ธรรมะก่อนฉัน

โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๕


ก็มาย้ำกัน มาย้ำกันในเรื่องที่เราจะต้องเน้นเข้าไปหาโพธิปักขิยธรรม โพธิปักขิยธรรม ซึ่งเป็นหลัก ที่สำคัญที่สุด เราจะอยู่นิ่งก็ไม่ได้ เอาสูตรนี้เข้าไป ด้วยฐิติสูตรนี่

พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยให้หยุดนิ่ง ที่ไม่ให้หยุดนิ่งเพราะอะไร เพราะว่าโดยธรรมชาติของ สิ่งที่เกิดอยู่ สิ่งที่ทรงอยู่ จะไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน อย่างนิรันดร์

ฟังคำว่านิรันดร์นะ แต่ยาวนานมีได้ เที่ยงแท้ยาวนานมีได้ แต่ถ้าเที่ยงแท้ยาวนานที่สุด มันก็จะต้อง มีคุณภาพอย่างสูงที่สุด ที่จะไม่เปลี่ยนแปลง จนเห็นว่า เที่ยงแท้ ยาวนาน จนกระทั่งเห็นว่า เที่ยงแท้นี่ มันจะต้องมีคุณภาพ มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ อย่างเช่น ของศาสนาพุทธ นี่ สมบูรณ์อย่างไร ที่บอกว่าเป็นผู้ที่วิมุติ ได้รับวิมุติ หรือนิพพานแล้วนี่ จะเที่ยงแท้ รับวิมุติและนิพพานนี้จะเที่ยงแท้ก็คือ ทำให้ถูกต้อง ทำให้ได้อย่างนั้นจริงๆ ที่จิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นตัวหลัก จิตวิญญาณนี่รู้จักกิเลส แล้วก็ฆ่ากิเลสถูกตัว ด้วยวิธีการ ที่จับหัวมันบี้จริงๆเลย ทำให้มันลดๆๆๆๆ อย่างรู้ๆ อย่างรู้ๆ ไม่ใช่อย่างเอาไปซ่อน ไปแฝง มันร่วง มันหล่น มันหลบตรงไหน ก็รู้ว่ามันหลบ ไม่ให้มันหลบ ตามกระทั่งไปก้นบึ้ง เป็นอนุสัยอาสวะ ก็ตามกันให้เจอให้หมด แล้วก็ทำลายมัน จนสูญสิ้นสนิท ดับสนิท

การดับสนิทนั้นคือตัวจิต ตัวเจโตดับสนิท กิเลสดับจากจิตจากเจโตนั้นสนิท กิเลสดับสนิทแล้ว ยังมีญาณปัญญา ญาณปัญญานี่เห็นจริงๆ แจ้งชัดจริงๆ ว่ามันดับสนิท มันตายสนิท นอกจาก ญาณปัญญาที่เห็นว่า มันตายสนิท มันดับสนิทแล้ว ยังเห็นคุณค่าประโยชน์ของมันอีก ปัญญาญาณนี่ เห็นคุณค่าประโยชน์เป็นความประเสริฐ เป็นความวิเศษของคุณค่า ทั้งเป็นรส ที่เป็นธรรมรส ที่เป็นวิมุติรส ก็เป็นรสอันประเสริฐ ทั้งในคุณค่า เมื่อผู้นั้นได้ดับกิเลสนี้แล้ว ก็เป็นคนที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ มีน้ำใจที่ไม่เห็นแก่ตัวแล้ว ไม่ได้ไปหลงใหล เป็นทาส อะไรแล้ว มันก็ฟรี ก็อิสระ แล้วก็เกื้อกูล เป็นภราดรภาพ เผื่อแผ่ เจือจาน ด้วยปัญญา อย่างแท้จริง ความไม่เห็นแก่ตัว ก็จะไม่ขี้เกียจ ไม่มีอัตตา ไม่มีมานะ จะไม่ขี้เกียจ จะไม่หนืด จะไม่เฉื่อย จะเป็นคนที่มีกะจิตกะใจ มีความขวนขวายเป็นเวยยาวัจมัย มีความขยันหมั่นเพียร เป็นอินทรีย์พละ เป็นวิริยินทรีย์ วิริยพละที่แท้จริง เป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่เสมอๆ จริงๆเลย เป็นวิริยารัมภะ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆเลย เพราะว่ามันไม่เห็นแก่ตัวแล้ว มันไม่รู้จะมาบำเรอตัว ทำไม แล้วมันก็รู้ความจริง ลึกซึ้งกันไปกว่านั้นว่า ชีวิตนี่คือเครื่องกล คือจักร คือเครื่องจักร เครื่องกลชนิดหนึ่ง เครื่องจักร เครื่องกล ที่มันมีประสิทธิภาพ ที่มันจะทำงาน ทั้งคิดและทั้งฝีมือ ในการสร้างสรรได้ดีมาก เพื่อมนุษยโลก เพื่อโลก ไม่ว่าจะดิน น้ำ ลม ไฟ จนกระทั่งถึงสัตว์ จนกระทั่งถึงมนุษยชาติ มนุษย์นี่ ช่วยได้ ทีนี้มนุษย์ช่วยมนุษย์ ก็เป็น คุณค่าความดีของมนุษย์ จริงๆเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีญาณปัญญา เห็นอย่างที่อาตมาไล่เลียงมาเรื่อยๆ อ่านความจริงให้คุณฟังมา เรื่อยๆนี่ มันเห็นแจ้ง เห็นชัด คนนั้นจึงเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร มีประสิทธิภาพ เวลาก็รู้อีก ว่า เออ! เวลาก็คือ กาละที่ผ่าน ไปๆๆๆๆๆ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า เวลากลืนกินสรรพสัตว์ ก็รู้ด้วยว่า ถ้าเผื่อว่า เราเปล่อยให้เวลาผ่านไป มันก็กลืนกินเรา ทำให้เราตายตามเวลาไป ใกล้หลุมฝังศพ ไปตามเวลาเปล่าๆ ถ้าเราไม่เกิดคุณค่าอะไร มันก็สูญเปล่า อยู่ว่างๆ ไปวันหนึ่ง ก็เสียเวลาทิ้ง ไปวันหนึ่ง เปล่าประโยชน์ไปวันหนึ่ง คุณค่าก็ลดไปวันหนึ่ง อยู่ไป ๕ วัน อยู่ไปเดือนหนึ่ง ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเดือนหนึ่ง มันก็คือคนเปล่า ประโยชน์เดือนหนึ่ง สูญเปล่าจริงๆ เห็นชัดๆ เลย ด้วยปัญญาญาณอันลึกซึ้ง เห็นปัญญาญาณที่ชัดเจนจริงๆเลย แล้วเราจะอยู่เฉยๆ ทำไม จะอยู่ปล่อยเปล่า ให้มันเสียเวลาไปถึงหลุมฝังศพ แล้วก็ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดคุณค่า ไม่เป็นมนุษย์ ที่มีประโยชน์อะไร ปล่อยมันไปทำไม มันรู้มันเห็นแจ้งอย่างนี้ จริงๆเลย

เพราะฉะนั้น ผู้นี้จึงพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลาเลยว่า เมื่อกิเลสมันตาย จิตใจก็เห็นดีเห็นชอบว่า มันเป็นรสที่ดีแล้ว เป็นวิมุติรสนี่ มันว่างอยู่ในตัวมัน ว่างอย่างไร ก็รู้ว่า มันเบา มันว่าง มันไม่ต้องไปบำเรอ มันไม่ต้องไปเป็นทาส ไม่ต้องไปอุปัฏฐากอุปถัมภ์อะไรมันอีก แต่เราก็เอา แรงงาน เอาความรู้ เอาความสามารถ แต่ละกาละๆ ประกอบกรรมที่เป็นกุศล สร้างกุศล ยังกุศลให้ถึงพร้อม ช่วยเหลือเฟือฟายเพื่อนมนุษยชาติ มีวิจารณญาณอะไร ที่จะเลือกเฟ้นมาว่า เราควรทำอะไร

