รู้ตาย รู้เกิด...สู่ภูมิใด

โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๓๔
ณ พุทธสถานสันติอโศก


เรามาฟังธรรมะกันต่อ

ชีวิตของพวกเราวนเวียนก็เหมือนกับโลกเขาวนเวียนเหมือนกัน ตราบที่เรายังมีขันธ์ ๕ ยังมีธาตุ ที่มันประชุมกันอยู่ มีขันธ์ ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีร่างกาย แล้วก็มี จิตวิญญาณ ที่อาศัยขันธ์นี้อยู่ ทีนี้คนข้างนอกเขาก็เหมือนกันกับเรา เขาก็มีจิตวิญญาณ ที่อาศัยขันธ์ ๕ ของเขาเหมือนกัน แต่ว่าจิตวิญญาณของเขา ก็มีทิฏฐิความเข้าใจ เสร็จแล้ว เขาก็มีชีวิตตามความเห็นของเขา คือมีชีวิตตามทิฏฐิ ความเห็นความเข้าใจของเขานั่นแหละ เขาเข้าใจอย่างไร เขาก็พากเพียรของเขา แล้วเขาก็มีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีความอุตสาหะ มีวิริยะ หรือว่ามีความพยายาม วายามะ ตามที่เขาเองเขาจะพยายาม ความเห็นของเขา จะมิจฉา หรือเขาจะสัมมาขนาดไหนๆ ซึ่งมันมีขนาดต่างกันละเอียดลออเยอะแยะ เหลือเกิน จะเป็นมิจฉา มาหาสัมมาแต่ละขนาด มันมีมากมาย เขามีสัมมาในความดี คุณงามความดี หรือว่าชีวิตคน จะให้ดำเนินไป คติการดำเนินชีวิต การเป็นไปของชีวิตเขา จะดำเนินไป คติก็คือคตินี่แหละ การเป็นไป คนเราก็เดินไป ด้วยคตินี่ เดินไปทุกวันๆ ก็คือคติ คโต เพราะฉะนั้น มันจะทุคติ หรือมันจะสุคติ มันจะดีมากดีน้อย หรือว่ามันจะเลวมากเลวน้อย มันจะบาปมากบาปน้อย หรือว่ามันจะบุญมากบุญน้อยอยู่ที่ทิฐิ ความเห็นเป็นตัวประธาน ตามที่เราได้เรียนมาแล้ว เป็นตัวประธานตัวนำ เสร็จแล้วเขาก็มีสติ เท่าที่เขาจะได้ฝึกหัดมีสติ สติในโลกก็เคยแนะนำ เคยอธิบายมามากแล้วว่า สติมันก็รู้ตัว แล้วมันก็นำไปตามทิฐิ ของตนเองแหละ มีความพยายาม จะพยายามมากน้อย สักเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ใครจะมีความเพียร ความพยายามเท่าไหร่ก็ตามใจ มีมากก็ไป...ได้ไปได้มาก ยิ่งมิจฉาทิฐิมาก มีความพยายามมาก ก็ยิ่งได้บาปมาก เพราะมิจฉาทิฐิมาก แล้วแถมมีความพยายาม มีความเพียรมากด้วย เขาก็ยิ่งทำ ในสิ่งที่เขาเห็นว่า อย่างนี้ดี อย่างนี้ถูก ซึ่งที่จริงเป็นมิจฉาทิฐิ มันก็ยิ่งนำพาเขาเดินไปสู่นรก นรกลึกลงไปเรื่อยๆ บาปหนาเรื่อยๆ เหมือนอย่างคนในโลกทุกวันนี้ เขาทำอะไรของเขาโดยที่ เขาไม่รู้ เอาเปรียบเอารัด ขี้โกงคอร์รัปชั่น ไม่รู้จักหยุดจักหย่อยน ดันทุรัง ทั้งที่คนอื่นเขา จะพยายาม ห้ามกั้นหาทางที่จะไม่ให้เขาสร้างบาปสร้างเวร สร้างทุจริต อะไรต่อไปอีกนะ เขาก็ยังต่อสู้ เพื่อที่จะเอาชนะคะคาน ทำลายสิ่งกีดสิ่งขวาง ทำลายสิ่งที่มากั้น ไม่ให้เขา เดินสู่นรก ทำบาปทำกรรม จะคอร์รัปชั่นมากขึ้นอย่างนี้ เป็นต้น หรือหาทาง จะคอร์รัปชั่น ได้อย่างเก่า ได้ยิ่งขึ้น เขาก็พยายามทำของเขาจนได้ แล้วก็จนบาป จนอะไรอยู่อย่างนั้นน่ะ ตามมิจฉาทิฐิของเขา โลภโมโทสันให้ตัวเองมีความโลภหนาขึ้น หนาขึ้น เสร็จแล้ว ก็ยิ่งหาทาง เอาชนะคะคาน ก็ยิ่งมีตัวโทสะ พยาบาท อาฆาต รุนแรงเลวร้าย ที่แรงยิ่งขึ้นๆ เพิ่มขึ้นๆไปอีก เพราะตัวทิฐิของเขา ไม่เข้าร่องเข้ารอย

คนจะมีทิฐิในระดับที่เรียกว่าเป็นสัมมาทิฐิถึงขั้นที่จะเดินทางเข้าสู่ ทางโลกุตระ เห็นชัดเจนว่า โลกียะกับโลกุตระ มันคนละด้านจริงๆเลยนะ ไปโลภโมโทสันมาเห็นแก่ตัว โลภในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ โดยเฉพาะมันไม่รู้ความสุข ไปติดยึดในความสุขที่เป็นโลกียสุข เป็นกามสุขัลลิกะ หรือแม้แต่เป็นความสุข ในภพ เป็นภวตัณหา เป็นอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งไม่ใช่ว่า เข้าใจได้ง่ายๆ แม้แต่ตื้นๆ หยาบๆ แต่แค่ระดับกามสุขัลลิกะ เขาก็ยังไม่รู้เรื่อง ยังแสวงหา นึกว่าเป็นสิ่งน่าได้ น่าเป็นน่ามี นึกว่าเป็นความสุขที่ได้เปรียบได้เสพสุข ในสิ่งที่เขาไปแย่ง ไปชิงมา ไปทำอะไร ต่ออะไรบาปๆมา เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ เราจะเห็นได้ ว่าน่าสมเพชเวทนา ชีวิตของเขา ก็แต่ละวันๆ ตื่นเช้ามา เขาก็อยู่ในดำริ อยู่ในความนึกคิด อยู่ในสังกัปปะ เขาก็ดำริไปในกาม ดำริไปใน พยาบาท ในการแก้แค้น เอาชนะคะคาน ริษยา อันใดที่เขาจะเอาชนะ อันใดที่เขาไม่ชอบ จะต้องเอาชนะให้ได้ เขาก็พยายามที่จะเอาชนะ อันใดที่เขาชอบ เขาก็พยายาม ที่จะโลภ โมโทสันยิ่งขึ้น เป็นกามวิตก กอบโกย หาทางที่จะต้องเอามาเสพ เอามาบริโภค เอามาเป็น เอามามี เอามาได้ ให้ยิ่งๆขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดำริอยู่ ตลอดเวลา แม้แต่หลับก็ยังดำริ หมุนสร้าง ปรุงแต่ง เพ้อ บางทีก็ถึงเพ้อ นอนหลับ ละเมอ เพ้อจะเอา จะได้จะเป็นจะมี จะแก้แค้น จะเอาชนะคะคานอะไรอยู่ในนั้นน่ะ เป็นกามวิตก เป็นพยาบาทวิตก เพื่อเบียดเบียนเขาแท้ๆ แล้วก็เบียดเบียนตนเอง ให้ตกต่ำนั่นเอง เบียดเบียนตนเอง โดยไม่รู้ตัวว่า ตัวเบียดเบียนตนเอง ผู้ดำริให้แก่ตนเอง เป็นไปอย่างเรียกว่า ไม่ได้พ้น มิจฉามาเป็นสัมมา ไม่ว่าจะไปทำอะไร เป็นไปเพื่อไม่เมตตา เป็นไปเพื่อปาณาติบาต ตั้งแต่หยาบ กลางละเอียด ซึ่งอาตมาก็เคย ขยายความมามากมาย เป็นไปเพื่อเบียดเบียนเขา เป็นไปเพื่อ ทำให้ผู้อื่นตกต่ำ ตัวเองก็ตกต่ำ ด้วยนะ แล้วก็มีดำริหรือว่ามีการกระทำ ที่จะเป็น ปาณาติบาตทั้งนั้น ตั้งแต่หยาบๆ ไม่ถึงขั้น ฆ่าแก่งเขาจริงๆ ทำร้ายทำลาย เขาจริงๆก็มี ทำให้เขาต้องได้รับทุกข์ร้อนตกต่ำ ลำบากลำบน ต่างๆนานา ไม่ได้เจริญขึ้นอะไรเลย ไม่มีความปรารถนาดีอะไร ลงมือทำเป็นกัมมันตะ เมื่อไหร่ ก็เป็น มิจฉากัมมันตะ หรือไม่ก็เป็น อทินนาทาน เป็นสภาพที่... มันไม่เป็นมิจฉาอาชีพไปทั้งนั้น ...เป็นสิ่งที่โลภ เป็นมิจฉาอาชีพ เป็นงานการที่...เขาจะสร้าง เขาจะขยันนะ ขยันหมั่นเพียร บุกบั่นต่อสู้ แต่เป็นมิจฉาอาชีพ เห็นแก่ตัว เลวร้ายลง เอาเปรียบเอารัด เป็นบาปเป็นหนี้ เป็นเวรอะไรต่างๆนานา ศีลข้อหนึ่ง มันสายโทสมูล ศีลข้อสองมันสายโลภมูล เสร็จแล้ว ก็ศีลข้อสาม ก็มาเสพให้แก่ตนเอง เป็นราคมูล กาเมสุมิจฉาจาร ได้มาก็มาเสพ หาทางแต่จะว่า จะเป็นสุขอย่างไร ก็จะเสพ ด้วยสัมผัสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้น กาย หรือแม้แต่สัมผัสทางใจ ที่จะไปทำ อย่างใดๆ เอาก็แล้วแต่ ในสภาพที่เขาติดยึด ในเรื่อง ยาเสพติด ในเรื่องไอ้โน่นไอ้นี่อะไรต่ออะไร เป็นภพ เป็นอะไรต่ออะไรไปนั่นนะ มันเป็นภวตัณหา ทำให้ตัวเองเข้าไปสู่ภวังค์ อย่างชนิดใด ชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะสูบกัญชา สูบยาฝิ่น กินเหล้า หรือว่าแม้แต่ยากล่อม ยาเสพติด ยาอย่างโน้น อย่างนี้ อะไรก็แล้วแต่นะ มันทำให้ตัวเอง เข้าไปสู่ภพสู่ภวังค์ อยู่ในภพอันหนึ่ง แล้วตัวเองก็กรึ่ม...เป็นสุข เป็นภวตัณหาชนิดหนึ่ง ซึ่งมันหยาบออกมาถึงข้างนอก ต้องอาศัยวัตถุนอก ไปทำให้ประสาท ไปทำให้ตนเอง เป็นอย่างนั้น

นั่นแหละโลกเขาก็เอาอยู่แต่แค่นั้นแน่ะ มีกามตัณหา ภวตัณหาอยู่แค่นั้น ในสายของราคมูล เพราะฉะนั้น กัมมันตะที่เขาจะทำให้แก่ตน ก็มีแต่เรื่องบาปเรื่องเวรอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปพูดถึง อาชีพเลย มิจฉาอาชีพทั้งห้านั้นน่ะ เละ ทั้งโกง ทั้งหลอกลวง ตลบตะแลง มอบตนในทางผิด ไม่ใช่ลาภแลกลาภละจะได้เปรียบมา ให้ลาภให้แก่ข้า โดยข้าไม่ต้องให้เอ็ง ได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเอา ไม่ใช่ว่า ข้าจะต้องแลกแก สมสัดสมส่วน ไม่ ข้าได้มากเท่าไร แกไม่ได้เลยยิ่งดี มิจฉาชีพ ขนาดหนักไปหมด ถ้าเผื่อว่าทิฐิความเห็นไม่เข้าใจจริงๆเลยนะ มันจะแรง จะร้ายแล้ว เลวไปอย่างนั้น ทั้งหมดเลย และใครบอกใครสอนกันบ้างละ ทุกวันนี้ ในวงการ ในสังคม แม้แต่ศาสนาเอง สอนอย่างที่อาตมากำลังพูด กำลังพาพวกเราทำนี่ เขาสอนกันบ้างมั้ย มีแต่ไปหาวัดหาวา จะเป็นใหญ่เป็นโต จะไปโน่นไปนี่ก็ไป...เอ้า... อวยพร รดน้ำมนต์ เอ้า ให้เจริญด้วยลาภ เจริญด้วยยศ เจริญด้วยสรรเสริญนะ อะไรต่างๆนานา ไม่ได้แนะนำเลยว่า อย่าไปโลภโมโทสันเลย ลาภก็พอมีพอกินพอใช้ แล้วก็รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูล สร้างอริยทรัพย์ แจกจ่ายเจือจาน ให้มีจาคะ ให้มีทาน ให้เข้าใจทานเข้าใจจาคะ เข้าใจเกื้อกูล เผื่อแผ่ผู้อื่น ไม่ได้แนะนำอะไรกันนั่นแหละละ นี่ก็โลภ ที่อาตมาหยิบมาพูดเสียก่อน ให้เราเห็นว่า ทิศทาง ถ้าเผื่อว่า ทิฐิไม่เห็น มองไม่เห็นทางโลกุตระกับทางโลกียะอย่างชัดแท้แล้ว เขาก็จะดำเนิน วันต่อวันต่อวัน ก็เหมือนกับเราดำเนินวันต่อวัน ตื่นเช้าขึ้นมา ก็ดำนินชีวิตไปเป็นคติ เป็นคติของเขาก็เป็นทุคิตที่เห็นอย่างนี้ อย่างที่อาตมากล่าวให้ฟังคร่าวๆ นี่ หยาบ กลาง ละเอียด เขาจะเห็นขนาดจัด ขนาดไหนมีความโลภ ความโกรธแค้น มากมาย ขนาดไหน เขาก็ดำเนินไป ชีวิตของเขาก็ดำเนินวันต่อวันต่อวันไป แล้วมันจะเป็นสุคติ ได้ง่ายๆเหรอ มันจะเป็นบุญเป็นกุศลเป็นคุณค่า เป็นบุญบารมี ให้แก่ตนเองได้อย่างไร

