สลัดคืนเข้าแก่นสามัคคี
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๕
ณ สันติอโศก


มาฟังธรรมกัน เมื่อวานนี้ อาตมาได้เทศน์เรื่องเกี่ยวกับกิเลส ที่พวกเรายังไม่เข้าใจ เกี่ยวกับเรื่อง น้อยใจ เสียใจอะไรพวกนี้นะ แล้วก็เกิดผล คือ ความแตกแยก ความอยู่ร่วมกันไม่ได้ หรือว่า ความเลื่อนไหลออกไป ก็หลายคนว่าเข้าใจดี เมื่อวานนี้ว่าเทศน์แล้วก็รู้สึกว่า มันชัดเจนดี ว่าเทศน์เมื่อวานนี้ แหม! ชมอาตมาว่าวานนี้เทศน์ดี เท่ากับดูถูกอาตมาว่า เทศน์มาทั้งหมดไม่ดี เพิ่งดี เมื่อวานนี้วันเดียว เป็นอย่างนี้เสมอ พอฟังกัณฑ์ไหนดี ก็ว่าอาตมาว่าโอ้! วันนี้ เทศน์ดี เหมือนกับทุกวันเทศน์ไม่ดี มันก็จริงน่ะนะ เพราะว่ามันเข้าใจซาบซึ้งได้ตอนนั้น อันอื่นๆ ลืมหมด ที่จริงพวกคุณได้ดีมาเรื่อยๆ แล้วก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นขั้นๆ เป็นตอนๆ แล้วก็พัฒนาขึ้นมา

อาตมาเคยพูดถึงเรื่องปฏินิสสัคคะ การสลัดคืน การสลัดคืนนี่เป็นการเดินวน เป็นการวน วนมาที่เก่า แต่ไม่ใช่ที่เก่า มันจะสลับซับซ้อนอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป เหมือนอย่างเราทุกวันนี้ อาตมาก็ได้ หยิบเอาของจริงอะไรหลายๆอย่าง มายกอ้าง เพื่อที่จะให้เราเห็นว่า เราวน ผู้ที่วนจริงๆ นั่นคือผู้ที่ไม่เคลื่อนที่ แล้วก็ตามเขาขึ้นไปไม่ได้ ส่วนผู้ที่วนแล้ว ก็เคลื่อนที่ ผู้นั้นก็จะเจริญขึ้น จะเจริญขึ้น มันใช้ภาษา ฟังดีๆ อาตมาใช้ภาษาว่าวนน่ะ เช่นว่า

แต่ก่อนนี้ เราไม่ทำอะไรเลย เมื่อใหม่ๆ ที่แดนอโศกนี่ ไม่ทำงานอะไร ไม่ทำงานอะไร พยายาม สังวรระวัง เดินไปไหน มาไหนก็กุมมือ ก้มหน้า เดินชนคนเอาเลย แต่ก่อนนี้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ ปิดๆ อะไรๆ พบอะไรก็ปิดหมด อยู่แต่เรียนรู้จิตใจ เรียนรู้อารมณ์ เรียนรู้ภายในจริงๆ เลย ก็แรกๆ มาเป็นอย่างนั้น อะไรอื่นๆ คนอื่นๆ เราจะอะไรอย่างไร ตัดให้มากที่สุดเลย คนเก่าๆ ระลึกดู ก็จะจำได้ จะระลึกออกนะ มันเหมือนกะซื่อบื้อ ง่ายๆ แล้วก็ตัดอันนอกออกให้หมด เหลือไว้ใน ให้มากที่สุด เพราะว่ายังใหม่ เราก็ทำอย่างนั้น คบหาสมาคมกับอะไรกับใคร ก็ไม่กระทำ ตัดเปรี้ยง เรื่องอะไรๆ นี่พูดแรง เลิกละออกมาให้แรงๆ เห็นมุมเหลี่ยมของความไม่ดีไม่งาม อย่างจัดๆ จ้านๆ หยาบๆ แรงๆ เลย ถล่มมาก ถล่มอะไรต่ออะไร เขาเยอะแยะ อะไรๆ เราจะทิ้ง จะเอาอะไร เราจะทิ้ง จะตัด ถล่มกันมากๆเลย ไม่ว่าด้านกาม ไม่ว่าด้านมานะ ด้านสวย ด้านงาม

แม้แต่เนื้อสัตว์นี่ก็ถล่มจัด ถล่มบุหรี่ หมากพลู นี่พูดกันวันยังค่ำ สมณะสมัยก่อนนี้ จะเทศน์เมื่อไร เห็นหน้าใครมานี่ เขาสูบบุหรี่ หรือเขากินหมาก ซัดเอาก่อนเลย สิ่งเสพติด ว่าอย่างนั้นนะ เอาใหญ่ ถล่มหนัก ไม่ดีอย่างไร วิเคราะห์วิจัยหมดเลย ถล่มหนัก และในเรื่อง หยาบๆ ต่ำๆ ในเรื่องง่ายๆ อย่างนี้จะพูดหนัก เพื่อที่จะให้มีน้ำหนักของความจริง มุมเหลี่ยมอะไร ก็พูดกันมาก เพื่อเห็นชัด แล้วเราก็จะได้ละหลุดออกมาได้ ทีนี้พวกเรา เจริญขึ้นๆ เราก็ไม่ค่อย จะพูดถึงสิ่งเหล่านั้น เราพูดถึงสิ่งอื่นต่อๆไป ซึ่งมันก็สูงขึ้นๆ ตามลำดับ ความเจริญนี่ จะเป็นเหมือนกับเราเดินขึ้นสู่ยอดเจดีย์ ด้วยบันไดวน ตอนแรก เราอยู่ชั้นล่างสุด ของพื้นฐาน เราก็จะอยู่ตรงนี้ คนที่เดิน มันก็จะเดินขึ้นไปเรื่อยๆ บันไดวน มันก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ วนนี่สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้น

ถ้าผู้ใดไปตาม ก็จะได้รายละเอียด เข้ามาคบหา เข้ามาเดินด้วย เข้ามารับซับทราบ แม้จะไม่ปฏิบัติตาม ร่วมฟังธรรมบ่อยๆ นี่เท่านั้น ก็พอจะรู้ว่า เรามีอะไรพัฒนาขึ้น มีอะไรที่ขยาย มีอะไรละเอียดลออ ซับซ้อนขึ้นไป มันซับซ้อนขึ้นเสมอ มันละเอียดขึ้นเสมอ เดินวนมา เหมือนบันไดวน ขึ้นสู่ยอดเจดีย์ เสร็จแล้วก็เดินวนมาตรงที่เก่านี่แหละ มาวน มาเจอที่เก่า แต่ไม่ใช่ ที่เก่าแล้วน่ะ แต่คนที่ไม่ได้ขึ้นนี่ จะเหมือนว่า เราซ้ำที่เก่า เพราะไม่ได้ขึ้น ไม่ได้มีเนื้อหา รายละเอียด ที่สูงขึ้น ตามยอดเจดีย์ ตามลำดับฐานของเจดีย์นี่ มันเดินมาวนนี่ เหมือนกับ อย่างที่เก่า เหมือนของเก่า แล้วก็บอกว่าใหม่ มันเหมือนซ้ำ เหมือนปฏินิสสัคคะ เหมือนสลัดคืน มาสู่อย่างเดิม แต่ไม่ใช่เดิมแล้ว แต่คนที่ไม่มีเนื้อหานี่ จะเห็นว่าเป็นเดิม พอการเจริญ ก็จะใหม่ไปอีก เพิ่มเติม เสริมสานความสูงขึ้นไปอีก ก็วนไปอีก ไปสู่ระดับชั้นสอง ชั้นสาม ชั้นสี่ ก็วนมาอย่างนี้อีก ไปจนกระทั่งถึงยอด ถึงยอด แล้วก็คนเก่ายังไม่ขึ้นไปนี่น่ะ เขาจะรู้สึกว่า เราเหมือนเดิม

