เห็นอริยะ เห็นทุกข์
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้า เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๔
ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก

ตั้งจิต ตั้งใจ เรียกว่าอธิษฐาน เราจะเป็นผู้ที่สำรวมสังวรระวัง จะทำจิตใจให้เบิกบาน ร่าเริง เป็นผู้ไม่รักไม่ชัง เป็นผู้จะละกิเลส ตัณหา อุปาทาน จริงๆ เพราะฉะนั้น จุดใดของตนๆ ที่จะเป็นตัวปัญหา เป็นตัวที่จะทำให้เราเอง ปฏิบัติไม่ได้ดี เป็นปัญหารีบด่วน เป็นเรื่องที่เป็น ปัจจุบันขณะนั้น ที่เราจะต้องจัดการ เราจะนำมาตั้งใจเพื่อที่จะขจัด กระทำให้มันดีขึ้น ให้มันเจริญขึ้น ตั้งใจกระทำดีให้เข้าสู่สัมมา ให้เข้าสู่ความเป็นกุศล ความเป็นความดีงาม ละเลิกสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ไม่สมควรตามที่เราจะมีปัญญาทุกๆวัน พยายาม

เพราะฉะนั้น การที่เราสวดมนต์เสร็จทุกที ในพุทธสถานทุกแห่งขณะนี้ เมื่อสวดมนต์แล้ว เราก็จะตั้งจิตอธิษฐานของแต่ละคน ของใครของมัน ใครมีจุดใดของตนของตน ก็อธิษฐาน ของตน เวลาประมาณซัก ๑ นาที ๒ นาที หรือ ๓ นาที ก็แล้วแต่ ของใครมีมาก มียาวก็นาน ของใครไม่มีมาก ไม่มียาวก็นาทีเดียว ไม่ถึงนาทีก็เสร็จ ก็จะตั้งอธิษฐานจิต อย่างนั้นกัน เป็นการตั้งจิตตั้งใจจริงๆ อธิษฐานนี้จะพาสู่ความเจริญ จะพาสู่ความแข็งแรง มั่นคง มีทิศทางที่ดี แต่ละคน สำหรับแต่ละวัน แต่ละวันไปทีเดียว เอ้า! ณ บัดนี้ ทุกคนตั้งจิต อธิษฐานนั้นๆ ของตน ๆ


สำนึกดีทุกผู้ทุกคน

วันนี้ ก็เป็นวันจะสิ้นปีเก่า พวกเราชาวมนุษย์นี่ ก็จะมีสมมุติต่างๆ ที่กำหนดกัน ตามกลุ่มบุคคล เสร็จแล้ว เราก็ใช้สมมุตินั้นๆ มาร่วมกระทำร่วมประพฤติ ให้มันเกิดคุณค่า เกิดประโยชน์กัน ดำรงชีวิตกันต่อไป ชีวิตก็เกิดมา วนเวียนอย่างนี้ๆ วนเวียนแล้วๆ เล่าๆ มันเกิดมาเพราะอวิชชา โลกนี้มันเกิดมาอย่างไม่มีที่ตั้งต้น แล้วมันก็ไม่มีที่จบที่สิ้นสุดว่าจะหมดโลกไปจาก มหาจักรภพนี้ มันก็เกิด ก็เป็น ก็หมุน ก็เวียนไป ด้วยธาตุทั้งสี่ จนกระทั่งครบธาตุทั้งหก ที่เป็นธาตุหลัก ธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อมันสังเคราะห์กัน จนกระทั่ง สมบูรณ์ มันก็เกิดสมบูรณ์เป็น ธาตุทั้งหก เกิดอากาศธาตุกับวิญญาณธาตุขึ้นมาอีกสองธาตุ เป็น ๖ ธาตุด้วยกัน ๖ ธาตุ นี่แหละ เกิดการรวมกัน สังเคราะห์กัน จนกระทั่งกลายเป็นมหาจักรภพอยู่นี่ แล้วๆเล่าๆ วนเวียนอยู่ ไม่รู้จักจบสิ้น จะเรียกว่านิรันดร์ก็ได้ สิ่งที่นิรันดร์ ก็คือ สิ่งที่มันไม่รู้จักจบสิ้น สิ่งที่เกิด เป็นทุกข์ทั้งสิ้น ชาติ ปิ ทุกขา สิ่งที่เกิดไม่ว่าใดๆ เป็นทุกข์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความดีงาม ความประเสริฐสุดยอด อย่างไรก็ตามก็เป็นความทุกข์ ป่วยการกล่าวไปไย กับสิ่งที่เกิดนั้น เป็นความเลวทราม นั่นย่อมทุกข์ มหาอภิมหาทุกข์นิรันดร์กาลแน่นอน

เพราะฉะนั้น ความเกิดใดๆเป็นทุกข์ทั้งสิ้น เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าก็ทุกข์ เกิดมาเป็นพระอรหันต์เจ้าก็ทุกข์ อาตมาก็ได้เคยอธิบายเรื่องทุกข์ให้ฟังแล้ว ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั้นคือทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเกิด มีแต่ทุกข์เท่านั้น เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ แล้วมีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป สิ่งที่หมดทุกข์จริงๆก็คือ ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรเกิดอีกนั่นคือ ไม่มีทุกข์ ดินมันยังเกิดอยู่ มันไม่รู้หรอกว่า มันเป็นทุกข์ น้ำมันเกิดอยู่ มันไม่รู้ว่วมันทุกข์ ลมก็ดี ไฟก็ดี มันเกิดอยู่ มันไม่รู้ว่าอะไรมันทุกข์ อากาศคือความว่าง คำว่าอากาศธาตุนี่ ไม่ได้หมายถึงลม ลมก็คือธาตุอย่างหนึ่ง อากาศธาตุอีกอย่างหนึ่ง คนละธาตุนะ ธาตุลมนี่ก็ ภาษาบาลี เรียกว่า วาโย ธาตุอากาศก็คืออากาโส คนละธาตุ อากาโสก็คือช่องว่าง หรือความว่าง ความปราศจากสิ่งใดๆ ซึ่งมันมีอยู่ในมหาจักรภพนี่โดยวัตถุ ถ้าสังเคราะห์ลงไป เป็นด้านนามธรรมแล้วละก็ มันเป็นคู่ของวิญญาณ อากาศธาตุกับวิญญาณธาตุ เพราะฉะนั้น ผู้ใดมีจิตใจว่าง เป็นอากาโส ก็โปร่ง ก็ว่าง ก็เบา ก็สบาย

ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเรารู้ว่าจิตวิญญาณของเรานี่ว่าง ว่างจากความไม่บริสุทธิ์ คือไม่ใช่วิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่วิญญาณสะอาด ไม่ใช่มีแต่วิญญาณเพียวๆ วิญญาณแท้ๆ เราก็ถือว่าสิ่งนั้นเป็นแปดเปื้อน เป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ที่วิญญาณ เพราะเราล้างวิญญาณ... ล้างอะไรที่ไม่บริสุทธิ์ ในวิญญาณนี้ ออกให้หมด จนว่างจากสิ่งเหล่านั้นแหละ เราเรียกว่าสูญ เราเรียกว่าหมด แล้วมันก็ว่าง มันก็โปร่ง มันก็สบาย แต่มันก็เป็นจิตวิญญาณที่ยังเกิดอยู่ เป็นจิตวิญญาณที่ยังเกิดอยู่ เป็นทุกข์ตามสิ่งที่ยังเกิด มันยังเกิดตามสภาวะ มันเป็นขันธ์ วิญญาณนี่เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นขันธ์ มันก็ทุกข์ตามธาตุตามขันธ์ของมัน ซึ่งมันจะต้องยังอยู่ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้า ท่านบอกว่า ท่านพ้นทุกข์อริยสัจ พระอรหันต์เจ้าไม่ได้หมายความว่าพ้นทุกอย่างๆๆ ไม่มี พระอรหันต์เจ้าที่ยังไม่ตาย ก็ยังมีทุกข์อยู่ ทุกข์เพราะยังไม่สูญสิ้น ทุกข์เพราะยังไม่ตายนั่นเอง ยังมีรูปนามขันธ์ห้า

อาตมาเคยอธิบาย บางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน ก็ขอถามง่ายๆก่อน หลายคนเข้าใจผิดว่า พระอรหันต์เจ้านี่ หมดทุกข์ทุกอย่างแล้ว จนเลยเถิดไปว่าพระอรหันต์เจ้า ถูกตีหัวก็ไม่เจ็บ ไม่ทุกข์ ลองเถอะนะ พระอรหันต์เจ้าองค์ไหน มาให้อาตมาตีหัวหน่อยเถอะ ถ้าบอกว่าไม่เจ็บไม่ทุกข์ ก็จะตีให้เจ็บให้ทุกข์ให้ได้ ลองดู จะมีความเก่งกาจขนาดไหน มาลองดู จะหักขา ลองดูซิว่าไม่เจ็บ หักไม่ได้ก็เอาเหล็กมาทุบให้ขาหัก ลองๆ ดูซิ...จะทุกข์มั้ย จะเจ็บมั้ย มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ของเหตุปัจจัย คือสรีระ ที่ภาษาทางแพทย์ ทางสมัยใหม่ เขาก็เรียกว่า เซลส์ต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้า ถ้ามันทำงานไม่สมดุล ทำงานขัดข้อง มันก็จะเกิดอาการขัดข้อง ซึ่งเป็นอาการ ธรรมชาติในร่างกายเราเรียกว่าขัดข้อง ก็เจ็บ ก็ปวด ก็ขัด ก็อึด ก็อัด ก็ไม่โปร่ง ไม่คล่อง ไม่โล่ง ไม่สบาย เท่านั้นแหละ ซึ่งเป็นธรรมดาที่ยังมีประสาทรับรู้ มีความหมุนเวียน ในร่างกายที่เรารับรู้อยู่ มันก็จะเป็น นั่นเป็นทุกข์ธรรมดา เป็นทุกข์สภาวทุกข์ ทุกข์ที่มันไม่สมดุล