คุณลองนึกทบทวนถึงชีวิตตนเอง บางคนก็เข้ามา ได้เป็นอย่างโลกๆ เขามาซะตั้งหลายปี บางคนตั้งสิบ ยี่สิบ สามสิบปี กว่าจะได้เข้ามาทางนี้ กว่าจะได้มาเห็นทางนี้ บางคนก็โชคดี อายุยังไม่มากนัก ยังไม่ได้ไปล่า ยังไม่ได้ไปโลภ ยังไม่ได้ไปสร้างบาป สร้างเวรอะไรมากนัก มาตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ยังเป็นบุญ

ทีนี้อย่างเรานี่ก็มีคติของเรา ตื่นเข้าขึ้นมา เราก็ดำเนินไป ได้มาฟังธรรม ได้มาฟังสิ่งนั้นสิ่งนี้ เตือนสติ ให้ความรู้เป็นปัญญา อย่างน้อยก็ได้ฟังเป็นปัญญา สุตมยปัญญา ถ้าเรามีความเพียร ตัวความเพียรนี่ จะเป็นตัวที่ทำให้เราเดิน หรือคติของเราจะไปได้ไกล ถ้าสัมมาทิฐิถูกต้อง ความเห็นของเราดีแล้ว ไปในทิศทางโลกุตระดีแล้ว แล้วเราก็จะเพียร เราย่อมรู้ว่าเราเอง เรามีอะไรที่บกพร่อง อะไรที่จะเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้ได้อีก อะไรที่เหลืออยู่ในเรา อะไรที่เรา ยังได้ไม่หมดไม่ครบ หรือว่าได้ยังไม่สมบูรณ์ อะไรที่ยังขาดยังพร่อง อะไรที่เรายังควรจะทำต่อไป แต่ละคนๆนี่ อาตมาเชื่อว่านั่งอยู่ทั้งหมดนี่ รู้ตัวทั้งนั้นแหละว่าอะไรที่เรายังไม่ดี โดยเฉพาะ กิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ที่เป็นอยู่ เป็นโลภก็ดี เป็นโกรธก็ดี เป็นโลภ เป็นชอบ เป็นชัง เป็นดูด เป็นผลัก อะไรกันอยู่ของเรา ซึ่งแวดวงที่อยู่เป็นชีวิตที่เราเป็นไปอยู่ เราดำริออกไหมจากกาม จากความใคร่อยาก มาบำเรอตน อยากมาให้แก่ตน นึกว่ายังเป็นความสุขอยู่ ทั้งๆที่เราได้ฟัง ได้ยิน ได้รับคำสอน

อันใดที่เรายังไม่ชอบใจ ยังโกรธยังเกลียด ยังริษยา ยังแก้แค้น แม้ไม่ชอบใจ อะไรอยู่ ยังอึดๆอัดๆ ยังไม่โปร่ง ยังไม่วาง ยังไม่ว่างจากจิต แม้แต่ในคน ในวัตถุ ในอะไรๆ ที่เราได้สัมผัส สิ่งแวดล้อมของเราที่เป็นชีวิตอยู่นี่ ส่วนนั้นส่วนนี้ ถ้าเรามีสติ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ต่อสัมผัสทางตา ทางหูจมูกลิ้นกายใจอยู่เสมอๆ สัมผัสแล้ว มันก็มาเกิดที่จิตของเรา มันจะปรุง เป็นชอบเป็นชัง เป็นเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา ถ้าเราได้ปฏิบัติ ได้ฝึกฝน รู้กลไกของ สังขารธรรม กลไกของปรมัตถธรรมพวกนี้ จิตเจตสิกต่างๆ มีเวทนา สัญญา สังขาร กระทบรูป มีรูปเป็นสิ่งที่กระทบ หรือเป็นสิ่งที่ถูกรู้ มากระทบ มาแล้วก็มาก่อนเกิดเป็นเวทนา สัญญา กำหนดรู้ มันมีสังขาร สังขารที่เป็นอย่างไร ที่มันปรุงเป็นสังขารที่มีกิเลสร่วม มีกิเลส เข้าไปร่วมปรุง วิเคราะห์วิจัยกิเลสออก แล้วก็พยายามละกิเลสต้นตอ ที่เป็นโลภมูล ราคมูล หรือว่า โทสมูลต่างๆ หรือว่า วิจัยไปเรื่อยๆ มีธรรมวิจัย วิจัยไปพลาง มีสติสัมโพชฌงค์ เห็นว่า โอ๊ เราเข้าใจผิดนะ เป็นโมหมูล แล้วเราก็ปรับให้มันถูก แต่ก่อนเราหลงผิด เรานึกว่ามันดี อันนี้เป็นกุศล อันนี้เป็นไปเพื่อโลกุตระ อันนี้เป็นไปเพื่อความเป็นอริยะ แต่แท้จริงไม่ได้เป็นไป เพื่อความเป็นอริยะนะ อันนี้มันเป็นไป เพื่อความไม่เป็นอริยะ และวิจัยมีธัมมวิจัยไปเรื่อยๆ เราปฏิบัติแล้ว เราจะได้สัมผัส เราจะได้มีวิจัยไปเรื่อยๆ เราก็จะได้รู้ของจริง เห็นของจริง เราก็แก้ มีความเพียร มีความหมาย อย่าปล่อยชีวิตไปเปล่าๆ เราจะต้องรู้อะไรอยู่ตลอดเวลา มีสตินำอยู่ ตลอดเวลา แต่สติของเรา จะเป็นสัมโพชฌงค์มั้ย จะได้มีสติปัฏฐาน ๔ ไหม จะต้องรู้ตัวว่า เราเป็นนักปฏิบัติธรรม ถ้าเรารู้ตัวได้เมื่อใด ปรับสติให้เป็น สติสัมโพชฌงค์ มีสติปัฏฐาน ๔ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ หรือมีสัมมัปปธาน ๔ พยายาม มีอิทธิบาท ๔ มีวิริยสัมโพชฌงค์ มีความเพียร ที่ถึงขั้นเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ นำชีวิตไปตลอดทุกๆ นาทีวินาที พยายามเป็น อย่างนั้นอยู่จริงๆ เราก็มีคติที่เป็นสุคติ จะสุคติมากหรือน้อย ก็อยู่ที่บุญบารมี อยู่ที่ตัวเรา จะเดินไปได้เป็น สมณะหนึ่ง สมณะสอง สมณะสาม สมณะที่สี่ อยู่ในขนาดไหนๆ ตามความเป็นจริง ที่เรามีอินทรย์พละ ตามที่เรามีบุญบารมีของเรา ที่เราเดินทาง ที่เราสร้าง ทำให้ตนเอง เจริญไปจริงๆ อย่าประมาท มันอยู่ที่ความเพียร ความพยายามเป็นตัวหลัก จริงๆ

อาตมาว่าได้พูดได้สอนอยู่พวกเรานี่ ได้พูดได้บรรยายกันนะ บรรยายกันอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด บรรยายกันอยู่ตลอดเวลา และนำพากัน ตั้งแต่เช้าขึ้นมา ก็พากเพียร ใครพากเพียรได้ ก็เป็นความพยายามของเรา อัตตาตัวขี้เกียจ ตัวเห็นแก่ภพ มันบำเรอตน เราก็ติดภพนั้นภพนี้ อยากอยู่เฉยๆ ไม่อยากลงศาลานี่ ไม่อยากลง มันก็เป็นภพของเรานั่นแหละ แล้วไปตรวจดูซิว่า ตัวเองมีความจำเป็นจริงๆไหม ไอ้ที่ไม่ลงศาลานี่ เราอ้างนั่นอ้างนี่ เพื่อไม่ลง ศาลานั่นน่ะ มันมีความสำคัญ มันมีความจำเป็น ถ้าจะลงศาลามานี่ มาฟังธรรมะ อย่างน้อย ก็ได้ฟังธรรมะจริงๆ เอาเถอะไม่ใช่ธรรมะอย่างลึกซึ้งอะไร ก็ยังเป็นธรรมะ จะได้มารวมกับหมู่ ได้มาแก้อัตตา มาแก้ความขี้เกียจ ความเห็นแก่ตน ความไม่อยากจะทำอย่างนี้ มันไม่สมใจนะ มันขัดใจ มันต้องการอย่างโน้นน่ะ อย่างที่จะไปทำอะไรก็แล้วแต่นะ อันนั้นสำคัญกว่าไหม เห็นจริงๆ ให้ได้ว่า เอ๊ มันไม่สำคัญเท่านะ วางได้ก่อนนะ มาอันนี้ก่อนเถอะ อันนี้อย่างน้อย ก็เป็นพิธีกรรม เป็นกิจวัตร เป็นเรื่องที่หมู่เห็นดี เห็นชอบนะ มารวมกัน มานั่งกระทำอะไร เป็นรูปเป็นแบบ เป็นพิธีกรรม มันก็มีการสวดมนต์ ได้ฟังธรรมฟังเทศน์ ได้ฟังบรรยาย ได้สติ ก็ได้รับ ประโยชน์จากการศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาประจำตน เรียกว่าธรรมสวนะก็ได้ ได้ฟังธรรม ทุกวันๆๆ ก็ได้ฟังธรรม เป็นบุญนะ มีธรรมสวนมัย ได้ฟังธรรมทุกวัน ตั้งใจ มีสติฟังดีๆ

อาตมาว่า แม้จะฟังเท็ปก็ตาม ฟังท่านสุขฌาโนบ้าง ฟังท่านอรณชีโวบ้าง ฟังท่านองค์นั้นองค์นี้ ที่ท่านจะเวียนไป หรือแม้แต่จะไม่มีอะไร ก็ได้วิเคราะห์วิจัยอย่างนั้นอย่างนี้ เราวิเคราะห์วิจัย เรื่องของพรพิชัยกันบ้าง วิเคราะห์วิจัยแม้แต่วิดีโอ มันก็ให้เกิดปัญญาในส่วนที่จะรู้ ไอ้นั่นไอ้นี่ วิเคราะห์ลึกซึ้ง ขึ้นไปเป็นพหูสูต เป็นโลกวิทู เป็นเรื่องที่จะรู้รอบรู้ลึกรู้กว้าง เกิดการเข้าใจ ส่วนนั้น ส่วนนี้ มีเป็นเหตุเป็นปัจจัย มีอันนั้นอันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยแล้วจะได้เกิด ความรอบรู้ อะไรขึ้นมา มันไม่เสียหลาย มันเป็นการศึกษา การศึกษา ถ้าจะว่า ไปแล้วฟังธรรมนี่ ก็เพิ่ม อธิปัญญา แม้จะเป็นสุตมยปัญญา เป็นจิตตามยปัญญา มันก็เติมขึ้นมาๆ เพื่อที่จะได้ไปเกิด สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่เราจะได้เอาไปอาศัยเป็นความรู้ความเห็น ที่มันจะนำพาของเรา ไปปฏิบัติประพฤติ ถ้าเราเข้าใจมากขึ้น เราก็ปฏิบัติได้ลึกซึ้งขึ้น จุดนั้นมุมนี้อะไรบกพร่อง เราก็ได้แก้ไข ปรับปรุงขึ้น แต่ละวัน แต่เวลาอาตมาว่าพวกเรา มีระบบมีวิธีมีอะไร ที่มันเป็น กำไรชีวิต ตื่นเช้ามาได้ฟังธรรม เราไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ไม่ต้องมานั่งจ้างนั่งวานอะไรหรอก ต่างคน ต่างก็เกื้อกูลกัน มีน้ำใจ เผื่อแผ่กัน เพื่อที่จะช่วยเหลือเฟือฟายกัน นำพากันไปสู่สุคติ ดำเนินไปชอบ ดำเนินไปดี เจตนาอย่างนั้น พากเพียรอย่างนั้น อุตสาหะอย่างนั้น ใครจะมีทรัพย์ มีของดีอะไร มาแจกกัน เราก็เอามาแจก

