อำนาจโลก อำนาจธรรม
แสดงโดย พ่อท่าน โพธิรักษ์
เนื่องในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธครั้งที่ ๑๖
เมื่อวันมาฆบูชา ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก

บาปหยาบๆ เราก็เข้าใจได้ออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ก็มาจากจิต จิตเป็นประธาน ก่อออกมา เป็นรูปทางกาย เป็นรูปทางวาจา ออกมาจากจิตก่อนทั้งนั้น ตัวหลักใหญ่ อย่างที่อาตมากล่าว แล้วว่า มันประกอบไปด้วยกิเลส นั่นถือว่าเป็นบาป ทีนี้คนโลกๆนี่ ไม่ได้พูดถึงกิเลสกันเลย โดยเฉพาะ ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมที่เป็นสัมมาทิฐิ ก็จะปฏิบัติกันไป เข้าใจเอาเองว่า บาปก็คือ หยาบๆ ชั่วๆ ร้ายๆ ตามธรรมดาสามัญ ถูก ไม่ผิด และสูงกว่านั้น ไม่ถือว่าบาปแล้ว

เพราะฉะนั้น การเจริญจึงสุดจบอยู่แค่ที่แค่เข้าใจว่าบาปมีเท่านั้น แล้วก็นึกว่าอื่นๆ ไม่บาปอีก คนเราก็ไม่มีการเจริญต่อ เพราะว่าเข้าใจว่าบาปเท่านั้น สัพพปาปัสสะ อกรณัง ท่านว่าบาป ก็เข้าใจว่า บาปอยู่แค่นั้น ก็เกม จริงๆแล้วก็อย่างที่กล่าวแล้วว่า ถ้ายังมีส่วนแห่งกิเลส จนถึงขั้น อาสวะ เราก็จะต้องถือว่าบาปทั้งสิ้น อย่างที่กล่าวแล้ว

ทีนี้กุศลคืออะไร กุศลก็คือความเจริญทั้งกาย วาจา ใจ เจริญขึ้น ด้วยกาย วาจา ใจ การเจริญนั้น ก็เจริญด้วย พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้เลยว่า ถ้าควาามเจริญที่เรียกว่ากุศล กุสลัสสูปสัมปทา นี่ กุศลใดที่ประกอบไปด้วยศีล ที่ท่านตรัสไว้ในกิมัตถิยสูตร ศีลที่เป็นกุศล จะก่อให้เกิด ความเป็นพระอรหันต์ ตามลำดับ ศีลที่เป็นกุศล

เพราะฉะนั้น ยังกุศลให้ถึงพร้อม กุสลัสสูปสัมปทา ปฏิบัติ ประพฤติสัมปทาเข้าถึงกุศลนั้น โดยการปฏิบัติ มีศีลเป็นตัวหลัก ซึ่งเราก็ปฏิบัติตามหลักของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ศีล สมาธิ ปัญญา อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ปฏิบัติแล้วก็จะเจริญเป็นกุศลขึ้นมา และก็เป็นกุศลได้อย่างยิ่ง จนกระทั่งถึงขั้นหมดกิเลส หมดบาป สิ้นบาป สิ้นกรรมแล้ว หมดกิจ ที่จะต้องล้างบาป เพราะเป็นผู้ลอยบาปแล้วอย่างสมบูรณ์ พระอรหันต์คือผู้ลอยบาปแล้ว อย่างสมบูรณ์ หมดบาปแล้ว จริงๆ ปานฉะนั้น พระอรหันต์ก็ยังกุศลให้ถึงพร้อมได้ต่อไปอีก อย่าว่าแต่อรหันต์ธรรมดา แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังกุศล ให้ถึงพร้อมได้ต่อไปอีก ได้ต่อไปอีกจริงๆ โดยไม่สันโดษในกุศล ถึงปานฉะนั้น

ส่วนสจิตตปริโยทปนัง ที่ท่านแปลกันว่า ทำจิตให้ผ่องใสนั้น ถ้าละบาปให้หมดสิ้นจริงๆ แล้วก็ยังกุศลให้ถึงพร้อมไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นไม่สันโดษในกุศล ได้อยู่ตลอดไป บาปหมดสิ้นจริง อันนั้นก็เป็น สจิตตปริโยทปนังแล้ว โดยไม่ต้องไปพูดถึงคำว่า สจิตตปริโยทปนัง ก็ยังได้ เพราะจิต สะอาดบริสุทธิ์แล้ว จากอะไร จากกิเลส จากบาป จนยังกุศลให้ถึงพร้อม ถึงขั้นเป็น พระอรหันต์ได้แล้วจริง โดยลำดับไปจนกระทั่งถึงพระอรหันต์แล้ว เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว จะต้องกล่าวอีกไหม ว่า ผู้นั้นมีจิตบริสุทธิ์ ถ้าผู้นั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังกุศลให้ถึงพร้อม โดยลำดับ จนเป็นพระอรหันต์แล้ว ต้องกล่าวกันไหมว่า จะต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ ต้องกล่าวไหม ไม่ต้องกล่าวเลย

ฟังให้ดีนะ มีหลายอาจารย์ บอกว่าทำจิตให้บริสุทธิ์เท่านั้นแหละ ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวหรอก บาป-บุญ บาป กุศล ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวหรอก ไอ้นั่นเป็นโลกียะ มันกลับกันกับที่อาตมาพูด อาตมาพูดว่า ละบาปเลิกบาป ไม่ทำบาปให้ได้ อย่างสนิทหมดจดจริงๆ แล้วยังกุศล ให้ถึงพร้อมจริงๆ ยังกุศลให้ถึงพร้อมจริงๆ เมื่อยังกุศลให้ถึงพร้อม จนกระทั่งถึงขั้น เป็นพระอรหันต์ได้ เพราะปฏิบัติศีลเป็นกุศล โดยลำดับ ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์จริงๆ จิตก็สะอาดบริสุทธิ์จริงๆ โดยไม่ต้องกล่าวคำว่า สจิตตปริโยทปนัง ก็ย่อมได้ ใช่ไหม