ถ้าเจ็บป่วยอย่างเมื่อกี้ เขาเรียกว่าพยาธิทุกข์ ทุกข์เพราะเกิดการไม่สมดุล อวัยวะเจ้าการทำงาน ไม่สมดุล พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำงานไม่สมดุลมันก็ทุกข์ เอ้า หรือชี้ลงไปชัดๆอีกก็ได้ ที่เรียกว่า นิพัทธทุกข์ ทุกข์ที่มันไม่ใช่ทุกขอริยสัจนะอันนี้ ทุกขอริยสัจก็คือ ทุกข์ที่เกิดจาก กิเลสตัณหาอุปาทาน คนเราทุกข์ยิ่งใหญ่ก็ตรงนี้ ถ้าทุกข์พวกพยาธิทุกข์บ้าง มันเลี่ยงไม่ออก อย่างนิพัทธทุกข์ คือทุกข์ที่ยังต้องเกี่ยวเนื่องอยู่กับชีวิต มันเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องอยู่กับชีวิต แล้วเราสลัดไม่ออกหรอก ถ้าเรายังมีชีวะ เรายังมีชีวิตอยู่ มันก็เกี่ยวเนื่อง จะเป็นพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่พระอรหันต์เลย ต่อให้พระพุทธเจ้า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตาม ก็ยังมีทุกข์อย่างนี้ เช่น ทุกข์ปวดอุจจาระ ทุกข์เพราะปวดปัสสาวะ ลองเดาดูซิว่า พระพุทธเจ้าปวดอุจจาระแล้ว ไม่ไปอุจจาระ นี่ทุกข์มั้ย (พ่อท่านถาม) เอ้า ก็ไหนว่าไม่มีทุกข์แล้วไง พระพุทธเจ้าหมดทุกข์ ทุกอย่างแล้วไง (พ่อท่านถาม) คงจะไม่ต้องทุกข์ คิดแต่ก็สบายนะ ใช่มั้ย มันเป็นไปไม่ได้นะ

นี่เป็นความเลยเถิด ของการศึกษาทางธรรมะว่าผู้พ้นทุกข์แล้วก็ ไม่รู้ว่าทุกข์น่ะคืออะไรบ้าง การจะรู้ทุกข์ ได้ถ้วนทั่วนั้น นอกจากแง่เชิงที่อาตมากล่าวแล้ว ยังมีความละเอียดลออ อีกมากมาย ซับซ้อน ผู้ที่รู้ทุกข์ได้ถ้วนทั่วนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะว่า ยากยิ่งกว่าการยิงศร จากระยะไกล ให้เสียบรูกุญแจ ดอก...รูเดียวนี่ ร้อยดอก ยิงศรร้อยดอกให้เสียบรูกุญแจรูเดียวนี่ ระยะไกลด้วยนะ ยิงเข้าไป จะเก่งแค่ไหนนัก ยิงศรนี่ นักยิงศรเก่งๆ มือฉมังนี่ ต้องยิงให้เข้ารู กุญแจรูเดียวนี่ ร้อยดอก มันยากมั้ย ยากมั้ย ให้นักยิงลูกศรเก่งขนาดไหน ก็ต้องยากแน่นอนละ แหม แล้วจะยิงยังไง มันเสียบเข้าไปดอกที่หนึ่ง ดอกที่สอง ดอกที่สิบ แล้วจะให้มันเสียบ ร้อยดอก มันจะเสียบไปตรงไหนล่ะรูกุญแจนี่ รูกุญแจอะไรล่ะ มันจะรูกุญแจ มันจะโต ขนาดไหนกันเชียวล่ะ รูกุญแจ แล้วจะยิงลูกศรร้อยดอก ให้ไปเสียบที่รูกุญแจนี่ ร้อยดอก นี่มันยาก หรือจักเส้นผมให้ออกเป็นร้อยแฉก แล้วให้แต่ละแฉกนั้นเท่ากันด้วย นี่คือความยาก ยากมั้ยละ จักเส้นผมร้อยแฉก เอาอะไรมาจัก จักสองแฉก มันยังจะไม่ไหวแล้วละ นี่ท่านบอก เปรียบเทียบ ให้ฟังว่า จักร้อยแฉก แล้วให้แต่ละแฉกเท่ากันด้วยนะ (พ่อท่านหัวเราะ) ยังมีข้อแม้อีก ว่า แต่ละแฉกให้มันเท่ากันอีก มันเป็นความยากขนาดไหนกัน ท่านบอกว่า การรู้ทุกข์ได้ละเอียดลออ มีการยากประมาณอย่างนั้น รู้ทุกข์นี่ รู้จักทุกข์

เพราะฉะนั้น คนเรานี่ไม่รู้ทุกข์ ยิ่งคนที่ไม่ศึกษาธรรมะอย่างชัดอย่างแจ้ง อย่างจริงแล้วละก็ จะไม่เข้าใจเลยว่า ทุกข์คืออะไร เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้ทุกข์อย่างสมบูรณ์ ก็พระอรหันต์เจ้า รู้ทุกข์อย่างสมบูรณ์ แล้วก็วางทุกขอริยสัจ ปล่อยทุกขอริยสัจ ดับทุกขอริยสัจ หยุดทุกขอริยสัจ ได้อย่างแท้จริง เมื่อยังมีชีวิตอยู่ พระอรหันต์เจ้ายังไม่ตาย ก็ยังมีทุกข์ที่ยังจำนน เป็นทุกข์ที่เรียกว่า มันก็ต้องมีอยู่ตามภาวะที่ยังมีชีวิต อย่างที่อาตมายกตัวอย่างแล้ว สภาวทุกข์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังทุกข์เพราะการเกิด การเกิดหรือการกิน กินนี้ก็เป็นทุกข์ ถ้าเรากินอาหารนี่นะไม่ติดรส ติดชาติ ไม่อะไร ก็คือ การทำงานอย่างหนึ่ง ก็พยายามทำงาน ความรู้สึกเราวางได้ เราก็ไม่ทุกข์หรอก อย่างอาตมานี่ กินข้าวกินอาหารทุกวันนี้ ก็ไม่ทุกข์หรอก แต่มันต้องใช้พลังงานกิน แหม... บางทีกินนี่ กว่าจะอิ่ม หลายอย่างจริง หลายครั้งหลายครา เหงื่อหัวล้าน อาตมานี่ออก แล้วเหงื่อนี่เย็นนะ เย็น จะเห็นได้ หลายคนมานั่งสังเกต เห็นว่า เอ๊ ทำไมอาตมานี่ มีเหงื่อหัวออกด้วยนะ กินข้าวนี่มานั่ง มีบางคน มาคอยพัดวีให้ เวลากินข้าว เวลาฉันอาหาร เขาจะเห็นเหงื่อออก เขาไม่กล้าถาม อาตมาก็เลยไขความให้ฟัง มันเป็นอย่างนั้น มันพยายามกินให้มันจบ มันก็เหมือนทำงาน เหมือนทำงาน ต้องใช้ความพยายาม แต่ถ้ากินด้วยอุปาทาน กินด้วยกิเลสตัณหาแล้ว โอ๊ย มันไม่เหนื่อยหรอก มันตะกละตะกลาม ขนาดอิ่มท้อง แล้วมันยังตะกลามตะกละ จะกินอีก กินอีก ท้องจะแตกยังพยายาม เขาก็เลยไม่เรียกกิน เขาเรียกยัด (คนฟังหัวเราะ) คือมันกิน มากเกินน่ะ มันตะกละตะกลาม มันเกินแล้ว มันควรจะพอแล้ว มันก็ยังไม่พอ ยังเอาเข้าไปอีก เขาก็เลยเรียกว่ายัด ภาษาไทยเราเรียกว่ายัด ถ้าเผื่อว่ามันภาษาไทยที่ประชดแรงๆหน่อยเขามี สร้อยตามเข้าไปอีก รู้เอาเองก็แล้วกันว่ายัดอะไร (คนฟังหัวเราะ) เพราะถ้ายัดเข้ามากๆ แล้วก็ตาย ตายชนิดนั้นแหละ เขาเรียกว่าตาย ยัดเข้าไปมากเกินไป แล้วมันก็ตาย ตายเพราะ การยัดเข้าไปมากๆน่ะ เขาเรียกว่าตายชนิดนั้นน่ะ ภาษา คำนั้นเรียก...รู้เอาเองว่าคืออะไร ไม่ใช่โหง การตายด้วยชนิดยัดอาหารเข้าไปนี่ เขาไม่เรียกโหง หลายคนอาจจะนึกไม่ออก ก็เลยพูดให้ชัดขึ้นอีก คำใกล้ๆกัน กับโหงนั่นแหละ (คนฟังหัวเราะ) มันตายอย่างนั้นน่ะ

การกินก็เป็นทุกข์นะ การกินคือการเกิดชนิดหนึ่ง เรายังกินอาหารให้เข้าไปในร่างกาย สังเคราะห์ร่างกายไว้ ร่างกายก็จะอยู่ กินอาหารก็คือ กินธาตุเข้าไปให้มันสังเคราะห์ เซลอาศัยธาตุ เข้าไปสังเคราะห์ เอาธาตุต่างๆ นานาสารพัดทางวิทยาศาสตร์ทางแพทย์ เขาเรียนรู้กันครบ เรียกมันว่าอาหาร ชนิดนั้นชนิดนี้ วิตามินนั่น วิตามินนี่อะไร มากมาย อาตมาไม่ได้เรียนกับเขา รู้พอเลาๆ พอโม้ให้เขาดุเขาว่า เขาด่าได้ คือโม้ไม่ค่อยถูกนัก เขาก็ว่าเอา นั่นล่ะ ก็มาสังเคราะห์ร่างกายเรา ให้ร่างกายเราทรงอยู่ได้อย่างแข็งแรง เรียนถูกรู้ถูก หรือมีความรู้ ในตัวเรานี่ เรามีความรู้ในการจะกินให้ถูก เราก็อยู่สุขสบายดี ทุกวันนี้การกินนี่ เลวร้าย ถูกยั่วยุ ถูกมอมเมา ซึ่งเราก็มาเรียนกัน ทุกวันนี้เราก็เรียนกัน ให้เป็นผู้กินดีกินถูกต้อง เข้ามาได้ดีขึ้น โดยไม่ไปติดของปรุงแต่ง ของที่เขาเป็นอะไรเอามาผสมผเสผสาน ล่อหลอก ล่อหลอกขายบ้าง ล่อหลอกยั่วยุ ให้เราได้หลงเลอะๆ เลอะเทอะอะไรไปเยอะแยะมากมาย เรื่องกินนี่ เป็นเรื่องใหญ่ที่ถูกหลอก ขนาดนั้นยังไปหลอกสัตว์เหมือนกันนะ เอาอะไรไป หลอกสัตว์ไม่รู้ เยอะแยะเหมือนกัน สัตว์มันก็เลยพลอยถูกหลอกไปด้วย แต่ก็น้อย คุณได้ข่าวมั้ยละ เขาไปจัดไอ้โต๊ะจีนให้ลิงกิน เห็นมั้ย นั่นมันบ้า บ้าดี ไม่ใช่ดีหรอกบ้าชั่ว ขออภัยพูดผิด มันบ้าชั่ว ไม่เข้าเรื่อง แล้วมันก็หาเรื่องโฆษณา หาเรื่องทำอะไรกัน ไม่เข้าเรื่องเข้าราว ไปอย่างนั้นน่ะ อย่างนี้เป็นต้น ยกตัวอย่างง่ายๆ แต่ก็มีปรุงแต่ง อาหารต่างๆ ไปล่อ เช่นพวกหมู พวกสัตว์ที่เขาเลี้ยงมาไว้ขายนี่ ได้รับการปรุงแต่ง จากอาหารที่จะเอามาโด๊ป โด๊ปเพื่อต้องการ ให้ได้เนื้อมาก ให้หนังมาก ให้อะไรก็แล้วแต่ เขาก็มีความรู้ ในทางวิทยาศาสตร์ ในทางเคมีธาตุ เอามาปรุงมาแต่ง แล้วกลายเป็นหมูที่ไม่ค่อยได้คุณภาพ เป็นไก่เป็นสัตว์เลี้ยง ที่ไม่ได้คุณภาพ แต่มันได้สิ่งที่เขาต้องการ เอาไปชั่งน้ำหนัก เอาไปให้ มันอ้วนมันพี เอาไปให้ มันใหญ่มันโต มันไม่ได้สัดส่วนของหมูแท้ เนื้อหมูก็ไม่ใช่เนื้อหมูแท้แล้วเดี๋ยวนี้ เนื้อไก่ก็ไม่ใช่ ไก่แท้แล้ว เนื้อกุ้งก็ไม่ใช่กุ้งแท้แล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่คนมาผิดธรรมชาติของมัน เนื้อไม่ใช่ธรรมชาติมันแล้ว นี่ ของปลอมของที่คนนี่แหละ ปรุงแต่ง เอาไปให้สัตว์กิน แล้วก็เอาไป สังเคราะห์ร่างกาย แล้วคนก็เอาไปกิน