อย่างอาตมามี อาตมาก็เอามาแจก ในวาระเวลา ที่ควรจะทำ จะเป็นก็ทำไป ก็เอามาแจก เราตั้งใจรับ เราก็รับไป ได้ไป วันต่อวัน ต่อวัน ต่อวัน... เป็นการดำเนินไป เป็นคติที่เราเป็นไป จากนี้เราก็ไปปฏิบัติ มีงานการอะไรต่อจากฟังธรรมแล้ว เสร็จก็ปฏิบัติ พากันทำ ควรจะไปทำ กิจนั้นกิจนี้อะไรต่ออะไร ซึ่งต่างคนต่างก็เลือกเอา ตามที่เราเห็นว่าควร อยากจะไปลอง ทำงานนั้น อยากจะลองทำงานนี้ หรือ ว่าเราช่วยงานนี้ เป็นหลักอยู่ละ งานนี้มันวางมือไม่ได้ ไม่มีใครมารับช่วง ไม่มีใครจะมาทำ แล้วมันก็ยังไม่พอ คนยังขาด อะไรก็ขมีขมัน เป็นคนที่ขยัน หมั่นเพียร ล้างอัตตาที่มันจะเอาสมใจตน อยากจะทำอะไร ตามอำเภอใจตน มันโกรธ มันเกลียด มันชัง มันเบื่อไอ้โน่นไอ้นี่ มันก็อยากจะนอน อยากจะหนี หลบ อยากจะไปทำ อย่างโน้นอย่างนี้อะไร ให้มันสมใจตน มันก็ไปตามเรื่องตามราวอะไร ก็อย่าไปตามใจมัน มันอะไรกันนักกันหนา อยากจะไปเดินทอดหุ่ย มันเฉย ๆอย่างนั้นนะ แล้วไปทำอะไรละ ไปทอดหุ่ยเฉยๆ มันได้อะไร เบื่อ โกรธ เกลียด เรื่องนั้น เรื่องนี้

ไม่อยากพบผู้ไม่อยากพบคน ก็ไปพบหมาที่ทุ่งสีกันซิ ไม่อยากพบผู้ ไม่อยากพบคน มันเรื่องอะไรละ ไม่อยากพบผู้ ไม่อยากพบคน ไปทุ่งสีกัน ไปพบหมา มันโง่นัก มันได้เรื่องอะไร ก็ทำใจให้เห็นจริงๆว่า เรานั่นละ มันเกิดอารมณ์ มันเกิดกิเลส มันเกิดอัตตา ตัวที่ว่าตัวกูนี่ จนไม่รู้ว่ากูจะทำอะไร เดินสะเปะสะปะไปโน่นมานี่ จนไม่รู้ว่า จะทำอะไรดี บางที ทำ...จะได้ไป เอ้า ไปนอนหลับมันซะ หรือว่าไปเต้นไปดีดอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็วิเคราะห์ ด้วยเราไปทำ อันนั้นน่ะ มันเป็นสาระอะไร มันเป็นเรื่องอะไร มันเป็นความเจริญอะไร จะดำเนินอันนั้นไปนะ มันได้เพื่ออะไร เพื่อสมใจตน มีจุด...บางทีก็ไปกินเหล้า ไปโน่นไปนี่ ตามอุปาทาน ที่เคยยึดเอาไว้ ไปเต้น ไปดีด ไปอย่างโน้นอย่างนี้ ไปทำไอ้โน่นไอ้นี่ดีกว่า แล้วทำอันนั้นๆ นะมันเป็นคุณค่าหรือ ดีไม่ดีก็เป็นอบายมุข อย่างที่โลกเขาเป็นนะ เขาจะไปหา อบายมุขที่เขาถูกมอมเมาเอาไว้ อุปาทานไว้ ยึดติดไว้ หรือไม่ก็ไปสู่กาม บำเรอตนว่า จะเป็นความสุข อย่างนั้นอย่างนี้ กามที่ไม่เข้าท่าเข้าทางอะไรหรอกนะ สม อุปาทาน ที่มันยึดเอาไว้ก็ เออ เอาไปทำอย่างนี้ดีกว่า อยากจะทำอย่างนี้ก็ทำ และไอ้ที่อยากจะทำ ไอ้ที่ทำอันนั้นไปนั่นนะ มันเป็นความเจริญ มันเป็นคุณค่า มันเป็นประโยชน์ มันเป็นการตัดกิเลส หรือว่ามันสมใจ ในกิเลสอยากทำ มันมันดี มันอร่อยดี ทำอย่างนี้อร่อย มันดี สมใจ สะใจดี

นี่เราต้องวิจัย กรรมกิริยาของเราทั้งนั้น ของเราอาจจะไม่หยาบหรอก อย่างพวกเรานี่ อาจจะไม่หยาบ แต่ก็ไร้ค่า ไร้ประโยชน์บำเรออัตตา เพื่อให้สมอัตตา อยู่เท่านั้น เพราะฉะนั้น ตัวอัตตานี่แหละ ตัวที่เราจะต้องไปสมใจ ในภพในอุปาทานอะไรพวกนี้ รู้ตัวให้ทัน อย่าไปทำตามใจอย่างนั้นๆอยู่เลย หลายอย่างเป็นเรื่องของตัวกาม ตัวราคะ เป็นเจ้าเรือนใหญ่ อยู่ในพื้นที่จิต แล้วก็ไปทำอันนั้นสมใคร่สมอยาก หลายอย่างเป็นตัวโทสมูล เป็นตัวพยายาท เป็นตัวโกธะ เป็นตัวโทสมูลนั่นแหละ พยาบาทวิตกนั่นแหละ แล้วก็ไปทำให้สมใคร่ สมอยาก อยากพยาบาทนะ อยากโทสะ อยากแก้แค้น อยากจะให้สมใจอย่างนั้นๆ แล้วมันก็ดำเนินไป เป็นคติ เป็นทุคติไป ให้สมใจสมอยาก บำเรออัตตา ไปทำอย่างนี้ดีกว่ามันจะได้ แหม...สะใจดี จะได้แก้แค้น จะได้โน่นได้นี่ ทำไปอย่างหยาบกลางละเอียดเท่าไหร่ก็แล้วแต่ คุณจะหยาบ คุณหยาบมาก คุณก็ทำกรรมกิริยาที่หยาบมาก คุณหยาบน้อยคุณก็ทำกรรมกิริยาที่หยาบน้อย มันก็เสริม ทำให้อัตตาหรือสักกายะ หรือกิเลสตัวตน ตัวตนของกิเลสโตขึ้นๆ กิเลสราคะ หรือ โลภมูล หรือโทสมูลนั่นละโตขึ้นๆ ด้วยความไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้สัจจะ เราก็ได้อย่างนั้นนะ

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดศึกษาดีๆ มีสติสัมปชัญญะดีๆ มีธรรมวิจัยดีๆ วิจัยกรรมกิริยาของเรา วิจัยทุกกาละ นี่เรากำลังทำอะไร ดำริอะไร ลงมือทำอะไร หรือพูดอะไร ไปพูด ไปส่อเสียด ไปเรื่องโน่นเรื่องนี่ ไม่ได้เข้าเรื่อง เข้าราวอะไร กำลังทำอะไร กายวาจาใจ มาทำสิ่งที่ทำ ประจำชีวิตที่ดีๆ เป็นกิจวัตร เป็นอะไรดีๆ เราไม่ดีกว่าหรือ ฝืนใจนะ ที่จริงมันละกิเลสดี ไม่บำเรออัตตา ฝืน แต่ต้องตรวจว่า เราฝืนใจไปทำ ทำกรรมนั้นกิริยานั้นน่ะ หรืองานนั้นน่ะ มันเป็นคุณค่ามั้ย อย่างน้อยเป็นงานการ แล้วไปทำงานอะไรอื่นๆ ที่เป็นงานทางโลกนี่แหละ เป็นสัมมาอาชีพ เป็นงานอะไรต่างๆ ที่เรามีอยู่เยอะแยะไป ฝืนใจนะไปทำ มันก็ยังดี ที่ได้ล้างอัตตาในตัว ไม่ต้องไปบำเรอใจ ไม่ต้องไปบำเรออัตตาอย่างน้อย ฝืนมาทำอย่างนั้น ก็ยังได้แก้ไข ยังเป็นสุคตินะ ไม่เป็นทุคติ ยังดำเนินไปสู่ ทางเจริญสู่ทางดี แต่ถ้าไปบำเรออัตตา มันเป็นทุคติ บำเรออัตตานะ ทุคติทุกเมื่อ จะบำเรออย่างหยาบกลางละเอียดขนาดไหน แม้แต่นั่งหลับตา ให้มันอยู่ว่างๆ ทั้งๆที่ มันไม่เมื่อย มันไม่เพลีย มันไม่สมควรจะพัก พระพุทธเจ้า ก็ตรัสแล้วว่าเราไม่พัก มันไม่สมควรจะพักเลย แต่ก็พักมันอยู่ในภพว่างๆนี่ อย่างนี้ยังทุคติ ยังบำเรออัตตา ป่วยการกล่าวไปไยกับกรรมกิริยาที่หยาบคายกว่านี้ แค่นี้ยัง บำเรออัตตาเลย

เพราะฉะนั้น พยายามรำลึกให้ดี มีสติสัมปชัญญะแล้วรำลึกสำนึกแล้วเสมอ เรากำลังเดินไป สู่ทุคติ หรือกำลังเดินทางไปสู่สุคติ กรรมปัจจุบันนี้ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ หรืองานการ อะไรก็แล้วแต่ กรรมทุกๆกรรม กิริยาทุกกิริยาขณะนี้ เรากำลังทำกรรมกิริยา ที่เป็นทุคติ หรือเป็นสุคติ เราเป็นผู้พาเราเองเดิน ดำเนินไปสุคติหรือทุคตินี่ เรา...จิตวิญญาณ เป็นตัวประธาน เป็นตัวที่จะพาเป็นพาไป เป็นตัวที่จะวิเคราะห์วิจัย เป็นตัวที่จะรู้ รู้ทิศรู้ทาง แล้วก็นำทางตัวเราเอง นี่เราเพิ่มการศึกษาก็เพิ่มไป ได้เหตุได้ปัจจัย ได้เป็นความรู้อะไรก็ เอาไปใช้ เอาไปประกอบการเตือนตน สำนึกตน ทำตน พาตน ให้ตนเองนี่เดินไป ดำเนินไป มันจะดำเนินไปทางดี เป็นสุคติ หรือจะดำเนินไปทางไม่ดีเป็นทุคติ เราก็จะต้องพยายามจริงๆ

ชีวิตเวียนวนๆของพวกเรานี่ เวียนวน เช้าขึ้นมาก็ได้ฟังสิ่งที่ดี ได้ฟังที่ที่ดียิ่งกว่าคนชาวโลกเขา จริงๆนะ ใครพากเพียรก็พยายามเอา ได้มากได้น้อย ได้ทุกวัน เอาละมีวันว่างบ้าง วันพุธ เราไม่มีก็ตาม อาทิตย์หนึ่งว่างแค่วันพุธ ฟังสดมั่ง วันหนึ่งเท็ปก็ไม่รู้กี่ม้วน ดีไม่ดี หาไปฟังเอง อีกก็ได้อีกด้วย ศึกษาอยู่ นำพากันไม่ใช่แต่ฟังอย่างเดียว ติงกัน เตือนกัน นำพากันไป มีกรรมกิริยาของเรา ไปเป็นหมวดเป็นหมู่เป็นแรง เหมือนอยู่ในสนามแม่เหล็กเดียวกัน มันจะดูด พวกเรา เหมือนพวกอณูต่างๆ ที่อยู่ในสนามแม่เหล็ก นี่พวกเรา มันก็พาไป เหมือนกับพาปรับ ตัวเรา นี่แหละคือ มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ มันจะช่วย ปรับตัวเรา เราอยู่กับหมู่ฝูงนี่ หมู่มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เหมือนเราอยู่ใน สนามแม่เหล็ก

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นอณูต่างๆ ที่อยู่ในสนามแม่เหล็กนี้ มันจะถูกปรับตัว ให้มาเป็นเหมือน สนามแม่เหล็กนี้ จะเป็นสนามแม่เหล็กอะไรละ เป็นสนามแม่เหล็กโลกุตระ มันก็จะปรับ ให้มาเป็นโลกุตระ เป็นสนามแม่เหล็กหรือโลกที่เป็นโลกียะ มันก็จะปรับไปหาโลกียะ จะเป็นสนามแม่เหล็ก ที่เข้มข้นอย่างไร เป็นสนามแม่เหล็กในสังคม หรือว่าในหมู่มิตรเลวเลย ละ มิตรเลว สหายเลว สังคมสิ่งแวดล้อมเลว เป็นพวกอบายมุข เป็นสนามแม่เหล็ก แห่งอบายมุข มันก็จะทำตัวคุณให้เป็นตัวอบายมุขไปอยู่ในนั้น อยู่ในดงคนไหน อยู่ในสังคม คนอย่างไร มันก็จะทำตัวปรับตัว มีฤทธิ์เดชเหมือนสนามแม่เหล็ก จะปรับให้คุณเป็น ตามฤทธิ์แรง อันนั้น อยู่กับหมู่โลกุตระ ก็จะพากันไปสู่โลกุตระ นำกันไป

เพราะฉะนั้น แต่ละวันๆพวกเรานี่ชีวิตเวียนวนๆ ก็นำพากันไป มีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมา มีอันโน้น อันนี้ ขยับขยายอะไรขึ้นมา อาตมาดูแลอยู่ในสัมมาอาชีพ หรือว่ากิจ มันเป็นกิจ มันเป็นการ เพราะฉะนั้น อันนี้จะเสริมพิธีการอย่างไร หรือ ลดพิธีการอย่างไร อันนี้เป็นกิจการ จะเสริมกิจการ จะลดกิจการอย่างไร แค่ไหน อาตมาก็ดูอยู่ พยายามที่จะปรับ ให้มันเป็นวงจร ของสังคมมนุษย์ นี่พวกเราก็กำลังก้าว กำลังเจริญ กำลังเป็นไป