นี่คือเรื่องของสัจจะ ที่เราจะต้องรู้ด้วยสภาวะ รู้ด้วยปัญญา รู้ด้วยความจริงที่เป็น ญาณทัสสนะ ที่จะเห็นความจริงที่ชัดแจ้ง แล้วผู้ที่เป็น พระอรหันต์แล้ว ก็จะยังกุศลอยู่ ไม่ใช่ไม่เอาดี ไม่เอาชั่ว จริง ไม่เอาชั่ว นี่จริง ไม่ทำชั่วนี่จริง แต่เอาดี เป็นผู้ที่ยังกุศลอย่างอุตสาหะ วิริยะ เสียสละ สร้างสรรอยู่จริงๆ นี่เป็นหลักใหญ่ที่เรารู้กันดี พูดกันมานาน แต่ว่า ภาคปฏิบัติ มันไม่มีขึ้นได้ พวกเราได้มา ปฏิบัติธรรม เราปลุกเสกกันมาก็ถึงครั้งนี้ เป็นครั้งที่ ๑๖ มาฆบูชา เราก็มีมา หลายรูปแบบ ในบางครั้งบางคราว อาตมาไม่ได้เป็นผู้เทศน์ ในวันมาฆะ ก็มีพวกเรา สมณะพวกเรา ได้ร่วมกันเทศน์ แสดงธรรมในวันมาฆะก็มี อาตมาก็เทศน์ซะ เป็นส่วนใหญ่ ก็ด้วย เราก็ได้พยายามที่จะทำให้ได้ประโยชน์ ในการฟังธรรม ในวันสำคัญอย่างนี้

พวกเราได้ปฏิบัติธรรมมา มีชีวิตพัฒนาขึ้นมาด้วยหลักมรรคองค์ ๘ มรรคองค์ ๘ ซึ่งเป็นสัมมา อริยมรรค ซึ่งเราก็เน้นกันมา พูดซ้ำซ้อน ซ้ำซาก แต่เราก็ได้พยายามที่จะขยายคำ ขยายความ ขยายเนื้อหา ขยายสารัตถะ หรือสาระสัจจะของมัน ให้มันลึกซึ้ง ทั้งลึกทั้งกว้าง โดยเฉพาะ ใน ๒-๓ ปีหลังนี้ โดยเฉพาะปีกลาย และปีนี้ อาตมาได้ขยายความเป็นแนวกว้าง ออกไปสู่ สัมมาอาชีพ มาก ไม่ได้ขยายออกไปปากเปล่า แต่ว่าขยายออกไปแล้ว มีภาคประพฤติปฎิบัติ มีกิจกรรม มีพิธีกรรม มีพฤติกรรมจริงของพวกเรา แม้ว่า จะเป็นสัมมาอาชีพที่ยัง ไม่สูงสุด ยังไม่สำเร็จสุดยอด บริสุทธิ์บริบูรณ์ก็ตาม แต่ก็เป็นสัมมาอาชีพที่ก่อรูป ก่อร่างขึ้นมา มีสภาวะรองรับ ไม่ใช่พูดปากเปล่า มีตัวบุคคล มีพฤติกรรม มีกิจกรรมเกิดขึ้น มีพฤติกรรม มีพิธีกรรม เกิดขึ้นจริงๆ และในหรือพฤติกรรมกิจกรรม เหล่านั้น เราก็หยิบมายืนยัน หยิบมาชี้ หยิบมาอธิบายให้เห็นเหลี่ยมมุมของสภาพ ของมัน ว่ามันเข้ากับหลักของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ละบาป บำเพ็ญบุญ หรือ บำเพ็ญกุศล และขัดเกลาจิตให้สะอาดลง สะอาดลงอย่างไร

ที่อาตมาสรุปรวมว่า เป็นระบบของบุญนิยม อาตมาก็ได้พยายามที่จะพูด ที่จะหยิบขึ้นมา กล่าวย้ำ ซ้ำซากมากมาย จนมีบางคน หรือคนใหม่ๆ มาฟังแล้ว ซึ่งพวกที่เข้าใจศาสนา แบบโบราณๆ แบบอนุรักษ์นิยม ก็ถึงกับว่า อาตมานี่ไม่ได้เทศน์ ไม่ได้พูดธรรมะ พูดแต่เรื่องโลกๆ พูดเรื่องการค้า การขาย พูดเรื่องกสิกรรม กสิกร พูดเรื่องทำโรงสี โรงนา ทำเห็ด พูดถึงเรื่องอะไร ต่ออะไรต่างๆนานา ดีไม่ดี พูดการค้าการขาย ตั้งระบบขนาดไดเร็กเซลล์ พูดกันไปอะไรต่างๆ นานา เขาว่า อย่างนั้นหรือไม่ อาตมาพูดการเมือง เล่นการเมือง เขาก็ว่าไปโน่น

วันนี้อาตมาตั้งใจจะขยายความของโศลกบทหนึ่ง โศลกบทนั้นมีอยู่ว่า การจัดการด้วยอำนาจ ที่เป็นธรรม เรียกว่าการเมือง การจัดการด้วยธรรมที่เป็นอำนาจ เรียกว่า การศาสนา ฟังอีกที การจัดการด้วยอำนาจที่เป็นธรรม เรียกว่าการเมือง การจัดการด้วยธรรม ที่เป็นอำนาจ เรียกว่าการศาสนา ในโศลกบทนี้ ฟังแล้วเราก็จะเห็นความสำคัญ อยู่ที่ตรงคำว่า อำนาจกับธรรม และมันก็สลับกันอยู่ ถ้าการจัดการใดๆ การจัดการก็คือคนนี่แหละ กระทำขึ้น จัดการขึ้น มีการจัดการ มีพฤติกรรม มีบทบาท มีเรื่องราวกระทำกันขึ้นมา จนกระทั่งเป็น การจัดการ เป็นการเป็นงานขึ้นมา การงานที่จัดขึ้นมา เป็นการจัดการ จนเกิดการ เกิดงาน ที่เกิดการ เกิดงาน เกิดบทบาทขึ้นมาในสังคม การจัดการใดที่จัดการด้วยอำนาจ ก็ฟังความ คำว่าอำนาจไว้ก่อน ที่เป็นธรรม อำนาจนั้นต้องเป็นธรรม ด้วยเรียกว่าการเมือง