ทุกวันนี้จึงกินเนื้อกกุ้งปลอม ไก่ปลอม หมูปลอม วัวปลอม กินเนื้อสัตว์ปลอมๆไป คนก็เลย เป็นคนปลอมๆ มีทุกข์ซิ เพราะว่ากันไม่ได้ของที่แท้จริง มันไม่เป็นของธรรมชาติ เพราะคำว่า ธรรมชาติ เข้าหาธรรมชาติ ทุกวันนี้เราจะเน้นเข้ามาอย่างมากเลย จะเรียนรู้ เราจัดรายการ เข้ามานี่ แม้แต่รายการวันปีใหม่นี่ เราก็จัดรายการที่จะเข้าหาธรรมชาติ มาเรียนรู้เรื่องพิษภัย สิ่งที่ผสมเข้ามา เป็นสิ่งแวดล้อมใดๆ ในระดับไกล จนกระทั่งถึงเข้ามาในร่างกาย เราก็พยายาม สรรหาความรู้เหล่านี้ เราก็รู้ เขาก็รู้ เราก็เชิญผู้รู้ใดๆมาให้ความรู้แก่กันและกัน หลายคนไม่สนใจ มัวแต่ไปเถิดเทิง อะไรต่ออะไรไป เราก็มีงานนี้ เราก็มีเถิดเทิงบ้าง คนสนใจเถิดเทิง ก็ไปเอาแต่เถิดเทิง คนที่เอาสาระบ้างก็มา ก็ยังดีนะ ยังไม่น้อยนัก มีรายการภาคบ่าย ก็มีผู้ที่สนใจ ในเรื่องที่เราผ่านมาแล้วสองวัน วันแรกก็วันเรื่องของอาหารเพื่อชีวิต ซึ่งก็มาพูดถึง เรื่องพวกนี้กัน ให้รู้ว่าอาหารชีวิตที่เข้าสู่ธรรมชาติ อะไรต่ออะไรก็เอาผู้รู้ที่ เขาก็ศึกษามาอีกสาย หลายทาง เราต้องเป็นผู้ที่มีปรโตโฆสะ เป็นผู้ที่รับรู้ผู้อื่น คนอื่น ไปประมาท เขาว่าเขาไม่รู้จริง ไม่รู้อะไรไม่ได้ เขามีส่วนรู้อะไรที่มันมาขัดแย้งกับเราบ้าง เราก็เอามาวิเคราะห์วิจัยอีก อะไรมันสอดคล้องกันดี เราก็ได้น้ำหนักเพิ่มเติม เราก็วิจัยด้วยนะสิ่งที่สอดคล้อง ไม่ใช่ว่า งมงายไปทีเดียว มันจะหลงไปหมดก็ไม่ได้ เราก็เรียนรู้อย่างนี้ อย่างเมื่อวานนี้ก็มหันตภัยของโลก เราก็เอามา เอาผู้รู้ท่านมาพูดให้ฟังอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ทั้งด้านจะสังเคราะห์เข้าตัวเอง ทั้งด้านที่จะพยายาม สกัดออกอะไร เราก็มาเรียนรู้อย่างนี้เป็นต้น เราก็จะเป็นผู้ที่เกิดอยู่ หรือยังจะต้องกิน ยังจะต้องรับในสิ่งที่มันถูกสัจจะ ถูกความที่เป็นตัวแท้ ทุกวันนี้มันแปรปรวน ไปหมดเลย ตัวแท้ๆหรือเรื่องจริงๆ เรื่องตรงๆถูกๆต้องๆนี่ มันผิดเพี้ยนกันไป จนจะหมดจะสิ้น หาเรื่องที่ถูกต้อง ได้น้อยมากเลย แต่เราก็จะต้องไม่จนทาง ต้องศึกษาและก็พยายามปรับเข้ามา เราก็พยายาม ที่จะเรียนรู้ทุกข์ให้ชัดเจน อาตมาไม่ขยายเรื่องทุกข์อะไรเพิ่มเติมกว่านี้ละ เพราะว่า ไม่ได้เป็นเป้าหมาย ที่จะพูดในเวลาที่เล่าเรียน ในเวลาที่ยังได้ศึกษาร่วมกันไป จนกว่าจะตาย จากกันนี่ มีเรื่องที่จะให้ศึกษาอีกเยอะ อาตมาพยายามตั้งใจจริงๆว่าจะมีชีวิต ให้อยู่ยาวนาน ที่สุด ก็พูดกันไว้ ตั้งใจจริงๆนะ เป็นความพยายาม อาตมาใช้อิทธิบาท พิสูจน์อิทธิบาท พระพุทธเจ้าด้วย ถ้าอาตมาจะอายุสั้นละก็ มันก็เพราะพวกคุณนี่เข็นยาก นี่พูดความจริงนะ มันเหน็ดเหนื่อย มันจะต้องใช้พลังงานมาปรุงมาคิด จะทำอย่างไรหนอ แต่ละคนก็ตาม ทั้งที่ใกล้ชิด ก็มาให้เป็นปัญหามาก จนเราก็จะต้องช่วย จนกระทั่ง มันก็ช่วยไม่ไหว ก็วางไปละ บางคน ซึ่งอาตมาก็ต้องปล่อยก็ต้องวาง ว่ามันช่วยไม่ไหวหรอก โอ๊ มันดื้อ มันด้าน มันหนา มันไม่ค่อยช่วยตัวเอง ไอ้เราก็มีคนจะต้องช่วยกันเยอะแยะ

เพราะฉะนั้นจะไปเลือกที่รักมักที่ชัง รักคนนี้มากกว่าคนโน้นจนเกินไป จนกระทั่ง ก็ให้ละนะ ให้กันพอสมควร แล้วก็ยังไม่รู้จักพอ ก็ต้องตัดต้องหยุด ไม่ให้อีกบ้างล่ะ ไม่รู้จักพอ นั่นมันกิเลส มันก็คืออัตตามานะ มันมากเกินไป เมื่อมันมากเกินไปแล้ว เขาเลวร้ายลง เขาไม่ได้ดีขึ้นหรอก แล้วนับวันยิ่ง จะยิ่งไม่พบอาตมาอีกต่อไปแล้ว เขายิ่งจะเลวร้ายกว่านี้ เพราะยังโง่อยู่ต่อ ไม่รู้จัก ไม่แก้ไข อัตตามานะตนเอง เมื่อไม่แก้ไขอัตตามานะตนเองแล้ว คนนี้ยากมาก คนที่มีกิเลสกามนี่นะ มันรู้ง่าย มันทุกข์จัด มันทุกข์ง่าย มันทุกข์ง่าย ทุกข์กามนี่ ทุกข์อัตตามานกะนี่ ไม่ค่อยรู้ตัวได้ง่าย เป็นภวตัณหา เป็นวิภวตัณหา อัตตามานะนี่ รู้ตัวได้ยาก เอาแต่ใจตัว เอาแต่ภพของตัว แล้วก็อยู่ลึกๆเข้าไปนะ อัตตามานะนี่ เป็นภพที่สร้างที่ฝัน ที่ปรารถนาใคร่อยาก เพื่อตัวกูของกู ซึ่งท่านพุทธทาสเอามาพูดนี่ ที่จริงเป็นตัวปลาย ไม่ใช่ตัวต้น ตัวต้นต้องกามตัณหาก่อน กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ที่จริงภวตัณหาตัวก่อนก็มี มีก็คือว่า มันถือตัวกูนี่แหละวิเศษ ตัวกูนี่แหละยิ่งใหญ่ กูไม่มีครูบาอาจารย์ กูไม่มีผู้ใด ใหญ่กว่ากู ไอ้คนนั้นละเลิกเลย ไม่ต้องไปสอนไม่ต้องสอน ไม่ต้องสอนหัวมันหรอก ไม่ต้องแม้แต่เท้ามันด้วย ไม่ต้องไปสอนมัน เพราะมันใหญ่เหลือเกิน อัตตามานะมันใหญ่ แล้วคนๆอย่างนี่นะ ส่วนมากจะฉลาด คนๆอย่างนี้น่ะส่วนมากจะฉลาด แล้วถือหัวตัวเอง นั่นแหละเรียกว่า ตัวกูของกู หัวกู หัวไอ้เรือง แล้วยิ่งไปได้ มีอะไรเป็นอลังการของตัวเองนี่ ไปได้มีความรู้ทางโลก ก็เรียนความรู้ทางโลกมา มีความสามารถ ทำมาหากิน ได้รับเงินทอง ได้รับลาภยศสรรเสริญ ได้รับยกย่อง ใหญ่โต โอ มันก็มีกินมีอยู่ เมื่อมีกินมีอยู่ แล้วก็ไม่ได้ง้อ ผู้ใดแล้ว แล้วก็นึกว่าตัวเอง เฉลียวฉลาดยิ่งอีกด้วย