เพราะฉะนั้น ยอดสุดกับปลายฐานสุดนี่น่ะ คนบ้ากับคนยอดอัจฉริยะ นี่น่ะเขาถึงมองว่า อันเดียวกัน คนไม่รู้เรื่องเลย ไม่ได้ติดตามเลย จะบอกว่าอยู่ที่เดียวกันน่ะ อันเดียวกันน่ะ แต่มันซับซ้อน ตั้งไม่รู้กี่ชั้น บนลงมานี่ ไม่รู้กี่ต่อกี่ชั้นๆๆๆๆ นี่อาตมาทำเป็นรูปธรรม ทำมือให้ดู ถ้าคุณยิ่งไปเขียน เรียกว่า ยิ่งมีอะไรเป็นสิ่งที่ยืนยันชัดๆ จะเห็นแต่ในรายละเอียด ของชั้นต่างๆ ของพวกนี้มีมากมาย สูงขึ้นไปก็มากขั้นละเอียดลึกซื้อขึ้น เข้าหาแก่นมากขึ้น

เราค้าขายทุกวันนี้ เข้าใจมากขึ้น สำหรับผู้เข้าใจ สำหรับผู้ที่ยิ่งละ ละทางกิเลสปรมัตถ์แล้ว จะเบิกบานร่าเริง จะทำงานหนัก เหมือนกับชาวร้านค้าโต้รุ่ง หนักนะ พวกร้านค้าโต้รุ่ง นี่ขายกัน วันยังค่ำ ขายอย่างกับตลาดโต้รุ่ง ที่แท้ เขาขายทั้งกลางวันกลางคืน ก็เปลี่ยนผลัดกันนี่นา โอ! บางคนนี่ คนน้อยมานอนกันไม่กี่ชั่วโมงหรอก หนัก แต่เขาหนักของเขา เขาหาเงินหาทอง แล้วเขาก็เสพ บำเรอทั้งกินทั้งเสพ เพื่อที่จะให้มีการบำรุงร่างกาย การบำเรอ บำบัดอะไรของเขา ที่คนพวกขายสินค้าโต้รุ่ง ขายอาหารโต้รุ่ง อะไรพวกนี้ เขาทำงานหนัก แต่เขาก็บานออกทางกาม บานออกทางอัตตา บานออกทางกิเลสที่มันเสริม เพื่อบำเรออะไรเอาไว้ เขาไม่ได้ลดได้ละ ย่ามใจในเรื่องที่ ยิ่งทำการค้า ก็ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งทำหนักก็ยิ่งได้รายได้มาก รายได้น้อย ก็ชักจะอึดอัดขัดเคือง ชักจะไม่พอใจถ้ามันลด ถ้าลงได้รายได้มากขึ้น ลดลงหน่อยไม่ได้เลย เพราะว่า ไม่ยอมเสียสละ

อย่างพวกเราทุกวันนี้นี่นะ ในชาวชมร. นี้ก็ตาม ตอนนี้เราเจอภาวะภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้วคนข้างนอก เขาก็ขึ้นราคาของ เราไปซื้อของเพิ่มขึ้นมามาก วัตถุดิบที่เราไปซื้อ มาปรุงอาหาร นี่แพงขึ้น แล้วเราก็มาขายอยู่ราคาเท่าเดิม เสร็จแล้ว ยังไม่รู้เลยว่า เขาจะเก็บภาษี นี่เขาไม่ยอมน่ะ ชมร. นี่เขาไม่ยอมอนุโลมให้แล้ว เห็นคุณรุ่งโรจน์ติดต่อทางสรรพากร จดหมาย ขอให้คิดอย่างเดิม คิดกลัวสมาชิกจะลดละ เขาบอกว่า พวกเรานี้มันมีการค้า ที่มีรายได้เท่าไหร่ กี่แสนล่ะ นั่นแหละ จำนวนนั้น เขาบอกไม่ได้หรอก พวกที่มีรายได้ ขนาดเท่านี้แสน จะต้องเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามวิธีการของเขา ตกลงเราจะเสียภาษี มากกว่าที่เสียเดิม

แต่ก่อนนี้ เราไปซื้อของ ซื้อวัตถุดิบที่เขาขึ้นราคากันนี่ พวกที่บวก ๗% อะไรก็แล้วแต่เถอะ ขึ้นด้วยวิธีกลบเกลื่อน หาเรื่องที่จะเอาเปรียบเอารัดอะไรก็ตามแต่ เราก็เจอ เพราะว่า เราอยู่ในทิศ อยู่ในความไม่พยายามที่จะหาทางเอาเปรียบอยู่แล้ว เราก็ยอมซื้อของแพง เราก็จำยอม เราก็ไม่ขึ้นราคา เราก็ขาย ๕ บาท อะไรอย่างนี้ เสร็จแล้ว เรายังจะมาเสียภาษี เพิ่มขึ้นไปอีก ซ้อนขึ้นไปอีก เราก็จะต้องเสียไปอีก แต่จิตใจของเรา ผู้เสียสละ ก็ได้ละล้าง กิเลสมานี่ ถึงวันนี้ นี่ระบบโลก เศรษฐกิจมันสูงขึ้น อะไรๆมันลดลง อะไรๆ มันก็กระเบียด กระเสียรมากขึ้น อัตราราคาขายอะไรเพิ่มขึ้น เราจะต้องเสียยุบ เสียยับ มากขึ้น แต่จิตใจของเรา มันเสียสละ เราก็ไม่วู่วาม

เราจะไม่วู่วามเหมือนพ่อค้า ที่ขายของที่ ตลาดโต้รุ่ง แน่นอน ที่อาตมากำลังพูดถึง ยกตัวอย่างประกอบ พ่อค้าตลาดโต้รุ่ง เขาจะไม่ยอมเด็ดขาดเลย ลด ยิ่งยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่า เขาเคยขายของมา ขายมาได้ตอนนี้เขาฐานะดี การค้าของเขาสูงขึ้น แต่ก่อนขายได้ วันละร้อย ต่อมาขายได้วันละห้าร้อย ต่อมาขายได้วันละพัน ต่อมาขายได้วันละห้าพัน พอต่อมาๆ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง เกิดขายตกลงมา จากวันละห้าพัน มาเหลือวันละสองพัน เขาจะเดือดร้อนมาก เขาจะเป็นจะตายมากเลย หรือเขาจะต้อง ไม่เสียเหมือนอย่างกับเรา เรากำลังจะเสีย เราๆๆๆ ลดส่วนได้ เหมือนอย่างพวกที่เราเจอ เหตุการณ์นี้ ลดส่วนได้ ลดที่เราจะต้องไปซื้อของมาแพง จะต้องเสียภาษีเพิ่ม จะต้องเสียอะไรนี่ เราจะลดส่วนได้ ลงไปอีกเยอะเลย

เรียกว่า เราสรุปง่ายๆ คือภาษาโลกก็ว่า เราขาด ขาดรายได้ ไม่เหมือนเดิม จะย่ามใจเคยได้มาก แต่ตอนนี้ มันชักจะลดลงไปแล้ว คนทางโลก ที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมนี่นา เขาจะเสียใจ แล้วเขาจะวูบมากเลย แต่พวกเรานี่เจริญขึ้น จิตใจของเรามั่นคง จิตใจของเราเสียสละได้ เราจะไม่วูบวาบ เหมือนอย่างเขา จะไม่เดือดร้อน จะไม่ทุกข์ เหมือนอย่างเขาไปทีเดียว แล้วเราจะรู้ว่า มันก็ลด แล้วเราจะเข้าใจว่า ยิ่งมีปัญญา จะรู้ว่า เหตุอะไร? มันถึงเป็นเช่นนั้น เราขายตกเพราะอะไร หรือว่ารายได้เราลดลง หรือว่า เราไม่ได้เพิ่ม แต่ตอนนี้ เราต้องลดลงแล้วน่ะ หรือเราต้องขาดทุน นั่นเพราะอะไร ถ้าเราเข้าใจเหตุผล ทุกอย่างน่ะ แล้วเราก็ยินดีที่จะเสียสละ จิตของเรายอมเสียสละได้ เราก็จะไม่ทุกข์