ส่วนการจัดการใด ด้วยอำนาจที่ไม่เป็นธรรม เรียกว่ากิจการของโจร และกิจการที่เป็นโจรเช่นนั้น มันก็เกิดกันอยู่ในสังคม ประเทศชาติ สังคมประเทศชาติใด อาตมาไม่ระบุ อาตมาไม่กล่าว แต่อาตมา จะกล่าวเป็นสาระ ขณะนี้ ผู้ฟังธรรมอยู่ จงตั้งใจให้ดี อาตมากำลังจะบรรยายความรู้ ถ้าผู้ใดกล่าวตู่อาตมา ว่าอาตมากำลังพูดการเมือง กำลังเล่นการเมือง ผู้นั้นบาป ในขณะต่อไปนี้ อาตมาจะขยายความ ความรู้ สัจจธรรมในเรื่องของการจัดการ ด้วยอำนาจที่เป็นธรรม เรียกว่า การเมือง แต่ไม่ได้หมายความว่า อาตมากำลังจะเล่นการเมือง หรืออาตมากำลังพูดการเมือง อาตมาไม่ได้พูดการเมืองขณะนี้ อาตมากำลังพูด ความหมายของคำว่า การเมืองคืออะไร อาตมาไม่ได้ไป เกี่ยวข้องบุคคล อาตมาไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับบทบาท ที่มันมีอยู่ในสังคม โดยเฉพาะ ขณะนี้ ในประเทศไทย กำลังมีบทบาท กำลังมีเรื่องราว กำลังมีการเลือกตั้ง จัดเลือกตั้ง กำลังมีการหาเสียง กำลังจะมีบทบาท ของลีลาการเมืองอย่างสำคัญ อาตมารู้ ข่าวคราวนี้ อาตมารู้เหตุการณ์นี้ แต่อาตมาไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง และอาตมาก็ไม่ได้อยู่ในพรรคไหน ฝ่ายไหน แล้วอาตมาก็ไม่ได้พูดเพื่อที่จะให้ฝ่ายนั้นได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ อะไร ไม่เกี่ยว อาตมากำลัง พูดถึงวิชาการ อาตมากำลังพูดถึงความรู้ อาตมากำลังพูดถึงความจริง

คนเรา โดยเฉพาะที่เป็นคนอยู่ในสังคมเมือง หรือสังคมหมู่ สังคมกลุ่ม ไม่ใช่พวกฤาษี ที่ปลีกตัวเดี่ยว ที่ไปอยู่ไหนๆ ที่ไม่คบกับมนุษย์คน เข้าป่า เข้าเขา เข้าถ้ำ ไปเจาะเรี้ยว เจาะรู อะไรอยู่กันนั่นน่ะ คนเหล่านั้น มันไม่ใช่คนของสังคมมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์ในสังคม เป็นมนุษย์ เอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ซึ่งไม่ได้อยู่ในลัทธิของพุทธ เพราะฉะนั้น อาตมาจะไม่กล่าวถึง เพราะอาตมาเป็นพุทธ อาตมาจะพูดในวิชาของพุทธ วิชาของฤาษี อาตมาก็วิเคราะห์แล้ว ก็แยกทิ้งไป ไม่กล่าวถึง ไม่ไปเกี่ยวข้อง ก็ดี จะไม่ดีอะไรก็จะไม่เกี่ยว แต่อาตมาจะเกี่ยว เพราะอาตมาเป็นพุทธ พุทธศาสนิกชนก็ย่อมจะต้องพูดสิ่งเหล่านี้กับพวกคุณที่เป็น พุทธศาสนิกชน ด้วยกัน จะต้องพูดถึงสิ่งถูก สิ่งผิด สิ่งดี สิ่งชั่ว กันให้เข้าใจ

เพราะฉะนั้น คนในสังคม คนที่เป็นหมู่ เป็นกลุ่มกันอยู่ มันก็เป็นคนเมือง จะเป็นกลุ่มน้อย กลุ่มใหญ่ก็แล้วแต่ โดยเฉพาะยิ่งทุกวันนี้ มีการประสาน มีการบริหาร มีสังคมกลุ่มที่โตใหญ่ และ มีระบบปกครอง มีระบบบริหาร มีระบบที่จะอยู่กันเป็นสังคมรัฐ สังคมประเทศ สังคมใหญ่ มีพลเมือง ที่ดูแลกัน บริหารปกครองกัน ช่วยเหลือเฟื่อฟายกัน เป็นจำนวนล้าน หลายล้าน ร้อยล้าน ถึงพันล้าน สังคมเช่นนี้มีกฎ มีระเบียบ มีวินัย มีวิธีการที่จะต้องเรียนรู้ แล้วก็จะต้อง มาทำกับสังคม มาจัดการกับสังคม

เพราะฉะนั้น การจัดการด้วยอำนาจ ในโลกเมื่อมีระบบ มีระเบียบ ก็ตั้งตำแหน่งหน้าที่ กำหนดสิทธิ กำหนดหน้าที่กันขึ้นมาให้คนทำงาน เมื่อคนทำงานตามหน้าที่ ตามสิทธิที่เขาได้ พึงได้พึงเป็น สิทธิและหน้าที่ ที่เขาพึงทำนั้น โดยสังคมของมนุษย์โลกธรรมดา ก็จะมีอำนาจ อำนาจตามสิทธิหน้าที่นั้นๆ ผู้ที่ใช้หน้าที่ หรือใช้อำนาจในหน้าที่ที่เป็นธรรม ถูกต้องตามสัจธรรม ผู้นั้นแหละ คือผู้ทำงานการเมือง จะอยู่ในระบบระบอบวิธี จะแบ่ง จะแยกอะไรที่ว่านี่ เป็นข้าราชการ การเมือง หรือไม่ใช่ข้าราชการการเมืองอะไรก็ตามใจเถอะ มันเป็นเรื่อง ของการเมือง มันเป็นเรื่องของมนุษย์คนเมือง ของคนเมือง ของคนสังคมทั้งสิ้น