เพราะฉะนั้น ใครจะมาพูดอะไร มาแนะอะไรมาอะไรก็ ข้ารู้ทั้งนั้นน่ะ คนพวกนี้จะไม่พบ พระอริยะ เพราะมันใหญ่กว่าพระอริยะ เพราะฉะนั้น สัมมาทิฐิข้อหนึ่ง เขาจะไม่ถือ คือมิจฉาทิฐิ ข้อที่จะต้องเห็นพระอิรยะ ในข้อที่สิบ อาตมาตั้งใจว่า พุทธาภิเษกฯ ปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯปีนี้ จะขยายมิจฉาทิฐิสิบนี้ ให้กระจ่าง ให้ชัด มิจฉาทิฐิ ๑๐ จะอธิบายปี ๓๕ นี่ ปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯนี่ เพราะว่าสัมมาทิฐินี่สำคัญที่สุด เป็นต้นราก พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่าอย่างไร รุ่งอรุณ แสงจะมาก่อน จะมีแสงอรุณรุ่งมาก่อนนี่ ในแต่ละวัน จะมีอรุณ แสงอรุณรุ่งมาก่อนอื่น ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ในทางธรรมก็จะต้องมีอะไรมาก่อน (พ่อท่านถาม) สัมมาทิฐิ จะต้องมาก่อน ผู้จะตั้งศีลให้แก่ตนเองนี่ ไม่มีสัมมาทิฐินี่ เลอะมาเยอะแล้ว ทุกวันนี้นี่ไปถามซิ ในเมืองไทยนี่ ศีล เก่ง ใครๆตั้งต้นเอาศีล มาปฏิบัติก็ดีทั้งนั้นน่ะ แต่เสร็จแล้ว ถ้าไม่มีสัมมาทิฐิ ก็เป็นสีลัพพตปรามาส หรือ เป็นสีลัพพตุปาทานไปเท่านั้นเอง ไม่เกิดประโยชน์หรอก ต้องมีสัมมาทิฐิ ในอุปาทาน ในปรามาส อะไรต่างๆ ต้องรู้จักวิธีการ ต้องเข้าใจ ต้องมีปัญญา เบื้องต้นนะ สัมมาทิฐินี่ เป็นสิ่งสำคัญ เหมือนพระอาทิตย์จะขึ้น อรุณจะรุ่ง ก็จะต้องมีแสงอรุณ อะไรขึ้นมาก่อน ฉันใด จะต้องมีสัมมาทิฐิมาก่อน ฉันนั้น

อาตมาตั้งใจจะขยายความ ให้เรียกว่าการซ้ำซาก ขยาย ซอกแซกกกันให้มากที่สุด ปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯ แต่ละปี แต่ละปี ที่มีปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯนี่ อาตมาตั้งใจจะเอาหัวข้อสำคัญๆ มาขยายความ อย่างที่ได้กระทำมาแล้ว หลายปี และไอ้ที่ขยายความเหล่านั้น ก็จะเอามา เรียบเรียง เป็นหนังสือ เป็นอะไรต่อไป แต่เราก็ยังไม่มีแรงงานพอ โดยเฉพาะอาตมาเองนี่แหละ มันไม่พอ ซึ่งจะต้องตรวจแก้ ตรวจอะไรนี่ก็ทำกัน เรียบเรียงกันมาแต่ละปีๆ รวบรวมกันไว้ ถอดเท็ปกันไว้ ซึ่งก็มาเรียบเรียง ซึ่งอาตมาก็ต้องมาตรวจมาเช็คมาทำให้ดี แต่ยังทำไม่ไหว ทำยังไม่ทัน หลายอย่าง แต่ก็ได้ไปเรื่อยๆนะ มีผู้มาช่วยทำงานกันเพิ่มขึ้น

เมื่อกี้พูดถึงว่า ผู้ที่มีความมีอัตตามานะมาก ถือดี ถือตัวว่ารู้แล้วก็ไม่รู้จักพระอิรยะจริงๆ ในมิจฉาทิฐิ ข้อที่ ๑๐ นัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจะ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ มิจฉาทิฐิข้อนี้ ภาษาบาลีก็ยาวกว่าเพื่อน อาตมาจำได้นี่ ถือว่าเก่งมาก เพราะธรรมดาเป็นคนจำไม่ค่อยเก่ง ยิ่งบาลีแล้วจำไม่ค่อยเก่ง จนเขาหาว่า ทำให้ธรรมวินัยให้วิปริต แปลบาลีก็เพี้ยนอะไรอย่างนี้ นัตถิ โลเก ว่าคนผู้ที่เห็นว่า ในโลกนี้นี่ ไม่มีพระอริยะ สรุปง่ายๆคือไม่มี สมณพราหมณา สัมมาปฏิปันนา นี่แหละ ไม่มี สมณพราหมณ์ ผู้ที่ดำเนินไปชอบ ปฏิบัติดีแล้ว สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา ปฏิบัติดีแล้วนี่ไม่มี อย่าง...ผู้อย่างนี้ แล้วผู้อย่างนี้ ท่านก็ขยายความต่อไปอีก เย อิมัญจะ โลกัง ปรัญจะ โลกัง คือพระอริยะเหล่านี้ หรือผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหล่านี้ จะเป็นผู้ที่รู้โลกนี้โลกหน้า เย อิมัญจะ โลกัง ปรัญจะ โลกัง สยัง อภิญญา รู้ด้วยตัวท่านเอง มีอภิญญา มีความรู้อันยิ่ง เป็นความรู้อันยิ่ง ที่เรียกว่า อภิญญา รู้ของตนๆ รู้ได้ด้วยตน สยัง แปลว่าตนเอง รู้ได้ยิ่งของตนเอง รู้โลกนี้โลกหน้า อย่างที่มีความรู้ของตนเองเลย มีของตนเองเลยว่า โลกนี้ตนเองก็มีแล้ว โลกหน้าตนเองก็มีแล้ว การอยู่เหนือโลกนี้ จนกระทั่งเข้าสู่โลกหน้า โลกใหม่ ปรัญจะ โลกัง หรือว่าโลกอื่นที่ต่างจากโลก อิทธะโลก หรือว่าโลก อยัง โลโก โลกที่ ธรรมดาสามัญ มนุษย์ปุถุชนเขาอยู่นี่ เรียกว่าเกิดมาในโลกนี่ เป็นโลกกายยาววาหนาคืบ กว้างศอก อย่างปุถุชน เรียกว่าโลก โลกที่หมุนเวียนอยู่นี่แหละ เป็นไปด้วยลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุขนี่แหละ หมุนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละโลกแบบนั้นน่ะธรรมดา พระพุทธเจ้ามาค้นพบ โลกโลกุตระ เป็นโลกใหม่ โลกอื่น โลกอีกต่างหาก เรียกว่า ปรัญจะ โลกัง เรียกว่าโลกอื่น

เพราะฉะนั้น คนเราเข้าใจโลกอื่นนี่เหมือนกับว่าตายแล้ว ค่อยไปอีกโลกใหม่ นั่นก็เป็นโลก ที่อธิบายว่า โลกที่ตายไปจากรูปนาม ที่มันมีรูปขันธ์นี่เท่านั้นเอง อันนี้ก็เรื่องรู้ยาก ไอ้นามขันธ์นี้ ก็เข้าใจกันหลายศาสนา ก็พยายามทำความเข้าใจ แต่ก็เข้าใจไปอย่างแต่ละคน แต่ละอย่าง ศาสนาพุทธเราก็เข้าใจอย่างหนึ่ง ไม่ได้เป็นวิญญาณอย่างอัตตา อัตภาพที่ล่องลอย มีเป็นสัมภเวสี เที่ยวได้เป็นตัว เป็นตนไป เกาะยึดอยู่ตรงนั้นตรงนี้ อยู่เสานั่น อยู่ตรงต้น ตะเคียนมั่ง อยู่ที่ศาลเจ้ามั่ง อยู่ที่อะไรมั่ง มีที่อยู่ มีที่อาศัย เป็นตัวเป็นแท่ง เป็นอัตภาพอะไร ซึ่งมันไม่ใช่ มันเป็นคลื่นของวิบากเท่านั้น สิ่งที่เหลือนี่ เป็นคลื่นของวิบากเท่านั้น ซึ่งมีแรงเหนียว เรียกว่าตัณหา หรือกิเลสนี่มันมีอุปาทานพวกนี้ มันยังเป็นยางเหนียว ที่รวมๆ สภาพนี้ ยังแยกไม่ออก เจ้าของเองนั่นแหละแยกไม่ออก แต่มันไม่ได้เป็น อย่างที่คิด อย่างศาสนา หลายศาสนา เข้าใจวิญญาณแล้วก็ว่ากันไป เราไม่มีปัญญาหรือไม่มีเวลาที่จะไปอธิบาย แล้วก็ไม่ไป ซอกแซกเดาด้นอย่างเขาหรอก เขาก็สมมุติของเขาไปตามเรื่อง เยอะแยะนะ อาตมาไม่มีเวลา แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่พระพุทธเจ้าจะพาพูดด้วย เรื่องวิญญาณไม่เข้าเรื่องแบบนั้น ไม่มีเวลาบรรยาย บรรยายอีกกี่ชาติก็ไม่จบ เพราะมันไปกันคนละแคว คนละแบบ พระพุทธเจ้า ก็พยายามอธิบาย ให้เข้าสู่จุดที่เป็นสัจจะ ที่ท่านเห็น ท่านรู้ว่าอย่างนี้แหละดีที่สุด ถูกที่สุด มาเอาอันนี้ แล้วชัดสุด แก้ไขปรับแล้วเราก็สบาย เราก็เจริญ วิญญาณท่านก็มาอธิบายสิ่งที่ เป็นวิญญาณ อย่างที่ท่านพบ อาตมาก็เรียนอย่างนี้ เรียนอย่างวิญญาณของพระพุทธเจ้า แต่ก็มีโลก ดึงไปเหมือนกัน อาตมาก็ไปเรียน แวะเรียนเหมือนกัน ไอ้เรียนอย่างบ้าๆบอๆ นั่นน่ะนะ แม้ชาตินี้ยังถูกดึงแวะไปเรียนเลย ก็ไปรู้ไปเห็นเอง ว่า โอ๊ ไปกับมันใหญ่โต วุ่นวายอีก ก็เท่านั้นน่ะ พออาศัย...อาศัยอย่างไม่พ้นทุกข์ อาศัยอย่างวกวน

เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่มาเรียนรู้แล้วก็มาเลิกละ มาเข้าใจวิญญาณ มาเข้าใจโลกนี้ มาเข้าใจโลกหน้า อะไรได้ดีจริงๆแล้ว อย่างชัดแท้ พระพุทธเจ้า สอนว่า โลกนี้เป็นอย่างนี้ อย่างที่มนุษย์ทุกคน ที่ยังไม่พ้นโลกนี่แหละ นั่นล่ะโลกนั้นล่ะ จะเป็นโลกที่ตั้งแต่ หยาบที่สุด นรกใหญ่ที่สุด มาจนกระทั่งเหลือนรกที่เล็กละเอียดๆ ไปเป็นสกิทา อนาคา ก็จะเหลือโลก ที่ยังวนเวียน ยังติดยังยึดอยู่ ไปย่อยๆจนกระทั่ง สูงสุดบริบูรณ์เป็นพระอรหันต์ รู้จักโลก สมบูรณ์หมด เป็นรูปโลก อรูปโลก เป็นภวโลกภวภพ เป็นวิภวภพ วิภวโลก ที่มันจะต้อง หมุนเวียน เกี่ยวข้องเกิดจาก จิตวิญญาณนี่เป็นตัวโง่ โง่ที่ไปติดโลกเหล่านั้น แม้จะเป็นโลก ที่วิเศษ โลกสวรรค์สูงสุด โลกสวรรค์ จนกระทั่งเขา ทางมหายานเพ้อพกไปเป็น พุทธเกษตร ไปเป็นโลก ที่มีแต่คนดี มีแต่พระโพธิสัตว์ มีแต่พระพุทธเจ้า มีแต่พระอริยะอยู่ในนั้น ทั้งหมดเลย เป็นโลกฝันเฟื่องเอาไว้ ก็เป็นโลกที่ยังติด ยังยึดอยู่