เสร็จแล้วเราก็เอาตัวเรามาเป็นพฤติการณ์หรือพฤติกรรมกายวาจาใจ ที่จะร่วมพิธี ร่วมพิธีกรรม ร่วมกิจกรรม ที่มันเป็นอยู่ในชีวิตนี่ อาตมาก็จัดแจงพยายาม นำพากันไปอยู่ บางคนช้า แก้ไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้เสียอะไร ก็ได้ บางคนไม่ช้า ปรับตัวทันโน่นนี่ๆช่วยกันไป เสริมกันไป เจริญกันไป ในส่วนนั้นส่วนนี้ที่ควรเจริญ สืบเนื่องเชื่อมต่ออะไรกันไปเรื่อยๆ สังคมของมนุษย์ บทบาทของ สังคมมนุษย์ ที่มีจารีตประเพณีวัฒนธรรมก็ดำเนินไป

เพราะฉะนั้น เราก็สร้างจารีตประเพณีวัฒนธรรมของสังคมพวกเรา ดำเนินไปอยู่ ถ้าเป็นชาวโลกุตระ มันก็ดำเนินไปหาพระศรีอาริย์ ไปหาพุทธยูโทเปีย ไปหาความเป็นอย่างนั้น จริงๆ มันจะสร้างเลยนะ วัฒนธรรมของเราจะแข็งแรง จารีตประเพณีของเราจะแข็งแรง เราจะรู้จักกิจกรรม เราจะรู้จักพิธีกรรม เราจะรู้จักพฤติกรรมที่เราเองฝึกตน ให้เจริญขึ้นทุกวันๆๆ มันก็จะเข้าไป สู่ความเจริญที่ดี ความแข็งแรงมั่นคงความได้ง่าย เป็นได้ง่ายมั่นคงด้วย เราเป็นได้ง่าย โดยที่ไม่ต้องฝืนไม่ต้องฝืดไม่ต้องลำบาก และก็เป็นอยู่ได้อย่างมั่นคง ใครจะมาทำลาย ใครจะมาเอาอะไรมาตีแตก มันไม่แตกง่ายๆ เราไม่มีความคิด ไม่ประสงค์ จะเปลี่ยนแปลง เพราะความเห็น เพราะปัญญา เพราะศรัทธา เพราะอินทรีย์พละ แห่งความเชื่อมั่น มันไม่ได้แค่เชื่อถือ แล้วมันก็ได้เชื่อฟัง มันได้พิสูจน์ มันได้ทำตาม จนกระทั่งเห็นผลดีเจริญงอกงาม มีสิ่งยืนยันเป็นหลักฐาน เป็นชีวิตที่เจริญ ชีวิตที่ประเสริฐจริงๆ จะได้มากหรือได้น้อย อาตมาเคยพูดย้ำซ้ำซาก อาตมาไม่กังวลหรอก เรื่องจะได้มากหรือได้น้อย แต่ถ้ามันได้มาก มันดีนั่นก็ไม่ใช่โง่ที่จะไม่รู้ ก็รู้ ได้มากมันก็ดี แต่ถ้าเราไปตะกละตะกลามจะเอา แต่มากๆๆๆเข้าว่า ฟ่ามไป อะไรต่ออะไรก็มาเสียหายภายใน สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน มันฟ่ามใน แล้วมันก็เจริญยาก หรือเสียมากกว่าได้ อันนี้ละต้องมีมือ ประมาณมัตตัญญุตา ที่สำคัญของสัตบุรุษ ที่จะต้องประมาณจริงๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราระวังอันนี้ได้ดีแล้ว และเราก็ดำเนินไปเรื่อยๆ มันก็เป็นไปตามบุญบารมี ของพวกเรา พวกเรามีอินทรีย์พละดี อาตมาก็ทำเต็มที่อยู่ มันก็ดีมันก็เดินไปได้สัดได้ส่วนของมัน ไม่ต้องไปอยากได้มาก มันก็จะมากขึ้น มันยังมีการก้าวหน้า มีอัตราการก้าวหน้าดำเนินต่อไป ของมันเอง ไม่วูบวาบหวือหวาอะไรก็ไม่เป็นไร ถึงบทวูบวาบ มันจะวูบวาบ อัตราเกินก้าวหน้านี่ มันมีอัตราการก้าวหน้า ที่จะก้าวหน้าไปถึงรอบที่มันทวี ปฏิภาคทวี เป็นเชิงบวกในอัตราสูงขึ้น ตอนแรก อาจจะบวกทีละหนึ่งๆ ต่อไปมันบวกเป็นสองเพิ่มขึ้นมา มันบวกทีละสอง มันบวกที่ละห้า มันบวกทีละสิบ หรือแม้อัตราการก้าวหน้า ถึงขั้นการก้าวหน้าระดับคูณ เป็นอัตราการก้าวหน้า ระดับคูณเลย ถ้ามีมวลมีเหตุมีปัจจัยอะไรนี่ มีฐานราก มีพฤติกรรม มีฤทธิ์เดชฤทธิ์แรงอะไรของมัน ที่เป็นวงวัฏจักรของสังคม เป็นอำนาจสนามแม่เหล็กที่ดี มีกลไก เป็นจักรแก้วที่ดี พวกเรานี่มันเป็นเหมือนกลไก เหมือนโครงสร้างสังคม เป็นจักรกล เป็นจักรแก้ว ที่ดี มันก็จะมีฤทธิ์มีเดช ของมันตามความจริง มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นการก้าวหน้า ถึงระดับคูณ ถ้ามันยิ่งได้รอบได้ส่วนถึงขั้นระดับยกกำลัง มันก็จะทวี เป็นปฏิภาคทวีขึ้น ขนาดระดับยกกำลังโน่นแหละ นี่อาตมาเอาภาษาคณิตศาสตร์มาพูดนะ ใครไม่รู้จักภาษา คณิตศาสตร์อันนี้ ก็ฟังไปก่อน เลาๆๆๆรำๆไป ไปซะก่อนแค่นั้นก็ได้ คือมันจะเพิ่ม จำนวนที่ทับทวีสูงขึ้น เป็นปริมาณที่ได้ตามสัดส่วน ไม่ต้องไปอยาก ขอให้ทำเถอะ ตั้งหน้าตั้งตา มีวายามะ หรือมีวิริยะ มีความพากเพียรของแต่ละคนๆๆให้จริง เราไม่ได้บดความรู้ อาตมาว่า พวกเราได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นทุกวัน ใครใส่ใจมากก็ได้มาก ใครไม่ใส่ใจก็ไม่ได้ ใส่ใจมาก ถ้าแบ่งเวลาได้ดีนะ ได้ศึกษา ได้รับความรู้เพิ่มเติมทั้งปริยัติปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติด้วย ปฏิเวธธรรม ก็ต้องเจริญด้วย ยิ่งมีปฏิเวธธรรมมาเป็นพื้นฐานมาเป็นทุน มาเป็นทุนอีก ปริยัติก็ดีขึ้นอีก รับได้เจริญ รับได้ลึกซึ้ง เฉลียวฉลาด มีปัญญิณทรีย์สูง ปัญญาพละสูง ช่วยให้ศรัทธา ศรัทธินทรีย์ สูงขึ้นด้วย วิริยะก็จะสูงขึ้น ศรัทธินทรีย์ก็สูงขึ้น สมาธินทรีย์ก็สูงขึ้น อินทรีย์ห้า พละห้า สูงขึ้นเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ซับซ้อนๆขึ้นเรื่อยๆจริงแล้ว เราก็ดำเนินไป แต่ละวันๆนี่ มันเหมือนกับชาวโลกเขา ทำงานทำการเหมือนกัน

ทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้ามรรคองค์แปดนี่ ไม่ได้ต่างกับบุคคล ไม่ได้เหมือนฤาษีเลย ปฏิบัติอยู่ตรงไหน ปฏิบัติอยู่ตรงที่สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ นั่นตัวปฏิบัติ ศึกษาเล่าเรียน ปริยัติตรงไหน สัมมาทิฐิ อยู่ที่ทิฐิ ตัวปฏิบัติ ปฏิบัติตัวดำริ ตัวพูด ตัวการงาน ตัวการกระทำ ตัวการงานอาชีพ ปฏิบัติอยู่ตัวนี้ เสร็จแล้วเราก็เร่งความเพียร สำรวมสังวรให้มีสติ ให้รู้ตัว ทั่วพร้อม ตลอดเวลาทุกเวลา เพียรทำให้มันได้ อย่าให้มันเป็นมิจฉาสังกัปปะ อย่าให้มันเป็น มิจฉาวาจา อย่าให้มันเป็นมิจฉากัมมันตะ อย่าให้มันเป็นมิจฉาอาชีวะ นี่ปฏิบัติธรรม นี่หลักเกณท์ ของพระพุทธเจ้า สร้างสัมมาสมาธิตลอดเวลา ด้วยองค์เจ็ดนี้เสมอๆ เราก็จะเกิดสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ ตามเป็นผลไป ไม่อยากได้ มันก็ต้องได้ ถ้าปฏิบัติได้ ถ้าปฏิบัติลงตัว ปฏิบัติถูกสภาพ

ข้อสำคัญรู้ตัวเสมอหรือไม่ว่าเราเองตอนนี้ เอ๊ มันปฏิบัติรึเปล่า มันอยู่ในองค์โพชฌงค์รึเปล่า มันอยู่ในหลักโพธิปักขิยธรรมรึเปล่า ตอนนี้สติก็กลายเป็นสติอย่างเคยๆตัว สติแบบคนโลกๆ หรือไม่หยาบ ไม่หยาบหรอก แต่ก็เป็นสติ แบบบำเรออัตตา ปล่อยไปตามยถากรรม ยถาสุขัง ไม่ใช่ทุกขายะ อัตตานัง แต่เป็นยถาสุขัง อกุศลธรรม มันก็เจริญ แต่เมื่อใดเรารู้สึกตัวว่า ปล่อยไปตาม ยถาสุขัง คือปล่อยไปบำเรอสุขตามใจ บำเรอสุขตามสติที่ไม่ใช่สติสัมโพชฌงค์ บำเรอสุข ตามที่เรายังมีอุปาทานเป็นเจ้าเรือน มันยึดติดอยู่อย่างนี้ มันเป็นฤทธิ์ของกิเลสที่ เป็นพื้นจิต มันให้พาไปอย่างนี้ เผลอตัวไป สติเผลอตัวไปทำตามที่เคยๆชินๆ อยากเป็นอย่างนั้น อยากได้อย่างนี้ อยากมีอย่างนี้ อยากเสพทางตาทางหูจมูกลิ้น กายอย่างนี้ก็พาไป เราเผลอตัวไป ไม่ตั้งตนอยู่บนความลำบาก ไม่มีทุกขายะ อัตตานัง ตัวปฏิบัติ ที่เราเองก็ต้องรู้ตัวว่า เราจะปฏิบัติ อยู่ในขอบเขตของศีล อธิศีล หรือขอบเขตของศีล ของพรตที่เราจะต้องทำขนาดนี้ ได้แล้วก็เพิ่มเป็นอธิศีลอีก อันนี้ได้แล้วนะ อันนี้นี่เราทำเป็นเกิดกิจญาณแล้ว เกิดกตญาณแล้วอันนี้ หรือกิจญาณอันนี้สูงแล้ว ควรเพิ่มได้อีกแล้ว ศีลนี่ทำไปเป็นกิจ กิจก็คือการทำ ทำไปได้ มีญาณรู้ว่า เราทำไปได้แล้วนี่ง่ายแล้วนี่ ควรจะเพิ่มศีล หรือเพิ่มอธิศีลขึ้นมา เพิ่มศีล เพิ่มพรต เพิ่มตัวปฏิบัติให้เราได้สูงกว่านี้ มันจะได้ ได้สัดได้ส่วน เข้าเขต ของทุกขายะ อัตตานัง ได้อีก ไม่ใช่ว่าได้แล้ว เออ...อันนี้ก็ได้แล้ว ก็เลยเสวยอยู่ที่แป้นนี้ ไม่เพิ่มอธิศีล ไม่เพิ่มศีลเพิ่มพรต คุณก็ยถาสุขัง คุณก็ปล่อยสุขไปตามยถากรรม ตามที่มันบำเรอ มันได้แค่นี้ มันก็แค่นี้ มันก็ติดแป้นอยู่แค่นี้ มันไม่มีสภาพที่หมุนรอบเชิงซ้อนที่ทวีๆ เป็นวุฒิๆ มันไม่เป็นวุฒิ มันกลายเป็นฐิติ ระวังไม่ดีเป็นปหายะ เผลอๆเป็นปหายะ บำเรอตนไปหนักเข้าๆ ก็เลยเลื่อนลงๆๆ ก็ไม่เจริญได้

อาตมาอยากจะย้ำตัวปฏิบัติที่มันเป็นปัญหา แล้วพวกเราอาจจะไม่เข้าใจอยู่อันหนึ่ง วันนี้อยาก จะขอไขความอันหนึ่งเพิ่มเติม เราปฏิบัติแล้วเสร็จนี่ มันก็จะเกิดผลทางจิต เป็นปรมัตถสัจจะ หรือปรมัตถธรรม กิเลสตาย ถอนอนุสัยอาสวะ คุณจะเกิดอภิญญา ๖ หรืออภิญญา ๙ จะเรียกวิชา หรือเรียก อภิญญาก็ได้ เกิดฌาณ เกิดวิปัสสนา วิปัสสนาญาณ หรือญาณทัศนะ เกิดมโนมยิทธิ นี่ ๓ หมู่แรก จำไว้เป็นที่ละหมู่ ๓ หมู่นี้ วิชาเก้านี่ คุณจะจำได้