อำนาจนำธรรมะในลักษณะของที่เรียกว่าการเมือง มีอำนาจนำธรรมะ เพราะฉะนั้น แม้จะใช้อำนาจ ถ้าเป็นผู้ที่มีคุณธรรม เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูง แม้จะใช้หน้าที่ ใช้อำนาจที่ได้มาโดยการแต่งตั้ง โดยการกำหนดกัน ในสังคม ผู้นั้นก็จะทำ ก็จะจัดการอำนาจนั้นๆ อย่างเป็นธรรม คนก็สุขได้ สังคมก็สันติภาพได้ ต้องการอิสรเสรีภาพ ก็จะได้ ต้องการภราดรภาพก็จะได้ ต้องการสันติภาพ ต้องการสมรรถภาพ ต้องการบูรณภาพ ย่อมจะได้ ฉันเดียวกัน ผู้ที่จัดการด้วยธรรมที่เป็นอำนาจ คือธรรมะนำอำนาจ โดยไม่ต้องแต่งตั้ง โดยไม่ต้อง ไปกำหนดหน้าที่ แต่เป็นคนที่ได้เรียนรู้ศาสนา เรียนรู้ธรรมะ จนประพฤติตน เป็นผู้มี ความสามารถ มีความรู้ มีพฤติกรรมกาย วาจา ใจ มีสมรรถนะ สามารถจริงๆ แล้วความสามารถนั้น เป็นธรรมะ จนธรรมะนั้น มีความเข้มข้น มีฤทธิ์มีแรง ที่เรียกว่า เป็นอำนาจ มีนะ มีลักษณะของอำนาจ มีลักษณะของฤทธิ์แรงนั้นเกิดขึ้น จากธรรมะนี่แแหละ

ธรรมะก็ไม่ได้เกิดที่คน คนเดียวด้วย อยู่ในสังคมนี่เหมือนกัน แม้แต่งาน ทางการเมือง ก็ไม่ได้เกิดที่ คนๆเดียวเหมือนกัน ผู้ที่รับหน้าที่ ก็มีหน้าที่ที่จะเกี่ยวข้องกัน เชื่อมโยงกัน เป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นกอง เป็นกรม เป็นกระทรวง ซึ่งแล้วแต่จะเรียกชื่อแบ่งไป เดี๋ยวนี้ระบบแบบนี้ ก็รู้จักกันทั่วโลก ศึกษากันทั่วโลก แล้วก็นำมาใช้จริงๆ เกิดสภาพนั้นจริง มีระบบของการเมืองจริงๆ ทางด้านศาสนา สังคมของประเทศ หรือรัฐต่างๆในโลก ก็มีศาสนากัน อาตมาไม่เชื่อว่า จะมีประเทศไหนที่ไม่มีศาสนา ขณะนี้นะทั่วโลก ที่เป็นประเทศ มีศาสนาทั้งนั้นแหละ คนนับถือศาสนา จะนับถือศาสนาอย่างไรก็แล้วแต่ มีหลากหลายศาสนา เป็นแต่เพียงว่า ศาสนาที่เขาถือ เขาศึกษาเรียนรู้นั้นน่ะ เขาศรัทธาในศาสนา เขาเอาจริงเอาจัง ในศาสนา และศาสนานั้นๆ มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพลึกซึ้ง ถึงสัจจธรรมจริงๆ มากน้อยเท่าใดๆ ก็เท่านั้น ถ้าศาสนานั้นมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ มีเนื้อหาสาระสัจจะที่สูง ลึกซึ้งมากจริง โดยเฉพาะยิ่งเป็นโลกุตระ ศาสนาจะมีคุณค่าต่อสังคมประเทศชาติ มนุษยชาติ อย่างมากที่สุด บางประเทศ การเมืองกับการศาสนารวมกัน เพราะฉะนั้น ผู้บริหารประเทศนั้น จะเป็นผู้นำ ทั้งด้านการเมือง และการศาสนาอยู่ในคนๆเดียวกันด้วย หรือบางประเทศ ผู้ปกครอง บริหาร คือ เป็นผู้ที่ทำงานทางการเมืองนี่แหละ ก็นำเอาศาสนาเป็นภาระ เอาจริง เอาจัง กับ ศาสนาก็มีเหมือนกัน ประเทศที่มีทั้งศาสนา และการเมืองอยู่ในตัวเสร็จ ไม่ได้ใกล้ ได้ไกลไปจากพุทธนะ ก็คืออยู่ในสายของพุทธนี่เอง ธิเบตเป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้ ก็เปลี่ยนไปแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