เพราะฉะนั้น ชาวมหายานนี่ก็ยังติดยึดอยู่ ยังมีอัตภาพ ยังมีโลกที่สร้างขึ้นมา เพื่อที่จะให้ตัวเอง มีกำลังใจบำเพ็ญ ซึ่งเขาก็เป็นประโยชน์อันหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พวกชาวมหายาน ที่เลยเถิด ก็ยังไม่ยอมสูญ ยังไม่มีสุญตา ยังไม่มีการปรินิพพาน ก็อยู่กันอย่างนั้นน่ะ เอ้า ก็เป็นการจูงดึง คล้ายๆกับศาสนาที่มีนิรันดร มีพระเจ้านิรันดร์ ก็เอา ก็ว่าไป ก็เอียงโต่งไปข้าง ที่ยังมีตัว ยังไม่สูญสิ้น แต่ศาสนาพุทธมีทั้งสูญสิ้น มีทั้งสิ่งที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น ใครที่รู้สูญสิ้น ก็ทำสูญสิ้น ให้แก่ตนเองได้จบ สูญ ปรินิพพาน ก็สูญเลิกหมด ไม่มีอะไร ไม่มีเหลือเชื้อ ไม่มีเหลือวิบาก สลายหมด ไม่มีอะไรที่เป็นยางเหนียว ที่จะรวมอะไรอยู่อีก แม้แต่จิตวิญญาณ จิตวิญญาณ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่อัตภาพอะไรเลย ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า พระอรหันต์เจ้า ที่รู้โลกนี้โลกหน้าด้วยตนเอง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ เป็นผู้รู้แจ้ง แทงทะลุ สัจฉิกัตวา นำมาพูดมาแจกมาแจง สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ แล้วก็จะประกาศ ประกาศไปให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ผู้ที่มีอัตตามานะมากๆนี่นะ อัตตามานะมากๆ ก็จะไม่ยอม ฟังเสียงใคร แม้จะเจอพระอริยเจ้า ก็จะไม่รู้พระอริยเจ้า ไม่ยอมรับพระอริยเจ้า เมื่อเขาไม่ยอมรับพระอริยเจ้า เขานึกว่าเขาใหญ่กว่าพระอริยเจ้า เขาก็ไม่ยอมฟังแล้ว

พระอริยเจ้าอย่างที่ว่านี่เป็นพระอริยเจ้าจริงๆนี่นะ มี สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ กัตวา ก็คือเป็นผู้ที่ได้กระทำมาแล้ว แล้วก็รู้แจ้ง สัจฉิ แปลว่าการแจ้ง การรู้แจ้ง เห็นแจ้ง สัจฉิกัตวา สิ่งที่ได้ทำมาเอง มีเอง เป็นเอง เป็นบารมีของตนเอง ไม่ใช่ได้ไปเอาคำพูดของใครมา ไม่ได้ไปเรียนรู้ ไปเรียนเป็นตรรกศาสตร์ เป็นแต่เพียงคิดนึก ไม่ใช่บรรลุเอง ถึงเอง ได้เอง เป็นเอง มาหมดแล้ว สัจฉิกกัตวา ก็แจ้งชัดในสิ่งนั้นเอง แล้วเอามาประกาศ ให้ผู้อื่นรู้ตาม ปเวเทนตีติ เอามาประกาศให้ผู้อื่น เข้าใจตาม รู้ตาม แจ้งตามได้

ผู้อย่างนี้นี่ แม้แต่ผู้ใดที่เขามาพบคนจริงอย่างนี้นะ เขาก็ยังไม่ยอมรับ นี่นะ ผู้นั้นแหละ ยังมิจฉาทิฐิอยู่ เป็นคนไม่มีดวงตา ไม่รู้จักพระอริยะ ผู้นี้แหละ มิจฉาทิฐิ ข้อที่ ๑๐ นี่แหละ แหม... อาตมาอยากจะให้เข้าใจกันอย่างไรนะ มันดีหลายอย่าง ดีอย่างหนึ่งก็คือว่า เขาจะได้ ไม่เป็นศัตรูกับอาตมา อาตมาเชื่อว่า อาตมาเป็นพระอริยะนะ และอาตมาก็ขอบอกแจ้งกัน อีกทีหนึ่งเถอะ ประกาศ อุตริมนุสธรรมกันนั่นน่ะ ถ้าจะอาบัติ ก็ขอปลงอาบัติพร้อมกันที่นี่เลย อวดอุตริมนุสธรรม กับอนุปสัมบัน ว่าอย่างนั้นนะ ก็ขอปลงกันพร้อมในที่นี้เลยนะว่า มีสติ สัมปชัญญะอยู่ ที่จะพูดสิ่งนี้ อวดอุตริอันนี้ โดยความเข้าใจจริงๆนะ อาตมาว่า เข้าใจว่าเปิดเผย กับพวกคุณนี่ อาตมาไม่ได้อยากใหญ่อะไร ไม่ได้มาให้คุณมาเคารพนับถือศรัทธา นี่อาตมา ประกาศตนว่า เป็นพระอริยะให้คุณมาหลง อย่ามาหลงอาตมาเลย มารู้อาตมาดีกว่า มาจับผิด อาตมาดีกว่า อย่ามาหลงอาตมา มาจับผิดดีกว่า ถ้าอาตมาไม่จริง มีอะไรผิด ก็อย่าไปศรัทธา เลื่อมใส อะไรดีก็เอา ก็แล้วกัน เอาไปแล้วคุณก็ได้ คุณได้ไปแล้ว คุณไม่ให้อาตมาเลย อาตมาก็ไม่ต้องการอะไร ของคุณหรอก ยิ่งคุณได้การละกิเลสของคุณ แล้วคุณเอามาให้อาตมา ก็ยังไม่ได้หรอก เพราะกิเลสของคุณ คุณละของคุณ คุณก็ได้ของคุณเท่านั้นแน่ะ ถ้าของอาตมา มีกิเลส อาตมาก็ต้องละของอาตมา อาตมาจะไปเอาของคุณมาได้อย่างไร มันไม่มีทาง เอาไปเลย คุณได้อะไรที่คุณได้นั่น คุณก็เอาไปเลย

อาตมานี่แหละเป็นพระอริยะผู้หนึ่ง เป็นพระอริยะผู้นั้น ที่จะมาเปิดโลกนี้ โลกหน้า อาตมาอธิบายโลกหน้า อย่างที่อาตมาว่า คนที่เรียนเปรียญมา คนที่เรียนธรรมะมา เรียนศาสนาพุทธมา ในประเทศไทยนี่นะ อธิบายโลกหน้าอย่างอาตมาอธิบาย มีมั้ย มีแต่ปรโลก ก็เรียนไปว่า ตายแล้วไปโน่นนะ ปรโลก มีแต่ว่าอย่างนั้นน่ะ อาตมาได้ยินมานะ ใครได้ยินมา มากกว่านั้นบ้าง โลกหน้าที่ว่านี่ จะเป็น...ใช้ภาษาว่า ปรโลกก็ตาม จะใช้ภาษาว่า...อะไร

คนฟัง : สัมปรายิกภพ

พ่อท่าน : สัมปรายิกภพ อะไรก็ตาม เรียกว่าโลกใหม่ โลกหน้า โลกอื่น สัมปรายิกภพ จะเรียกว่า ปะระภพ ปรภพ ปรโลก สัมปรายิกภพ โลกหน้า อะไรนี่ก็ตาม ก็มีแต่อธิบายว่า ตายจาก ร่างกายนี้แล้ว จะไปสู่โน่น อธิบายไว้แค่นั้นน่ะว่าโลกหน้า อาตมาว่า ไอ้โลกหน้า อย่างนั้นน่ะ มันไม่เข้าเรื่องอะไรหรอก ตายแล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เอาคนตายนั้นแล้ว เขาไปรู้ จากโลกหน้า แล้วมันจะมาพูดกับเรารู้เรื่องหรือ ก็ให้คนเห็นโลกหน้า ตั้งแต่ยังไม่ทันตายดีกว่า แล้วมาพูด อาตมานี่เห็นโลกหน้า โลกหน้าที่ว่านี่ก็คือ โลกที่พระพุทธเจ้าท่านพบ คือ โลกโลกุตระ คนในโลกที่เกิดมาในโลกนี่ ยังไม่ได้เรียนธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่รู้จักโลก อย่างนี้นะ ไม่รู้จักโลกุตระ พระพุทธเจ้ายืนยันว่า โลกโลกุตระนี่ มันมีอยู่ โลกที่ของ พระพุทธศาสนานี่ เท่านั้นน่ะสอน โลกอื่น...ศาสนาอื่น ไม่มีสอนโลกุตระหรอก ไม่ได้สอน โลกุตระ อย่างชัดแจ้ง เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าสอน ศาสนาพุทธนี่ เท่านั้นละสอน แล้วโลกหน้านี้ อาตมาก็ขยายสู่ฟังว่าเป็นโลกอย่างไร อาตมาพยายามมาซอยโลกนะ โลกอบายมุข โลกกาม โลกโลกียะธรรมดานี่ โลกที่มันเป็นโลกธรรม โลกอัตภาพ มาขยายโลกเหล่านี้ แล้วให้รู้ว่า เราพ้นจากโลกเหล่านี้มา นั่นละคือโลกหน้า คือ ปรโลก คือโลกอื่น โลกต่างหากจากโลกนั้น โลกอื่นที่ต่างจากโลกที่คุณเคยเป็นเคยอยู่ จะเป็นอยู่ อย่างไหนก็แล้วแต่ อยู่อย่างอบายมุข อยู่อย่างโลกธรรมแน่ะ หลงใหลติดยึดอยู่กับลาภยศ สรรเสริญ โลกที่เต็มไปด้วยความสุข แบบกามารมณ์ หรือว่าสมใจแบบอัตภาพ อัตตามานะ ตัวกูของกู เอาแต่ใจกู เดี๋ยวต้องไป ร้องเพลงเพ้ออะไร กันอีกหลายเที่ยว