บัดนี้เวลากำลังล่วงไปๆ ล่วงไป กายกรรม วจีกรรมที่ดีกว่านี้ยังมีอีก เธอกำลังทำอะไรอยู่ พระพุทธเจ้า สอนเราให้เตือนตนเสมอๆ ให้มีปัจเวกขณะ ให้พิจารณาเนืองๆ เราก็พิจารณา ตัวเรา เอ้อ เราทำอะไรล่ะ ตอนนี้ มีคติอันหนึ่ง ของชาวขยะ ของ "ชมรมขยะเอ๋ย" จำไว้ มตินั้น บอกว่าอย่างนี้ คตินั้นว่าอย่างนี้ "ขยะกำลังล้นโลกอยู่เป็นนิจ บัดนี้กูกำลังคิดทำอะไร" ฟังไว้ "ขยะกำลังล้นโลกอยู่เป็นนิจ บัดนี้กูกำลังคิดทำอะไร" จำไว้ ฟังไว้ จำได้ไหม "ขยะกำลังล้นโลก อยู่เป็นนิจ บัดนี้กูคิดทำอะไร" นี่ของขยะเอ๋ย ของชมรมรม ขยะเอ๋ยเขา เขากำลังจะรณรงค์ เขากำลังจะพัฒนาให้เป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา เพื่อที่จะพัฒนา จัดแจงกับไอ้เรื่อง ขยะนี่ มันจะเลวจะร้ายลงไปทุกวันๆๆ ทุกวินาทีเลย มันจะเป็นภัย เป็นพิษกับสังคม มันเป็นขยะ ไปทั้งหมดเลย ตั้งแต่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ เป็นขยะไปหมดเลย

เพราะฉะนั้น เราจะเรียนรู้ขยะนี่ เป็นขยะเทียมอย่างไร จะเอามาหมุนเวียนใช้อีกได้ไหม หรือ เอาไปแปรเปลี่ยน ที่จะเป็นประโยชน์อย่างไร อะไรเป็นขยะแท้ ที่จะต้องถึงขั้นทำลาย จะเรียนรู้ แล้วก็จะ ไม่ดูดาย จะเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา ไหวพริบ เห็นเมื่อไหร่ ต่อเมื่อนั่น เมื่อนี่ ไม่เป็นคนดูดาย จะต้องช่วยกันจัด ช่วยเก็บ นี่ ในสันติอโศกนี่เราก็ตาม เราจะทำ เราจะพยายามทำ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีญาณปัญญานี่ ก็จะมีงานการทำ จะมีสิ่งนั่นสิ่งนี้ อะไรที่มันจะต้องกระทำ จัดแจงชีวิตของตนเอง ให้มีคุณค่าประโยชน์ จะไม่ดูดาย เป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรร พระพุทธเจ้า ถึงได้ตรัสว่า "เราไม่พัก เราไม่เพียร เราจึงข้ามโอฆสงสารได้" นี่เป็นคำตอบเทวดา เทวดาที่มาถามว่า ตอบสั้นๆซิว่า นิพพานของท่านเป็นอย่างไร ผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้วนี่ เป็นคนอย่างไร ท่านตอบว่า "เราไม่พัก เราไม่เพียร เราก็ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว" ท่านก็บอกว่า อย่างนั้นสั้นๆ แล้วความหมายของคำว่า "เราไม่พัก เราไม่เพียร" นี่ มันลึกซึ้งมาก เราไม่พักก็คือ เราเพียรอยู่เสมอ นำหน้าเลย เราไม่เพียร ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าควรจะยับยั้ง ไม่ควรจะเร่งตัวเพียรต่อ หมายความว่า เราพักเสียบ้าง ผ่อนเสียบ้าง เราไม่เพียรนี่ พักเสียบ้าง ผ่อนเสียบ้าง ให้รู้กาละ อันควร เราไม่ทรมานตน แต่เราก็อุตสาหะวิริยะ เป็นคนที่ทนได้ อดทน เป็นคนที่ ไม่ใช่เหยาะแหยะ แต่เป็นคนแข็งแรง เป็นคนอดทน เป็นคนที่ขวนขวาย เป็นคนที่สร้างสรร คุณค่า อย่างมีปัญญาญาณ ตรวจตัวเอง ดูตัวเอง รู้ตัวเองว่า ตัวเองนี่ใช้เวลา แล้วก็ใช้กำลังงาน ทางสมอง ทางความเฉลียวฉลาด หรือทางฝีมือก็ตาม ให้เป็นประโยชน์คุณค่า แก่มนุษยโลก เขาได้ เสียสละ สร้างสรรไปได้ อย่างแท้จริง

เพราะฉะนั้น คนที่ศึกษาตามของพระพุทธเจ้าแล้วนี่ จึงเป็นคนที่เที่ยงแท้ เพราะว่าแน่ใจ จริงๆเลย มันเห็นชัดเจนอย่างที่อาตมาสาธยายด้วยภาษานี่ คุณไประลึกดูดีๆ ไปตรวจไปสอบ ไปฟังดูดีๆซิ แล้วก็ไปตรวจตราดูดีๆ ว่า ถ้าคนมีคุณลักษณะแบบนี้ มันจะเป็นอย่างไร คุณเป็น ได้หรือยัง เป็นได้มากหรือน้อย เอาไปวัด ไปเทียบ แล้วเราก็พยายามเร่งรัดพัฒนาตนเอง ให้มันได้คุณภาพ ดังที่กล่าวนี้ จริงๆ มันเป็นสิ่งยืนยันพิสูจน์ได้เลยว่า มันเที่ยงแท้ เพราะว่า มันไม่มีอันอื่น มันชัดชัดๆ มันชัดเจนกระทั่งว่า ถ้ามีตราบใด เรายังมีธาตุจิตวิญญาณ ที่เป็นธาตุรู้ ตรวจสอบเห็นแจ้งอยู่เมื่อไรๆ มันก็จะนำพาเราเป็นไปอย่างนี้ ก็แล้วมันเป็นไปได้ โดยง่าย โดยไม่ยากด้วย เพราะว่าเราได้ฝึกฝนมา เมื่อฝึกฝนมาแล้วก็ไม่ยาก สบาย

ผู้ใดที่ยังฝึกฝนยังไม่คล่อง ยังยาก ยังหนัก แม้แต่จะทำงาน จะทำดี รู้นะว่าไอ้นี่มันดี แต่ยังไม่อยากทำหรอก เลี่ยงไปเลี่ยงมาอะไรอย่างนี้ คุณก็จะรู้ตัว ฝึก อย่าให้มันเป็นคน ที่เหยาะแหยะ เป็นคนที่ขี้หลบ ขี้เลี่ยงอย่างนั้น แล้วมันทำมากเกินไป จนกระทั่งทำไปแล้ว ก็ไม่มีญาณปัญญารู้อื่นๆอีก รู้เรารู้เขา มีเจโตปริยญาณ รู้ผู้นั้นผู้นี้ รู้สิ่งแวดล้อม รู้เพื่อนฝูง บุคคล จริตของแต่ละคน เขาเป็นอย่างไร แค่ไหน ฐานะใด เราจะทำอย่างไร ในกรรมกิริยา อย่างไร กับคนนั้นคนนี้ ถึงจะอยู่ด้วยกันดี ไม่ทะเลาะเบาะวิวาท แต่ก็ได้ขัดเกลากิเลส ให้แก่กันและกันด้วย นำพาให้เขาเจริญตามขึ้นมาด้วย แล้วเขาก็อยู่กันอย่าง สมานสามัคคี เป็นสมานัตตตากันอย่างแท้จริง จะค่อยๆเรียนรู้ไปสารพัดเลย คนก็สารพัดจริต มากมาย เรียนรู้จริต เรียนรู้การวางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เราจะให้มีกิริยาอย่างไร มันจึงจะดีที่สุด พอเหมาะที่สุด