สรุปแล้วนี่ มันจะมาถึงมนุษยชาติ หรือสังคมรัฐ สังคมประเทศเหมือนกัน ถ้าเผื่อว่า นักการเมือง เข้าใจคำว่าอำนาจที่เป็นธรรม แล้วตนเองก็มีศาสนา เพราะถ้าจะเป็นธรรมแล้ว ตนเองจะต้อง มีจิตวิญญาณ ที่จะต้องมีคุณธรรมทางธรรมะ หรือทางศาสนา เป็นคนที่เสียสละ สร้างสรร มักน้อย สันโดษ เป็นผู้ที่เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ประชาชน ประเทศชาติ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่หลงระเริง ในโลกียสุข เห็นแก่ตัวจัดจ้าน ทั้งรูปวัตถุ และอารมณ์กาม อารมณ์มานะอัตตา อะไรที่มากมาย ก่ายกองนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้มีธรรม ไม่ใช่อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ใดมีธรรมะจริงๆแล้ว จะต้องเป็นผู้ที่ศึกษาศาสนาจริงๆ ในเมื่อมีศาสนา จริงๆแล้ว จึงจะจัดการด้วยอำนาจที่เป็นธรรมได้ เพราะฉะนั้น ในผู้ที่เป็น นักการเมือง จะต้องมี คุณธรรมไปควบกับอำนาจ ถ้าไม่มีคุณธรรมไปควบกับอำนาจ จัดการด้วยอำนาจ ที่ไม่เป็นธรรม สูตรนี้ขอยืนยันว่า ไม่ใช่สูตรวิปริต เป็นสูตรที่แท้จริง บ้านเมืองไม่ร่มเย็น บ้านเมืองไม่เป็นสุข เพราะนักการเมือง จัดการด้วยอำนาจที่ไม่เป็นธรรม แต่การจัดการด้วยธรรมที่เป็นอำนาจ คือนักการศาสนา ที่ไม่ได้ไปยุ่มย่าม ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับหน้าที่ทางการเมือง ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว ไม่ได้ไปยุ่มย่าม จัดการอยู่ทางด้านศาสนากับมนุษยชาติ อยู่ในประเทศไหน อยู่ในรัฐไหน ก็จัดการ กับมนุษย์ในประเทศนั้น ในรัฐนั้น หรือแม้แต่มนุษย์ในประเทศอื่น รัฐอื่น จะมาศึกษา เล่าเรียน จะมาเอาการศาสนา จะมาเอาธรรมะจากนักการศาสนานั้นอีกด้วย นักการศาสนานั้น ก็ยินดี เราสมมุติกันสักนิดหนึ่งก่อนว่า นักการศาสนานั้น เป็นนักการศาสนาจริงๆ เป็นนักการศาสนา ที่คุณภาพ เป็นนักการศาสนาที่มีอริยธรรมที่แท้จริง แล้วท่านก็ทำหน้าที่ หรือจัดการ ด้วยธรรมะนี่แหละ ท่านก็ทำของท่านไปอยู่เรื่อยๆๆๆๆๆๆ กับมนุษยชาติ เพราะธรรมะ จะมาทำกับต้นไม้ต้นไร่ จะมาทำกับอิฐหินดินปูน จะมาทำกับ ดินน้ำลมไฟ ลมๆแล้งไป นี่ มันไม่เกิดผลอะไรนักหนาหรอก มันจะเกิดผลกับมนุษยชาตินี่แหละ เป็นตัวหลัก การศาสนานี่ โดยเฉพาะเน้นเข้าหาจิตวิญญาณ เน้นเข้าหาจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมนุษย์ เมื่อได้รับการฝึกปรือ อบรม มีศีล สมาธิ ปัญญา มีการขัดเกลา มีการเปลี่ยนแปลง ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีพฤติกรรมที่ดี และโดยหลักการของศาสนาพุทธ มีการงาน มีอาชีพ เป็นการงานที่ดี ที่วิเศษ ดังที่อาตมาได้ยืนยันตามหลักทฤษฏีของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ให้พวกเรา ได้มาประพฤติอบรม ฝึกฝน พิสูจน์ เพื่อยืนยันสัจจะที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนมาแล้ว สองพันห้าร้อยกว่าปี แล้วเอามาฝึกฝนปฏิบัติกันจริงๆ จัดการขึ้นด้วยธรรมะ จนมีฤทธิ์มีแรง ไม่ใช่คนๆเดียว ไม่ใช่ผู้นำผู้พา หรือเป็นครูบาอาจารย์สำคัญ เป็นหัวหน้า หัวหน้าเจ้า หัวหน้าสำนักอะไรนี่ คนเดียว ไม่ใช่คนเดียว รวมมีคณะ มีหมู่กลุ่ม เกิดระบบ เกิดพฤติกรรม เกิดกิจกรรม เกิดพิธีกรรม เกิดจริงๆ เกิดขึ้นแล้ว จึงจะเห็นอำนาจในกิจกรรม อำนาจในพฤติกรรม อำนาจในพิธีกรรม อำนาจที่เกิดในสังคมกลุ่มที่เรียนกัน อย่างมี ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญา คือมีทิฏฐิไปครรลองเดียวกัน มีศีลสามัญญตา มีศีล เสมอ สมานกัน มีศีลที่ปฏิบัติไปอย่างความเห็นตรงกันว่า ศีลนี้ไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่ศีลต่างกัน ไม่ใช่นานาสังวาส แต่เป็นสมานสังวาส เป็นสังวาสเดียวกัน

เพราะฉะนั้น คนกลุ่มนี้ประพฤติปฏิบัติขึ้น มีมากขึ้นๆ ก็เป็นการจัดการด้วยธรรมะ ที่เกิดอำนาจขึ้น เกิดอำนาจขึ้นๆๆ เกิดอำนาจขึ้น อำนาจอย่างนั้นแหละ เราเรียกว่าศาสนา ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่การเมืองหรือนักการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนานั้นไม่ได้ ได้แต่ไม่เจริญ เป็นทุกข์ เดือดร้อน วุ่นวาย ดังที่มันเป็นอยู่ ที่มีตัวอย่างให้เห็น ไม่ใช่ไปกล่าวตู่

เพราะฉะนั้น อิสรเสรีภาพของนักการเมืองนั้น เป็นอิสรเสรีภาพที่ ถ้าฉลาดจะต้องมีศาสนา ส่วนอิสรเสรีภาพของนักการศาสนานั้น ยิ่งฉลาด ยิ่งไม่ต้องมีการเมือง นักการศาสนา ที่ไปยุ่งเกี่ยว กับการเมืองอยู่ จึงเป็นนักการศาสนา ที่ยังไม่ฉลาดจริง และนักการเมือง ที่ฉลาดจริง ต้องมีการศาสนามากขึ้น ซึ่งมันกลับกันอยู่ ถ้านักการเมืองที่ไม่มีศาสนาๆ การจัดการ ด้วยอำนาจก็ยิ่งไม่เป็นธรรม ยิ่งขึ้น ก็ไม่เรียกว่านักการเมือง เรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ ลืมไปแล้ว กล่าวไปแล้ว ใครจำได้ก็นึกเอาเอง ไม่ใช่นักการเมือง

อาตมากล่าว วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพุทธ อาตมากล่าวอย่างจริงใจ กล่าวอย่างเปิดอก กล่าวอย่าง ต้องการจะให้พวกเราได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่นักการศาสนานั้น ไม่ได้ไปดูถูก ดูแคลน การเมืองนะ แต่ดูถูกดูแคลนนักการเมือง หรือการเมืองที่ไม่ใช่การเมือง บอกแล้วเมื่อกี้นี้ เป็นการอะไรก็ไม่รู้ ที่จริงน่ะรู้ แต่ไม่อยากพูดมาก การจัดการด้วยอำนาจที่ไม่เป็นธรรม นั่นแหละ การอย่างนั้นแหละ มันทำให้บ้านเมือง มนุษยชาติทุกข์ร้อน เดือดร้อนวุ่นวาย เมื่อพูดมาถึง ตรงนี้แล้ว นักการเมืองนั้นน่ะ จะทำงานหนัก จะทำงานรับผิดชอบในด้านการเมือง และต้องสนใจ อบรมฝึกฝนในการศาสนาด้วย จึงมีงานสองด้าน งานสองด้าน ถ้าทำได้ สมบูรณ์จริงๆ ดี คือจัดการด้วยอำนาจที่เป็นธรรมก็ทำได้ และจัดการด้วยธรรมที่เป็นอำนาจ ก็ทำได้ วิเศษ วิเศษ แต่คนชนิดนั้นนั่นน่ะ ขนาดสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ยังเอาแต่เพียง ด้านศาสนา ประโยชน์ ขอถามหน่อยว่า ใครที่นั่งอยู่ในนี้ เก่งกว่าพระพุทธเจ้าบ้าง มีไหม ยกมือซิ