เรื่องอัตตานี่เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แล้วก็เรื่องมากที่สุดเลยละ กว่าจะหมดอัตตา ที่จริงคำว่าตัวตนนี่ มันมีภาษาบาลีสามคำ ที่อาตมาพยายามหยิบ ในพระบาลีในความหมายต่างๆ ที่พระพุทธเจ้า ท่านสื่อนี่ อาตมาก็ว่าพยายามทำความเข้าใจ ที่พระพุทธเจ้าท่านสื่อไว้นะ สักกายะหนึ่ง อัตตาหนึ่ง อาสวะหนึ่ง เป็นตัวตนทั้งสิ้น ตัวตนอย่างหยาบนี่ก็คือ สักกายะ จะเรียกว่า ระดับหยาบ กิเลสหยาบ วิติกกมกิเลส อัตตาตัวตน ตัวคำที่สองนี่ อัตตานี่ก็คือกิเลส ในระดับกลาง หรือตัวตนในระดับกลาง อาสวะตัวตนในระดับเล็ก ในระดับละเอียด ในระดับ ลึกซึ้งที่รู้ยาก อาตมาจัดตัวตนเป็นอย่างนี้ แล้วเราต้องมาเรียนรู้จริงๆว่าไอ้ตัวตน ที่ว่านั่นแหละ จะต้องขจัด หมดอาสวะแล้วเราก็ยังมามีอัตตาอีก คำว่าอัตตานี่ เป็นคำกลางด้วย อัตตา เรียกหยาบก็ได้ เรียกละเอียดก็ได้ เรียกรวมหมดก็ได้ ท่านพุทธทาสเอาคำว่า อัตตา มาใช้รวม ก็เพราะว่าท่านเจออัตตามาก ในพระบาลี ก็เอามาใช้ก็ถูก เพราะว่าอัตตาจะใช้มาก ใช้กับคำ สักกายะก็ได้ ใช้กับคำว่า อาสวะก็ดีด้วย แต่ในการซอยไปอีกทีหนึ่ง ก็ซอยให้เห็นหยาบ ก็ใช้คำว่าสักกายะ ซอยให้เห็นละเอียด ก็เรียกว่าอาสวะ แต่เรียกกลาง ก็เรียกว่าอัตตา คำว่าอัตตา ก็ใช้ทางรวมเป็นกลางๆด้วย

เพราะฉะนั้นมาละอัตตาคือละอัตตาตัวตน ตัวกูของกู ไปทั้งหมด แม้ที่สุด อาตมามาใช้คำว่า อรหัตตา ทางด้านพระบาลีที่เรียนมา ก็เอาอาตมาใหญ่เลยว่า ไม่มี ไม่เคยไปวิเคราะห์อัตตา ออกมาอีก อาตมาบอกวิเคราะห์ อรหะอันหนึ่ง อัตตะอันหนึ่ง อรหัตตะ นั่นละอรหัตตา คนที่ยังเป็นผู้ที่ ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีกิเลสแล้ว ไม่มีความลึกลับอะไรแล้วนี่ อัตตา ก็เรียกว่า อรหัตตา คือเป็นผู้ไม่มีความลึกลับ ในอัตตานั้นแล้ว พ้นแล้ว ซึ่งอัตตา แต่ยังรู้ว่า อัตตาที่อาศัย คืออะไร พระอรหันต์เจ้านี่ รู้จักอัตตาที่อาศัย ก็อาศัยไปตามควร มันยังเกิดยังมีอยู่ ก็มีทุกข์ ตามสภาวะของมัน แล้วท่านก็เข้าใจ เข้าใจสิ่งทุกข์เหล่านั้นก็จำนน จำยอม มันจะทุกข์เพราะว่า มีร่างกายก็รู้ เป็นทุกข์ขันธ์ เป็นขันธ์ ยังมีรูปขันธ์ ยังมีเวทนาขันธ์ เวทนาขันธ์อย่าง พระอรหันต์เจ้า ถูกตีหัวที เอายาพิษให้กิน ไปบิดไส้นี่ พระอรหันต์ก็จะต้องมีเวทนา ทุกขเวทนา ตามเหตุปัจจัย แล้วท่านก็รู้ แต่ท่านก็ต้องทุกข์อยู่นั่นแหละ หรือเจ็บป่วยได้ไข้ หรือเป็นอะไร ก็แล้วแต่ แต่ท่านไม่มีสันตาปทุกข์ จะเกิดด้วยกิเลส ไฟ สันตาปทุกข์ ราคคี โทสคี โมหคี อะไรอย่างนี้ ไม่มี เป็นต้น ท่านไม่มีทุกข์ เพราะเรายังหลงอยู่กับทุกข์ ปกิณกทุกข์ ทุกข์เพราะ สิ่งที่รัก สิ่งที่หวง สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ชัง ท่านไม่มีทุกข์อย่างนี้ ท่านไม่มีจริงๆ ท่านล้างกิเลสออก หมดจน แล้วไม่ได้หลงใหลในเรื่องรัก เรื่องชัง ไม่ได้เรื่อง ต้องรักต้องหวงต้องหา อาวรณ์ ต้องนั่น ต้องนี่ ปกิณกทุกข์อย่างนี้ไม่มี สันตาปทุกข์ไม่มี หรือวิวาทมูลกทุกข์อะไรอย่างนี้ ท่านก็ไม่มี อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งมีทุกข์ ๑๐ อย่าง ที่อาตมาบรรยายไปแล้ว ในปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯ แล้วยังไม่ได้รวบรวม ขึ้นมาเป็นเล่ม ที่จะเอามาพิมพ์ จะเป็นตำรา หรือ.เป็นสิ่งที่จะเอาไว้ ไว้ศึกษากันอีก ในอนาคตอย่างดีทีเดียว แต่อาตมาก็ยังมีเวลาไม่พอ ที่มีเวลาไม่พอนี่ ก็มันก็บารมีเราน่ะ เรามีบุญเท่านี้นะ ผู้มาช่วยเหลือก็มีอยู่กันแค่นี้ มาฟังธรรมนี่ มีอยู่ขนาดนี้ ก็บุญนักหนาแล้วนะ นี่ก็บางคนก็ออกไป จะออกไปด้วยอะไรก็ตามแต่เถอะ มาศึกษาไปแล้ว ก็ทนไม่ได้ หรือว่าไม่เอาแล้ว ไม่สู้ วิ่งไปหาโลกดีกว่าก็ไป แม้แต่เป็นพระ เป็นสมณะ อยู่ด้วยกันก็สึก บางคนสึกแล้ว ไม่อยู่ที่นี่ด้วยเลย สึกแล้วหนีไปเลย...ก็มี จะไปไหนก็ไป ผู้สึกแล้ว ก็ยังอยู่ด้วยกันนี่แหละ สึกแล้วก็ยังอยู่ที่นี่ก็ยังมี ผู้ที่จะเข้ามาก็มี เอ้า ทั้งฆราวาสทั้งพระ ก็อยากเข้ามาก็มี แต่พระที่จะเอาให้ตายเลย จะถอนรากถอนโคนอโศกให้หมดก็มี มีทุกอย่าง มีทุกอย่าง มีครบ

อาตมาเองอาตมาก็ทำอย่างพยายามที่จะเข้าใจสภาวะกาละต่างๆนานา นะที่จะทำให้ดีที่สุด อาตมายืนยันแล้วว่า อาตมานี่แหละ ก็เป็นพระอริยะจริงๆรูปหนึ่ง ที่จะมาเปิดโลก มาเปิดเผย มาพิสูจน์ เพราะฉะนั้น พวกคุณก็คือคนมีปัญญา หรือว่ามีความฉลาดของแต่ละคน เท่าที่ตัวเองโง่แหละ มีปัญญาของตัวเอง เท่าที่ตัวเองโง่ หรือมีความโง่ของทุกๆคนนั่นแหละ เท่าที่ตัวเองมีปัญญา เอ้า นี่ก็เป็นคำโศลกใหม่ของปีนี้นะ

คนทุกคนมีความโง่เท่าที่ตัวเองมีปัญญา
หรือคนทุกคนมีปัญญาเท่าที่ตัวเองโง่

เอาไปคิด เอาไปใช้ ถ้ามัวแต่คิดนี่จนตายก็เลยไม่ได้นะ คิดให้มันได้ประโยชน์ หมายความว่าอะไร หมายความว่าทุกคนนี่มีอวิชชามาในตัวคือ ความโง่ เพราะฉะนั้น เราก็อยู่กับความโง่นี่แหละ เมื่อใดเรามีปัญญา เมื่อนั้น เราก็คลายโง่ เมื่อนั้นเราก็พ้นทุกข์ ปัญญานี่ไม่ใช่เฉกะ ไม่ใช่เฉกัง ไม่ใช่เฉกตา ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด ที่ใช้ภาษาบาลีว่า เฉกะ เฉกะนี่ก็แปลว่า ความเฉลียวฉลาด ปัญญาก็แปลว่าความเฉลียวฉลาด กุศลาหรือกุศล ก็แปลว่า ความเฉลียวฉลาด ภาษาบาลีนี่ความเฉลียวฉลาด มีหลายคำ ปัญญานี่ เราได้ยินมานาน ญาณังก็แปลว่า เฉลียวฉลาด มีหลายคำ แต่คำว่าปัญญาก็ดี กุศลก็ดี ญาณก็ดี เป็นความฉลาดที่มีนัยของมัน แต่ที่ท่านใช้มากที่สุด ก็คือปัญญา

ทีนี้ปัญญานี่เมื่อใช้มากเข้า คนก็นิยมซิ เฉกะก็ใช้ แต่ว่าถ้าฉลาดอย่าง เฉกะนี่มันชัดเลยนะ มันบอกว่า ถ้าฉลาดอย่างเฉกะนี่มันฉลาดแกมโกงในภาษาไทย ก็เขียน ในพจนานุกรมไทย ก็เขียนเอาไว้ว่า เฉโกนี่ฉลาดแกมโกง (พ่อท่านหัวเราะ) ฉลาดเฉกกะหรือเฉโกนี่ แกมโกง ฉลาดแกมโกง คือฉลาดมีกิเลสเข้าร่วมประกอบ แล้วมันก็เป็นทุกข์เป็นภัย ความฉลาดอย่าง เฉโกเฉกะนี่ มันเป็นทุกข์เป็นภัย เป็นทุกข์ต่อตน เป็นภัยต่อตน เป็นภัยต่อผู้อื่น เพราะฉะนั้น ความเฉลียวฉลาด มีสองนัยจริงๆ ถ้ามีความเฉลียวฉลาด อย่างชนิดปัญญา เป็นความ เฉลียวฉลาด ที่พ้นทุกข์ เป็นความเฉลียวฉลาดที่เจริญ เป็นความเฉลียวฉลาดที่ประเสริฐ ปัญญาหรือญาณ แต่มิจฉาญาณก็มีนะ มิจฉาปัญญาก็มีนะ ควบ คือ พยัญชนะก็พูดขึ้นมาแล้ว มันก็อย่างนั้นแหละ ก็ตั้งพยัญชนะมาเรียกสภาวะนี้ ไอ้คนมันก็เอาไปตะแบง พอตะแบง ก็ต้องควบใหม่อีก มิจฉาสัมมาอีก (พ่อท่านหัวเราะ) อย่างถูกอย่างผิด อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็ต้องกำกับลงไปอีก มิจฉาญาณ หรือ มิจฉาปัญญา มันก็ไปนั่นแหละ มันก็ผิดอีกแหละ ที่พูดนี่ ก็หมายถึงว่า ปัญญาที่เป็นสัมมา หรือญาณที่เป็นสัมมา เมื่อคุณเกิดญาณ คุณก็ละ อวิชชาได้ ล้างอวิชชาได้ คุณก็เกิดความเจริญ เกิดความพ้นทุกข์ เกิดความมีประโยชน์ คุณค่าต่อตน ต่อสังคมมนุษยโลก เกิดจริงๆนะ ไม่ใช่ธรรมดา