แล้วคนแต่ละคน ก็ไม่ค่อยเที่ยง อารมณ์ก็ไม่ใช่ว่าอยู่นิ่งอยู่แน่เมื่อไหร่ เพราะว่า อารมณ์ ยังวูบวาบ ยังไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีพระอรหันต์เท่านั้น ไม่มีอารมณ์วูบวาบ มีอารมณ์ ที่เที่ยงแท้ เพราะฉะนั้น คนที่ยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ วูบวาบทั้งนั้นแหละ เพราะมันไม่เที่ยง เราคิดว่า เอ คนนี้นี่น่ะ เราทำอย่างนี้กับ เขาก็ดีนี่นะ อ้าว มาถึงเวลานี้ไม่เสียแล้ว ผีเข้า แตะนิด แตะหน่อย สัมผัสนิด สัมผัสหน่อย กับไอ้พูดอย่างเก่าๆแท้ๆเลยน่ะ แต่เป็นเรื่องใหม่แล้ว มีผลกระทบ ผลสะท้อน ไม่เหมือนเก่าแล้ว โอย มันไม่แน่อย่างนี้ คนที่ยังไม่แน่ คนที่ยังเป็นผีๆ อยู่ ยังผีหลอก ผีเข้าผีออกอยู่ ยังไม่ใช่คนที่เที่ยงแท้ เหมือนพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ต้องระวัง และต้องประมาณ ซึ่งคุณจะไม่แปลกใจ อาตมาจะไม่แปลกใจหรอก พวกเรานี่ ประเดี๋ยวก็ พูดอย่างนี้ไม่ถือ พออีกวาระอื่น พูดอย่างนี้ เหมือนเก่านี่ ถือเสียแล้ว เออ ไม่แปลกหรอก อาตมาไม่แปลกหรอก เอ้อ ตอนนี้ ผีเข้าแล้ว อารมณ์ไม่เที่ยง อารมณ์ไม่อยู่ตัว เพราะว่า องค์ประกอบอะไรก็ตามแต่เถอะ เหตุปัจจัยอะไรก็ตามแต่เถอะ เราก็เข้าใจเขาให้ได้

คนที่รู้เท่าทันอย่างนี้ รู้จริงๆ จะอยู่ได้กับหมู่กับฝูงที่จะวาบไหว วุ่นวาย แปรปรวนง่ายๆ อย่างไรก็ตาม ก็จะอยู่ได้ เพราะรู้เท่าทัน แล้วก็ช่วยกันแก้ไข จะช่วยแก้ไขได้ ก็ต้องมีปัญญา ต้องมีวิธีการ ที่จะช่วยกันแก้ไข อยู่กันไปแก้ไขกันไป อย่างที่อาตมากับพวกเราอยู่นี่ อาตมาก็ว่า อาตมาพากันแก้ไขนะ ช่วยกันแก้ไขพัฒนาไปเรื่อยๆ ได้แค่ไหนก็ว่ากันไป ได้มากได้น้อยอะไร ก็ว่ากันไป แลัวเราก็จะอยู่กันไปอย่างนี้ แล้วเราก็จะเห็นชัดเจนว่า ธรรมะของ พระพุทธเจ้า นี่มันเป็นธรรมะที่ สุดท้ายจริงๆเลย ว่าคุณฉลาด ก็ฉลาดเถอะ คุณก็ว่า คุณฉลาดกันทั้งนั้น ฉลาดอย่างไรๆๆๆๆ ก็เถียงไม่ได้ มันจริงเหลือเกิน โอ้ เป็นจริง ถ้ายิ่งได้ฟังสาธยาย ไอ้โน่น ไอ้นี่ รอบรัดถ้วนทั่ว ชัด ๆ เถียงไม่ได้เลย แม้แต่จะทำยังไม่ได้ เป็นแต่เพียงรู้เหตุผล รู้ด้วยโวหารภาษา ชี้ความจริง ชี้สัจธรรมโดยภาษาเท่านั้น ก็ชัด เถียงไม่ได้หรอก แค่นี้ มันก็ยังจะเห็นว่า อันนี้แหละ เป็นสิ่งที่มีน้ำหนัก ให้เรามาอยู่ด้วยกันได้ อยู่ด้วยกัน

อาตมาบอกแล้วว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกัน เพราะว่าพวกเราปฏิบัติอย่าง พระพุทธเจ้าท่าน สอนมา ศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่ามีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แล้วก็ เอามาปฏิบัติประพฤติ ตามหลัก โพธิปักขิยธรรม ปฏิบัติไป ปฏิบัติไป เราก็ได้มรรค ได้ผลไปเรื่อยๆ หรือแม้ว่า ไม่ได้มรรคได้ผล อาตมาก็พูดๆๆ สาธยายอยู่ คุณถึงแม้ว่าปฏิบัติยังไม่ได้ดีมาก หรือไมได้เลยก็ตาม ถ้าตั้งใจฟังนะ ตั้งใจฟังเหตุฟังผล ฟังเรื่องฟังราวอะไร อาตมาก็ว่าคุณจะแจ้งชัดอยู่ในใจน่ะ จะเห็นถูก เห็นดี เห็นลึกซึ้ง เห็นความสำคัญว่า มันดี มันเยี่ยม มันยอดอย่างไรๆ คุณก็จะเข้าใจ แม้แค่นั้นแหละ มันก็สามารถ ที่จะเป็นหมู่เป็นพวก เป็นหมู่เป็นกลุ่ม เป็นมิตรดี สหายดี เป็นคนที่จะร่วม จะรวมกันอยู่ จะไม่พรากจากกัน หรือจะไม่แยกไปอยู่อื่นหรอก จะรวมๆ กันอยู่อย่างนี้ จะคบคุ้น กันอยู่อย่างนี้ หรือจะนำพากันไปอาศัยกันและกัน รังสรรค์ชีวิตไป เพราะเราจะเห็นว่า มันเป็นค่าของชีวิต เราจะเห็นว่ามันเป็นคุณสมบัติ เรียกว่าคุณสมบัติ ไม่ใช่โทษสมบัติ เป็นคุณสมบัติ เป็นสิ่งที่วิเศษที่มนุษย์พึงได้ พึงเป็น พึงมี

ถ้าเผื่อว่าคุณยิ่งได้ฟัง ได้เรียน ได้ศึกษา ได้รู้มากๆ ได้รู้ลึกๆแล้ว มันจะจูงนำ มันจะมีฤทธิ์ มีแรงให้เราเอง อยากปฏิบัติตาม มันจะช่วยให้เรามีควาามเพียร ช่วยให้มีความขยัน เพื่อที่จะปฏิบัติตามเพิ่มขึ้น เพราะมันชัด มันเห็นคุณค่าว่า คุณค่าสิ่งดีนั้น ดีจริงๆนะ ดีน่าอยากได้ น่าอยากจะเป็น จะมี มันจะโน้มน้อมดึงๆๆไปถึงอย่างนั้น แล้วมันก็จะพาคนนั้นๆๆ คนที่รู้น่ะ ปฏิบัติตาม

นั่นแหละ คือกำลังของศรัทธา ศรัทธาจะเกิดเป็นศรัทธินทรีย์ ถึงขั้นเชื่อฟัง ก็คือทำตาม ฝึกหัดอบรมตาม ยิ่งฝึกหัดถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องกันไปอีกเรื่อยๆ ก็ดี มีมรรคมีผลไปเรื่อยๆ ยิ่งได้ของจริง จริงจริงๆ แล้วคุณก็มีสิ่งที่รองรับแล้วนะ แล้วเราก็เข้าใจตัวเราได้ ตัวเพื่อนฝูงได้ ใครๆก็ได้ มันตรงกันนี่ มันก็ยังจะเป็นกลุ่มเป็นหมู่ที่จะมีบรรยากาศ มีองค์ประกอบ มีพฤติกรรม ที่อยู่ร่วมกัน รวมกันนี่สอดประสานกันเข้าไป ยิ่งจะเป็นเนื้อหาสาระ แก่นสารของสังคม มนุษยชาติ ที่เป็นเนื้อหาสาระแก่นสารที่ดี ที่มนุษย์ควรได้ ควรมี ควรเป็น จนกระทั่ง เขาเรียก โดยภาษาสูงๆ ว่าเป็นเมืองอริยะ เมืองพระศรีอาริย์ สังคมพระศรีอาริย์ สังคมพระศรีอริยะ อะไรนี่ก็ได้ ถ้าเราไม่เหนียม ไม่เหนียมตรงที่ว่า มันยังไม่มากพอ เราก็มาแอ๊คเรียกแล้ว ยังไม่ทันได้เท่าไหร่เลย แอ๊ค เรียก ถ้าเผื่อมันมีคุณภาพจริงๆ มีเนื้อหาสาระนั้นมากพอ แล้วก็มีคุณภาพสูงเพียง พอจริงๆ มันก็ใช่