เพราะฉะนั้น การจะทำงานการเมืองนั้นจึงยาก อาตมาเห็นใจคนที่ไปทำงานการเมือง คนที่มีคุณธรรม พยายามที่จะทำงานการเมือง โดยการจัดการด้วยอำนาจ บอกแล้วว่า การเมือง เขามีตำแหน่งหน้าที่ มีอำนาจ อำนาจตามที่สังคมยอมรับ สังคมกำหนด เป็นการกำหนด สัญญากัน เสร็จแล้วก็จะต้องให้เป็นธรรม คนจะเป็นธรรม ก็บอกแล้วว่า จะต้องพยายาม ศึกษาศาสนา ศาสนามีธรรมฤทธิ์เป็นสัจจะ เป็นความจริง ถ้ามีธรรมะน้อยๆ ฤทธิ์ไม่พอ หรือฤทธิ์ไม่ออก มองฤทธิ์ไม่ออก คำว่าบารมีนี่ มีทั้งทางโลกและทางธรรม บารมีทางโลก อย่างชนิด ที่เขาเรียกว่า God Father เป็นต้น มีบารมีทางโลกเหมือนกัน God Father เขาแปล ตรงตัวอยู่แล้ว ภาษาไทยเขาเรียกว่าเจ้าพ่อ God Father มันมีบารมีทางโลก เหมือนกันนะ บางคน เป็นเจ้าพ่อได้ดี แต่ใช้อำนาจ ทางโลกจริงๆเลย ใช้อำนาจทางอำนาจ ใช้อำนาจ ทางทรัพย์ศฤงคาร ใช้อำนาจทางอำนาจบาตรใหญ่ จนคนนี่ยอม ยอมจริงๆ ในสมัยโบราณ มีมาเก่า เผด็จการ สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์ มีให้เราศึกษาเยอะแยะ แล้วก็เรียกกันว่า เป็นจอมจักรพรรดิ์บ้าง เป็นอะไรต่ออะไรบ้าง เยอะแยะ แต่นั่นคือเผด็จการ และเป็นเจ้าพ่อที่แท้ เขาก็ถือว่าเป็นธรรมนะ การเป็นอยู่ ก็เป็นสุขอยู่ได้พอสมควรนะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เขาทำให้ประเทศชาติอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว จนกระทั่ง ระเริงกาม ระเริงอำนาจบาตรใหญ่เกินควร จนไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ผู้เผด็จการนั้นๆ ในสมัยนั้นๆ เขาก็ทำให้ ประเทศชาติของเขา อยู่เย็น เป็นสุข อุดมสมบูรณ์ไปได้เหมือนกัน แต่ถ้าเผื่อว่า เลวร้ายเกินไป อัตตามานะ มันมากมายก่ายกอง กามราคะก็มาก จนกระทั่ง คนชัง จนกระทั่ง ผลาญพร่า ทำลาย จนกระทั่ง แม้แต่ประชาชนก็ถูกขูดถูกรีด ก็อยู่ไม่เย็นเป็นสุข ก็เป็นทุกข์กัน แต่นั่นแหละ ในลักษณะของการใช้เผด็จการ เป็นเจ้าอำนาจอย่างนั้น มาถึงทุกวันนี้แล้ว สังคม เรารู้ดีว่า มันเป็นลักษณะที่เชื่อได้ยาก ที่จะไม่มีกิเลส ถ้าคนเผด็จการนั้นไม่มีกิเลส นะ ดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อว่าไม่มีกิเลส แต่ท่านก็ไม่ทำงานเผด็จการนั้น ถ้าท่านเป็นเผด็จการ ในสมัยของท่าน ท่านมีสิทธิ์ที่จะเป็นด้วย เพราะท่านมีรัฐ มีแคว้นที่ท่านจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และสมัยโน้น ก็ปกครองกันอย่างเผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราช ท่านทำได้ บ้านเมือง ก็จะสุขเย็นด้วย แต่มันแคบไป ประโยชน์มันน้อยไป พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า มากเกินกว่า ที่จะไปทำปกครองอย่างนั้น ใช้เวลาแรงงานไปทำแค่นั้น