ถ้าเรายิ่งเป็นผู้ที่มีจิตใจว่า เอ้า! เสียสละแล้วเราอยู่ได้ไหมล่ะ ถ้าเราอยู่ได้ แล้วเราก็ยอม ยอมเราก็ได้เสียสละเพื่อ เท่ากับเราสูงขึ้น ฐานสูงขึ้น ที่จริงน่ะ เราเองเราขาดทุนมากขึ้น เราได้เสียสละมากขึ้น เรายอมได้ เรียกว่า เราเห็นว่า เราฐานะอย่างนี้น่ะ ขายได้ ขนาดนี้ เราก็อยู่ได้ แต่เราได้เสียสละมากขึ้น ส่วนได้รายได้ลดลงไป เราก็ไม่ได้พะวงถึงรายได้ แต่ว่าเราคำนึงถึงว่า เราจะยืนหยัดอยู่อย่างนี้แหละ เราจะยืนหยัดราคานี้ หรือจะขายต่ำอย่างนี้ ประชาชน ก็จะได้รับ ซื้อถูก เรียกว่า คนเดือดร้อนก็จะได้พึ่งพา อย่างคนจนบอกแล้วว่า เงินเขาไม่ขึ้นหรอก คนที่อยู่ในฐานศูนย์นี่ ฐานศูนย์นี่ อัตรารายได้โลกเขาขึ้น เขาก็ไม่ขึ้นอะไร กับเขาหรอก หรือผู้น้อยนี่ ถึงแม้จะเพิ่มก็เพิ่มน้อย ผู้สูงอัตราฉ้อฉลในสังคม นี่เขาก็ลดก็เพิ่มสูง เพิ่มอัตราสูง แต่พวกต่ำนี่ยังเดิม แม้จะเพิ่ม ก็เพิ่ม กระดิ๊กๆๆนะ พวกราคาของเงิน กรรมกร จะเพิ่ม ที่จะรายได้จะเพิ่มขึ้นทีละ ๕ บาท ๓ บาท โอ้! โหย! ยาก

แต่อัตราของการเพิ่มพวกอื่น นี่น่ะ โอ้โฮ! ทุกวันนี้นี่ ตอนนี้เงินเดือนนายกแสนห้า ตอนนี้ เงินเดือนนายกแสนห้า เดือนละ แสนห้า แต่ว่ากรรมกรขอเพิ่มเป็น ร้อยห้าสิบบาท วันละ ร้อยห้าสิบบาท ยังจะยอม หรือไม่ยอม ไม่รู้ตอนนี้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ซึ่งมันก็ลำบากนา ตอนนี้ พวกขายข้าวแกง ขึ้นไปจานละ สิบห้าบาท แต่ก่อนนี้ ขายสิบเพิ่มขึ้นอีก เป็นสิบห้าตอนนี้ แล้วอัตราการเพิ่มขึ้น ๕ บาทนี่ มันเท่าไหร่คิดดูซิ แล้วกรรมกรจะเพิ่มอัตราเงินรายได้ วันละแค่นั้น มันจะไปพอถูพอไถอะไร แต่นายกนี่นะ จากเงินเดือนไม่ถึงแสนดี ไม่ถึงแสน ขึ้นเป็นแสนห้า นี่ มันเป็นอย่างไรล่ะ อัตราฉ้อฉลอย่างนี้ ขนาดเป็นรัฐบาลน่ะ ส่วนเอกชนน่ะ มันยิ่งกว่านี้ เขามีอัตราการก้าวหน้า ยิ่งกว่านี้ นี่อัตราฉ้อฉล สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อน

อาตมาหยิบยกมาพูดกับคุณนี่ มันรู้สึกว่า เรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน แต่ที่จริง มันยิ่งใหญ่ แล้วมันก็ ละเอียดซับซ้อนมากกว่าที่ อาตมาพูดถึง อาตมาอธิบายไม่ไหว สิ่งเหล่านี้มีทั้งการเจริญ ที่รูปธรรม การเจริญนามธรรม เรามองไอ้พวกซื่อๆ เราก็บอก โอ้ย! ไปไม่รอดแล้ว พวกที่ยังฐานต่ำ หรือภูมิต่ำนี่ แล้วยังบอกว่า แบบนี้ขาดทุน แบบนี้ไปไม่ได้ แบบนี้ก็ตาย แต่ฐานสูงก็บอกว่า เราก็ดูรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้น ต่างๆ นานา ว่าจะตายหรือไม่ตายเราก็ดูก่อน จริงๆแล้ว เราไม่ตาย เราก็อยู่ได้ต่อไป จริงๆแล้ว เราไม่ นอกจากไม่ตายแล้ว ก็เกิดความเจริญ เพราะจิตใจ เราเสียสละได้มากขึ้น ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ได้เกื้อกูล คนที่ควรเกื้อกูล ได้ช่วยคนที่ลำบากลำบน หรือขึ้นไปกับเขาไม่ได้ ก็อยู่ด้วยกันในฐาน ที่ยากที่จน ด้วยกันนี่แหละ มีน้อยด้วยกัน ได้เกื้อกูล คนน้อยอย่างนี้ เป็นต้น

นี่อาตมายกตัวอย่างเรื่องเดียว หยิบตัวอย่างจากแง่การค้าขาย ที่มัน กำลังเกี่ยวเหตุการณ์พวกนี้ มาประกอบ แล้วพวกคุณฟังดูดีๆ ว่า ทั้งจิตวิญญาณ ทั้งสภาพรูปธรรม รูปการที่มันมีอยู่นี่ มันซับซ้อน อย่างนี้เป็นต้น เราได้มีสัมมาอาชีพ มีกัมมันตะ มีการกระทำ มีพฤติกรรม มีองค์ประกอบอะไร ก้าวหน้ามาถึงวันนี้แล้วนี่ ไม่ใช่ว่าเราจะย้อนไปคนอย่างเดิม อยู่ในภพเดิม ไม่กระเตื้องกับเขา จมอยู่ ไม่รับรู้เหตุปัจจัย ไม่รับรู้ความหมาย ไม่รับรู้เรื่องราว ไม่รับรู้อะไร ต่ออะไร ที่มันซับซ้อนมา มีโน่นมีนี่นา เราก็จะเป็นคนจมอยู่ในภพนี่ แล้วเราก็จะยืนอยู่ตรงนี้เซ่อๆ พอสภาพที่ มันเจริญสูงขึ้นๆๆ วนมาถึงที่เดิม หรือว่าสลัดคืน หรือว่ามันเหมือนเรามา ทำเก่า เหมือนเราไปว่าเขาแล้ว แค่ตอนนี้ เราเอ้! เหมือนกับเวียนกลับมาทำ อย่างที่เราเคยว่าเขา อย่างนี้แหละ เหมือนสลัดคืน

