ่งทรมาน มันยิ่งจะไม่อยากทาน มันถูกบังคับตายโหง ไม่ใช่ตายห่านะ ตายโหง คือมันจะขาดใจตายหลัดๆ เดี๋ยวนี้เลย ตายทันทีทันใด เขาเรียกว่าตายโหง ไม่ใช่เป็นโรคเป็นภัย ตาย เขาเรียกโรคเป็นภัยตาย เขาเรียกตายห่า นี่มันจะขาดใจตายชักดิ้นชักงอ ตายเดี๋ยวนี้ ด้วยซ้ำไป มันทรมานทรกรรม มากมายนะ

เพราะฉะนั้น จะวิเคราะห์ให้ลึกอย่างชัดเจนยังไงแล้ว ประเพณี จารีตประเพณี กฐินนี่ ไม่ได้เป็น การส่งเสริมศาสนาเลย ทำลายศาสนา แต่เราก็ไม่ไป ระรานอะไรมากมาย เราก็พูดบ้าง อธิบายบ้าง เท่านั้นเอง หาว่าเราจะมาล้มล้าง เปล่า จี้จุดผิด จุดบกพร่อง และเราก็ไม่สนับสนุน ไม่ส่งเสริม หาว่าเราทำลาย ต้องใช้ภาษาตรงๆอย่างนี้ เราไม่ใช้พระพุทธรูปอย่างนี้เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่า เราจะไม่บูชาพระพุทธรูป เราไม่กราบไหว้พระพุทธรูป เราไม่ให้เกียรติ พระพุทธรูป เราไม่เคารพพระพุทธรูป เปล่าเลย แต่ใส่ความเราอยู่ ตลอดกาลนาน เราไม่เคยไป ทำลายพระพุทธรูป สักองค์เดียวที่ไหน และก็ไม่เคยไป ลบหลู่พระพุทธรูปที่ไหน เข้าใจดีอยู่ เป็นรูปแทนสมมุติ ของพระพุทธเจ้า กราบไหว้ก็กราบไหว้ๆได้ เป็นแต่เพียงว่า เราไม่ส่งเสริม ไปซื้อไปหามาสร้าง หรือเอามาไว้เป็นสิ่งประเจิดประเจ้อ เพื่อที่จะให้มันเป็นหลักอะไร ที่จะต้อง เอามา นิยมชมชื่น อยู่กันอยู่อย่างเก่า ซึ่งเราจะเข้าถึงพระพุทธ โดยไม่ต้องใช้พระพุทธรูปก็ได้ อะไร อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเราก็ใช้นโยบายซับซ้อนลึกซึ้งหน่อย แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่าเลย และเขาก็หาว่า เรามาทำลายประเพณีที่เคารพนับถือพระพุทธรูป มาทำลายว่ายังงั้น เราก็ไม่ได้ทำลาย มันก็เป็นของมันอยู่ เขากราบพระพุทธรูปที่ไหน เราก็ไป วากเพ้ยอะไร ไปพังโรงเขา ก็เปล่า ไม่เคยไปทำ ดีไม่ดีไปในที่บางที่บางแห่ง อย่างนั้น เราก็ต้องกราบเคารพ ด้วยกันกับเขา เราก็ไม่ได้ไปขัดขวางอะไร ตัวอย่างหลักฐานมีเยอะแยะ อาตมาไปเทศน์นี่ วัดพระแก้วมรกต มีพวกเราไป ก็เท่านั้นก็มีส่วนหนึ่ง คนข้างนอกมีตั้งเยอะตั้งแยะ ที่วัดพระแก้วมรกต นั่นน่ะไปเทศน์มา ตั้งหลายครั้งหลายคราว อาตมาก็กราบเคารพ บูชาอยู่นั่นแหละ แม้เขาจะมีดอกไม้ ธูปเทียนอะไร อาตมาก็ไปห้ามเขาได้ที่ไหน ต้องอนุโลม ปฏิโลมให้เขาทำกันไป อย่าว่าแต่ในวัดพระแก้วเลย ไปวัดที่ต่างๆ นานา บางที อาตมาต้องบ่น จุดธูปนี่ตรงหน้า นี่แหละ รมควันอาตมาอยู่จะเป็นจะตาย เทศน์ก็จะไม่ออก เขาก็จุดธูป รมอยู่อย่างนั้น อาตมาจะไปว่าอะไรเขาได้มากมาย ก็ต้องอนุโลมปล่อยให้เขาทำไป เขาก็จุดบูชา ไปวัดไหน แต่ก่อนนี้ไปวัดไหน ก็มีพระพุทธรูปอยู่ทุกวัดนั่นแหละ วัดไหนไม่มี