พระพุทธเจ้าจึงเลือกมาทำการศาสนา ที่จะมีคุณค่าต่อมนุษยชาติ ที่กว้างกว่า ที่ท่านจะทำ แก่รัฐของท่านเท่านั้น นี่เป็นแง่ที่กำลังจะพูดให้คุณฟังกัน พระปัญญาธิคุณของ พระพุทธเจ้านั้น มีพระปรีชาญาณมากกว่าที่คนธรรมดาจะคิดจริงๆ เพราะฉะนั้น ท่านก็ต้อง ย่อมเลือกกระทำ ในสิ่งที่มีคุณค่า ประโยชน์ที่เยี่ยมยอดยิ่งกว่า นั่นคือ ที่ท่านได้เลือกแล้ว ท่านก็มาทำงาน ทางด้านศาสนา และทางด้านการเมือง ประเทศชาติของท่าน แคว้นของท่าน ท่านปล่อยเลย แม้แต่ใครจะมาปกครองบริหาร ท่านก็ไม่เอาภาระ ปล่อย นอกจากปล่อยแล้ว ก็ยังไม่พอ ยังเอารัชทายาท ไม่ว่าจะเป็นน้องชาย ไม่ว่าจะเป็นลูกชาย นี่ก็พูดภาษาธรรมดา เลยไม่ต้องไปใช้ ราชาศัพท์ล่ะ อะไรนัก ก็ขออภัย ถ้าใครจะถือสา เอามาด้านการศาสนาอีกหมด ไม่เหลือ มีญาติที่รับผิดชอบรับช่วงไป ท่านก็ไม่เคยไปยุ่งไปเกี่ยว ไปกังวลอะไร จนสุดท้าย วงศ์ของกบิลพัสดุ์ วงศ์ของศากยะ ไม่ใช่ศากยบุตรทางศาสนานะ ศากยวงศ์ที่เป็นวงศ์เก่า ของเชื้อตระกูลของพระพุทธเจ้านั้น ตั้งแต่ พระเจ้าโอกากราช นั่น หมดไปเลย เหลือศากยวงศ์ หรือศากยบุตร ที่เป็นสายทางศาสนา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แม้ว่าต่อให้นี่สมมุติเล่นๆ ให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปปกครองกบิลพัสดุ์ ต่อให้เป็นจอมจักรพรรดิ์ และก็สืบสาย มีตระกูลวงศ์ ต่อเนื่องมา ใครจะเชื่อไหมว่า ตระกูลวงศ์ที่พระพุทธเจ้า ท่านสืบต่อมา ตั้งแต่บัดโน้น จะถึงสองพันห้าร้อยกว่าปีนี้ไหม ใครจะเชื่อว่าจะถึงไหม ไม่ถึงน่ะ จะไม่ถึง ราชวงศ์นั้น จะไม่ถึงป่านนี้ สองพันห้าร้อยกว่าปี อาตมาเชื่อแน่ เพราะยังไม่เห็นประเทศไหน ในโลกเลย ที่สืบสันตติวงศ์ มีกี่ประเทศล่ะในโลกนี้น่ะ มีประวัติศาสตร์กี่บท กี่เรื่อง มีสันตติวงศ์ ในราชวงศ์ไหนบ้าง ที่สืบต่อกันมาได้ถึงพันปี มีแต่ห้ำหั่นกัน มีแต่เปลี่ยนวงศ์กันมา ตั้งเท่าไหร่แล้ว แย่งชิง เปลี่ยนราชวงศ์มา ตั้งเท่าไหร่แล้ว ไม่ยั่งยืนเลย

เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญาธิคุณ มีปรีชาญาณอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อาตมาวิเคราะห์ ให้ฟังแล้ว นี่แค่ภูมิปัญญาอาตมาวิเคราะห์นะ และที่อาตมามองเห็น อาตมายังไม่ใช่ พระพุทธเจ้านะ อาตมาวิเคราะห์สิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ให้ฟัง ด้วยเหตุด้วยผล ฟังดูก็แล้วกัน ก็จะเห็นสัจจธรรม อันหนึ่งว่า การเมืองนั้นน่ะ กระจิ๊ดนิดเดียว แต่การศาสนานั้น ยิ่งใหญ่ มหาศาล ขอพูดอีกนิดหนึ่งว่า เรื่องการเมืองก็ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า การเมืองมันมี คือ การศาสนา

ใครจะว่าอาตมาหลงศาสนา ใครจะหาว่าอาตมาบ้าศาสนา นิมนต์ อาตมาไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา และอาตมาก็เชื่อว่า อาตมาไม่ได้งมงาย อาตมาเชื่อมั่นจริงๆว่า อาตมาไม่ได้งมงาย ในด้านการศาสนา และคนจะเข้าใจว่า อาตมามีศาสนา หรือไม่มีศาสนา อาตมาก็ยินดี ที่จะให้มาพิสูจน์

การศาสนาคืออะไร ศาสนาคือพลังรวม ที่ร่วมรวมกันในสังคม เมื่อร่วมรวมกันแล้ว ก็เกิดสภาพของ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพขึ้นมาได้ โดยไม่ต้อง อิงอาศัยอำนาจการเมือง

อันนี้พูดในวงของเรา ต่อไปนี้ อาตมาขอถามพวกคุณหน่อย ทุกวันนี้นี่ การเมืองในประเทศไทย เขาช่วยเรา หรือว่าเขาไม่ได้ช่วยเรา แล้วเราไปของเราได้ไหม มีทั้งคำตอบว่าได้ มีทั้งคำตอบว่าสบาย สบายจริงๆหรือ สบายจริงๆหรือ ไม่ค่อยสบาย เพราะการเมืองละมั้ง เอ้า ที่พูดนี่ เราพูดในเราจริงๆนะว่า การเมืองจริงๆนั้นน่ะ เราไม่ต้องพึ่งได้จริงๆ แล้วเราจะพยายาม ไม่ให้การเมืองน่ะเข้ามา พูดกันตรงๆเถอะ แม้แต่จะมาอุ้มชูเรา เราขอเดินด้วยลำแข้ง อย่างท่าน มุทุกันโต ขอเดินด้วยลำแข้ง ของเราเถอะ ไม่ช่วยเราน่ะ ขอบคุณแล้ว

กรุณาอย่ามาทรมานเราเลย เท่านี้ก็ขอบคุณจริงๆ ไม่ทรมานเรา ไม่ทำอะไรให้เป็นผลร้ายแก่เรา ให้เป็นผลหนัก ถ่วงเรา ต้าน แย้ง ทำให้เราหนัก ทำให้เราต้องเหนื่อย ต้องลำบาก ต้องวุ่นวาย แค่นี้ก็เป็นพระคุณ อันหาที่สุดมิได้แล้ว อาตมาบอกแล้วว่า ใครจะหาว่า อาตมาหลง ศาสนา บ้าศาสนา ก็ไม่ว่า และใครจะหาว่า อาตมานี่หลงตนว่า เป็นเจ้าของศาสนา มาทำเป็น ตั้งตัวเป็นศาสดา อาตมาก็ว่า อาตมาไม่ได้ประหลาด และ อาตมาก็รู้ว่า อาตมารู้ตัวดีว่า อาตมาเป็นอะไร คนที่พูดประชด ยัดเยียดอาตมา เช่นนั้นน่ะ อาตมาเข้าใจเขา อาตมาไม่ต้อง ถามเขาหรอก หรืออาตมาถามคุณก็ได้ว่า คนที่เขาว่าอาตมาเป็นศาสดานั้นน่ะ อาตมาถามคุณ จริงๆหน่อยซิว่า เขาเชื่อว่าอาตมาเป็นศาสดาจริงๆหรือ