ไอ้การสลัดคืน หรือว่าการวน มาถึงที่เดิม คนไม่กระเตื้องอะไรเลย ไม่มีภูมิเพิ่มเติมอะไรเลยนี่ จะจมอยู่ในภพตัวเองจริงๆ แล้วมันจะมองไอ้จุดที่มันมาจบที่เก่านี่ อย่างที่อาตมาว่า เขายืนอยู่นี่ วนขึ้นไป บันไดวนขึ้นไปมาถึงที่เก่านี่ เขาคนนี้ก็จะมองว่า ไอ้ตัวเองว่าเขา ที่อิเหนาก็เป็นเสียเอง ไอ้เราก็ทำเสียเอง แต่คนที่จะไปทำ มาทำสิ่งนี้ได้ ทำอย่างเดิมอยู่ นี่ เหมือนเราตรึงราคาอยู่เดิมนี่ แต่ว่านั่นก็เป็นมุมหนึ่งเท่านั้นเอง การขายของนี่ เราตรึงอยู่มุมเดิม บอก เอ้อ !ไม่เจริญขึ้นเลย บอกขายอยู่ได้ ๕ บาทอย่างเก่า อะไรอย่างนี้ ที่จริงเราเจริญขึ้น อย่างกับอะไรดี ขาย ๕ บาท อย่างเก่า

แต่คนโง่นี่ มันจะไม่อย่างนั้นเลย ทำไมยังเวียนขาย ก็เขาเดินกันไปถึงไหนๆๆๆแล้ว ก็การค้าน่ะ มันต้องเจริญไปซิ ถ้าคนพาซื่อ ง่ายๆ อาตมาอธิบายภาษารูปธรรมง่ายๆ มันก็เจริญไป ตามเขาบ้างซี ดูซีนี่ ส่วนได้ลดลงๆๆ แล้วจะไปเจริญอย่างไร ถ้าจริงๆแล้ว อาตมาเคยบอก การค้าของพวกเรานี่ ถ้ารายได้ ยิ่งลดลงๆ แล้วเราก็อยู่รอด นี่ มันยิ่งเจริญใหญ่เลย สุดท้าย แจกฟรีได้ด้วยนี่ ยิ่งเจริญ สูงสุดเลย มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันก็ยากที่จะคิดถึง แต่ว่า มันจะเป็นไปได้ต่อเมื่อ มันมีเหตุปัจจัย ผสม ผสานกันมา สมบูรณ์เต็มที่

อาตมาแต่ก่อนนี้ ก็คิดจริงๆเลยว่า อาตมาจะไม่ต้องแต่งเพลงอีก คิดจริงๆเลย ตั้งใจจริงๆ เลยว่า จะไม่แต่งเพลงอีก แต่เสร็จแล้ว เมื่อเหตุปัจจัยมา พอถึงวันนี้ แล้วมาถึงตอนนี้ ตอนที่แต่งนี่ อาตมาก็มาแต่งเพลงอีก แล้วอาตมาก็แน่ใจว่า อาตมาไม่ได้แต่งเพลง เหมือนก่อนแล้ว ไม่เหมือน แต่แต่งเพลงเหมือนเก่า แต่ไม่ได้แต่งเพลงเหมือนเก่า อาตมาต้อง พาดูหนัง ดูละคร มาดูทีวี ซึ่งอาตมาก็ไม่คิดเรื่องวิดีโอ (Video) ทีวีนี่ อาตมาถ้าใครอยู่เก่าๆ แล้วจะจำได้เลย ได้เครื่อง ได้กล้องถ่ายวิดีโอมาตัวหนึ่ง โอย! แต่ก่อนนี้ เราให้แตะให้ต้อง ไม่ได้หรอก ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งเลยน่ะ แล้ววิดีโออะไรนี่กว่าจะดูนี่ อาตมาเซ็นเซอร์แล้ว เซ็นเซอร์อีก แต่ก่อนนี้ ต้องสารคดี ต้องอะไรแข็งๆ ไม่กล้าให้มาดูเป็นนิยาย เป็นนิทาน เรื่องราวอะไรหรอก จนสุดท้าย ถึงขั้นเอามาเปิด ตั้งเป็นเครื่องให้ดูข้างล่างเลย อะไรต่างๆนานา

ถ่ายวิดีโอ ก็ถ่ายกัน แม้ในสถานที่บางที่ถือไป บางทีบางอัน ชาวอโศกอย่าว่าเลย แม้แต่สมณะ บางรูป ตอนนี้ก็ถือกล้องวิดีโอถ่าย แต่มันไม่เหมือนเก่าน่ะ มันไม่เหมือนแต่ก่อน ที่เราไม่มีความรู้ ไม่เข้าใจว่า เราจะทำอะไร ดูแล้วแม้เดี๋ยวนี้นี่ แต่ก่อน เราดูถูกดูแคลน แต่แค่พระถือ กล้องถ่ายรูป แล้วก็ไปถ่ายรูปนี่ เราดูถูกดูแคลนมากเลยน่ะ แต่จิตใจเราเดี๋ยวนี้นี่ เราเลวลง ที่จะไปถ่ายรูป อย่างนั้นไหม เราจะเป็นลักษณะ เรานึกถึงว่าคนที่ถ่ายรูปอย่างนั้น ที่พระถือกล้อง ถ่ายรูป จะไปถ่ายรูป แหม ถ่ายคู่กับอีหนูอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา หรืออะไรแล้วแต่ หรือจะถ่ายรูป อย่างไร จิตใจเราดูซี ว่าเราถ่ายอย่างไร สมณะเราก็ถือกล้อง กดถ่ายรูป แต่พวกเรา แต่ถึงแม้จะอย่างนั้น เราก็รู้โลกวัชชะน่ะ เราก็ไม่ไป แม้แต่แค่ถือกล้องวิดีโอ เราก็รู้โลกวัชชะน่ะ เราก็ไม่ไปทำ แต่ถ้าทำล่ะ จิตฐานสูงแล้ว ถ้าทำสิ่งนี้นี่

แต่ก่อนเราไม่แตะต้องจริงๆ เลยน่ะ จิตใจเรา รู้สึกรังเกียจจริงๆเลยน่ะ ไปจับไปต้อง ไปอะไรนี่ โอ๊ะ! มันรังเกียจจริงๆเลย แตะไม่ได้ ต้องไม่ได้ เหมือนกับมันเป็นอุจจาระ อะไรต่างๆ นานา แต่ตอนหลัง เราก็เข้าใจว่า อ้อ! มันเกิดประโยชน์อันนี้ คุณค่าอันนี้ ถ้าสมควรสมเหมาะ แล้วจิตใจของเรานี่ เพื่อเราเอง อยากทำ หรือบำเรอตนเอง หรือเปล่า เราต้องดูจิตใจของเราจริงๆ ถ้าเราไม่ได้บำเรอตนเองจริงๆแล้ว มันจะต้องลงทุนลงแรง ที่จริงมันเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า มันไม่อยากจะทำด้วยซ้ำไป แรกๆ แต่ต่อมา เราก็จำยอมทำ ต้องพยายามกระทำ แล้วเราก็ยิ่ง เห็นคุณค่า ยิ่งเห็นประโยชน์ว่า เราทำนี่ ทำเพื่ออะไร เพื่อใคร นานๆไป เราก็จะต้องรู้ด้วยว่า กิเลสอนุสัย มันอยู่ในใจนี่