วัดเราก็มีพระพุทธรูป ใครไม่รู้บ้างว่า ที่ข้างบนนี้ มีพระพุทธรูป ใครไม่รู้ ยกมือขึ้นซิ ใครไม่รู้ว่า ข้างบนนี่ มีพระพุทธรูป ไม่รู้เหรอ ไม่รู้อยู่ไม่กี่คน นอกนั้น รู้ๆกันใช่ไหม หรือว่าฟังไม่เข้าใจๆ สงสัย ฟังไม่เข้าใจมากกว่า ใครเคยเห็นพระพุทธรูปที่นี้บ้าง เอาๆ เท่านี้ก่อน ใครเคยเห็น โอ่เยอะ เคยเห็นนะ พระพุทธรูปองค์เขียว นี่เจ้าของคุณไปหามาจากไหนน่า ตั้งแต่มีบ้านหลังนี้ อยู่แต่ดั้งแต่เดิม พระพุทธรูปองค์นี้ ก็อยู่มาที่นี่ตั้งแต่ดั้งแต่เดิม ไม่เคยไปโยกย้ายไปไหน ไม่ใช่ไม่เคารพ ไม่นับถือ ตั้งแต่เป็นเจ้าของๆบ้านหลังนี้ ตั้งแต่ยังไม่ได้มาให้อโศกอยู่นะ ก็อยู่ตรงนั่น องค์นั่นอยู่ที่นั่น พระพุทธรูปแก้วเขียวปี๋เลย เขียวกว่านี้อีก พระพุทธรูป แก้ว เสร็จแล้ว เราไปที่อะไรล่ะ พระนอนจักร์สีห์ หรือวัดอะไรที่อ่างทอง หรือ อะไรละ ใช่ไหม พระนอนจักรสีห์ ใช่ไหม ฮ่า พระสิงห์ เขาก็ให้พระนอนมา โลหะหล่อ เราก็ถือมา เราก็เอา มาไว้ที่นี่ อีกรูปหนึ่ง ก็เอาไว้ใกล้ๆกันกับพระแก้วรูปนั้น เราก็ไม่ได้เอาไปถล่มทลายทิ้งอะไร เราไม่ได้นั่นอะไร เขาให้มาไม่รู้จะทำยังไง ตอนนั้นเราจำนน มอบให้อย่างดีเลยนะ เขาขาย แต่เขาไม่ได้ขายให้เรา แต่เขาให้เรานะ เขาศรัทธาเลื่อมใส อย่างไรก็ไม่รู้ คือพระนอนที่นั่น เขาก็หล่อพระเล็กๆ เอาไว้จำหน่ายที่นั่นนา แต่สำหรับเรา เขามอบให้โดยไม่ได้จำหน่าย จำเหน่ยอะไร เอามาแล้วก็เอามา แล้วก็เอาไว้ด้วยกันตรงนั้นแหละ เดี๋ยวนี้ ก็มีอยู่สองรูป หรือ มีมากกว่านั้นก็ไม่รู้ อาตมาก็จำไม่แม่น ใครยังไม่รู้ ก็เดินขึ้นไปดูก็ได้ อยู่บนห้องบรรณาธิการโน่น ส่องดูอยู่ข้างบนนั่นนะ มันเป็นจั่วทำโพลงๆ เอาไว้ มียังอยู่นั่นน่า มันสูง แมงมุมจะชักใย คลุมหมดแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ เท่านั้นแหละ ท่าจะเป็นนั่นน่ะ อาจจะแมงมุมชักใย รอบเอาไว้เท่านั้น อาจจะมองไม่เห็น เราไม่ได้ไปทำลาย เราไม่ได้ไปเป็น อย่างที่เขาพูดพร่ำไป ได้อะไร ไปได้เที่ยวส่อเสียด มันไม่เข้าเรื่องน่ะ อย่างนี้เป็นต้น เพราะในมุมนี้ ลึกซึ้ง ละเอียด อะไรพวกนี้ เรามาก่อ เรามาสร้าง หรือเรามาทำ เกิดพฤติกรรม เกิดวัฒนธรรม เกิดจารีต เกิดประเพณี เกิดบทบาท ลีลาอะไรขึ้นมาในสังคม เราก็อยู่ในสังคม คนที่มีบทบาท ไปตามปัญญา ตามที่เราเห็นควรในสิ่งที่หาว่า เราเองไปลบหลู่ ไปล้มล้าง เราไม่ได้ไปลบหลู่ เราไม่ได้ไปล้มล้าง ตั้งมากตั้งมาย แต่เขาไม่เข้าใจ เขาก็หาว่า อย่างนั้นแหละ ส่อเสียด และมาเกลียด มาชังเรา