ไม่เชื่อ

เขาก็ไม่ได้เชื่ออาตมาว่าเป็นศาสดา คนที่ไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นศาสดา แต่พูดว่า อาตมาเป็น ศาสดาน่ะ พูดประชดหรือว่าพูดจริงใจ

พูดประชด

คนประชดเป็นคนดีหรือไม่ดี

ไม่ดี

อาตมาจะไปถือสาคนที่ไม่ดี หรือว่าคนที่ไม่รู้จริง หรือว่าคนที่ทำอะไร ตลบตะแลงอย่างนั้น อาตมาจะไปถือสาได้อย่างไร เหมือนคนเมา เหมือนคนบ้า เขาก็ทำของเขาไปอย่างนั้นแหละ อาตมาถามคุณหน่อยซิว่า คุณน่ะเชื่อว่า อาตมาเป็นศาสดาเหรอ ก็ไม่เชื่อ แล้วอาตมา บอกกับคุณหรือว่า อาตมาเป็นศาสดา ไม่ได้บอก บอกด้วยซ้ำว่าไม่ได้เป็น นี่อาตมาพูด จนหมดเหลี่ยม หมดมุมแล้วนะนี่ บอกเสียด้วยซ้ำว่าไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้น คนที่ไม่พยายาม ที่จะรู้จักสารัตถะ แม้แต่ในภาษา ในบัญญัติ และข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง แล้วก็นำไปพูด บางทีได้ข้อมูล อย่างที่เราพูดกันอยู่ด้วยซ้ำว่า อาตมาไม่ได้เคยประกาศว่าเป็นศาสดา พวกคุณ ก็ไม่เชื่อว่าเป็นศาสดา เขาเองเขาก็เชื่อว่า ไม่เป็นศาสดา แต่เขาก็แกล้งพูดว่า อาตมาเป็นศาสดา คนอย่างนี้น่ะ มันน่าฟัง มันน่าคบไหม ไม่ต้องพูดว่าน่าเคารพหรือ คิดดูว่าเขาทำไม เขาจึงต้อง ทำตัวให้เป็นเช่นนั้น คนที่ทำตัวให้เป็นคนเช่นนั้น จึงไม่มีคำเรียก ไม่รู้จะต่ออะไรก็ต่อเอาเอง

ทีนี้มาพูดถึงด้านศาสนา ที่พวกเราเป็นอยู่ บอกแล้วว่า ด้านการเมืองนั้นน่ะ อาตมาไม่ได้เล่น การเมือง ไม่ได้พูดการเมือง บอกแล้วขณะนี้ อาตมาไม่ได้พูดการเมือง อาตมากำลังพูดสารัตถะ สาระสัจจะ ที่มันมีอยู่ในสังคม มนุษย์ชาติ แล้วอาตมาก็จะไม่เน้นเรื่องการเมือง แต่ก่อน ที่จะผ่าน เรื่องการเมืองไป อาตมาก็ขอพูดอีกนิดหนึ่ง เกี่ยวกับสารัตถะของคำว่า การเมืองบ้างว่า การเมืองทุกวันนี้ โดยเฉพาะในประเทศไทย มันเป็นการเมืองของการจัดการ ด้วยอำนาจ ที่ไม่เป็นธรรม อาตมาขอกล่าวอย่างนี้ ถ้าจะจับไปปรับ ๔ ล้าน ก็คงจะต้องถูกปรับ กล่าวอีกครั้ง การจัดการด้วยอำนาจที่ไม่เป็นธรรม การเมืองของประเทศไทยขณะนี้ ที่ไม่เป็นธรรมคำนี้ ไม่ใช่ว่า อาตมากล่าวตู่ คำว่าไม่เป็นธรรม เพราะว่า มันไม่ยุติธรรม มันไม่เป็นคุณธรรม โดยเฉพาะ ไม่เป็นโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมคืออะไร โลกุตรธรรมคือ ผู้มีคุณธรรมที่ไม่เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แม้ว่าเป็นทาสบ้าง ก็เป็นทาสน้อย เป็นอริยบุคคล ที่เข้ากระแสความเป็น อริยบุคคล ที่แท้จริง ลดกิเลสได้แท้ อย่างน้อยไม่มีอบายมุข กามไม่จัดจ้าน โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขไม่จัดจ้าน จริง เขาอาจจะต้องการลาภอยู่บ้าง ต้องการยศอยู่บ้าง ต้องการ สรรเสริญอยู่บ้าง และเสพโลกียสุขอยู่บ้าง แต่ก็อยู่ในขนาดที่เข้ากระแส ในความเป็นจริง ของผู้ที่จะเที่ยงตรงต่อนิพพาน และมีสัมมาทิฏฐิเพียงพอ ที่จะไม่หันหลัง กลับไปสู่โลกียะ ตกต่ำไปสู่โลกียะที่เป็นสังสารวัฏ อันเนิ่นนาน ไม่รู้จักจบอีก โสดาบันเป็นคนเช่นนั้น เป็นคนที่มี คุณภาพอย่างนั้น

การเมือง อาตมาเคยบัญญัติไว้ว่า มันมี ๓ ลักษณะ การเมืองของปุถุชน ซึ่งมีกันอยู่ทุกวันนี้น่ะ มากที่สุด โดยเฉพาะในประเทศไทย การเมืองของปุถุชนคือธุรกิจ ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ และอำนาจนั้น เพราะฉะนั้น จึงล่าด้วยความโลภ ความโกรธ ด้วยความผูกพยาบาท แก้แค้น ก็เป็นพฤติกรรม การเมืองที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มากมาย มีคนที่มีคุณธรรมบ้าง

๑. คือการเมืองระดับปุถุชน
๒. การเมืองอย่างกัลยาณชน
๓. การเมืองอย่างอริยชน

การเมืองอย่างปุถุชน ก็บอกแล้วว่า อย่างนั้นน่ะ โดยตรงเลย มาล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ

อ่านต่อหน้าถัดไป