๑.ฌาน
๒.วิปัสสนา
๓.มโนมยิทธิ สี่หรืออีกหมู่สามที่สอง อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ นี่หมวดที่สอง

หมวดที่สามก็ เตวิโชนั่นเอง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ นี่หมวดสาม

จำไว้สามหมวดนี่ จำ ๓ หมวดนี่แล้วเอามาเรียงกัน แล้วมันจะเป็น อภิญญาหรือวิชชาเก้า ฌาณคืออะไร ฌานคือเพ่งเผา ฌานคือตัวปฏิบัติ ปฏิบัติให้ได้ว่า เราเองเรามีสติสัมปชัญญะ อยู่นะ นี่ปฏิบัติตนมีผัสสะเป็นปัจจัยดำเนินไป สังกัปปะเป็นอย่างไร วาจาเป็นอย่างไร กัมมันตะเป็นอย่างไร การงานอาชีพเป็นอย่างไร มีผัสสะเป็นปัจจัยอยู่ตลอดเวลานี่ เรามีสติสัมโพชฌงค์ เราได้รู้เท่าทันแล้วก็ได้เพ่งรู้ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์แล้วก็ได้เผา ได้ฆ่า เป็นสัมปทานนั่นเอง ได้สังวรได้ประหารมั้ย สังวรปธาน ปหานปธาน เกิดภาวนาปธาน ก็แสดงว่า คุณมีภาวนามัย เกิดผล มีสังวรปธาน มีปหานปธาน มีการสังวรตนเอง มีการระมัดระวัง แล้วก็ได้ประหารกิเลส ได้ประหารกิเลส เป็นปหานปธาน ก็สั่งสมภาวนาปธาน เป็นผลๆๆๆ ภาวนาแปลว่าการเกิดผล ได้สะสมไปเรื่อยๆ หรือเดิน มีมรรค ทิศทางเดิน ที่เป็นอริยมรรคไปเรื่อยๆ สะสมความเจริญ กุศลธรรมเจริญยิ่งอยู่เรื่อยๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ตัวฌานก็คือเพ่งเผา อย่างนี้ เสร็จแล้วก็จะเกิดวิปัสสนาญาณ จะเกิดสัมมาญาณ จะเกิดความเห็น จะเกิดอธิปัญญาที่สอดส่อง รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า เอ๊อ...เราได้ ปฏิบัติน้อ เราได้เจริญน้อ เราสุคติจริง เรามีแต่สั่งสมกุศลจริง การกระทำ การงานก็ดีขึ้น มุทุภูเตก็ดีขึ้น เป็นฌาน จิตไว จิตรู้เร็ว จิตแคล่วคล่อง จิตดัดได้ง่าย จิตฆ่ากิเลสได้ง่าย ฆ่าได้ ก็รู้ว่าฆ่าได้ ประหารกิเลส ปหานปธาน ฆ่าได้ก็รู้ เรารู้ เออ...ได้นะ ชนะนะ โลภะลดลง ราคะลดลง ความจะตามใจสมใจมันลดลง

มันไม่ไปตามใจ มันไม่ไปสมใจบำเรอตนแล้ว ไม่ไปบำเรออัตตา ตามโลภะอยากได้ ราคะอยากได้ หรือว่าจะได้สมใจทางแก้แค้น พยาบาทอาฆาต ความโกรธ ความชัง ได้สะใจในความโกรธ สะใจในความไม่ชอบ สะใจในความชัง ไอ้คนโน้น เราชังน้ำหน้า ได้เห็นคนเขาด่า เอ๊อ...ดีโว้ย ด่ามันเข้า ด่ามันเข้า ดีแล้วละ ไอ้คนนั้นนะ เราชังหน้ามัน ไอ้อย่างนี้ก็สะใจเรา บำเรอพยาบาท ให้แก่เราเอง สมใจโกรธ ความโกรธให้ แก่เราเอง สมใจความไม่ชอบใจของเราเอง คนอื่นทำ...ดี สมน้ำหน้า ฉันก็ชอบใจ ไอ้นี้ก็บำเรอ บำเรอพยาบาท บำเรอโกรธ บำเรอโทสะมูล ให้แก่ตน รู้ตัวจริงๆ ไม่ไปชังใคร ไม่ไปสะใจ ในเรื่องที่จะสมโลภ สมโกรธอะไร ไม่เอา อย่าเข้าใจผิด ว่าเราเอง เราได้สมอยากอย่างนั้น แล้วก็สุขใจ สุขใจแล้วเราก็ตกต่ำลงๆ เป็นทุคติ อย่าไปให้มันเป็น เราก็พยายามทำตามควร จะมีการงานอะไรเกิดฌาน เกิดมุทุภูเต รู้ได้เร็วดัดได้เร็ว ปรับจิตได้เร็ว รู้เท่าทันได้เร็ว มีธัมมวิจัย อย่างช่ำชอง เป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยกรรมกิริยา วิจัยการสัมผัสแตะต้อง แล้วมาเกิด สังขารอย่างไร มีกิเลสเข้าไปปรุงร่วม ในสังขารนั้นอย่างไรๆ มีโลภมูล โทสมูลประกอบเมื่อไหร่ หรือมีโมหมูล ก็วิจัยมัน จนกระทั่ง ถูกทิศถูกทางได้เสมอ

นั่นคือการทำฌาน ฌานพระพุทธเจ้า ท่านสร้าง สัมมาสมาธิอยู่กับการคิด การพูด การงาน ซึ่งเป็นบทบาทกรรมกิริยาของชีวิต ไม่ได้ต่างจาก ชีวิตธรรมดาสามัญ เหมือนมนุษย์ทางโลกเขา ไม่ได้ต่างจาก ชีวิตธรรมดาสามัญ อยู่ที่คุณ ว่าจะมีสติสัมปชัญญะดี เป็นสติสัมโพชฌงค์ ที่แข็งแรง เป็นสติปัฏฐาน ๔ ที่สมบูรณ์ได้แค่ไหน ฝึกไป ถ้าชำนาญได้มาก มีความเพียร ตั้งใจ ที่จะให้มันลึกซึ้ง ให้มันไม่ขาดตก บกพร่อง เป็นฌาน ปฏิบัติฌานอยู่เสมอๆๆ วิปัสสนาญาณ ก็จะเกิดเสมอๆ มโนมยิทธิ ก็คือตัวดัดได้ง่าย มุทุภูเตก็คือสร้าง วิปัสสนาญาณกับมโนมยิทธิ มุทุภูเตนี่ ก็คือสร้างวิปัสสนาญาณ ก็คือตัวธาตุรู้ ปัญญาไวนี่คือวิปัสสนาญาณ ตัวมโนมยิทธิ ก็คือ ฤทธิ์เดชของใจ มโน...ใจ ฤทธิ์เดชของจิต มโนมยิทธิ จิตมีฤทธิ์สามารถฆ่ากิเลสได้ ดับได้ง่าย ปรับได้ง่าย ทำจิตของเราให้ชนะกิเลสได้ง่าย จิตหัวอ่อนว่างั้นเถอะ กิเลสมันอยู่กับจิต จิตก็ เหมือนกิเลส กิเลสก็เหมือนจิต แต่เราจับกิเลสได้อยู่ในจิตเรา เหมือนกับจับเชื้อโรค แล้วเอามันมาดับ มาฆ่ามาปรับให้มันเป็นกำลังจิตที่ดีขึ้น ไม่ให้มันเป็นกำลังจิตที่เป็นทุคติ

มโนมยิทธิ คือความสามารถ มีฤทธิ์ มีฤทธิ์ทำให้จิตของเราเจริญขึ้นได้ วิปัสสนาที่เป็นวิชชา ที่สอง ก็คือตัวรู้ๆๆๆ รู้จริง รู้ถูกต้อง ทำถูก ทำฌานก็คือ นั่นแหละตัวที่มีวิปัสสนาญาณ มีมโนมยิทธิ นั่นแหละ การงาน กัมมนิยะ กัมมนิเย มุทุภูเต กัมมนิเย การงานก็ยิ่งเจริญขึ้นเรื่อย การงานที่สร้างสรรก็ได้ ดีด้วย ใจก็ดีด้วย กรรมกิริยาที่ทำอยู่จะกับใคร งานอะไรเป็นกุศลไปหมด เจริญ ทั้งงานที่ประกอบการเจริญ ทั้งงานที่เราปฏิบัติธรรม ได้ปฏิบัติธรรมในตัว ได้ประกอบ การงานไปในตัว เสร็จแล้วก็ลึกซึ้งขึ้น มีอิทธิวิธี เจริญด้วยวิธีการต่างๆ รู้ลึกรู้ซึ้ง รู้กิเลสอย่างนั้น อย่างนี้ อิทธิวิธีนานาสารพัด ที่อาตมาเคยหยิบมา เอาตัวหนังสือ เอาตัวรายละเอียด ในพระไตรปิฎก เรียงลำดับมา ตั้งแต่หนึ่งเดียว ทำเป็นหลายก็ได้ หลายทำเป็นหนึ่งเดียวก็ได้ ก็อธิบายเป็นธรรมาธิษฐาน กิเลสหลายตัว ฆ่ามันตาย จนกระทั่ง ไม่เหลือเลย เหลือแต่เป็น จิตเทวดาอยู่จิตเดียว...ก็ได้ เทวดาเป็นเทวดาได้หนึ่งตัว ทำให้เป็นเทวดา เจริญงอกขึ้นไปอีก ตั้งไม่รู้กี่ตัว เนรมิต เนรมิตก็คือสร้าง สร้างให้เกิดเทวดาในตัวเรา เจริญขึ้นเป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพขึ้นมา ได้มากตัวขึ้นมาก็ได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

นอกนั้นจะเดินน้ำ ดำดิน เหาะเหินอะไรก็อธิบายเป็นธรรมาธิษฐานไปมากมายแล้ว ทะลุภูเขา กำแพงอะไร บินไปได้เหมือนนก เหมือนอะไรก็แล้วแต่ ลูบพระจันทร์พระอาทิตย์ได้ ด้วยฝ่ามือ อะไรก็ตาม อิทธิวิธีที่อธิบายเป็นธรรมาธิษฐาน นั่นล้วนแล้วแต่เรื่องของการปฏิบัติธรรมที่เรียนรู้ ความสามารถของเรา มันมีฤทธิ์มีเดชในการที่จะทำลายกิเลส นี่เป็นวิชาแบบพุทธนะ อภิญญา แบบพุทธ มีโสตทิพย์ รู้สิ่งสอง รู้สิ่งหนึ่งสิ่งสอง รู้เสียงหนึ่งเสียงสอง เสียงหนึ่งก็คือ เสียงปกติธรรมชาติ เสียงสองก็คือเสียงที่มันเป็นกุศลหรืออกุศล หรือมันเป็นบุญเป็นบาป หรือว่ามันเป็นสัมมา หรือมิจฉา มันเป็นความถูกต้องหรือเป็นความผิด เป็นกิเลส หรือไม่เป็นกิเลส อันหนึ่งเป็นธรรมชาติ สีน้ำตาล นี่สีน้ำตาล พอสัมผัสสีน้ำตาล นี่แล้วก็เกิด กิเลสประกอบ ก็รู้ว่าความรู้สึกที่ว่า เออ...สีน้ำตาลก็คือธรรมชาติ ธรรมดา แล้วกิเลสเรา ประกอบกับสีน้ำตาลนั่นมั้ย รู้ว่ากิเลสมันเกิดกับสีน้ำตาลนี้ จะทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จะบอกว่าเสียงสองแค่ใช้คำว่า โสตทิพย์ โสตแปลว่าเสียงก็ได้ โสตแปลว่า รู้ก็ได้ รู้ทิพย์ โสตทิพย์นี่ รู้ทิพย์ โสตะแปลว่าเสียงก็ได้ แปลว่ารู้ก็ได้