อาตมาเองพูดไปแล้ว ก็คล้ายๆกับว่า เรานี่หลงตน หรือว่าเราเอง เหมือนคนละเมอ เพ้อพก อาตมาเคยพูด ตั้งไม่รู้กี่ทีแล้วว่า พวกเรานี่นะ มันเป็นความแปลก เป็นคนแปลก เป็นสังคม กลุ่มคนที่แปลกๆ หลายอย่างที่คนเขาเป็นไม่ได้ เขาเป็นไม่ได้ แล้วเขาก็เข้าใจไม่ได้ เพราะเขา ไม่เคยเป็น สังคมของปุถุชน สังคมของคนโลกๆ สามัญนี่ เขาไม่เคยเป็นอย่างที่เราเป็น เมื่อไม่เป็น อย่างเราเป็น เขาก็คำนวณเองตามประสาความเดา เขาก็เดาๆ คะเนๆ ว่าไอ้ คนพวกนี้ มันมากินวันหนึ่งหนเดียว มันไม่ตายหรือ มันฝืนทน มันเก่งนะ มันฝืนได้ ฝืนดี สักวันหนึ่ง มันก็ไปไม่รอด เขาเอาความรู้สึกของเขามาเดา มาคาดคะเน มันก็ทำแอ๊คไป ทำเป็นคนเสียสละ ทำเป็นคนไม่มีเงิน ไม่มีทอง ทำงานฟรี ไม่เอาสะตุ้งสตางค์ ถูกโพธิรักษ์ ล้างสมอง แล้วก็มาเป็นทาสรับใช้ ดูซีนี่ มาเป็นไม้เป็นมือกัน มาทำงานฟรี ไม่เอาสตางค์ ถูกคารมโวหาร โพธิรักษ์กล่อมเอาเสียอยู่หมัด แล้วมาทำไป มันจะทนได้สักกี่น้ำ เดี๋ยวมันก็ อยากได้ เดี๋ยวมันก็นานๆ ไป ก็เบื่อ อย่างนี้ อยู่ไปอย่างนี้ ทำอะไรไม่ได้ดีตัวเอง เดี๋ยวก็อยากได้ ไอ้นั่น อยากได้ไอ้นี่ เดี๋ยวก็อยากเป็นสุขอย่างโน้นอย่างนี้ มันก็ต้องมีเงินอยู่ดี ไม่มีเงิน มันจะอยู่ได้อะไร มันจะอยู่รอดอย่างไรคนไม่มีเงิน ขนาดมีเงิน มันยังไม่ค่อยพอเลย ไอ้โน่น ก็จะต้องจ่าย ไอ้นี่ก็ต้องซื้อ แล้วจะอยู่อย่างไร มันจะกินอย่างไร จะเจ็บ จะป่วย จะตาย ขึ้นมา จะเอาเงินที่ไหนใช้ ใครมันจะมาคอยทำทีเป็นว่า จะช่วยจะเหลือ จะช่วยประคบ ประหงม จะช่วยเหลือเฟือฟายอะไรอยู่ ใครมันจะมาช่วยจริง ถ้าช่วยเป็นลิเก ละคร เล่นไปชั่วคราว เป็นผักชีโรยหน้า เดี๋ยวมันก็หยุด เดี๋ยวมันก็เลิก มันจะไปมีที่ไหน มาช่วยเหลือ เฟือฟาย จะมาอุด มาหนุนอยู่กันได้ตลอด เดี๋ยวก็มีมากขึ้น คนมันก็มากขึ้น มันจะเอาที่ไหนมา แล้วมันก็สอนกัน ย้อนแย้งด้วยนะ สอนไม่ให้ไปโลภ สอนให้มักน้อย ระบบบุญนิยม จะต้องได้น้อยลงๆ น้อยลงๆ ด้วย ทำงานฟรีด้วยยิ่งดี แล้วมันจะไปเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงดู แล้วคนมันก็จะมากขึ้นน่ะ คนมันก็จะได้มากขึ้นๆด้วย แล้วเงินมันก็ สอนกันไม่ให้โลภโมโทสัน ไม่ไปเอาเปรียบ เอารัดใคร นอกจาก ไม่เอาเปรียบแล้ว ยังมักน้อยด้วย ให้เขาเยอะๆ เราอย่าเอา อย่าเอา ไม่เอาได้เลย ยิ่งวิเศษใหญ่ สอนมันก็ทวนย้อนแย้งกันอยู่อย่างนี้ แล้วคนมันก็จะมากขึ้น ค่ากิน ค่าใช้ อะไร ก็จะมากขึ้น แล้วมันจะเอามาจากไหน จะเอามาจากไหน มากินมาใช้ เขาก็จะเดากันไปอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก เขาจะว่าอย่างนั้น

จริง จริง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเผื่อว่ามันไม่จริง คำว่าจริงคำนี้ คือสัจธรรม มันจะเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันไม่จริง แต่ถ้ามันจริงแล้ว มันจะเป็นไปได้ ถ้ามันจริงแล้ว มันจะเป็นไปได้ จริงอย่างไร จริงอย่างที่ว่า คุณเองคุณถอดตัวถอดตนมาแล้ว อย่างที่อาตมาพูดมาตอนต้น ว่าเราจะกลาย มาเป็นคนมีประสิทธิภาพ จะกลายเป็นคนขวนขวายขยันหมั่นเพียร แล้วคุณก็จะสร้างสรรอยู่ ไอ้สิ่งที่สร้างสรร นั่นแหละ มันเป็นการเกื้อกูล พิสูจน์ออกไป แจกจ่ายเจือจานออกไป คนก็จะเห็นผล เห็นบุญ เห็นประโยชน์ จิตใจคนที่ได้รับความช่วยเหลือ หรือว่าได้รับสิ่ง ที่สัมพันธ์กับเราไปแล้ว ว่าเรานี่เป็นผู้ให้ คนพวกนั้น เขาก็จะศึกษาเล่าเรียน เราก็จะมี จิตวิญญาณเจริญขึ้น เขาก็จะมีกตัญญูกตเวที รู้บุญรู้คุณคน เขาก็จะตอบแทน ช่วยเหลือ แม้เขาจะอยู่ทางโลกมาก เขาจะมีรายได้อยู่ เขาจะมีอะไร ก็ส่วนเหล่านั้นแหละ คนเหล่านั้นแหละ จะหมุนเวียนย้อนกลับคืนมา โดยไม่จำเป็น จะต้องไปรีดนา ทาเร้น ไม่จำเป็นจะต้อง ไปวอนร้องขอ ไปเรียกร้องอะไรมามากมายหรอก สอนให้เขาเกิดปัญญาญาณ ให้รู้จักกุศล ให้รู้จักสุจริต ให้รู้จักคุณค่า ความดีของมนุษย์ สอนไปแนะนำไป ให้เขารู้จริง เห็นจริง มันก็จะค่อยๆ มีคนที่ ลึกซึ้งขึ้นได้ดี เป็นดีมา จนมากระทั่งถึงตอนจะลดจะละมา จนกระทั่งหมด มาเป็นคนอนาคาริกบุคคล เป็นคนที่ไม่ต้องสะสมเงินทอง ไม่ต้องมีบ้านช่อง เรือนชาน ทำงานฟรี เป็นแรงงานที่มาก แรงงานไม่ได้อยู่เฉยนี่ แรงงานสร้างสรร