ตอนแรกๆ เราก็จะรู้สึกว่า เราเองเราไม่ได้เพื่อตน อย่างอาตมา มาแต่งเพลงนี่ เมื่อแรกใหม่ๆ เราจำนน เราต้องมาทำ เพราะว่าเราเอง เราเข้าใจว่า เราไม่ได้มาแต่ง เพื่อตนเอง แต่แต่งไปแล้ว แต่งไปแล้ว ทำไปแล้ว นี่ลึกๆ อนุสัยมันขึ้นน่ะ มันยังไม่สูญ มันจะขึ้น โอ! นี่เรา ยังแอบมาเสพ มาแลบ มาเลีย น่านี่ รู้สึกติดรสอร่อย รู้สึกภาคภูมิ รู้สึกหลงใหล รู้สึกมีรส แม้มันไม่จัดจ้าน เหมือนอย่างแรกๆ เดิมๆ ก็ตาม เราจะต้องอ่าน ต้องเรียนรู้ มันเป็นเหตุปัจจัย ที่ให้เราศึกษา ของจริง เป็นประสบการณ์ของมนุษย์ แล้วเราจะรู้ความควร ความไม่ควร ถ้าเราเรียนรู้ พวกนี้ไม่ทัน เสร็จเลย ต่อไปก็ไอ้ที่เราเวียนกลับมา เรานึกว่าเราล้าง เราลดนี่แหละ มันจะก่อเกิด กิเลสนั้นโต ขึ้นๆๆ เหมือนเรามาดูวิดีโอนี่แหละ เราดูวิดีโอนี่ เราดูไปแล้ว ตอนแรก เราก็ ตั้งท่ามาดูอย่างที่ แหม คนจะเป็นนักศึกษาเลยน่ะ ดูๆไป อนุสัยมันยังไม่หมด มันก็ค่อยๆ ขึ้นๆๆมา แล้วเราก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้พากเพียรสังวรระวัง ดูไป ดูวิดีโอไป อาตมาว่า เดี๋ยวต้องสึก หรือจะต้องออกไปนอกที่นี่ จากดูวิดีโอ นี่แหละ ไม่อะไรหรอก

พวกเราชาว ชมร. นี่แหละ ไปค้าไปขาย ไปทำงานที่ชมร. หนักเข้าๆ ถ้าไม่เจริญน่ะ ก็บอก อื้อ! เราขายเราก็ แต่ก่อนเราก็ทำกับข้าวไม่เป็น เดี๋ยวนี้ ชักมีฝีมือ ชักเก่ง ชักรู้เหลี่ยมการค้า การขาย เอ้! ขายดีน่ะ กิเลสมันก็แอบเสพเรื่อยๆเลย อย่างโน้นอย่างนี้ เรื่อยๆเลย แล้วก็เกิดการผลัก เกิดการ ต้องลด ต้องละ แหม! เมื่อยเข้า อยู่ที่นี่ไม่ได้กินเต็มที่ ไม่ได้นอนเต็มที่ ไม่ได้บำเรอตน อย่ากระนั้นเลย กูมีฝีมือแล้วนี่หว่า วิธีการค้า ก็ชักรู้แล้วนี่หว่า ออกไปค้าขายเองเถอะ จะได้นอน เต็มที่ จะได้พักเต็มที่ จะได้กินเต็มที่ อย่ากระนั้นเลย ก็หาเรื่อง หาเรื่องเลี่ยงออกไป แล้วก็จบ อนุสัยขึ้นมา มันจะเป็นอย่างนั้น ชาว ชมร. เองก็ตาม ดีไม่ดี ไม่ใช่ไปแต่ได้ความรู้ ที่เป็นมานะ อัตตาน่ะ มีแฟนเสียด้วย เกิดกามเสียอีก เป็นเหตุปัจจัยเสียอีก นี่น้องน่ะ แยกไปทางโน้นก่อน ทำทีอย่าให้เขารู้น่ะ เสร็จแล้วเราก็ไปตั้งร้านกัน เสร็จแล้วเราก็ไปเอาทางโน้น แล้วเราก็ แต่งงานกัน ก็ตั้งครอบตั้งครัว เราก็มีความรู้แล้วนี่ แล้วเราก็มีอะไรแล้วนี่ ได้บำเรอ ตัวเองสมบูรณ์

มันจะมีตัวอย่างให้ดูบ้างอยู่หรอกสักคู่ หรืออาจจะสองคู่ หรือ อาจจะมากกว่านั้น ไม่รู้น่ะ อย่างนี้เป็นต้น ตอนแรกๆ ขึงขัง ท่าทีดี แต่เสร็จแล้ว กิเลสอนุสัย นี่ไว้ใจไม่ได้ พวกนี้เป็นเครื่อง ทดสอบเราเอง อย่างสำคัญ เพราะฉะนั้น ยิ่งศึกษา ก็ยิ่งเราไปทำ สิ่งเหล่านี้ออกไปค้า ไปขาย ก็ตาม ไปสู่วงข้างนอก มีกระทบผัสสะ ดีไม่ดี ไม่ได้มีการอยู่ ในหมู่เดียวกันหรอก อยู่ข้างนอก นั่นเลยแหละ ลูกค้า เวียนมาซื้อกันบ่อยๆ หนักเข้า เราก็มียุทธ มีวรยุทธ เรามีความสามารถ กิเลสเข้ามากๆ อุ๊ย! อยู่ที่นี่ กินก็ไม่ได้กิน นอนก็ไม่ได้นอน เงินก็ไม่ได้ อะไรต่อ อะไรต่างๆ นานา เรามันก็เก่งขึ้น กามมันก็เรียกร้องด้วย โอ๊ะ! หลายเหตุ หลายปัจจัย อีกหน่อย ก็เสร็จอีด่าง ไม่ยากไม่เย็นอะไร เสร็จไอ้ด่างก็ได้ ไม่ใช่ แต่เอาอีด่าง อย่างเดียว เสร็จไอ้ด่างด้วย อะไรต่างๆ พวกนี้ เป็นได้ หรือไม่ก็ พวกเราเองนี่แหละ เกิดกาม เกิดมานะซับซ้อน อย่าว่าแต่เรื่อง ไปค้าขาย ชมร. ก็ตาม ดูวิดีโอ นี่ก็ตาม ทำงานหนังสือ หนังหาก็ตาม ทำงานคอมพิวเตอร์ก็ตาม ทำงานอะไรก็ตาม พวกนี้มันให้เกิดอัตตามานะ แล้วมันก็เกิดกามขึ้นมาได้ บอกแล้วว่า หลักใหญ่ๆ ก็มีแกนกามกับแกนมานะ เท่านั้นแหละ กิเลสหลัก เพราะฉะนั้น

ผู้ใดที่จมอยู่ในภพ ไม่เจริญ ไม่ว่าจะทำงาน ไม่ว่าจะอะไรๆก็แล้วแต่ พวกเราก็พัฒนาการเจริญ แต่การเจริญ ที่เป็นโลกียะ มันก็จะเกิดตัวกูของกูขึ้นมา เกิดสักกายะขึ้นมาอย่างที่กล่าว เกิดสักกายะก็คือ อยู่ที่นี่ไป ไม่ใช่ว่าเราอยู่อย่างฤาษี เราพัฒนาความสามารถก็พัฒนา ความรู้ก็พัฒนา แต่ความรู้ทางธรรมไม่พัฒนา นี่ เจริญแต่ความรู้โลกีย์ ความรู้โลกๆ เหมือนกับ ไปเรียน หนังสือหนังหา เหมือนกับไปอยู่มหาวิทยาลัยโลกๆ เพราะที่นี่เราก็เรียนความรู้ ความสามารถ เรื่องนั่นเรื่องนี่ บางคนไม่มีความรู้อะไร ไม่มีความสามารถอะไร มาอยู่กับอโศกเรา มาทำไอ้โน่นก็เป็น ไอ้นี่ก็เป็น ขนาดมาอยู่ที่นี่ขับรถก็ไม่เป็น ขับรถเป็นหลายคน มาทำงาน นั่นก็เป็นช่าง นี่ก็เป็น คุณก็พิมพ์ เพิ่มนี่ ก็ไปรับอ้างเป็น ขนาดมาเป็นสมณะแล้วน่ะ นี่ไปรับจ้างข้างนอกแล้วนี่ ดีไม่ดี จะแต่งงานหรือเปล่า ไม่รู้อย่างนี้ เป็นต้น

นี่ก็เป็นตัวอย่าง มันเกิดความติดภพอยู่ แต่ว่ามันก็มีวิชาความรู้ของตัวเอง มันก็ทำให้เราเอง เอ๊ะ! เราชักไม่มีปัญหาแล้ว เราเจริญได้