เพราะฉะนั้น มีความรู้ทิพย์ มีสภาพที่รู้สิ่งลึกซึ้ง มีธัมมวิจัยช่ำชองขึ้น ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ช่ำชองขึ้น รู้สิ่งที่เป็นสองขึ้น ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ ก็เป็นวิปัสสนาญาณที่สูงขึ้นเป็นโสตทิพย์ มโนมยิทธิก็สูงขึ้น เป็นเจโตปริยญาณ หรืออิทธิวิธี มีวิธีที่ฆ่ากิเลสได้เด็ดขาด ช่ำชองเป็นฤทธิ์ เป็นเดชขึ้น มโนมยิทธิ หรืออิทธิวิธี มันก็สูงขึ้น เจโตปริยญาณนั่น รวมไปหมดเลย ทั้งรู้และ ทำกิเลส ให้ลดลงได้ เป็นเจโตปริยญาณ ๑๖ ซึ่งอธิบายขยายความมามากมายซ้ำซาก หลายคน ก็ได้แต่ฟัง ไม่เคยสนใจที่จะจำ ไม่เคยสนใจที่จะท่องเอาบัญญัติมาไว้ สำหรับปฏิบัติ ตั้งแต่ โลภมูล โทสมูล โมหมูล อโลภะ อโทสะ อโมหะ นี่ ๖ ตัวแล้ว เจโตปริยญาณ รู้ว่านี่มาจาก รากเง่าอะไร เอาละ ก็จัดการกับมันได้ แต่มันยังเป็นสังขิตตจิตเท่านั้น มันเป็นวิกขิตตจิตเท่านั้น ขนาดอย่าง สังขิตตจิต วิกขิตตจิต มันก็ลดได้ แต่ลดแล้ว มันยังกระด้างอยู่อย่างนั้นแหละ มันยังกระเซ็น กระจายฟุ้งซ่านอยู่อย่างนั้นนะ ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย เรายังตัดจับอะไรไม่ติด เท่าไหร่เลย ยังไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก แต่รู้ว่าลดได้นะ นี่เราทำถูกแล้วละ ลดกิเลสมันได้แล้วละ โมหะก็ลดได้ โทสะก็ลดได้ โลภะ ราคะอะไรก็ลดได้ แต่มันก็ยังแข็ง ยังกระด้าง ยังหยาบอยู่เลย เป็นจิตยังหยาบอยู่เลย ไม่ใช่จิตดีเหมือนสอุตรจิต เป็นอย่างจิตหยาบอยู่เลย ไม่ได้เป็นสอุตรจิต เป็นจิตยังหยาบอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ทำให้มันเจริญขึ้นอีก ให้เป็นมหคตะให้ได้ อย่าให้มันอยู่ อย่างอมหคตะ ให้มันเจริญให้มันสูงขึ้น ให้มันเป็นไปด้วยดี ล้างละมันเจริญ มันจึงจะมาสู่ สอุตรจิต เออ...ดีละ ดี แต่ก่อนมันได้แค่สังขิตตะ หรือวิกขิตตะต้องนี้ เป็นสอุตระ ล้าง ละ ทำให้มันเจริญขึ้นมาได้ ต้องอ่านอาการ อ่านสภาพจิตวิญญาณพวกนี้ เป็นเจโตปริยญาณ ต้องมีวิชาพวกนี้จริงๆ นี่เป็นของพุทธ ไม่ใช่ไปบรรยายอยู่แบบฤาษี มีอภิญญาก็ดี มีวิชชา ๙ วิชชา ๘ แบบฤาษีอยู่เท่านั้นๆ เป็นอภิญญาแบบฤาษีอยู่เท่านั้น

ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธในเมืองไทย มีแต่อภิญญาแบบฤาษี เข้าใจว่า อภิญญาแบบฤาษีกันทั้งนั้น นึกว่าอาสวักขยญาณเท่านั้น เป็นวิชาของพุทธอันเดียว ไม่ใช่ วิชาอภิญญาพวกนี้ ก็เป็นของพุทธหมด ถ้าแบบฤาษีก็อธิบายเป็นฤาษีซิ อิทธิวิธีก็ไปเหาะเหิน เดินน้ำ ดำดิน พาซื่อไปโต้งๆ แบบนั้น วิปัสสนาญาณก็กลายเป็นวิปัสสนา แบบไหนก็ได้ วิปัสสนึก วิปัสสะอะไร ก็ตามใจไป มโนมยิทธิก็มีจิตอะไรไปซิ ฤาษีลิงดำนั่นสอนอยู่เต็มที่เลย มโนยิทธิแบบฤาษีลิงดำ มโนมยิทธิที่จะต้องเป็น ที่จะเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ ยังเข้าใจมโนมยิทธิเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ ซึ่งไปรู้ใจ ผู้นั้นรู้ใจผู้นี้ หยั่งรู้อย่างนั้นทำอย่างนี้อะไรก็แล้วแต่ มโนมยิทธิ ซึ่งมันก็เพี้ยนไปเรื่อย เป็นเดรัจฉานวิชา เป็นอภิญญาแบบโลกียะ ไม่ใช่ อภิญญาแบบโลกุตระ

ที่อาตมากำลังขยายความมาเรื่อยๆ เป็นการขยายอธิบายแบบโลกุตระ เป็นอภิญญา หรือวิชา แบบโลกุตระ มีเจโตปริยญาณแล้วก็มาทบทวนเตวิชโชก็บอกแล้ว ว่าต้องใช้ ทุกคนต้องทำนะ ต้องทบทวน เตวิชโช... ต้องทบทวนนะ บุพเพนิวาสานุสติ ระลึกย้อน ทบทวน วันนี้พรุ่งนี้ เมื่อวานนี้ อาทิตย์ที่แล้ว เจ็ดวันที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว มาอยู่ที่นี่สิบปีแล้ว ว่างเมื่อไหร่ มีเวลาเมื่อไหร่ก็ทบทวน ว่าเออ...แต่ก่อนนี้เราได้ดี ตกยาก หรือว่าเจริญขึ้น เจริญ อย่างไร มีทุคติ หรือยังมีสุคติ มีสุคติมาแค่ไหน เดินดำเนินมาจนชีวิตป่านนี้เราได้ดีจริง หรือว่ามันไม่ได้ดี ประเดี๋ยวเผลอๆมาอยู่ที่นี่ตั้ง ๑๐ ปีแล้วไม่ทบทวน ต๊าย นี่พาเรามาเลวนี่นา ตั้ง ๑๐ ปีแล้วนี่... ตาย ถูกหลอกมาแย่แล้ว จะได้รู้ตัว จะได้รีบวิ่งออกหนีไป ถูกหลอกมาตั้ง ๑๐ กว่าปี แล้วนี่ พาไปทุคติไปเลว ไปชั่วไปต่ำอะไรนักหนา จะได้รู้ตัว แต่ถ้าตรวจแล้วเป็นสุคติ ก็บอก โอ้โฮ ดี จริง คุณก็จะได้มั่นใจ คุณก็จะได้มีกำลังใจ คุณก็จะได้ เออ...เราได้ดีแล้วหนอ เดินทางมา ขนาดนี้นี่ เรายังไม่เพียรมากเลย โธ่ ก็ดีแล้ว ทำไมเรายังจะไม่เพียรต่อ ทำไมไม่อุตสาหะยิ่งขึ้น

แต่ก่อนนี้ เรามาใหม่ๆไฟแรง เฮ้อ อุตสาหะ วิริยะดีนะ เดี๋ยวนี้เราป้อแป้ๆ ทำมันก็ยังซังกะตาย ไปวันๆ ระฆังอีกแล้วเหรอ เฮ๊อ ไม่อยากตื่นเลย ตื่นมาแล้ว ทำวัตรอีกแล้วเหรอ เบี่ยจริง ไม่อยากมาทำวัตร มันเป็นอย่างไร มันตรวจตัวเองดูซิว่า เราพาเลวกันหรืออย่างไร พามาทำวัตรนี่ ตีระฆัง ให้ตื่นมานั่น มันพาเลวหรือไง ทำวัตรแล้วก็ไปทำงาน ไปทำงานอีกแล้ว เฮ้อ ทำอะไรกันนักหนา ดูซิเงินทองก็ไม่เอาแล้ว ทำอะไรไปนักหนา มันเป็นอย่างไร รู้ตัวให้ได้ซิว่า มันเป็นอย่างไร มันควรขยัน หมั่นเพียรต่อไปมั้ย ตรวจ บุพเพนิวาสานุสติ ตรวจพวกนี้เข้าจริงๆ ตรวจทบทวนดู เอ๊ เรามาเป็นอย่างนี้ วันเดียวก็ตาม เจ็ดวันก็ตาม เจ็ดเดือนก็ตาม เจ็ดปีก็ตาม ตรวจดู อาตมาไม่ต้องการ ให้คนงมงาย ไม่ต้องการคนงมงาย ไม่ต้องการ ต้องการคนมี สติสัมปชัญญะปัญญา รู้ยิ่งเห็นจริง ดำเนินไปอย่างไร ชีวิตมันเจริญจริงไม่จริง เจริญคืออะไร โลกียะเขาก็ว่าเขาเจริญจะตายละ ร่ำรวยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เสวย โอ้โห ปรีดิ์เปรมอยู่โน่น นี่มานั่งๆนี่นึกริษยาเขาบ้างไหม เห็นคนเขา โอ้โห คุณนายนี่ แหม ช่างเป็นสุขนะนี่ นั่งรถเก๋ง เบ๊นซ์รุ่นใหม่เลย มีคนขับ มีคน อู๊ น่าจะได้สุขสบาย สำเริงสำราญ ดูซินี่เงินในแบงค์ กิจการก็งอก ได้เงินวันละตั้ง วินาทีละตั้งเท่านั้นเท่านี้ โอ้โห ไหลเข้ามายังกับท่อแตกนี่ ได้รับลาภ ยศขั้นก็ได้ สรรเสริญประเดี๋ยวก็จะได้รับเหรียญรับตรา ประเดี๋ยวก็จะได้รับคำชมเชย อย่างโน้น อย่างนี้ อู๊ น่าริษยาจังเลย หรือว่าเราไป ดูถูกดูแคลนเขา ไปข่มเบ่งเขา บอก โธ่เอ๊ย พวกโลกียะ ไม่รู้ตัวโง่ อวิชชา จิตมันไปดูถูกดูแคลนเขาหรือไม่ ตรวจดู แม้เราได้ดีก็ไม่ดูถูกดูแคลนเขา เราไม่ได้ดี เรายังมีเชื้อทางโลกียะอยู่อย่างไรแค่ไหน ตรวจ บุพเพนิวาสานุสติ รู้จักจุตูปปาตะ ตรงนี้อาตมาอยากจะจี้ตรงนี้ กว่าจะหมดเวลาสำหรับวันนี้ อยากจะบอกเรื่อง การเกิด การตาย เกิดหรือดับก็คือกัน ดับก็คือตาย ตายก็คือดับ ดับสนิทหรือไม่ ถ้านิโรธนิพพานมันดับสนิท มันตายสนิท ตายแล้วไม่ฟื้น ตายแล้วไม่เกิดอีก จึงเรียกว่า อรหัตผล ถอนอาสวะ เป็นอาสวักขยญาณ ความเกิดความดับอะไร ตรงนี้แหละ พูดกันสับสนอยู่ทุกวันนี้

พระโพธิรักษ์นี่มาพูดว่าอรหันต์ตายแล้วก็เกิดได้อีก ผิด ที่เถรวาทเรียนมาไม่มี อาตมาก็ไม่เคย สอนว่า ตายแล้วเกิดได้อีกในสภาพปรมัตถ์ ใช่ไหม ถ้ากิเลสตายแล้วตายซิ กิเลสตายนี่ ไม่ใช่เนื้อตัวตาย ไม่ใช่คนตาย นี่แหละเขาสับสนมาก สูตรที่เราเคยเจอว่าถ้าเผื่อว่า เป็นพระขีณาสพ หรือเป็นพระอรหันต์แล้ว อย่าไปกล่าวนะว่า พระอรหันต์ตายแล้วไม่เกิดอีก จะว่าเกิดหรือไม่เกิดอย่าไปพูด เราก็เคยเอามาแล้วในยมกสูตร เอามายืนยันกัน อย่าไปกล่าว พระขีณาสพ ตายแล้วไม่เกิดอีก ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ย่อมทำลาย อย่าไปกล่าว กล่าวอย่าง นั้นมิจฉาทิฐิ ไม่เป็นเดรัจฉานก็เป็นสัตว์นรก มีคติไปสองทาง แต่เขาไม่ฟังเลย ทั้งๆที่พระสูตรนี้ ก็อยู่ในเถรวาท ไม่ฟัง กล่าวอย่างนั้นไม่ได้ พระอรหันต์ท่านจะเกิดหรือไม่เกิดนั้น ย่อมเป็นเรื่อง สิทธิของท่าน นี่คือสูตรนี้ยืนยันเอาไว้ เกิดหรือไม่เกิด สิทธิของท่าน

แต่ความไม่เกิดคือไม่เกิดกิเลส ตรงนี้ล่ะอาตมาอยากจะย้ำให้พวกคุณดูของตัวเอง เอาตั้งแต่ หยาบๆ กิเลสอบายมุข ท่านน่านฟ้า สุขฌาโน กิเลสของกัญชา อาสวักขยญาณ มันเกิดหรือยัง เกิด ดับสนิท นิโรธนะ เราจะต้องรู้ ว่าอาสวักขยญาณเราเกิด มันจุตูปปาตะ ดับแล้ว มันไม่เกิดอีกแล้ว เป็นเทวดา วิสุทธิเทพเกิด เป็นปรมัตถ์ไม่ใช่ร่างกาย

เอ้าทีนี้ต่อ พระอรหันต์เจ้า กิเลสทุกอย่างดับหมดใช่มั้ย เมื่อกี้ยกตัวอย่างแต่แค่กัญชา ความตายที่กัญชา อีกชาติไหนกัญชาคุณก็ไม่เอาอีกแล้ว สูบก็สูบ เล่นหลงไปอย่าง ลิงลม อมข้าวพอง ไปได้ติดยึดไประเริง ไปเล็กๆน้อยๆ แต่เดี๋ยวคุณก็รู้ตัว คุณมีปัจจัตตังของคุณ มีภูมิมีบารมีของคุณ ถอนอาสวะก็คือสิ่งที่แล้วไปแล้ว ได้เป็นได้ ไม่มีการเวียนกลับ นั่นเป็นปรมัตถ์ คุณจะไปเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ฟื้นอย่างไรมันก็ไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นบางอย่าง คุณจะรู้สึกว่า เอ๊ ไอ้นี่เขาไปติดทำไม เราไม่เห็นติดเลย เราไม่เห็นไปหลงใหลเลย ก็คุณได้ของคุณ ก็ของคุณน่ะซิ เขายังไม่ได้ เขาก็ต้องไปล้างของเขา