ทุกวันนี้ เราพิสูจน์ขึ้นไปแล้วนี่ สัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะของเราสร้างขึ้น งานใด ที่มันสำคัญของสังคม งานมันยากแต่มันก็สำคัญ เราจะรับ เพราะฉะนั้น โลกต่อไปในอนาคตนี่ เขาก็เป็นทุนนิยม เป็นศักดินา เรียกว่าลอยฟ่องๆ เฟ้อๆ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ตีนไม่ติดดิน เอาเปรียบ เอารัด หนีงานหนัก สมัครงานสบาย แต่จะเอามากๆ ไปเรื่อยๆ นี่สังคมของปุถุชน เขาจะเป็น อย่างนั้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้น ก็จะทิ้งงานที่จริงมันหนัก แต่มันสำคัญ เพราะฉะนั้น งานสำคัญนี่ เราจะรับไว้หมดแหละ ชาวอโศกเรานี่จะรับงานสำคัญไว้หมด เขาจะเอาไปเอางาน ที่ไม่สำคัญ เป็นงานฉาบฉวย เป็นงานที่ไม่ใช่แก่นสาร คนเหล่านั้น จะไปเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เราจะตายได้ที่ไหน เราก็ไม่ตาย เราได้งานสำคัญ เราเป็นผู้ยึดครองอาชีพ หรือการกระทำ หรือการงานที่เป็นแก่นสารของชีวิตมนุษย์สัตวโลก เขาเป็นผู้ยึดครองไว้แล้ว เมื่อยึดครองไว้แล้ว เราก็ได้อาศัย ได้อาศัยผลผลิตของงานเหล่านั้น ได้กิน ได้ใช้ ได้อาศัย เราก็ยิ่งมีประสิทธิภาพสูง มันก็จะเจริญงอกงาม มันก็จะมีอุดมสมบูรณ์ขึ้น ยิ่งอุดมสมบูรณ์ขึ้น เราก็อาศัยกิน อาศัยใช้ก่อน เรื่องอะไรเราทำเอง เราก็อาศัยกินอาศัยใช้นะซิ เรากินก่อนแล้ว ใช้ก่อนแล้ว เหลือเราก็จะแจกจ่ายไปให้พวกที่เขาไม่ทำ ทีนี้ พวกที่ไปจับงานฉาบฉวย ไปจับงาน ที่ไม่ใช่แก่นสารไปนี่ ไปได้แต่ธนบัตร ไปได้แต่เพชร ไปได้แต่ทองคำ ไปได้แต่อะไร เขากินไม่ได้หรอก เขากินทองคำ เขากินเพชรกินพลอย ไปกินไอ้ธนบัตรไม่ได้หรอก แม้จะไปพึ่ง พระเครื่อง ที่บอกว่าวิเศษนักหนา บอกว่าองค์หนึ่งเป็นล้านน่ะ จ้างพระเครื่องเหล่านั้น ก็บันดาลให้ไม่ได้จริงๆ ขอยืนยัน ให้พระเครื่องเหล่านั้น ช่วยเหลือเฟือฟาย โอย ให้ร่ำให้รวย ให้ไม่อด ไม่อยาก ไม่ได้หรอก ต่อให้มีแบงค์ มีธนบัตรเป็นหมื่นล้านแสนล้าน เอา กินเข้าไป กินธนบัตรแทนข้าวได้ ก็กินเข้าไปก็แล้วกัน เขาจะกินไม่ได้หรอก เขาจะไปยึดเอาสิ่งที่ ไม่ใช่แก่นสารเข้าไป แล้วเขาจะไปได้สิ่งที่ไม่ใช่แก่นสารนั้นยิ่งขึ้น

ส่วนพวกเราจะได้สิ่งที่เป็นแก่นสาร แม้แต่การงาน ก็เป็นงานที่เป็นแก่นสารมากกว่า มันจะหนัก หรือมันจะหนาอย่างไร มันก็ไม่มีปัญหา เพราะว่า เราฝึกฝนแล้ว เป็นงานเบาได้ ยิ่งองค์ประกอบ ของพวกเรา ร่วมมือร่วมไม้ ช่วยกันนี่ มีพลังรวม มีพลังที่ไม่เกี่ยงไม่งอน สร้างสรรก็ยิ่งเบา ยิ่งง่าย รูปร่าง ลักษณะอย่างที่อาตมากำลังกล่าวนี่ อยู่ในอโศกกำลังเกิดบ้างแล้วน่ะ ใครเห็นบ้างไหม เห็นบ้างไหม อาตมาว่าเห็น พวกเรานี่มีตาดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จริง มันยังไม่สมบูรณ์ทีเดียวหรอก มีรูปมีร่าง มีรูปมีรอย ขึ้นมาบ้างไรๆ แล้ว ยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่เต็มที่ นอกจากยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่เต็มที่แล้ว พวกเราเอง จิตวิญญาณยังไม่โตสนิทด้วย ยังไม่เจริญสนิทด้วย ยังมีกิเลส ต้องสู้กับมัน ของแต่ละคน มันรู้ดีแล้วนะ แต่มันยังทำดีไม่เต็มที่ มันยังมีกิเลส มีผีขวางอยู่ ไอ้ผีนี่ มันขวางๆอยู่นี่ คุณก็สู้กับมันไป ฆ่าผีให้ได้เรื่อยๆไป มันก็จะต้องจริง มันต้องเจริญขึ้น จริงๆ อย่างนี้แหละ มันจะไปล้มเหลวตรงไหนน่ะ มันไม่ล้มเหลวหรอก

เพราะฉะนั้น ใครที่เห็นชัดเจนอยู่อย่างนี้ ไม่อยากไปหรอก จะอยู่ อาตมาถึงว่าเมื่อวานนี้ พูดถึงขั้น โคตรภูบุคคล พูดถึงขั้นคนที่ แม้จะปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา ยากแสนยาก เราก็แหม บารมีเรา มันน้อยจริงๆ ปฏิบัติสั่งสมมาแต่ปางบรรพ์ก็ไม่มาก ชาตินี้ก็เลยต้อง มาฝืนทำให้มาก ทำให้มาก รู้หมดแล้ว แต่มันทำยากๆ เอ๊า ทำไปก็ลำบาก วิบากก็เยอะด้วย นอกจากลำบากแล้ว วิบากเก่าๆ ก็เยอะด้วย ทำไปประเดี๋ยวก็มีอุปสรรค มีวิบาก โอ๊ย อย่างนี้ หนักหนาสากรรจ์ เราก็แข็งแรงน้อย แต่ก็ทนเอา พอรู้เสียแล้วนี่นะ รู้เสียแล้ว มั่นใจเสียแล้ว เอาละมันจะทรมาน ทรกรรมอย่างไร ก็ตายมันในที่นี้ มันยังดีกว่าที่จะไปตายที่อื่น อยู่อย่างนี้ ปฏิบัติประพฤติ ไปกับหมู่ฝูงนี่แหละ มันจะตายชีวิตนี้ ตัดโคตร โคตรภู ตัดโคตรไอ้ทางโลกีย์ ตัดโคตร อย่างทางโน้นน่ะ ทางไหนก็แล้วแต่เถอะ คุณเข้าใจเอาเองก็แล้วกัน ทางไหนคือทางไหน โลกุตระอยู่ทางไหน โลกียะอยู่ทางไหน ก็เข้าใจเอาเองก็แล้วกัน หรือกลุ่มหมู่ไหน ที่ควรจะอยู่ ก็กลุ่มหมู่นั้น อยู่กับกลุ่มหมู่นี่แหละ

เพราะฉะนั้น ตัดโคตรภู ตัดโคตรที่แม้มันจะยังไม่ได้เนื้อที่ กลายเป็นอริยคุณ หรืออริยธรรม ที่แท้จริง แต่เราก็รู้แล้วว่า เราจะต้องสั่งสมเอาอริยคุณอันนี้ให้ครบ เอาอริยคุณอันนี้ให้ได้ มีเนื้อหาสาระ ให้มันสมบูรณ์ให้ได้ มันยังไม่ได้ มันได้น้อย มันยังไม่ถึงขีดถึงเขตสอบได้ ก็พากเพียรเอา จะสอบซ่อม สอบซ้ำ สอบซากอย่างไรก็ล้มลุกคลุกคลาน หน้านองน้ำตา อยู่อย่างไรก็เอา

ถ้าคุณพ้นวิจิกิจฉา พ้นความสงสัย เห็นชัดเจนอย่างนี้น่ะ คุณไม่ไป ต่อให้ไล่อย่างไร มันก็ไม่ไป ไม่ไปหรอก ถ้าตัวเราเอง อยู่มีฐานะอยู่ในที่นี้มีมาตรฐาน ที่เพื่อนฝูง เขาก็ไม่ได้อยากให้ไปหรอก อยู่เถอะ ถึงแม้คุณจะเจริญช้า เจริญไม่ได้มาก เพื่อนเขาก็ว่า คุณไม่ได้ต่ำกว่าคุณภาพอะไร ไม่ได้ต่ำกว่าขีดมาตรฐานที่วัด ที่ว่ากันไว้ เขาไม่ได้ให้ไปให้เปลี่ยนแปลง ไม่ได้ให้ออกไป คุณก็จะออกไปทำไม ตัวเองก็จะบอกตัวเองนั่นแหละ เอ้อ เราอย่าไปออกไปเลย วกๆ เวียนๆ ไปไหนมาไหน ที่ไหนกัน