เพราะฉะนั้น คนเราแต่ละคนนี่มีความโง่ มีความฉลาดมากับตัวเอง แต่ความฉลาดของคน ส่วนมาก ปุถุชนนั้นจะมีความฉลาดเฉโกหรือเฉกะนี่เป็นพื้นฐาน กับอวิชชา นี่แหละ มีอันนี้แหละเยอะ จะรุ่งเรือง โดดเด่น ร่ำรวยมหาศาล อยู่เย็นเป็นสุข อย่างเขาอยู่นะ เขาว่า เขาอยู่เย็นเป็นสุข เขาว่าเขาเจริญงอกงาม เขาเกิดมาในโลก เขามีความสุข เกิดมาซี... เป็นชีวิตทั้งที ก็แสวงหาแต่ความสุขซิโว้ย เรื่องอะไรล่ะ เดี๋ยวมันก็จะตาย เขาก็จะหาความสุข เป็นแบบที่ เขาเข้าใจอย่างนี้ เป็นเฉโกเฉกะนี่ ฉลาดอย่างนั้นน่ะ แล้วเขาก็ใช้ ความฉลาด ที่จะกอบโกย แสวงหาความสุขนั้น ตามที่เขาใช้ตัวฉลาดที่เรียกว่า เฉโกนี่แหละมาใช้ ไม่ใช่ปัญญา ปัญญานี่เป็นการรู้เยี่ยมรู้จริง รู้อริยสัจ รู้ความจริงอย่างลึกซึ้ง แล้วก็ละ ลด เลิก ตัวเหตุปัจจัย ที่มันทำให้เราทุกข์ เพราะจริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นั้น มันไม่มีความสุข ความสุขน่ะ เป็นอัลลิกะ เป็นความหลอกลวง อัลลิกะนี่แปลว่า หลอกลวง เมื่อมาสนธิกับสุข ก็เป็น สุขัลลิกะ มันเป็น สุข อาตมาแปลว่า สุขตอแหล มันเป็นสุขหลอกลวง สุขตอแหล สุขไม่จริง ความสุขไม่มีจริง สุขมีแต่อัลลิกะทั้งนั้น จึงเรียกสุขัลลิกะ สุขไม่มีจริง เป็น สุขัลลิกะ เป็นโลกียสุข เป็นสุขอย่างที่โลกหลง โลกเข้าใจ เป็นสุขัลลิกะ มันทุกข์เท่านั้นแหละ แต่มันทุกข์มาก หรือทุกข์น้อย ตัดทุกข์ที่เป็นอริยสัจออก เพราะเหตุแห่งกิเลส ในตัวบุคคล หรือ อวิชชา หรือความโง่ออกไปให้หมด ให้เกิดปัญญา อย่างถึงที่สุด ให้เกิดญาณ เป็นญาณทัศนวิเศษ เป็นอลมริยญาณทัสสนวิเสโสให้ได้ ครบบริบูรณ์ แล้วตัดกิเลสออกหมด จนกระทั่งถึง วิมุตติญาณทัสสนะ นั่นแหละพ้นทุกข์สูงสุด แต่ยังเหลือทุกข์ ที่เรายังไม่ตาย ยังมีทุกข์ขันธ์ ยังมีนิพัทธทุกข์ ยังมีพยาธิทุกข์ อันจะต้องมาเล่นงานกับเราได้ อะไรอย่างที่พูด ไปแล้ว มีสภาวทุกข์ ยังจะต้องแก่ แก่แล้วอะไรก็...กระดูกก็จะร่อยหรอ จะผุ จะนั่งก็โอย จะลุกก็ โอย เอาเถอะน่า พระอรหันต์ขนาดไหนก็ตามแต่เถอะ ถ้ามีบารมีแค่นั้น อาตมานี่ยังไม่รู้เลยนะนี่ ว่าแก่ไปแล้วนี่ บารมีของอาตมานี่ มันจะต้องลุกต้องโอย ขนาดไหน ซึ่งอาตมาไม่เชื่อว่า ถ้าอาตมาอายุ ๑๒๐ แล้วจะยังแข็งแรงเหมือนกับ ชาวหรรษา อย่างที่ดร.สาทิส เอามาโชว์นั่นน่ะ อายุ ๑๒๐ แล้วยังปีนเขาเหย็งๆ อยู่นี่ อาตมาว่า จะปีนบันไดขึ้นห้องน้ำ จะต้องใครจูงปีกขวา ปีกซ้ายหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ถ้า ๑๒๐ นะ ซึ่งไม่เชื่อว่าตัวเองจะอยู่ ๑๒๐ ได้หรอก ไม่เชื่อหรอก เพราะอาตมาดูแล้ว ร่างกายหรือ ชีวิตของเรานี่ มันไม่ได้แข็งแรง แล้วมันก็สมบุก สมบัน มามากด้วย แล้วก็เป็นบารมีของใครของมันนะ เท่าที่เราได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่ไม่แข็งแรงแล้ว จะไม่มีบารมีธรรมะ ไม่ใช่ คนไม่แข็งแรงก็มีบารมีธรรมะเหมือนกัน มัน...แหม อจินไตยนี่มันยากนะ ไอ้เรื่องกรรมวิบากนี่ แต่ละคนนี่ กรรมวิบากทางด้านรูปธรรม ทางด้านนามธรรมอะไรนี่ นามธรรมมันโดดเด่นกว่ารูปธรรมก็ได้ บางคนไม่หล่อหรอก บางคนไม่สวยหรอก แต่ภูมิธรรมสูงก็ได้ บางคนหล่อสวย แต่โอ้โห กิเลส (พ่อท่านหัวเราะ) มหาศาลเลย กิเลสนี่ หล่อด้วย สวยด้วยนะ โอ้โห บางคนฉลาดเฉลียว โอ้โห เก่งเยี่ยมเลย แต่กิเลสเหลือเกินนะ บางคนนี้ไม่เก่งไม่เยี่ยมหรอก ดูเหมือนโง่ๆเซ่อๆเหมือนควายนะ แต่โอ้โฮ บารมีธรรมนี่ อื้อฮือ น่าเทิดทูนเลย อจินไตยพวกนี้มัน กรรมวิบากของคนนี่ มันผสมผสานมา มันไม่ค่อยได้สัดส่วนก็เยอะ ไอ้ได้สัดส่วน สมนะ หล่อพอประมาณขนาดอาตมานะ แข็งแรง พอประมาณ ขนาดอาตมามีภูมิธรรมมาก ก็พอขนาดอาตมาและประมาณนี้ ก็ยังมีเหมือนกัน ดีกว่าอาตมาก็มี แต่ใครเห็นบ้างว่าอยู่ไหน (คนฟังหัวเราะ) ดีก็มี ดีกว่านี้ก็มีนะ ก็...ใครเจอก็ดีนะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเรามาเรียนรู้ อาตมาประกาศแล้วว่าอาตมาเป็นพระอริยะ เป็นผู้ที่จะมาช่วยนี่ อาตมาจงใจประกาศเพื่อยืนยัน ที่พูดนี่พูดเพื่อให้มันไปกับลม กับฟ้า กับน้ำ กับอากาศ กับแดด กับอะไรไปนี่ แม้แต่มืดๆก็ไปกัน แฝงๆ ไปกับมืดนี่แหละ ไปถูกหูกะทะ หูกะทิอะไรบ้าง ให้ได้ฟังว่า พระโพธิรักษ์นี่ไม่ได้เคย ย่อยั่นเลยว่า จะมาเที่ยวได้ขู่อาตมา ว่าประกาศอุตริมนุสธรรมนี่ อาตมาจะเลวร้าย

อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาไม่ได้ประกาศอุตริมนุสธรรมเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอันใด อันนี้เป็นหลัก ในการตรวจเช็คกิเลสของอาตมา อาตมาเป็น ลูกพระพุทธเจ้า อาตมาย่อม ต้องคำนึงถึง กฎหลัก วินัยและศีลของพระพุทธเจ้า วินัยและศีลพระพุทธเจ้า เป็นในระดับ อริยวินัยแล้วละก็ อาตมาก็ต้องคำนึงถึง อริยวินัยนั้นก็ต้องใช้อริยภูมินี่แหละ เป็นผู้ไตร่ตรอง มีสติวินัย อาตมามีสติวินัย มีสติ รู้ตัวในนัยอันยิ่งพวกนี้ นัยอันยิ่ง วินัยนี่นัยอันยิ่ง พวกนี้ อาตมามีสติว่า อาตมาจะพูด จะกระทำลงไปนี่ ต้องเห็นว่าเป็นประโยชน์ ในกาละสำคัญ อาตมาจะพูดสำคัญ ในกาละสำคัญอาตมาจะพูดสำคัญ ในกาละที่ไม่สมควร อาตมาก็ไม่พูด