จริงๆแล้ว โดยลึกๆแล้ว อาตมาไม่เคยคิดอยากที่จะให้คนไปเกลียด ไปชังคนที่แม้แต่ ศัตรูอาตมานะ อาตมาไม่เคยนะ ไม่เคยมีใจคิดว่า เอาจะให้คนเขาไปเกลียด ไปชังกับคนพวกนั้น แต่ให้เขาไม่ชอบ ในเรื่องของความไม่ดี ไม่ถูกต้องในคนบางคน จะในผู้ที่เขายึดถือผิดๆน่ะ แม้ผู้บางคนนี่ เขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา เขามีสิ่งที่ไม่ตรงกับเรา เราก็วิเคราะห์วิจัยสิ่งนั้นว่า ไม่ดีไม่งาม มันผิด แต่ไม่ได้ไปว่าคน ไอ้นี่แหละ แนวซ้อนอันนี้นะ มันเข้าใจยาก อย่าไปเกลียดคน เกลียด ถ้าจะใช้คำว่าเกลียด อย่าไปเกลียดคนผิด แต่จงเกลียดความผิด ถ้าจะว่าเกลียดนะ ถ้ามันมีในเรานี่แหละ เกลียดตัวความไม่ดีอันนี้แหละ จงเกลียดความไม่ดีในตัวเรา ต้องเอามันออก เปลี่ยนแปลงมันให้ได้ มันมีในตัวเรา กายกรรมอย่างนี้ไม่ดี เราก็เกลียดมัน แล้วเราก็เปลี่ยนแปลง แล้วให้เป็นกายกรรมที่ดี วจีกรรมอย่างนี้ ไม่ก็เกลียดมัน อย่าให้มันมี อย่าให้มันเกิด อย่าให้มันมีซิ ลด ให้มันมีวาจากรรม วจีกรรม ที่ดีขึ้นมาแทน มันมีไม่ดี เราก็เปลี่ยนมันออก แต่คนก็คือ ตัวเราตัวเก่านี่แหละ

แต่ก่อนเราเป็นคนไม่ดี ก็เลยกลายเป็นคนไม่ดีไป เพราะมีความไม่ดีมันเยอะ เราก็เปลี่ยน ความไม่ดีออก จนกระทั่ง เรามีความดีเข้าทดแทน เราก็กลายเป็นคนดีขึ้น เพราะมีความดีขึ้นมา มันแยกไม่ออกตรงนี้ ตรงความกับคน ตรงความกับคนนี่ มันแยกไม่ออกตรงนี้ เพราะฉะนั้น ต้องแยกให้ออกๆ ให้ชัดให้ชัด แท้ ถ้าละเอียดลออโยนิโสมนสิการอย่างนี้ได้ แยบคาย ถ่องแท้ ประณีตอย่างนี้ ได้ เราจะเจริญดีๆ เราจะเจริญเร็ว

เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราพยายามศึกษา สิ่งที่มันเป็นอธิ ที่มันยิ่งขึ้น หรือสิ่งที่มันละเอียดลออ ขึ้นพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นอธิในส่วนตัวของเรา หรือพฤติกรรม หรือแม้แต่บทบาทลีลา อยู่ในหมู่ ของพวกเรานี่ จะมีบทบาทพฤติกรรม ลีลา การงาน กิจกรรม กิจการนั่นๆนี่ อะไรที่มันละเอียด ลึกซึ้ง ดีงามขึ้นไปอีก เราช่วยกันรังสรรค์ จะได้ทั้งสังคม มีบทบาท ลีลา พฤติกรรม ประเพณี จารีต วัฒนธรรม จนกระทั่งถึง จิตวิญญาณที่ดี แล้วมันก็จะดำเนินต่อไป

ทุกวันนี้ เราก้าวหน้าอยู่หลัดๆ อาตมาขอยืนยันว่า ก้าวหน้าอยู่ เจริญ งอกงาม เป็นไปดี ไม่มีใคร มาต้านอยู่ พระพุทธเจ้านี่ ท่านท้าเลยนะ ธรรมจักรของตถาคต ที่ได้ขว้างออกไปแล้วนี่ ไม่มีใคร ที่จะมาต้านให้หยุดได้ ธรรมจักรของพระพุทธเจ้านี่ ท่านท้า ท่านตรัสอย่างแข็งกล้าเลย อาตมาก็ว่า แม้อาตมา จะไม่ใช่เจ้าของธรรมจักร และแม้ที่จะเป็นผู้ที่ใช้ธรรมจักอันนี้ ไม่ดี ไม่เยี่ยม เหมือนพระพุทธเจ้า อาตมาก็ว่าอันนี้คงมีฤทธิ์ ตามครรลองเดียวกันกับที่ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสนี่แหละ ถ้ามันเป็นธรรมจักรแท้ อาตมาก็ไม่อยากจะตู่ว่าของเรา เป็นตัวไป เสียร้อยเปอร์เซ็นต์ ทีเดียวหรอก ถ้าธรรมจักรที่เราทำอยู่นี้ตรงกับของ พระพุทธเจ้าแท้ ตามพระพุทธเจ้า อะไรก็ต้านยากๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส นั่นแหละแน่นอน นอกจากว่า มันจะผิดเพี้ยน ถ้ามันผิดเพี้ยนต้านได้หยุด ดีไม่ดีก็ตาย ธรรมจักรนี้ หรือว่าจักรกลอันนี้ ไม่เคลื่อนแล้ว ดับหยุด พังสลาย เลิก แต่ถ้าธรรมจักรนี้ เป็นธรรมจักรที่แท้ เป็นธรรมจักรที่จริง ธรรมจักรที่ถูกต้อง ตามครรลองของ พระพุทธเจ้า ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าแล้ว มันก็จะตรง กับที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสจริงเท่าใด ก็ยิ่งต่อต้านไม่อยู่เท่านั้น ใช่ไหม ยิ่งตรงเท่าไหร่ ยิ่งถูกต้อง ตรงครรลองของ พระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่ ยิ่งต่อต้านยากมากเท่านั้น จะเจริญไปๆมากเรื่อยๆ