บางคนยังไม่แน่ใจอยู่ในอโศกนี่ สงสัยว่าที่อื่นจะดีกว่า อะไรอย่างนี้น่ะ อาตมาก็ไม่เคยห้ามนะ ในประเทศไทย หรือประเทศนอกก็ตาม มีกลุ่มหมู่ กลุ่มชน หรือว่าทฤษฎีวิเศษ ทฤษฎีที่เรียกว่า หลักวิชานี่น่ะ ที่ไหนละเขาว่าดี ที่เราแน่ใจว่ามันต้องไปทดสอบ มันต้องไปเล่าเรียน มันต้อง ไปพิสูจน์กันให้ได้ แล้วเราก็เชื่อว่า อันนั้นจะดีน่ะนา ก็ไปทีเดียว ไปศึกษา ถ้ายังสงสัยข้องใจ อาตมาไม่ปิดบังน่ะ อาตมาไม่ห้าม ไม่กั้นหรอก มันต้องให้ได้สัมผัส ให้ได้เรียนรู้ จริงๆ เราจะไปปิดบังได้อย่างไร เราจะไปหลงตัวหลงตน ว่าเราดีอยู่คนเดียวได้อย่างไร สูงละ แทบจะเรียกว่า แหม มันสูงยอดเยี่ยมอยู่นะ โลกุตระแท้ๆ ว่าอย่างนั้นเถอะ อโศกนี่ อาตมาว่า เราเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ สมบูรณ์ จะว่า เราหลงตัวก็เอา อาตมาว่า เอา ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้น ในตัวเราเองนี่ อย่างอาตมาเองนี่น่ะ อาตมามั่นใจ

ส่วนพวกคุณ ยังไม่มั่นใจ พวกคุณก็ต้องแสวงหา พวกคุณก็ต้องพิสูจน์ เพราะฉะนั้น จะไป จะมาอะไร อาตมาไม่ว่า ไม่อะไร นอกจากว่า บางเจ้าที่ไปแล้ว เสียเวลา เปล่าๆ ชัดๆเจนๆ ซึ่งไม่น่าจะ แหม มันเห็นชัดๆ อยู่แล้ว หยาบๆ อย่าไปเลยที่นั่นน่ะ ไปทำไม นอกจากไปแล้ว บางทีจะเสียท่าเอาด้วยนะ เพราะว่าที่นั่น อื้อฮือ ร้ายกาจรุนแรงเลยนะ ไปแล้ว แทบจะเอาตัว ออกมาไม่ได้น่ะ เราเห็นว่ามันจะไม่ไหว อย่าไปเสี่ยงดีกว่า อย่างนั้นก็บอกให้ สำหรับบางทีน่ะ แต่ที่ที่ไม่ถึงเสี่ยงอย่างนั้นน่ะ อยากจะไปเรียนรู้บ้าง มันดีไม่ดีจริง อย่างไร โอ้โฮ้ย อาตมากลับ ดีใจเสียอีกว่า ดี จะได้ไปพิสูจน์ดีๆ ถ้าเขาไปพิสูจน์ ที่นั่น ที่ไหนก็แล้วแต่ ไปพิสูจน์แล้ว เขาบอกว่า ที่นั่นดีกว่า คุณไปอยู่ที่นั่นเลย ไปอยู่ที่นั่นเลย อาตมาไม่มีปัญหาอะไรน่ะ ไม่มีปัญหาหลายๆประเด็น ถ้าคุณเอง คุณมีภูมิที่ จะเหมาะสม ที่จะอยู่ที่นั่น ก็ควรจะอยู่ที่นั่น แน่นอน นั่นประเด็นหนึ่ง เพราะคุณเหมาะที่จะอยู่ที่นั่น ก็อันนั้น หรือถ้าคุณจะอยู่ที่นั่นแล้ว ที่นั่นสูงกว่าที่นี่จริงนะ คุณก็จะเรียนรู้ ปฏิบัติประพฤติเอาจนได้ หรือคุณก็จะฉลาด ที่จะพยายาม มาบอกเราเหมือนกันว่า ที่นั่นดีกว่านะ ดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้ เราก็จะทยอยกันไป ศึกษาเหมือนกัน

คุณจะมาบอก เพราะอาตมาไม่ห้าม ไปพวกเราก็จะไปศึกษากันหลายผู้ หลายคนทีเดียว ไปศึกษา พวกคุณก็จะไปเห็นจริงน่ะ อู๊ย ดีกว่าที่นี่จริงๆ พวกคุณก็จะทยอยไปอยู่ที่โน่นหมด หรือไปกันมากๆ ทีเดียวแหละ อาตมาก็จะนั่นไม่ได้แล้ว เอ๊ เราต้องไปดูเสียเองแล้วตอน แหม เอาไปเยอะนี่นะ ต้องไปดูเสียเองแล้ว พออาตมาไปดูเอง ถ้าอาตมาไม่ลำเอียง เห็นว่า ไอ้นั่นดีจริง อาตมาก็จะไปขอ เป็นลูกศิษย์ที่นั่นเลย รวมหมู่กับที่นั่นเลย เอาเลย จริงๆน่ะ จริงๆ แต่ถ้าเผื่อว่า ก็ไปก็มีส่วนน้อยอยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่ก็ยังมีส่วนมาก หรือแม้ว่าจะมาบอกข่าว จะพยายาม เอาสิ่งที่ดีที่โน่นมาให้ เรารู้ เรารับบ้าง เราก็รับ เราก็เห็นแล้วว่า เออ มันก็ดี แต่ว่า ยังสู้เราไม่ได้หรอก เราก็ต้องพยายามดู อย่าลำเอียงกัน เราก็จะเข้าใจ มันก็เป็นไปอย่างนั้น ของอันโน้น ก็อันโน้น อันนี้ก็อันนี้ มันก็จะพิสูจน์กันไป

มันจะชนะกันแท้ๆ หรือมันจะยืนยันชัดเจนกันแท้ๆเลยว่า อันไหน เหนือกว่าอันไหน ก็ต้องมีเวลา เขาเรียกอะไร "ระยะทางพิสูจน์กำลังม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" มันก็ต้องพิสูจน์ แล้วเนื้อหา มันจะเกิดจริงๆ เลย จะเกิด เหมือนกับเราชาวอโศก ตั้งแต่ก่อน กับวันนี้ ถึงวันนี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่า ความก้าวหน้า ความเจริญพัฒนาขึ้นมา ในสังคมมนุษย์ ที่เป็น "จักรแก้ว" ที่เป็น "จักรกล" ของสังคม สังคมนี่เรียกว่า จักรกลชนิดหนึ่ง ที่เป็นจักรแก้ว มันเกิดอะไรต่ออะไร หนุนเนื่องขึ้นมา ที่อาตมาขยายความจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คหบดีแก้ว ปรินายกแก้ว มันมีไหม มันมีจริงๆ มันเกิดจักรแก้ว มันเกิดกลไกของสังคม ชาวอโศกนี่ มันเกิดกลไกขึ้นมาแล้ว เกิดมีผู้รับผิดชอบ ผู้ชำนาญ ผู้เป็น ผู้ทำได้ ในงานของทางโลกด้วย งานโลกๆ งานปฏิบัติ ประพฤติทางฝีมือ ทางความสามารถนี่ แล้วก็งานในการปฏิบัติธรรม ของแต่ละคน ที่ซ้อนลงไปกับการปฏิบัติงาน การกระทำงานที่เป็นกัมมันตะธรรมดา เป็นอาชีพ ธรรมดาด้วย ทำอยู่ทุกวันนี้ แล้วก็มีผู้รับหน้าที่ รับผิดชอบ เดินเครื่องกล เป็นเฟือง เป็นโซ่ เป็นลูกสูบ เป็นข้อเหวี่ยง เป็นอะไรก็แล้วแต่ เป็นลาน เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นพลังงาน ส่วนนั้น ส่วนนี้อะไร ก็แล้วแต่ ประกอบกันเป็นจักรแก้ว แล้วก็มีกองหนุนช่วยซ้อน ช่วยเสริม เรียกว่า ช้างแก้ว แล้วก็ยังมีกองหนุน ที่ช่วยซ้อนช่วยเสริมอีก เรียกม้าแก้ว เป็นหน่วยเสริมที่สำคัญ เป็นหน่วยเสริมรอง มันมีอยู่ตลอดมาเรื่อยๆ