ทีนี้พระอรหันต์เจ้านี่ กิเลสทุกชนิดดับ ท่านตายแล้วนะ พระอรหันต์คือคนตายใช่ไหม พระอรหันต์นี่กิเลสตายนะ ฟังกิเลสกับตัวร่างกาย ตัวชีวิตให้ดีนะ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ คือคนตาย ไม่เกิดอีก ไม่เกิดอีก ไม่เกิดอีกคือกิเลสไม่เกิดอีก มันเรื่องของท่าน อย่าพูดไปพูดว่า ไม่เกิดนะ ประเดี๋ยวเถอะ ...สองคตินะ ไม่สัตว์นรกก็เดรัจฉาน นี่ไม่ใช่ขู่นะ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มันเข้าใจไม่ได้ ทุกวันนี้ถึงเห็นคนนี่ ลงนรก เพราะเขาไม่เข้าใจ อาตมา อาตมากล่าวอย่างนี้เขาก็เลยเป็นเดรัจฉาน หรือเป็นสัตว์นรกอยู่ โดยไม่รู้ว่าตัวเอง มีคติเป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉาน จาบจ้วงอาตมา นี่อาตมาไม่ได้ขู่นะ อาตมาพูดให้ฟัง แม้แต่แค่นี้ ถ้าคุณเข้าใจว่าผู้ไปติท้วง ติเตียนพระอริยเจ้า อย่าไปพูดถึงพระอรหันต์เลยใช่ไหม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ไม่รู้จักพระอริยะแล้วไปติท้วง ไปตู่ จาบจ้วงพระอริยเจ้า ย่อมทุคติ วินิบาต เป็นเรื่องจริง นี่ ต้องสอดคล้องกัน

ที่นี้พระอรหันต์ยังไม่ตาย เอาก่อน เอาตอนนี้ก่อน พระอรหันต์ที่ยังไม่ตายนี่คือ พระอรหันต์ที่ตาย ใช่ไหม พระอรหันต์ที่กิเลสตาย แล้วพระอรหันต์ที่เกิดอยู่ใช่มั้ย ลมหายใจเฮือกเข้านี่ก็เกิด กินข้าวก็คำนึง ก็คือต่อร่างกายให้เกิด ก็คือความเกิดอยู่ แต่สิ่งที่เกิดนั้น พระอรหันต์ท่านมี อินทรีย์พละ ท่านมีจิตวิญญาณ ท่านอยู่เหนือ อยู่เหนือโลกียะ ท่านทำโลกุตระ ท่านจะสร้าง โลกุตระ ท่านจะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เพราะท่านไม่ได้บำเรออัตตา ท่านไม่มีอัตตา ไม่มีอาสวะ เพราะฉะนั้น ท่านก็เกิดอยู่อย่างที่ท่านเกิด ท่านจะเกิดเป็นโพธิกิจ เป็นโพธิสัตว์ ท่านจะเกิดอยู่ ในตอนที่เป็น ในตอนที่มีชีวิต หรือแม้ท่านจะตายแล้ว จะตายร่างกาย เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน แล้วท่านก็จะตั้งจิต ตั้งวิภวตัณหา มาเกิดเป็นโพธิสัตว์อีก เพิ่มโลกวิทู เพิ่มสัมมาสัมโพธิญาณ อีก สิ่งที่ตายแล้ว มันก็ตาย แม้จะเป็นอย่างลิงลมอมข้าวพอง เกิดมาชาติใหม่ เสร็จแล้ว เราก็ไปหลงระเริงกับโลกเขาหน่อย เดี๋ยว ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ ส่วนที่ท่านได้ของท่าน อย่างสมบูรณ์แล้ว มันก็เป็นของท่าน เอาอะไรมาอาบ มาพอกเหมือนกับเอาเพชรไปชุบขี้โคลน เพชรก็คือเพชร สิ่งที่ได้แล้ว ก็คือได้แล้ว เพชรก็เก็บเอาไปคลุกขี้โคลน ประเดี๋ยวมันก็ถูก ไอ้นั่นชะ ไอ้นี่ล้าง หรือท่านเอง ท่านก็มันก็เป็นไป คนเราก็ต้องหวังดี คนยิ่งมีความดี คนก็ต้องยิ่งหวังดี คนยิ่งปรารถนาดี ก็ยิ่งพยายามนำทางไป ที่ดีหรือว่าได้สิ่งดี มันก็เป็นฤทธิ์นำท่านไปทางดี ประเดี๋ยว ไอ้ขี้โคลน มันก็ออก ขี้โคลนออก มันก็เหลือเพชรเท่านั้นเอง เพชรก็ปรากฏ อยู่ที่คุณเอง คุณมีเพชรจริงหรือไม่ ทำตนเองให้ถึงเพชรมั้ย อาสวะขยญาณใช่มั้ย ถ้าได้แล้ว คือตายสนิท นิโรธ นิพพาน ไม่มีเกิดอีก เสร็จแล้ว เขาก็บอกว่า ตายแล้วดูซิ นี่ ตายแล้วก็คือสิ่งที่ ไม่มีอะไร สูญ ไม่มีเกิดอีก ไม่มีเวียนอีก เป็นจิต เขาเรียนเขาพูดนะ เรียนเปรียญมาเยอะๆ นี่ เขาก็ว่าอาตมา เขาก็พูดนะ หมายถึงจิต เจตสิกตาย กิเลสตายในจิต ไม่ใช่การเกิดอื่น เสร็จแล้ว พออาตมา บอกว่า การเกิดอีก หมายถึงร่างกาย เขาก็ไม่คิดถึงร่างกาย เขาก็กลับหาว่า อาตมาพาร่างกาย เกิดอีกผิด ร่างกายเกิดมันไม่ได้ผิดอะไร ร่างกายเกิด มันไม่ผิดอะไร

เพราะฉะนั้น คำว่าอย่างไปกล่าวพระขีณาสพตายแล้วไม่เกิดอีก พระขีณาสพ หมายความว่า พระอรหันต์นะ ในสูตรนี้ ท่านตรัสถึงขีณาสพนะ ท่านไม่ได้ตรัสพระอริยะนะ สูตรนี้อยู่นี่ไหมละ เปิดตำราอยู่นี่นี่ อยู่ด้วยเหรอ (พ่อท่านถาม) พระขีณาสพ ท่านไม่ได้ตรัสถึงพระโสดา สกิทา อนาคาอะไรนะ พระขีณาสพตายแล้ว อย่าไปพูดว่าพระขีณาสพตายแล้วไม่เกิดอีก ท่านบอกว่า พระอรหันต์ตายแล้วไม่เกิดอีก อย่าไปพูด ใช่มั้ย ท่านไม่ได้บอกว่พระอริยะนะ ท่านบอกว่า พระอรหันต์ พระขีณาสพ ใช้คำศัพท์ว่าพระขีณาสพนะ ใช้ศัพท์ว่าขีณาสพนะ ไม่ได้บอกอื่นนะ ขีณาสพไม่ได้แปลว่าพระโสดา ขีณาสพไม่ได้แปลว่าพระสกิทา หรืออนาคา ขีณาสพแปลว่า พระอรหันต์นะ เราเคยพูดว่าอรหันต์ในโสดา อรหันต์ในสกิทา อรหันต์ในอนาคต เราก็เคยพูด เออ อันนั้น ยังจะเมาด้วย ถ้าบอกว่า อรหันต์อาจจะเมา บอกเอ๊ย! อรหันต์โสดา ใช่มั้ย เกิดอีกได้อยู่ซิ อรหันต์สกิทา เกิดอีกก็ได้อยู่ซิ ก็เออ อาจจะเมา นี่ท่านไม่ได้บอกว่าอรหันต์นะ ท่านบอกว่า ขีณาสพด้วย ซึ่งหมายถึงอรหันต์ในอรหันต์ด้วย ใช่ไหม อย่างนี้แหละ เขาไม่เข้าใจ นั่นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎกนะ ไม่ใช่ผมพูดเองใช่ไหม ไม่ใช่อาตมาพูดนะ

เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งตื้น ไม่ใช่สิ่งที่จะพูดกันเล่น คนไม่เข้าใจ เขาก็วนเวียน อาตมายก ตัวอย่างว่า แม้พระอรหันต์ที่เป็นๆ ท่านก็ยังมีโพธิกิจ โพธิสัตว์ของท่าน ท่านก็ทำ เอาละ ทีนี้พระอรหันต์เป็นๆ และพระอรหันต์ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ท่านก็ทำของท่านไปซิ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ อยู่ในสาวกภูมินี้ ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆหรอก ไม่เข้าใจได้ง่ายๆหรอก เสร็จแล้ว ก็คิดกันแบบนี้ บอกว่าโพธิสัตว์นี่ โพธิกิจ หรือโพธิสัตว์นี่ เป็นอริยะไม่ได้ เมานี่ ตอนนี้ สังฆเภทตรงนี้ อรหันต์ก็บอกว่า อรหันต์แล้วต้องอรหันต์เลย เพราะไปยึดติดแต่ตัวอรหันต์ ตัวเกิด ต้องเกิด ตัวร่างกายเท่านั้น ไม่เข้าใจว่าปรมัตถ์นะ ตายปรมัตถ์นะเกิด ไม่ใช่ร่างกายมนุษย์ ไม่ใช่กายสัตว์ ตัวตนบุคคลเราเขา ไปติดอยู่อย่างนี้ เถรวาท ไปติดอยู่อย่างนี้ ก็เลยเดาซิทีนี้ เอ๊! ถ้างั้นโพธิสัตว์ นี่ก็เกิดเป็นอริยะไม่ได้ ถ้าขืนเป็นอริยะอย่างน้อยเป็นโสดาบันนี่ มันเกิดอีกเจ็ดชาติเท่านั้นนะ ใช่มั้ย อย่างมาก เกิดได้อีกเจ็ดชาติ มันต้องเป็นอรหันต์ ถ้าขืนเป็นอรหันต์แล้ว มันเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครจะมาเป็นโพธิสัตว์ จะเป็นพระพุทธเจ้านี่ อย่าเป็นพระอริยะเชียว เลยกลายเป็นว่าโพธิสัตว์ นี่ไม่มีอริยคุณเลย กลายเป็นกัลยาณชน ว่างั้นนะ เขาพูด ต้องเป็นกัลยาณชน เป็นปุถุชนก็เดี๋ยวจะเกินไปว่างั้น นะ โพธิสัตว์ นี่ควรจะเป็น กัลยาณชน แต่เป็นอริยะไม่ได้ ห้ามขาดนะ เฮอะ! โพธิสัตว์นี่ ก้าวล่วงไปเป็นอริยะไม่ได้เลย อั้นเอาไว้นะ ถ้าเป็นอริยะไปทีเดียว เลย อริยะก็เป็นพระพุทธเจ้าเลยนะ อั้นไว้เชียวนะ โอ้โห! มันก็ก๊กน้ำเป็นเขื่อน ที่กักเอาไว้แล้วทะลักทะเลมา แหม เล่นไปแบบ ถ้าเป็นโลกๆ ก็ยังไม่ไหวเลยว่า คุณธรรมอย่างพระพุทธเจ้าน่ะ มามากมายแค่ไหน ถ้าเป็นเขื่อน จะเป็นเขื่อน ขนาดไหน เขื่อนไหนก็พัง อั้นไม่อยู่หรอก คุณธรรมพระพุทธเจ้า ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า นี่ ตรัสรู้ทีหนึ่ง เป็นพระอรหันต์เลย พรวดเดียวเลย ข้ามร่อง ข้ามเวิ้งว้างภูเขาไหน ข้ามเหว ข้ามหุบอะไรนี่ เขื่อนนี่จะต้องอู้ฮู! ใหญ่โตมหาศาล เพราะสะสม ความรู้เอาไว้ใช่มั้ย ทะลัก ทีเดียว พรวดเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยนี่ โสดา สกิทา อนาคา อะไรไม่ได้ข้ามห้วย ข้ามเหวเล็กน้อยอะไรกับเขาเลย โอ๊ย! คิดกันยังกะนิยายอภินิหาร คิดยังกับนิยายอภินิหาร ซึ่งมันเป็นเรื่อง เหลวไหลหมดเลย ภูมิธรรมมันก็ต้องสั่งสม พระพุทธเจ้าว่าธรรมะของ พระพุทธเจ้านี้ ลาดลุ่ม ลาดลุ่มอย่างมหัศจรรย์เหมือนกับ มหาสมุทรที่ลาดลุ่มเข้าไปสู่ความลึก เป็นลำดับ อย่างมหัศจรรย์ ท่านไม่ได้ตรัสธรรมดาเลย เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก แล้วไอ้พวกนี้มัน ลาดลุ่มอยู่ไหนแล้ว เป็นเขื่อนอยู่อย่างนี้ เขื่อนต้องเขื่อนอย่างมโหฬารเลยนะ อั้น ความรู้โพธิสัตว์ สัมมาสัมโพธิญาณไว้นี่ แล้วก็ล้มครืนลงเป็นพระพุทธเจ้าเลย มันค้านแย้งกับ ไอ้เรื่องความลาดลุ่ม อย่างมหัศจรรย์นี่ขนาดไหน นี่คือความไม่เข้าใจ แล้วไอ้ที่พาให้เขาคิดว่า เป็นอริยะไม่ได้ ก็เพราะว่า มันไปข้องอยู่ที่เป็นโสดาบัน ถ้าเป็นอริยะ แล้วเป็นโสดาบัน ต้องเป็นโสดาบันได้อย่างเก่ง ต้องไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วคุณเป็นอรหันต์นะ ไม่เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ แล้วเป็นอรหันต์ไปแล้ว ก็ต้องสูญแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าได้ยังไง เพราะฉะนั้น มันต้องไม่มี ไม่มีอริยะ พวกนี้ไม่มีอริยะ นี่น่ะเหรอ เป็นตรรกศาสตร์ ตรรกศาสตร์ อยู่ตรงนี้ อั้นอยู่ตรงนี้