ประเด็นนี้ ก็ขอให้พวกเราสังเกตว่า อโศกนี่ ได้รับการต่อต้านเหมือนกันนะ แต่ต้านไม่ค่อยอยู่ โดยที่เราไม่ได้ ไปละลาบละล้วง ทำหยาบทำคายอะไรเลย เราก็ไปของเราตามธรรม ดีไม่ดี เราหลบๆ เลี่ยงๆ ไม่ใช่หลบลี้หนีกลัวนะ แต่ว่าเราไม่ปะทะ ไม่พยายามที่จะไปต่อสู้แบบโลกๆ นะ ต่อสู้แบบหยาบๆ เอาฟันต่อฟัน เอาเขี้ยวต่อเขี้ยว อะไรอย่างนี้ เราไม่ทำอย่างนี้น่า ถือว่า มันอย่างคนชั้นต่ำทำกัน เราก็ต้องพยายามที่จะให้มีลีลา ที่จะไม่ให้ก่อเกิดความรุนแรง ให้เกิดการพอ ที่มันจะต้องเดินทางต่อไปอย่างดี สงบด้วยกันทั้งคู่ ไม่ใช่ว่าจะไปทะเลาะ เบาะแว้งอะไรกัน แต่มันต้องมีการขัดเกลา ในส่วนที่จะต้องขัดเกลา ไอ้ตัวขัดเกลานี่ ดูๆแล้ว เหมือนกับเราต่อสู้ เหมือนกับเราไปกระทบกระเทือนเขา กระทุ้งกระแทกเขา ไอ้ตัวขัดเกลานี่ ฟังภาษาดูดีๆ มันมีลักษณะจะต้องขัดเกลา คือว่าต้องมีการตำหนิติเตียน ก็จะต้องพยายาม แจ้งบอก ส่วนที่ไม่ดี ส่วนนั้นๆ อยู่

ทีนี้ ส่วนที่ไม่ดีนั้นๆ ที่เราแจ้ง ที่เราบอกนั่น มันก็ไปมีที่เขา ก็เลยคล้ายกับเราไปติเตียนถึงเขา ไปกระแทกเขา ไปซ้ำเติมเขา คล้ายๆอย่างนั้น ซึ่งมันเลี่ยงไม่ออก มันต้องเป็น มันต้องเข้าไปว่า สิ่งไม่ดีของเขา และเขาผ่ามีสิ่งไม่ดีมากๆเสียด้วย ว่านิดหนึ่ง ก็ถูกตั้งมากแล้ว พอว่าเขา ไปหน่อยหนึ่ง ถูกต้อง พอว่าเขามากขึ้นหน่อย ยิ่งถูกมากใหญ่ ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเราต้องชี้ และ เจตนาของเรา ก็ต้องการจะให้รู้ตัวว่า มันไม่ดีอยู่ที่คุณแล้วนะ คุณต้องรู้ตัวนะ และ ต้องรีบเลิกละ รีบตัดออก ล้างออก ทำออกนา มันอยู่เท่าไหร่ มันก็ยิ่งไม่ดีนา ไอ้ความไม่ดีนั้นน่า เราก็มีใจ เจตนาอยากให้เขาได้รู้ ได้แก้ไข ปรับปรุงด้วย บางทีเราไม่ได้ว่าเขาตรงๆหรอก ไม่ได้ไปติเตียนเขาตรงๆ หรอก ติเตียนพวกเราเองนี่แหละ แต่มันเป็นลักษณะเดียวกัน ที่เขามี จริง เขาอาจหยาบกว่าของเรา แต่มันลักษณะเดียวกัน เขาก็หาว่าเราไปว่ากระทบกระเทือน ไปถึงเขาอีกนะ มันเลี่ยงไม่พ้นจริงๆเลย ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันจำนน แต่เอาเถอะ ถึงยังไง อาตมาก็ ว่าเราได้ประมาณ เราก็เลี่ยงไม่ออกจริงๆ แล้ว เราก็ทำที่อย่าให้มันกระเทือนเขา จนกระทั่ง เราอยู่ไม่ได้ หรือเราถูกปราบปราม จนเรียบวุธเท่านั้น