อาตมากล่าวอย่างนี้ คุณระลึกนะว่าไม่ใช่อาตมาไปพูดถึงช้าง คุณนึกว่า มี ไม่เห็นมีช้างสักตัว พาซื่อโด๋เด๋อ อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว ไป หนีไปรับประทานข้าวเสีย อย่ามานั่งฟังธรรมเลย ถ้าพาซื่อกันแบบนั้น มันจะมีลักษณะของช้างแก้ว ม้าแก้ว ตามจริงๆเลย แล้วเป็นแก้วมณีอะไรนี่ ตามมาจริงๆ มันจะมีลักษณะแก้วมณี ซึ่งเป็นยอดแห่งสิ่งนั้นสิ่งนี้ แก้วมณี ก็คือแก้ว จักรแก้ว เอาคำ ว่าแก้วนี่มาใช้ในภาษาไทย ว่ามันเป็นของดี มันดีขึ้นมา จักรแก้วก็คือจักรกลที่ดี ช้างแก้ว ก็คือ สิ่งที่มาเสริมหนุน หรือกำลังหนุนที่เรียกว่า เสริมหนุนใหญ่ ม้าแก้ว เป็นเสริมหนุนรอง อาจจะมีหลาย มีมากกว่าช้าง เป็นส่วนใหญ่ส่วนย่อยส่วนรอง เกิดเป็นของดีทั้งนั้นแหละ มันซ้อนเชิง จนกระทั่ง มีเนื้อหาดี เป็นแก้วมณี เป็นแก่นเนื้อแท้ขึ้นมาเรื่อยๆ ได้สิ่งที่เป็นยอด เป็นผลออกมาอยู่ จนกระทั่ง ไปหาทางด้าน นามธรรม ก็มีนามธรรมเรียกว่า นางแก้ว เป็นพลัง ทางจิต เป็นพลังทางนามธรรม มีทั้งความรู้ดี มีทั้งความแข็งแรงทางจิต มีทั้งความเบิกบาน ร่าเริงประทับใจ เรียกว่าสิ่งที่ช่วยหนุนไปในทางนามธรรม นางแก้ว มันน่าชื่นชม มันน่ายินดี มันน่าอะไรต่ออะไร มันเกิดอยู่ในนางแก้วทั้งหมดแหละ เป็นสิ่งที่จะต้อง เสริมหนุนไปอีก ในส่วนของนามธรรม แล้วก็จะเสริมหนุน ซ้อนขึ้นไปอีก เป็นคณะ เป็นวงจักร เป็นคหบดีแก้ว มีทุนมีรอน มีเครือมีข่าย มีกลไก มีวัสดุ มีทั้งเนื้อที่ มีทั้งเสนาสนะ มีทั้งบุคคล มีทั้งอาหาร มีทั้งอะไรหนุนเข้ามาเป็นคหบดีแก้ว แล้วก็จะเป็น ยอดเอก ขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นปรินายกแก้ว รวมแล้วจะเป็นยอดเป็นเอก เป็นยอดเป็นเอก นำเด่น นำเด่น นำเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ รวมทั้งกลุ่ม ทั้งหมู่แล้ว จะเป็นยอดเอก เป็นปรินายกแก้ว ขึ้นมาเรื่อยๆๆๆ ชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ

ทุกวันนี้ ยังเพิ่งเด็กชายยก ยังไม่ถึงนายก ยังไม่ถึงนายกแก้ว ยังไม่เป็นปรินายกแก้ว อาตมา พยายาม ใช้ภษาสื่อให้พวกคุณฟัง มันเพิ่งจะเล็กๆ เพราะฉะนั้น มันก็ดี มีคุณลักษณะเด่น มีคุณลักษณะนำ มีคุณลักษณะเป็นหัวแหลม เป็นหัวเจาะ เป็นอะไรเด่นๆ ยอดๆ เป็นเหมือนกัน แต่ยังเล็ก ปริเด็กชายแก้ว ยังไม่ปรินายกแก้วอะไร ยังไม่ถึงขั้นยอดอะไร นี่ มันกำลังมีจริงๆ ค่อยๆเสริม ค่อยๆสร้าง ค่อยๆเกิด

เรายิ่งเข้าใจกันแต่ละบุคคล แล้วก็ได้พากเพียรกันแต่ละบุคคล แต่ละบุคคล ทั้งเข้าใจ ทั้งพากเพียร อุตสาหะวิริยะเพิ่มเติมขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ ก็จะเกิดจริง เป็นจริง สัจจะที่แท้จริง จะคงทนยืนนาน จะคงทนยืนนาน แล้วก็ สัจจะเป็นนิรันดร์อะไร ก็แล้วแต่ ถ้าว่าไป คำว่า "นิรันดร์" คำนี้เป็น "โวหาร" คุณภาพของศาสนาพุทธนี่ดีและคงทน แล้วมันเที่ยงแท้ แต่ก็เป็นโวหาร มันไม่นิรันดร์จริงๆหรอก

แม้ศาสนาพุทธเอง ก็ไม่นิรันดร์ หมุนเวียนอยู่ในส่วนซ้อน มันมีสภาพซ้อน จะต้องหมุนเวียน ได้นาน ได้ช้า ก็ตามเหตุปัจจัย พุทธสมัยของพระบรมศาสดา แต่ละพระองค์ สร้างศาสนามา ก็ได้อายุ ยืนนานยืนยาวไม่เท่ากัน ศาสนาพระวิปัสสีพุทธเจ้า ศาสนาพระสิกขีพุทธเจ้า ยาวนานกว่ายุคกาล ยุคสมัยศาสนาของพระสมณโคดม อะไรอย่างนี้ แต่ละองค์ๆ ก็ไม่เท่าเทียม กันไปหมด อย่างนี้ก็เป็นความไม่เที่ยงชนิดหนึ่ง แต่ในความไม่เที่ยงนั้น มีความแท้ ที่ยืนยัน ยืนหยัด ให้แต่ละบุคคล จนสามารถปรินิพพานได้ มีความเที่ยง ที่สามารถให้บุคคล ปรินิพพานได้ มีโอกาส มีเวลาที่จะยาวนานไป จนกระทั่ง เราทำสิ่งที่มันมีให้สูญสลาย กลายเป็นสุญญตาได้