นี่ไม่ได้พูดทวงบุญทวงคุณน่ะ แต่ว่าพูดให้เห็นสัจจะ พูดให้รู้ แล้วก็ไม่พูดกระหน่ำย่ำยี คนที่อาตมาพูดพาดพิง อาจจะถูกบ้าง บุคคลที่เป็นอย่างนั้น ในสิ่งเหล่านี้แหละ ซับซ้อนอยู่จริงๆ แต่ถ้าผู้ใดเจริญจริงแล้วน่ะ ไม่ได้ติดภพ ไม่ได้ติดที่เก่า แม้จะเจริญทางความรู้ ความสามารถแบบโลกีย์ ถ้าเจริญทางธรรมด้วย มันก็ยิ่งจะเห็นคุณค่าว่า โอ! เรามีบุญมากขึ้น อันนี้ ความรู้ความสามารถก็มากขึ้น เราก็ได้สร้างงานอยู่ในนี้แหละ ช่วยกันรังสรร ช่วยกัน ประกอบกิจการ ส่วนสัมมาอาชีพ เป็นตัวอย่าง เป็นการงานที่ยิ่งลึกซึ้ง ซึ่งจะต้องพ้นมิจฉาชีพ ๕ อย่างดี มีกัมมันตะ มีพฤติกรรม กาย วาจา ใจ มีความรู้ ความสามารถ แล้วก็มี อาชีพ ในสิ่งที่ทำ เน้นไปในแต่ละบุคคลนี่ บางคนอาจจะต้องทำอาชีพอยู่เก่าๆ นี่น่ะ นาน แต่คนที่ศึกษาดีแล้ว แม้เราจะทำงานอะไรอยู่ ในเรื่องเก่า ที่เราก็ยังทำอยู่ เลย์เอาท์มา ๑๕ ปี ไม่ได้ไปทำงานอื่น ทำงานนี้เป็นหลัก แต่ก็จะสัมพันธ์สามัคคี จะเป็นคนที่อยู่กับหมู่กลุ่มในธรรมะนี่ เพราะติดตาม ฟังธรรม พัฒนาตัวเองเจริญ จะเข้าใจคนอื่น จะเข้าใจงานอื่น จิตใจเจริญลดละกิเลส จะไม่เกิดการระแหง จะไม่เกิดการแยก การแตก จะไม่อยู่ในภพ จะไม่มีมานะ ถือดี ถือตัว มีโน่นมีนี่ หรือกามขึ้น แล้วเสร็จแล้ว เราก็เลยออกไป เรียกว่า เราก็อยู่ในกลุ่มไม่ได้ แล้วก็มีความเห็นไม่ร่วม ทิฐิไม่เป็นสามัญตา ไม่มีความเห็นร่วมกับพวกเรา ไม่เห็นความร่วม ไม่มีความเห็นร่วมกับผู้ใหญ่ ไม่เห็นร่วมกับสิ่งที่เราพัฒนาไป เดินทางไป มันจะเจริญขึ้น ด้วยทั้งรูปธรรม นามธรรม ก็ลึกซ้อน ยิ่งทวนกระแส

คนที่จิตวิญญาณเจริญ คือจิตวิญญาณที่ฉลาด แล้วก็เสียสละได้มากขึ้น ตัวเองยิ่งสูญลงๆ แต่การสร้าง จะมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น การสร้างนี่ เป็นรูปธรรมเป็นส่วนใหญ่ จะสร้างได้มากขึ้น จะเข้าใจว่า ทำไมต้องสร้าง ส่วนคนที่ไม่เจริญทางจิตวิญญาณ ทางนามธรรมนี่ ถ้าติด อยู่ในภพว่า ถ้าไปสร้างมาก ก็จะเพ่งโทษ แม้แต่ที่อาตมาจะสร้างวิหารนี้ เป็นต้น วิหารสันติอโศกนี่ ว่าเขา ว่าสร้างนั่น สร้างนี่ใหญ่โต ตัวเองก็จะสร้างใหญ่โต แต่คนที่ทำงาน จะรู้เลยว่า มันต้องขยาย มันต้องใหญ่โตรองรับ มันต้องอะไรต่ออะไร คนที่อยู่ในภูมิเดียวกัน อยู่ในความเจริญด้วยกัน จะรู้เลยว่า มีความจำเป็นแล้ว เราก็จะรู้ว่า เราทำมา เพื่อบำเรอตนหรือเปล่า ถ้าจริงจังแล้ว ไม่บำเรอตน จะรู้เลยว่า ไม่ได้บำเรอตน

แต่ทำเพราะว่า จะต้องมีฐานอาศัย มีเครื่อง จะต้องพรักกพร้อม ที่จะต้องรังสรรไปตามธรรมดา ธรรมชาติ ของสิ่งที่ก่อ ที่เกิด จะต้องมีการพิสูจน์ทางวัตถุธรรม มีการพิสูจน์ทางนามธรรมด้วย เป็นจิตวิทยาสังคม ที่อาตมาอธิบายแทรกประกอบไปด้วย แต่บางคน ไม่ติดตามฟัง ยังไม่รู้เลยว่า คำว่าจิตวิทยาสังคม ที่อาตมาอธิบายขยายความว่า เราจะทำวิหารสันติอโศกนี่ มีผลทางจิตวิทยาสังคม แล้วอย่างที่อาตมาขยายความไม่มากนัก เรื่องสองเรื่อง ด้านของ ธรรมชาติบ้าง ด้านของของศักดิ์ศรี หรือว่าความจริงของสัจจะว่าเราเอง เราเจริญน่ะ เราไม่ได้ถูกหัก ถอนรากถอนโคนอะไร แต่เราเจริญ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

ผู้ที่ฟังมาแล้ว เข้าใจมาแล้ว อาตมาพูดแค่นี้ ก็คงพอเข้าใจ พูดมากนักไม่ได้ จิตวิทยาบางอย่าง พูดให้เขารู้ตัว คนรู้ตัว ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว หรืออะไรรู้ตัว เขาดักได้ เขาแก้ลำได้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ดีน่ะ มันก็บางอย่างนี่ เป็นเรื่องของอย่างทางจิตวิทยา ย่องไปบอกทางผู้ที่เรา จะทำกับเขาด้วย ไปบอกไต๋หมดเลยอย่างนี้ แก้โรคทางจิตได้ไง หรือแก้ทางจิตวิทยาได้ง่ายน่ะ สิ่งเหล่านี้ ลึกซึ้งซับซ้อนอยู่