ทีนี้อาตมาเคยอธิบายให้พวกเราฟังว่า โสดาบันก็ไม่ได้หมายความว่า คลอดออกมาเป็นตัวตน บุคคลอย่างนี้ ก็เคยพูดให้เราฟังแล้ว คลอดจากท้องพ่อท้องแม่มาปุ๊บ เป็นโสดาบัน สมมติคุณเป็นโสดาบัน เป็นสัตตขัตตุปรมัตถโสดาเลยเชียวแหละ โสดาประเภทขั้นที่หนึ่ง จะต้องเกิดอีก ๗ ชาติ เกิดอีกเจ็ดร่างนี้อ่ะนะ คุณเกิดมา ร่างที่หนึ่งปุ๊บ คุณก็ไม่ได้ทำ ให้ความตายเลย ตายอะไร กิเลส ในรอบของกิเลส ก็คือ ๗ รอบใหญ่ๆนี่แหละ เจ็ดรอบของ โสดานี่ คุณก็ไม่ได้ทำให้ตายเลย เกิดมาชาตินี้ก็เป็นมนุษย์นะ แต่ไม่ได้ทำให้เกิดการตาย ในรอบของกิเลส คุณเกิดอีก ๖ ปุ๊ด สมมติอีก ๖ ปุ๊ด คุณก็ไม่ได้ทำอีก ต่อให้เกิดอีก อย่าว่าแต่เจ็ด เจ็ดคูณเจ็ด ไปอีกล้านครั้ง เกิดไปอีก ชาติแบบนั้นน่ะ ชาติแบบร่างกายนี่ อีกล้านหนึ่ง เข้าใจมั้ย ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ได้นะ หมดปัญหาเลยว่า ตายเกิดไอ้เรื่องของจิตวิญญาณ กับตายเกิด ของร่างกาย คุณก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ โสดาเกิดอีก ๗,๗,๗ อีกล้านครั้ง คุณไม่ได้ปฏิบัติธรรม ให้มันเข้ารอบตาย เข้ารอบตายของกิเลส ปฏิบัติอย่างเหยาะๆแหยะๆ ไม่ได้มีเพียรมีอะไรไป ดีไม่ดี ติดแป้น เกิดมาชาตินี้ก็ติดแป้น เอาละ พระพุทธเจ้าว่า ไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เชื่อว่าไม่ตกต่ำ เป็นพระโสดาแล้วย่อมไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาว่างั้นนะ ย่อมมีความเที่ยง ที่จะเป็นพระอรหันต์ก็เชื่อ แต่คุณติดแป้นมันอยู่อย่างนั้นน่ะ เนิ่นนาน

เพราะฉะนั้น เกิดอีก ๗คูณ๗ คูณ๗ คูณ๗ คูณ๗ คูณ ๗ พูดเป็นล้านครั้ง มันก็ยังไม่ได้เป็น พระอรหันต์ นี่คือร่างกาย เห็นไหม ว่าเขาสับสนขนาดไหน แต่ถ้าทำการตาย เข้าใจปรมัตถ์ คุณก็เป็นพระอรหันต์ และถ้าคุณเข้าใจต่อไปอีกว่า แม้อรหันต์ ก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการเกิด เรื่องร่างกาย คุณก็หมดปัญหาอีก นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องนี้จึงเกิดสังฆเภท เกิดมหายาน เกิดเถรวาท

เพราะฉะนั้น เถรวาท เมื่อไม่ช่วยผู้อื่น จะหลงว่าจะเอาประโยชน์ตน ก็เราจะเรียนแต่ปรมัตถ์ เลยปรมัตถ์เลย ปรมุดเลยทีนี้ มุดเข้าไปในภพกลายเป็นฤาษี เป็นอะไรไปเลย ไม่รู้โลก ไม่รู้โลกวิทู ไม่มีงานการ ออกนอกหลักเกณฑ์ของมรรคองค์แปด ไม่มีงานการ ไม่ทำงาน ไม่อะไรต่ออะไร กลายเป็นฤาษี นั่งหลับหูหลับตา สมาธิก็กลายเป็นสมาธิฤาษีไปหมด ส่วนมหายาน มหายาน ก็ยานโตงเตงไปเลย ทำแต่งานจนไม่รู้ปรมัตถ์ ไม่รู้จักปรมัตถ์ ไม่รู้จักการปฏิบัติ ที่จะรู้ จิตวิญญาณ รู้อะไร ก็เลยไปแต่เอาเพ่งกุศลที่เป็นเรื่องโลกๆๆๆๆ ไปหมด เลยกลายเป็น เรื่องเหลวไหล หย่อนยาน อนุโลมหลักธรรมวินัยอะไรไปใหญ่เลย เสียหายหมดเลย

เพราะฉะนั้น ที่มาย้อนแย้งกันอยู่ ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความไม่มีสภาวะรองรับ อาตมาต้องมาเปิดเผย ต้องมาพยายามยืนหยัดยืนยัน สิ่งที่จะสมบูรณ์สิ่งเหล่านี้ รวมเถรวาท รวมมหายาน ไม่ใช่แอบไปจับผู้ที่เป็นคนที่เขาเป็นเถรวาท แล้วถือเป็นคนมหายาน อาตมา ไม่บังอาจหรอก คนที่เขาจะยึด เขาก็ยึดของเขา แต่อาตมาเอาสัจธรรมนี่มารวม โดยอย่าไปให้มี ความเข้าใจผิด ว่าเถรวาท มหายานนี่เป็นคนละนิกาย ต้องรู้ว่า ทำไมมันถึงไปเป็นสังฆเภท มันไปเป็นนิกาย เพราะผิดตรงไหน มันเป็นเถรวาท ไปผิดตรงไหน แก้เป็นมหายาน มันไปผิดตรงไหน เอามันมาผสมกันเข้าซะ

เพราะฉะนั้น อรหันต์ กับโพธิสัตว์ ไม่ได้แยกกัน เป็นคุณธรรมอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นคุณธรรม ที่อยู่ด้วยกันซ้อนกัน เมื่อเป็นพระอรหันต์ ผู้นั้นไม่มีตัวกิเลส ไม่มีตัวตน ไม่มีความเห็นแก่ตัว เมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัว สิ่งนี้เหมือนเครื่องกลเครื่องหนึ่ง ถ้าเขาใช้เครื่องกลนี่ เหมือนมันไม่มี จิตวิญญาณที่จะบำเรอตน เมื่อมันไม่บำเรอตน มันก็เป็นเครื่องกลที่มีประสิทธิภาพ ก็ใช้ให้มันไปบำเรอผู้อื่นซิ ใช้มันไปสร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่นซิ ตัวธาตุรู้ หรือญาณปัญญา ของพระอรหันต์เจ้า จึงเป็นตัวรู้ที่จะรับใช้ผู้อื่น เป็นพหุชนะหิตายะ เป็นโลกานุกัมปายะ จะเกื้อกูลอนุเคราะห์โลกเขา มันไม่มีเห็นแก่ตัว และมันค้านแย้งกับเหตุผลตรงไหนละ มันไม่ ค้านแย้งเหตุผล แล้วมันก็เป็นสัจจะ ที่เป็นอย่างนั้นแหละ พระอรหันต์ ต้องเป็นโพธิสัตว์ มันต้องช่วยมนุษยชาติ โพธิสัตว์คือผู้ช่วยมนุษยชาติ เมื่อช่วยมนุษยชาติ ก็จะได้รับการศึกษา ในพระอรหันต์ ที่จะไม่ต่อภพต่อภูมิ ท่านก็จะเป็นโพธิสัตว์ โพธิกิจของท่านไปจนกว่าจะตาย ตายชาตินี้ ท่านจะปรินิพพานก็สิทธิของท่าน แต่ท่านบอกว่า ยัง ยัง อย่างสุเมธดาบส ท่านละไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าเรายังไม่เป็นอรหันต์หรอก เราไม่เป็นอรหันต์ตัวนี้อ่ะ ตัวที่จะสูญนี่ เป็นภาษา ของเถรวาทพูด สุเมธดาบส ภาษาของเถรวาทพูด ว่าเราไม่เป็นอรหันต์ ก็หมายความว่า ท่านยังไม่ปรินิพพาน ท่านจะทำโพธิกิจ แต่ท่านก็เป็นอรหันต์ เดี๋ยวนี้ เราก็เป็นได้ ก็หมายความว่า ท่านเป็นแล้ว ท่านเป็นได้แล้ว เดี๋ยวนี้ เราก็เป็นได้ แต่เราไม่เป็นก็คือ เราไม่จบปรินิพพานชาตินี้ ความหมายว่าอย่างนั้น แต่เขาแปลภาษาเถรวาท แปลภาษาไม่เป็น ติดอยู่ที่ภาษา ก็เลยว่าท่านไม่เป็นอรหันต์หรอก ก็หมายความว่า ท่านก็เป็นปุถุชน แล้วทำไม พระอริยเจ้าตั้งมาก ตั้งมาย ที่มากับพระพุทธเจ้า กราบสุเมธดาบส เป็นพระอริยะมากมาย พระอรหันต์ยังมีเลย กราบพระสุเมธดาบส เพราะพระสุเมธดาบส ตอนนั้นได้ รับพยากรณ์จาก พระพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ ในระดับได้รับพยากรณ์ นี่ มันเล็กเหรอ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ธรรมดา ก็ต้องกราบซิสุเมธะ แล้วจะไปกราบคนที่ แม้แต่อริยะก็ไม่ได้เป็น แค่กัลยาณชน พระอรหันต์เจ้าก็กราบสุเมธดาบส ที่แค่ อริยะก็ไม่ได้เป็น มันเป็นไปได้ยังไง เห็นไหม ว่ามันค้านแย้งกันไปหมด นี่เพราะความไม่รู้จักลำดับของสภาวธรรม สุเมธดาบส ได้รับพยากรณ์ จากพระทีปังกร ตอนนั้นว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ผู้ที่ได้รับพยากรณ์ ของพระพุทธเจ้าแล้วนี่ ไม่ใช่โพธิสัตว์ธรรมดาแล้ว ไม่ใช่โพธิสัตว์อนุบาล ไม่ใช่โพธิสัตว์ เริ่มต้นแล้ว

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้าเหล่านั้น ย่อมกราบพระโพธิสัตว์องค์นี้แน่นอน เพราะพระโพธิสัตว์ องค์นี้ ก็ต้องมีอรหันตคุณไม่ใช่เบา แต่คำพูดของสุเมธดาบส บอกว่าเราจะเป็นอรหันต์ เดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่เราไม่เอา เราไม่เอาไม่ได้หมายความว่า ท่านไม่เป็นอรหันต์ ท่านจะเอา อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหากเล่า อรหันต์ตัวนั้น understood ละไว้ว่า หมายถึง อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อรหันต์ธรรมดา เพราะอรหันต์ธรรมดา ยังกราบท่านเลย นี่ลักษณะพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน ไม่ใช่ลักษณะเล่นๆ เพราะฉะนั้น ภาษามันก็พูดกันยาก มันมี ภาษาน้อย แต่สภาวะมันสูงมันเยอะ นี่ก็เป็นเรื่องจุดๆหนึ่งที่ เขาถกเถียง นี่ไข ให้คุณฟัง เพระฉะนั้น โสดาบันนี่ ก็มีภูมิระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่า จะไปรู้ลึกซึ้งอะไร ในภูมิธรรมที่จะเป็น กุศลอกุศล แล้วก็ทำกุศลหรือทำอกุศลสมบูรณ์ไปหมด ไม่ใช่ท่านก็ทำกุศลได้ขนาดหนึ่ง อกุศลของท่านส่วนหนึ่ง หรือของใครก็ส่วนหนึ่ง โสดาทำอกุศลของโสดา ขนาดหนึ่งอยู่ อกุศลขนาดนั้นทำอยู่ จะเป็นวาจา เป็นกัมมันตะ หรือเป็นสังกัปปะ ก็เป็นอกุศลระดับนั้นอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่ทำ ทำ ยังทำอยู่

เพราะฉะนั้น ก็เป็นไป ไอ้สิ่งเหล่านี้ เรารู้กุศล อกุศล เราจะสามารถรู้คนได้ว่าอยู่ในฐานะไหน คนที่อยู่ในฐานสูง ย่อมทำอกุศลที่ต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเองไม่ได้ คนที่อยู่ในฐานต่ำ ย่อมทำอกุศล ที่เท่ากับมาตรฐานตัวเองได้ คนที่สูงแล้ว จะทำอกุศลที่ต่ำกว่ามาตรฐานตัวเอง ทำยากจริงๆ มีโอตตัปปะ เกรงกลัวต่อภัย ต่อบาป ที่มันต่ำ อย่างนั้นทำไม่ลงหรอก เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำลง แสดงว่า อำนาจกิลสกับความเป็นฐานของตัว มาตรฐานของตัว มันไปด้วยกัน มันเป็นกำลังทำให้ตัวเอง ทำกรรมอันไม่ ในฐานะของผู้ประเสริฐ หรือ อริยะระดับนี้แล้ว ยังไม่ทำกรรมขนาดนั้น นี่เป็นสัจจะ ที่มันเป็นไปจริง


ถอด โดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์ ๙ มี.ค.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๑๐ มี.ค.๒๕๓๕
พิมพ์ โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์
FILE:2273.TAP