นี่ เราก็ว่ากันไปเรื่อย มันจะไปยังไง ก็พยายามเข้าไปเจริญรุ่งเรืองกันเป็นรูปธรรม เป็นระบบ เป็นระเบียบ เป็นเรื่องเป็นราวอะไร ที่อาตมาหยิบมาพูดประกอบให้พวกเราได้เห็นได้รู้ ในวาระ ที่อาตมา ขยายถึงบทปรมัตถ์ บทภาคปฏิบัติของพวกเรา ว่ามีลีลาอย่างไร เจาะลงไป จนกระทั่ง ถึงปรมัตถธรรม จิต เจตสิก อาการของนามธรรม อรูปธรรมอย่างไร อาตมาก็ได้ หยิบมาอธิบาย เป็นครั้งเป็นคราว เพื่อที่จะให้เห็นทั้งสมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะที่ควรจะรู้กัน แล้ว เราก็จะได้ ปฏิบัติประพฤติไปเรื่อยๆๆๆ

เพราะฉะนั้น ในเรื่องมุมนอกๆ แนวกว้างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของรูปธรรมต่างๆ ที่อาตมาหยิบ เอามาพูดนี้ หลายคนฟังแล้วก็ ผู้ที่มีภูมิธรรมที่ยังไม่สูง ก็จะนึกว่า อาตมานี่ เอ๊ ไม่พูดธรรมะ ไม่พูดปรมัตถ์ นี่มันไม่สูงแล้ว เอานี่มาพูดแต่เรื่องโลกๆ พูดแต่เรื่องการงาน พูดแต่เรื่อง กรรมกิริยา สิ่งแวดล้อม อะไรอยู่ นอกๆ ตัว เป็นเรื่องเป็นราวนอก ไม่ใช่นะ เรื่องนอกนี่แหละ มันเกิดจากจิต วิญญาณพวกเรา เข้าไปเป็นนะ ถ้าไม่มีจิตวิญญาณอย่างพวกเราเข้าไปเป็นนะ ถ้าไม่มีจิตวิญญาณอย่างพวกเรา ไอ้พวกที่มีบทบาท ที่อาตมาพูดมาถึงนี่ มันจะไม่เกิด ที่อาตมาพูดถึง ว่ามันเกิด มันมีนี่ พูดเพื่ออธิบายในตัว และเพื่อให้คุณได้รู้ตัวด้วยว่า เอาไปเปรียบ เอาไปเทียบ เอาไปยืนยัน เอาไปพิสูจน์ต่อ ถ้าคุณเข้าใจด้วยปัญญาจริงๆ คุณก็จะยิ่งเจริญ ด้วยสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ยิ่งๆขึ้นไปอีก นอกจากเจริญไป ทั้งรูปธรรมแล้ว นามธรรมที่คุณจะต้องเรียนรู้ซับซ้อน มันก็จะได้ทำแบบฝึกหัด ที่ยิ่งๆขึ้นไปด้วย เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ต่อๆไปด้วย ในหลักมรรคองค์ ๘ นี่ ก็คือ ศีล ก็คือการศึกษาไตรสิกขา นี่แหละ ศีล สมาธิ ปัญญานี่แหละ แล้วมันถึงจะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะทั้งหลักๆ ธรรมะ และทั้งมีทั้งปรมัตถธรรม คือปรมัตถธรรม ประกอบอยู่ด้วย จริง อาจจะยกภาษาของสมมุติสัจจะมากล่าวเยอะ เป็นรูปธรรมมากล่าวเยอะ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่เกี่ยวข้องกับนามธรรม หรือไม่เกี่ยวข้องกับปรมัตถธรรม ขอยืนยันว่า เกี่ยวข้องกันนามธรรม และเกี่ยวข้องกับปรมัตถธรรมด้วยจริงๆ ใครฟังแล้ว มีปฏิภาณ แล้วจะเข้าใจทันที แม้ไม่มีปฏิภาณ ฟังความอาตมาแล้ว ก็เอาไปพิจารณาตรวจสอบ ตรวจสอบเจอเมื่อไหร่ คุณก็เมื่อรู้ตัว ถึงฐาน ถึงฐานะของเราที่จะควรทำ จงพยายามอุตสาหะ วิริยะ เพียรกระทำ เพราะว่าเรายิ่งจะมีวิมุติสุดจริงๆ เท่าไหร่ๆ ก็ยิ่งจะมีปาฏิหาริย์ ยิ่งมากขึ้นๆ เท่านั้นๆ ปาฏิหาริย์ ก็ได้บอกไปแล้ว ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แบบอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์ แต่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นปาฏิหาริย์ทำได้ตามคำสอน ทำได้ตามธรรมทฤษฎีหลัก ตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา อาตมาเอามาสาธยายต่อ และเกิดปาฏิหาริย์จริงๆ ซึ่งมนุษย์ เป็นไปได้ ไม่ได้ง่าย อย่างที่ว่าไปแล้ว พูดไปแล้วว่า มันเป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก นี่มันปาฏิหาริย์ อย่างนี้ และมันเป็นไปแล้วก็สุขเย็นไปแล้ว มันก็สุขเย็นของสังคม เป็นอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ จริงๆ