ที่อาตมาพูดนี่ พูดที่นี่ พูดกับพวกคุณ พวกคุณไม่เพ่งโทษ ถ้าอาตมาพูด กับพวกคุณนี่นะ แล้วพวกคุณ ไม่ได้ศรัทธาอาตมาหรอกนะ เพ่งโทษด้วยนะ ถ้าอาตมาพูดอย่างนี้ โอ๊ย... ไม่มีความสุขหรอกที่นี่ นอกจากไม่มีความสุขแล้ว ดีไม่ดี อาตมาจะต้องได้รับค้อน ได้รับกระบอง ได้รับอะไร หรือป่านนี้ก็ค่อยๆลุกเดินออก หนีไปหมดแล้วก็ได้ จะไม่ได้รับความศรัทธา จะไม่ได้รับความสนใจ แล้วอาตมาก็ขอยืนยันด้วยว่า อาตมากล่าวนี่ ไม่ได้ต้องการให้พวกคุณ มาหลง มาเข้าใจง่ายๆตื้นๆ ว่าอาตมาเป็นพระอริยะ อย่างปากพูดง่ายๆ มาพิสูจน์ก่อน อย่าพึ่งเชื่อ อริยะคืออะไร อริยะคือผู้ประเสริฐ อริยะคือผู้พ้นทุกข์ อริยะคือผู้ที่รู้ และผู้ที่เป็น ผู้ที่ได้ ผู้ที่มีสัจจะนั้นจริงๆ สัจจะอะไรที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อริยสัจจะ เมื่อสอนอริยสัจ อะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วดับทุกข์ได้จริงไหม แล้วทางแห่งความดับทุกข์ เป็นอย่างไร เรื่องทางแห่งความดับทุกข์นี่แหละ มันวิเศษที่สุด มรรคองค์แปด สัมมาอริยมรรค องค์แปดนี่แหละ วิเศษที่สุด ที่อาตมาสอน และแนะนำอยู่ เดี๋ยวนี้ อาตมาเห็นว่า มรรคองค์แปด นี่ ด้วยรายละเอียด ด้วยความเป็นไปได้นี่ มันมีแต่ตัวสลากยาแล้วเดี๋ยวนี้ อยู่ในประเทศไหน ก็แล้วแต่ แม้แต่ประเทศไทยก็มีแต่ สลากยาว่า อริยมรรคองค์แปด แต่ไม่มีเนื้อยา เอายาไปรักษา ไม่หาย มันมีแต่สลาก อริยมรรคองค์แปด แปลว่าอะไร มีความหมายอะไร เขารู้กันหมดสลาก แต่เขาเอามรรคองค์แปด ไปปฏิบัติไม่เป็น เอาไปปฏิบัติได้แต่แค่โลกียะ เอาไปปฏิบัติได้แค่ โลกียะ มรรคองค์แปดนี่ พระพุทธเจ้าท่านสอนมรรคองค์แปดเป็นโลกียะที่ไหน มรรคองค์แปด ท่านสอนโลกุตระนะ เป็นโลกุตระนะ มรรคองค์แปดนี่ แล้วในมรรคองค์แปดนี่ มีการงาน มีคิด มีพูด มีการกระทำ มีสัมมาอาชีพ มีงานกาน มีอาชีพ

ที่อาตมาเอามาสอนพวกเรานี่ เอามรรคองค์แปดมาสอน อาตมายืนยันว่า อาตมารู้จักมรรค องค์แปด รู้จักอริยสัจสี่ อาตมามีทุกข์ และอาตมาก็เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วอาตมาก็รู้แจ้ง ในมรรค อริยมรรค อาตมาก็เอามรรค อริยมรรค มาปฏิบัติ ดับเหตุแห่งทุกข์ จึงมีนิโรธ มีนิพพาน ที่อาตมาได้ อาตมาก็เอามาสอนพวกคุณ ตั้งแต่นิโรธนิพพานง่ายๆ ซึ่งเขาหัวร่อเยาะอยู่ ทุกวันนี้ นิพพาน อะไร นิพพานบุหรี่ นิพพานเหล้า นิพพานการพนัน นิพพานอบายมุข อาตมาก็เอา มาสอนพวกเรา ให้พิสูจน์ จึงมีจริงๆว่านิพพานนะ นิโรธนะ ดับสนิทเรื่องนี้ ดับแล้ว มันไม่ฟื้นนะ ของพระพุทธเจ้า นี่ดับแล้วไม่ฟื้นนะ ดับแล้วไปคลุกคลีเกี่ยวข้องได้ ไม่ฟื้น หมดเชื้อ อาตมาจะไปเล่นไพ่ เดี๋ยวนี้ก็เล่นได้นะ แต่คงลืมไปเยอะ คงไม่เก่งเอาจริงๆนะ ไปเล่นได้ แต่รับรองว่า มันจืดสนิทเลยล่ะ มันจะเล่นก็ เอ้า ตี แต่ก่อนนี้ตีทั้งวันทั้งคืนนี่ ปวดแขนเลยนะ ไม่รู้มันไปมีเวร มีกรรมอะไรกัน ไม่รู้ ไปตีอยู่นั่นแหละไอ้ไพ่นี่ ปวดแขน แต่มันก็ทนนะ นี่มันโง่สุดโง่ เห็นไหม แทงบิลเลียดอย่างนี้ โอ้โห คุณเอ๊ย มันจริงนะไม่ได้โกหกเลยนะ ยกแขนไม่ขึ้นนะ ถือคิวนี่ แหม เจ้าประคุณเอ๊ย เดินเวียนรอบโต๊ะยันทั้งวันทั้งคืน ถือคิว ยกไม่ขึ้น แต่มันต้องยก ถึงคิวถึงตาเราแทงแล้วนี่ ยกมาแทง แทงแล้วก็ มันบ้าจริงๆ นะคนนี่ อาตมาก็เคย บ้ามาอย่างนี้ เสร็จแล้วก็เห็นทุกข์ ทุกวันนี้ โอ๊ ทุกข์ไม่ได้ดิบได้ดีอะไรเลย มันมีอัตตา ไอ้เรื่องเงิน เรื่องทองไม่เท่าไหร่นะ อาตมาเสียเงินอาตมาไม่ว่า เล่นไพ่ เสียเงินไม่ว่า เล่นบิลเลียด เสียเงินไม่ว่า แต่มัน ทำไมกูไม่เก่ง ทำไมกูไม่เก่ง นี่อัตตามานะ ทำไมกูไม่ชนะเขา ทำไมกูไม่เก่ง พยายาม พยายามแล้วมันก็ไม่เก่งจนได้ เลยไม่ได้เป็นแชมเปี้ยนกับเขาเลย ไม่เป็นเลย ทางอบายมุขนี่ อาตมาไม่เป็นแชมเปี้ยนซักอย่าง เขาเรียกหมูสนามทั้งนั้น นี่แหละ มันมีบุญบารมีอย่างนี้ มีบุญนะ ใครไปเป็นแชมเปี้ยนพวกนี้ล่ะ บาปทั้งนั้นเลย บาป นะ หลงระเริง ฯลฯ...

อาตมาพามาลดละเลิก แล้วอาตมาก็ลดของตัวเองจริงๆแล้วเรียนรู้เห็นทุกข์ เห็นความโง่เง่า เห็นความงมงายชัดเจนเลย พวกคุณมีปัญญามาฟังก็รู้เรื่อง รู้ราว โอ๊ กินเหล้า กินยาอะไรนี่ อาตมามีบารมีนะ ไม่ติดหรอกเหล้านี่ ก็พยายาม จะเป็นคนติดเหล้าให้ได้ อาตมากินเหล้า ก่อนกินเบียร์ กินเหล้าเป็น กินเบียร์ไม่เป็น เจ้าประคุณเอ๊ย มาหัดกินเบียร์ เขาถือว่ากินเบียร์นี่ ชั้นสูงกว่ากินเหล้าแน่ะ หัดกินเบียร์ โอ ซื้อ...ไปซื้อกิน ทำแอ๊คนะ มีเงินอยู่น่ะ หาเงินเก่งหน่อย ก็มีบารมีบ้างเหมือนกัน มันหาเงินก็พอได้พอเก็บพอสมควร ซื้อเบียร์ขวดใหญ่ มาตั้งกิน กินไม่หมดอายเขา ทีหลังไม่เอาแล้ว ซื้อไปแช่ตู้เย็นที่บ้าน นั่งกินคนเดียว หมดไม่หมดช่างกู หัดกินไปทีละหมดขวด กว่าจะกินเบียร์หมดขวดนี่ โอ้โฮ หัดไปๆ หนักเข้าทีนี้ ไม่ขวดเดียวแล้วทีนี้ พอนั่งซด โอ้โห เป็นลังเลยทีนี้ ไอ้คนขายมันก็ยิ้มน่ะซี่ จะไปมีเรื่องอะไร เราก็กินไปก็เยี่ยวไป กินไปก็เยี่ยวไป กินไปก็อ้วกไป เท่านั้นเอง ไม่ได้เรื่องอะไร เมาแล้วเขาก็หาม แต่อาตมาไม่เคยเมา เสียสติ เมาแล้วกลับบ้านเอง ขับรถเองได้ทุกที เพื่อนฝูงอาตมาต้องหาม กลับบ้านกันนะ อาตมาไม่เคยเมา ให้ใครหาม ในชีวิตไม่เคยเมาให้ใครหาม สติดี นี่แสดงว่า มันมีมาแต่เดิม เมา เมาขนาดหนัก ขนาดเพื่อนนี่ต้องลากต้องจูงกันน่ะ ที่ว่าแน่ๆคอแข็งๆอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่อาตมานี่ เมาเหมือนกัน แต่ไม่เสียสติ ขับรถได้ทุกที ขับรถไม่เคยชน ไม่ใช่ขับรถเมาแล้วชน ไม่เคย แล้วในชีวิตก็ผ่านมาแล้ว จนป่านนี้ มันก็ผ่านไปแล้วนะ

สรุปแล้วก็คือว่า โลกแห่งอบายมุขนี่ สรุปง่ายๆ อบายมุข สิ่งเสพติด ที่หยาบที่ชัดเจน ซึ่งอาตมา ย่อให้แล้ว สำหรับผู้หญิงนี่ก็ เรื่องเครื่องแต่งตัวนี่ มันยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้ยิ่ง ยิ่งใหญ่ เครื่องแต่งตัว เครื่องปรุงโฉมนี่ เพราะบอกว่าจุดด้อยของผู้หญิงนี่ คือความไม่สวย มันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง มันเป็นความด้อย เป็นปมด้อยของผู้หญิง เพราะว่าสัตว์ตัวเมียนี่ มันไม่สวยเท่าสัตว์ตัวผู้ เป็นธรรมชาติ มันก็อยากสวย ก็แต่งกันจริง แต่งไม่ใช่อะไรหรอก มันให้มันสวย แม้สัตว์ มันจะสวย มันก็ล่อกามของตัวผู้ มันไม่ล่ออะไรอื่นหรอก มันเรื่องของกามธรรมดา ความสวยความงาม ความที่มีทั้งกลิ่นมีทั้งสี มีทั้งรูป มีทั้งรส อะไรพวกนี้ เพื่อดึงดูด ซึ่งมาให้เกิด ความสัมพันธ์ และก็สืบพันธุ์ แล้วก็ต่อเนื่อง ให้โลกนี้ไม่จบไม่หยุด จนนิรันดร์

เพราะฉะนั้น จะศึกษาเรื่องของความจบความหยุด ความไม่เกิดอีกนี้ ปัญหาของการเป็นคู่

อ่านต่อหน้าถัดไป