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่เจริญตาม จะไม่รู้ว่าการเจริญของสมมุติสัจจะ นี่ มันเจริญทั้งวัตถุ เจริญทั้งนามธรรม ทุกวันนี้ พวกเรา จะว่าแล้วนี่ รายได้ก็ร่ำรวยขึ้น รายได้มากขึ้น แต่รายได้มากขึ้นนั้น จิตใจผู้ที่เจริญจริงๆ แล้วยิ่งปล่อยวาง ยิ่งไม่เห็นเป็นของเรา เรายิ่งละ ยิ่งวาง ยิ่งไม่หลงใหลได้ปลื้มกับรายได้เหล่านั้น แต่จะเอารายได้เหล่านั้น มารังสรร มาสร้าง เป็นประโยชน์ สะพัดออกไปสู่ผู้อื่นได้มากขึ้น ประโยชน์ท่านจะมากขึ้น ตนจะหนักขึ้น งานจะหนักขึ้น ถ้าเผื่อว่าองค์ประกอบของเหตุปัจจัย แรงงานไม่พอ แม้จะทุนมามาก แต่แรงงาน น้อยก็ตาม มันก็ยังต้องการแรงงาน แรงงานไม่พอ เวลาไม่พอ ต้องการเวลา ต้องแรงงาน มันไม่พอ ไม่ทันด้วยกัน มันจะซับซ้อน สอดเข้ามาให้เราได้เห็น อย่างนี้เป็นต้น เราก็จะรู้เลยว่า เราจะต้อง ลงทุนแรงมากขึ้น เหน็ดเหน่อยมากขึ้นน่ะนี่ เงินมาให้เราทำมากขึ้น แหม! นี่ลูกค้า ก็มากขึ้น โอ๊! เราจะต้องทำ ทุนรอนเรามีซื้อวัตถุดิบ ก็ทำมากขึ้นด้วยน่ะ ขายก็ดีขึ้นด้วยน่ะ แหม! แต่คนมาช่วย มันยังไม่เพิ่มเลย แรงงานมากขึ้น เราก็รู้เหตุปัจจัย เราก็จะไม่อิดหนาระอาใจ เราก็จะไม่ท้อแท้ เหนื่อยมากขึ้นก็ตาม แต่เราได้ทำประโยชน์สร้างขึ้นมานี่ คนลูกค้าได้รับมากขึ้น นี่เราได้ให้ประโยชน์ลูกค้ามากขึ้นน่ะ เขาจะได้รับผลงานผลผลิตของเราไปมากขึ้น อะไรอย่างนี้ เราจะเข้าใจ เหนื่อยมากขึ้น เราก็ไม่ประหลาดใจ อ้อ ! เราต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะอะไร เพราะเหตุปัจจัยว่า คนมาช่วยมันไม่มากพอ ที่คนไม่มาช่วยเพราะอะไร ก็เพราะว่า เราไม่ได้จ้างนี่ ไม่เหมือนทุนนิยม โอ้!นี่ร้านค้านี่ ขายได้มากขึ้น จะต้องมีแรงงาน ต้องการแรงงานมากขึ้น ก็จ้างคนมามากขึ้น เพิ่มขึ้น มันจ้างคนมามากขึ้นได้ทันที ขยายให้มากขึ้น ขยายร้านให้มากขึ้น ร้านโตขึ้นๆ เขาก็ไม่มีปัญหา ของเราผู้ที่รู้เหตุปัจจัย ก็บอก โอ้ย! ทำไม ไหนว่า ไปดูถูก คนทำอะไร ใหญ่ๆโตๆ ขึ้น อ้าว! เมื่อมันถึงวาระโตก็ต้องโตบ้างซี ก็นี่เรามาเข้าใจถึงเหตุปัจจัยว่า เราทำร้านโตขึ้น ไม่ใช่เราต้องการความหรูหรา แต่ว่าเหตุปัจจัยที่จะต้องร้านโตขึ้น ก็เพราะ เหตุปัจจัย ที่จะต้องทำประโยชน์ต่อคนอื่น มากขึ้นต่างหาก

หรือยิ่งมีคนมาเพิ่มขึ้น เราก็ต้องขยายขึ้น เช่นว่า เราต้องสร้างตึกขาวขึ้น ก็เพราะว่าพวกเรา มีมาเพิ่มขึ้น ที่ไม่พออยู่ ไม่พอพัก ไม่พอให้อยู่อาศัยกัน เราก็ต้องสร้างตึกขาว ๓ ชั้น ๔ ชั้นขึ้นไป นี่ก็สร้างตึก อีกตึกหนึ่งขึ้นมา ข้างตึกขาว นี่ยังไม่ได้สร้าง จนป่านนี้

เราผู้ที่เข้าใจกันอยู่ก็บอก มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้น เราจะต้องทำ แต่ขณะนี้ แม้ว่าเราจะทำงาน เรื่อง ชมร. เขาอาศัยที่นั่นเป็นครัว แต่ครัวก็ ไม่ค่อยไหว ตอนนี้ชักคับแคบ ขยายมาทางด้านนี้ ก็ยังไม่เรียบร้อย มันก็ยังซอกแซก มันก็ยังอะไรอยู่ ถ้าเผื่อว่าเราได้รื้อ ทำข้างล่างให้โล่ง อย่างที่เราได้คิดกันไว้ จะสร้างตึกใหมอีกตึกน่ะนะ แล้วก็ทะลุ ทำให้เป็นพวกด้านชมร.ก็ดี ครัวก็ดี เขาจะได้ ทำให้ถนัดยิ่งขึ้น จะได้ทำ แรงงานก็จะได้เบาขึ้น ความสะดวกก็จะเกิดขึ้น ก็เห็นดีเห็นชอบกัน ที่พัก ที่อาศัย ก็จะได้เพิ่มขึ้น เราจะต้องมีอะไร ใหญ่ขึ้นอย่างนี้ นี่ เราใหญ่เพราะเราอยากใหญ่หรือเปล่า เหตุปัจจัยมันก็จะเข้าใจ เหตุปัจจัยมันก็จะรู้ เราบำเรอตนหรือเปล่า หรือใครบำเรอตนก็จะมี ใครบำเรอตนก็จะมี หลงใหลดีใจ ได้ปลื้ม เพราะว่าเราใหญ่มากขึ้น งอกงามเจริญขึ้น มีไอ้โน่นไอ้นี่มากขึ้น มีแสง สี เสียงมากขึ้น แล้วเราก็หลงใหลได้ปลื้ม ตกไปในกิเลสที่มันบำเรอนั้น คนที่มีจริง ก็จะต้องรู้ตัวศึกษา คนที่เข้าใจแล้วว่า เออ! เราก็ต้องเพื่อผู้อื่นบ้าง เอาอย่างโน้นอย่างนี้ให้แก่เขา พอทำเนา ขนาดนั้นขนาดนี้ เราก็จะรู้ว่า เราไม่ได้บำเรอตน แล้วเราก็รู้ทัน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น มันจะวนๆ มาซ้อนอย่างที่อาตมาทำไปในรูปฐานจาก ฐานเจดีย์ไป แล้วถึง ยอดเจดีย์ให้ฟัง ทุกอย่างมันก็มีรายละเอียด ความเฉลียวฉลาดของเนื้อหาความรู้ ความเจริญ ทั้งรูปธรรม และนามธรรม แล้วมันจะซับซ้อน กลับกันย้อนกันไปเรื่อยๆ ความเจริญอันหนึ่งไป เจริญไปอย่างนี้ อันนี้เจริญขึ้นไป อย่างนี้ อีกอันหนี่งก็เจริญไปอย่างนี้น่ะ เจริญๆๆๆ เจริญขึ้น เจริญขึ้น ถึงสูญได้ อันนี้เราถือว่าสูญ แต่เจริญ แต่ก่อนกิเลสเราขนาดนี้ เสร็จแล้ว กิเลสเราลด ลงๆๆๆ แต่ความเจริญทางรูปธรรมเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นๆๆ มันก็จะสวนทางกันอย่างนี้

จนสุดท้ายแล้ว กิเลสเราสูญ วัตถุสูงขึ้นถึงยอด ไม่ได้เล็กๆ อย่างยอดเจดีย์ด้วยซ้ำไป วัตถุสูงขึ้นถึงยอด อ้าว! เหมือนฐานนี้ฐานใหญ่ ยอดยิ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ ฐานยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น ตามหลักของปิระมิด นี่มันจะสูงอย่างนี้อีก อย่าว่าแต่วนอย่างนี้เลย สูญอย่างนี้ก็ด้วย ในสภาพซับซ้อน อย่างนี้ทุกด้าน พอเข้าใจน่ะ เพราะฉะนั้น ในหลายๆอย่างนี้เข้าใจ คนที่ถึงสูญนี้ โอ้ คนที่ถึงสูญนี้ฐานใหญ่ อะไรเจริญนี่ วัตถุโต แต่จิตวิญญาณดิ่งมา ถึงสูญได้แล้ว แต่ฐานใหญ่ อาตมาพยายามยกตัวอย่างรูปธรรมประกอบนี่ มันไม่แค่นี้ ความจริง มันไม่ใช่อยู่ที่ฐานนี่น่ะ มันอยู่ยอด ความเป็นจริง เราอยู่ยอดน่ะ แต่ว่าต้องมีฐานใหญ่ อะไรพวกนี้เป็นต้น ไอ้สิ่งเหล่านี้ ซับซ้อนพวกนี้ น่ะ