ขณะนี้มันได้เท่านี้ ก็คอยดูกันต่อไป ถ้าเผื่อว่า เราพากเพียรต่อไปอีก อย่าเพิ่งรีบตายนะโยมไสว อายุเท่าไหร่แล้ว เท่าไหร่ ๓๕ เหรอ อายุ ๕๗ แล้ว ปีหน้าก็ ๖๗ ปีต่อไป อายุ ๗๗ ฟังไม่เป็นนะ คนฟังเป็นก็ไม่งง อย่างที่อาตมาว่านี่ อายุรุ่นนี้แล้ว มันก็เป็นยังงี้แหละ มันจะก็พออายุปีนี้ ๕๗ ปีหน้าก็ ๖๗ ต่อไปก็ ๗๗ อายุแบบนี้ อายุปูนนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ ใครฟังเป็นก็รู้ ว่าอาตมาพูดอะไร ฟังไม่เป็น ก็มาเถียงอยู่อย่างนั้น ไม่เป็นก็เถียงไป อาตมาก็เข้าใจ แต่คุณเข้าใจอาตมาไม่ได้ เท่านั้นเอง อาตมาพูดยังงี้ก็เข้าใจคนที่เข้าใจ ก็อายุมากแล้ว ก็อย่าพึ่งตาย จะได้ดูๆ เห็นๆ อะไรได้เพิ่มเติมขึ้นมา เราก็ช่วยๆกัน ไม่ว่าจะแก่แล้วก็ตาม แก่แล้วก็พัฒนาได้ แต่ว่ามันแก่แล้ว มันปฏิบัติธรรมยาก มันก็มีอะไรๆ ยาก ถึงยากก็อย่าไปท้อแท้ มีเรี่ยว มีแรง มีเวลาอะไร ก็ศึกษาเพิ่มเติมขึ้น เพราะไม่มีอะไรเป็นทรัพย์หรอก นอกจากอริยทรัพย์พวกนี้ เป็นทรัพย์แท้ ของมนุษย์จริงๆ ใครไม่เชื่อก็แล้วไป ถ้าใครเชื่อ ก็พยายามเอาเถอะ อาตมาก็ว่า อาตมาก็ชี้ ทางบุญ ชี้สิ่งที่จริงให้แก่พวกเราๆแหละ อาตมาเอง อาตมาไม่ได้ชี้แต่คุณ ไม่ใช่ว่าอาตมา ไม่ทำไม่เอานะ อาตมาเอาของอาตมาเองแน่นอน อาตมาก็ต้องก็ช่วยตัวเอง เพราะอาตมาเอง ก็ต้องมีกรรม กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท อะไรของอาตมาเอง ไม่มีของใคร จะมาหาให้ได้ ไม่ได้ เหมือนกันทุกคนไป สิ่งนี้เป็นอริยทรัพย์

เป็นทรัพย์แท้ มนุษย์ที่พึงได้พึงเป็น เกิดมาแล้วชัดเจน ก็เอาให้ได้เถิด

สำหรับวันนี้ พอ


ถอด โดย ยงยุทธ ใจคุณ ๗ มี.ค.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๙ มี.ค.๒๕๓๕
พิมพ์ โดย สม.นัยนา ๑๐ มี.ค.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ปฯ ๑๐ มี.ค.๒๕๓๕
FILE:2272.TAP