อาตมาหยิบมาพูดนี่ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่อาตมาอธิบายเก่งขึ้น แล้วพวกเราก็มีภาวะรองรับ มีสภาพรองรับมากขึ้น ได้รับฟัง ทั้งภาษา คำบรรยาย ฐานตัวเองของเราก็เจริญจริงด้วย ได้ด้วย มันก็เข้าใจง่าย ขนาดบรรยายนี่นา คุณลองนึกดู คุณไม่ได้มานั่งฟังนี่ อาตมาต้องทำมือ บรรยายประกอบ มีรูป มีอะไรประกอบ มีแค่นี้ คุณก็พยายามตาม เข้าใจๆง่ายๆขึ้น คุณไม่ได้เห็นรูปมือบรรยาย ฟังแต่ภาษาพูดนี่น่ะ เข้าใจยากกว่าใช่ไหม แล้วคนที่ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ยิ่งไม่ค่อยเข้าใจ แล้วคนที่ไม่มีภูมิล่ะ พูดอะไร ไม่รู้เรื่องของมันหรอก ข้าอยู่ในภพเก่า ของข้านี่แหละ ข้าก็อยู่ที่ตีนภูอย่างเก่านี่แหละ ไม่ตะกายภู ไม่ปีนภูอะไรทั้งนั้น แล้วก็อยู่ในภพ ตัวเองนี่แหละ

ผู้ที่ไม่ร่วมฟังธรรม ไม่ร่วมฟังปริยัติ ไม่ร่วมปฏิบัติ ไม่เดินไปกับหมู่ หมู่เจริญ แต่ตัวตกอยู่ในภพ บางคนอาจจะจมอยู่ เหมือนกับ อยู่ชายแดนอโศก บอก เออ! ของกูๆนี่แหละ ดีน่ะ ท่านจันทเสฏโฐนี่ ไม่เดินกุม แล้วก็เดินชนคนนี้ อย่างทุกวันนี้ ถ้าอย่างเมื่อก่อน แต่นี่กว่าท่าน จะเดินเข้าใจสิ เออ ไม่เป็นไร เราจะกุมมือ เราจะเดินอย่างนั้นของเรา ตามครั้งตามคราว แล้วก็เข้าใจ เราต้องปล่อยมือได้ แล้ว เดี๋ยวนี้ เราไม่ต้องกุมมือ ก็เรื่องของเราแล้ว จะกุมมืออีก เราก็ไม่ดูถูกคนที่ไปเดินกุมมือ อาตมาว่า พวกเรานี่ ทุกวันนี้ถ้าเห็นใครมาสำรวมสังวรด้วย ทุกวันนี้ มาเดินสุขุมสำรวม เดินก้มหน้า แล้วก็กุมมือ เราไม่ดูถูกเขาใช่ไหม พวกเรานี้ รู้สึกไม่ดูถูกเขาเลยเดี๋ยวนี้ ก็คนข้างนอก เขาดูถูกเรา แต่ก่อนนี้ บอกไอ้พวกนี้ เดี๋ยวรถชน ตายโหงหรอก มาเดินอยู่ได้ กุมมือไม่เงยหน้าเงยตา เดินงกๆๆๆ แล้วช้าด้วยน่ะ เดินช้าด้วย เออ!

ไอ้ช้าๆอย่างนี้ ถ้าเราจะย้อนไปเป็นคนอย่างนั้นบ้าง ถ้าคนไม่ออกจากภพ ก็จะเดินช้า ก้าวหนอ ย่างหนอ อยู่อย่างเมื่อก่อนนี้ แล้วเดินกุมมือก้มหน้าด้วย อย่างนี้ รถจะชน หรือไม่ชนตายก็ไม่รู้ล่ะ เราเห็น เราจะไม่ดูถูก เพราะเราผ่านอันนั้นมา เราเข้าใจแล้วว่า คนเขาทำดีแล้วล่ะ บางที บางคนนี่ ฐานของเรายังไม่แข็งแรงนี่ โอ้ เราอยากจะกลับไป อยู่อย่างนั้น กลับไปไม่ได้เสียด้วยซ้ำ จะไปเดินกุมมือ เดินช้าอย่างนั้น เดินไม่ได้ด้วยซ้ำไป เราศรัทธาแล้ว ทำไม โอ้ดี ดีน่ะ งาม เราจะเข้าใจ แต่เรากลับไปทำไม่ได้ ระวัง นั่นแหละ คุณกลับไปทำให้ได้ ดูบ้างซิ ถ้าจะกลับไปทำแบบเก่า ทำให้ได้ดูบ้าง ทำได้แล้วคุณจะรู้สึกว่า เออ! ก็มีส่วนดีที่นัยละเอียด มันจะมีพวกนี้ แม้จะดูถูกดูแคลน คนนั้นก็ไม่ดูถูกหรอก เราจะสรรเสริญด้วยซ้ำ ยิ่งคุณกลับไปไม่ได้ ยิ่งบอก โอย! กูลดไปอย่างนั้นไม่ได้เลย จะสรรเสริญ คนที่เขาทำได้ด้วยซ้ำ กลับย้อนไปที่เก่า แต่ถ้าคนที่ไม่งอกไม่เงยเลย เดินกุมมือเซื่องๆ อยู่ได้อย่างนี้ จะเห็นคนเขาเดิน คล่องแคล่วได้แล้ว บอกไอ้พวกนี้ บ้าแล้ว ไอ้พวกนี้ เข้าไปสู่โลกแล้ว นี่ไอ้พวกนี้ เดินสัดส่าย เหมือนอย่างเก่าแล้ว สร้างใหญ่แล้ว ไม่มามักน้อย สันโดษ เหมือนข้าแล้ว ข้านี่มักน้อยสันโดษ ข้านี่ช้าๆเซื่องๆ ข้าก็อยู่ของข้างุบๆ ของข้าอย่างนี้ คนที่อยู่ภพเก่า ก็จะมองลงไปอย่างนั้น ไม่รู้เรื่องว่า เขาเดินไปไหนแล้ว ไม่รู้เรื่องว่า เขาทำอะไรได้แล้ว มันก็จะเป็นอย่างนี้

ฟังดูนี่ลึกซึ้ง ซับซ้อนอย่างนี้ แต่ระวังหน่อยน่ะ คนที่ยังไม่รอบด้าน ยังไม่รอบถ้วน ทั้งนอกและใน อนุสัยอาสวะที่ค้างๆๆๆ คาๆ ประมาทไม่ได้ ต้องหัดสังวรระวัง หัดศึกษาซอกแซกให้ลึกซึ้ง ให้สมบูรณ์ อย่าประมาทเป็นอันขาด ในเรื่องเหล่านี้ ก็อาตมาก็พยายามจะอธิบาย ที่จริง อาตมาก็รู้สึกตัวว่า อธิบายได้ดีขึ้นเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกอยู่ว่า มันยังอธิบายไม่ได้ครบ เชื่อว่า ไม่ใช่ดูถูกน่ะ เชื่อว่าบางคน ก็ยังเข้าใจไม่พอ ที่อาตมาพูดไปแล้วนี่แหละ อธิบายวันนี้นี่แหละ คิดว่าคงจะสับสน คงจะซับซ้อนอยู่บ้าง เอ้! มันงงๆ มันหมายความว่าดีตรงไหน ยังไม่เห็นมันดี มันก็ยังเข้าใจอย่างเดิมนั่นแหละ

นั่นก็อยู่ในภพ อย่างเดิม ยังไม่ได้เดินต่อ ยังปะติดปะต่อไม่ได้ ....

อ่านต่อหน้าถัดไป