เพราะฉะนั้น ตัวอวิชชาหรือตัวกิเลสนี่เป็นตัวก่อให้เกิดมารับวิบาก แล้วก็อยู่ในสังสารวัฏนี้ แหม พระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ที่ต้น ท่านก็ตรัสน่ะ ท่านไม่รู้ที่ต้นของสิ่งเหล่านี้ และที่ปลายก็ไม่มี ว่าที่ปลายของแต่ละยุค แต่ละกาล แต่ละองค์ประกอบ ไม่มี แต่รู้ที่ปลายที่จบของอวิชชา ทำให้พ้นเป็นวิชชา แล้วก็ จบอวิชชานั้นได้ จบกิเลส จบการเวียนตายเวียนเกิด ของสิ่งที่ มันมาก่อให้เกิด เป็นมนุษย์นี่ ปรินิพพานได้ คนนี่เกิดมา จนกระทั่งเป็นคนแล้ว ทำให้คนนี่ปรินิพพานได้ สูญไปเลย เลิกละทุกข์ วิบากอันนี้ไป สิ้นไปเลย อันนี้มีจริง ท่านค้นพบอันนี้ได้ แล้วก็เอามาสอน เอามาแนะนำ เอามาให้คนพิสูจน์ตาม ผลดีเราได้แล้ว ก็เป็นผลดี แก่สังคมมนุษยชาติอื่นอีกด้วย มันน่าชื่นชมตรงนี้ ไม่ใช่ว่า ได้แต่ตัวเองดี ได้แต่ตัวเองพ้นทุกข์ ได้แต่ตัวเองเจริญ เสร็จแล้วคนอื่นไม่เจริญตามเลย คนอื่นไม่ได้ดีด้วยเลย หรือได้ดีก็ไม่เต็มที่ ไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้านี่ได้ดีแล้วเต็มที่ ตนเองได้ก็สมบูรณ์ เพื่อนฝูง สิ่งแวดล้อม ได้ดีเต็มที่ ประเสริฐกว่าลัทธิใดๆ เลย ได้ดีได้ วิเศษกว่าลัทธิใดๆ เพราะมัน สอดซ้อนๆ มีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นคัมภีราวภาโส ลึกซึ้ง คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา คัมภีระ ลึกซึ้งจริงๆ ลึกซึ้งจนต้องมีญาณปัญญา ลึกซึ้งที่จะตามรู้ ตามเห็นได้ ถ้าไม่มี ญาณปัญญา ในระดับ ความสามารถ หรือประสิทธิภาพของปัญญาญาณ อย่างเพียงพอ ต่อให้เป็นคนคนนั้น ที่ยังไม่มีคุณภาพของความเฉลียวฉลาดอันนั้น ก็ไม่สามารถ รู้ตามได้ง่าย รู้ตามได้ยาก ทุททสา ทุรนุโพธา เห็นตามได้ยากจริงๆ แม้จะเป็นเรื่องสงบระงับ ก็สงบระงับพิเศษ สันตา สันตานี่สงบระงับพิเศษ ไม่เหมือนสงบระงับของฤาษี ไม่เหมือน ความสงบระงับ ของลัทธิเดียรถีย์อะไรอื่นๆไม่เหมือน มันมีความไม่เหมือน คุณฟังอาตมา ไปเรื่อยๆ คุณฟังดีๆ นะว่ามันไม่เหมือน ปณีตา มันประณีต ละเอียดลออจริงๆเลย แล้วสงบ ระงับที่ประณีต มันไม่สงบระงับแบบตายเด๋หยาบๆ ง่ายๆ แบบฤาษีหรอก มันเหมือนไม่สงบ แหม แต่มันสงบ มันดูแล้ว มันมีสภาพย้อนแย้งอยู่ในตัว อย่างสำคัญ มันมีปฏินิสสัคคะ มันมีจิตตัวทวนย้อน สงบ แน่น แน่วแน่ มั่นคง ประณีต

เพราะฉะนั้น สันตา ที่แปลว่า ความสงบ มันสงบที่มันตามเห็นได้ยาก ตามรู้ได้ยาก พิสูจน์ เพื่อที่จะได้ สิ่งสงบอันนี้มาแก่ตนนี่ ไม่เหมือนของฤาษี ไม่เหมือนของลัทธิอื่นใด ที่เขาได้ ความสงบมา ซึ่งเห็นได้ง่าย รู้ได้ง่าย ทำได้ง่าย เราก็ทำได้ ถ้าเราจะทำ ก็ทำได้อย่างที่เขาทำได้ แต่อย่างของพระพุทธเจ้าสอน นี่นา ถ้าไม่ตรงทาง ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิอย่างสมบูรณ์จริงๆ จะไม่ได้สมบูรณ์จริงๆ จะไปได้เท่าๆกับคนอื่นเขาได้ ของลัทธิอื่นได้ๆๆ นั่นเยอะแยะ จะไม่ได้สูงสุด เหมือนอย่างของพระพุทธเจ้า ท่านพาเป็น

แม้ความสงบ ก็จะไม่ได้ความสงบที่เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า ประณีต ปณีตา เดาไม่ออก อตักกาวจรา ไม่ใช่เรื่องที่จะด้นจะเดา จะคะเนเอา คำนวนเอา คาดเอา ไม่ๆ ไม่ใช่ จะต้องเอามาฝึกเอง ทำเองจริงๆเลย นิปุณา ละเอียดลออ ไม่รู้จะใช้ภาษาไทยอะไร ว่าอะไรอีก แล้ว นิปุณา ถึงขนาดนิปุณานี่ บางทีเขาก็ใช้คำว่านิพพานด้วย คำว่านิปุณานี่ ถึงขั้นว่า นิพพาน เอาคำว่านิพพานมาใช้ ให้ร่วมด้วยได้แล้ว เพราะว่าทั้งสงบ แล้วมีพลังสูง มันละเอียดลออ ซับซ้อน ทั้งมีความสงบก็สงบสนิท มั่นคงก็มั่นคงสนิท แข็งแรงก็แข็งแรงสนิท คล่องแคล่ว ก็คล่องแคล่วอย่างเร็ว อย่างเรียบร้อย อย่างไม่ร้อน อย่างเร็ว ได้สัดได้ส่วน เร็ว ได้ต้องการ จะต้องการรวดเร็วอย่างไร ก็ได้มากขึ้นๆๆ วิเศษ มีทั้งประสิทธิภาพ ด้านสร้าง และด้านดับ มีประสิทธิภาพทั้งสองด้าน ทั้งด้านเกิดด้านดับ เกิดให้ดี เกิดให้เยี่ยม เกิดให้เร็ว ตายได้ไว ตายได้สนิท ตายได้ลึก

นี่ อาตมาพยายามใช้ภาษาไทย กำกับขยายความจริงเหล่านี้ให้พวกเราฟัง ว่าเป็นนิปุณา จริงๆ เป็นสิ่งละเอียดลออจริงๆ บัณฑิตเวทนียา รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ชนิดบัณฑิตของพระพุทธเจ้าด้วย ไปเป็นบัณฑิตที่ไหนๆ มา ยิ่งบัณฑิตของทางโลกๆ ไม่ต้องพูดเลย บัณฑิตนี่จะไปเอา พาณิชย์บัญชีบัณฑิต ไปเอาเกษตรศาสตรบัณฑิต ไปเอาครุศาสตรบัณฑิต ไปเอาบัณฑิต อะไรมา ก็เชิญเถอะ ต่อให้ไปเรียนจบมหาวิทยาลัยไหน เอาพุทธศาสนาบัณฑิต มาด้วย ที่ไหนๆ จากมหาวิทยาลัยไหนล่ะ ไปเรียนมาซี ก็ไม่เหมือนที่เรียนให้มันตรงของพระพุทธเจ้า จริงๆ
ปฏิบัติให้ประพฤติจริง ไม่ต้องไปได้บัตรได้เบอร์ได้ปริญญา ใบประกาศนียบัตร อะไรรับรองมา ไม่ต้องมีก็ได้ ขอให้มันถึงเนื้อ ถึงแก่นจริงก็แล้วกัน ผู้ที่มีเนื้อ มีแก่นจริง นี้เป็นผู้ที่รู้ได้ ได้ บัณฑิตเวทนียา รู้ได้เฉพาะบัณฑิต เท่านั้นจริงๆ

บางคนเป็นชาวไร่ชาวนา ชาวสวน เป็นกรรมกร แต่เป็นบัณฑิตชนิดนี้ได้ บางคน จบดอกเตอร์ จบโพสดอกเตอร์ จบปริญญาเอกหลายใบมา แต่รู้อย่างนี้ไม่ได้ รู้อย่างนี้ไม่ได้ มีจริงๆ มีจริงๆ รู้อย่างนี้ไม่ได้ ก็ไม่ได้ไปประมาท ไปดูถูกอะไรเขาหรอกนะ แต่เขารู้ไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น บัณฑิตที่ว่านี้รู้ได้ บัณฑิตเท่านั้นที่รู้ได้ เป็นบัณฑิตที่จะต้องมีนัย มีความตรง มีสิ่งที่จะรู้ จะแจ้ง เป็นวิชาของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ จริงๆเลย

อาตมาถึงบอกว่า ได้แต่พูดไปแล้ว มันก็คุยโต พูดไปเมื่อไหร่ มันก็ยิ่งอวด ในพวกเรา เราก็พูดกัน ได้ลึกๆ เราก็พูดกันได้อย่างอวดมากๆ โชว์มากๆ มีเพชรเม็ดใหญ่ๆ มาดู แต่เอาไปให้ที่อื่น เขาดูไม่ได้หรอก ที่อื่นดูแล้ว เดี๋ยวมันบาดตาเขา เขาโกรธ มันบาดตาเขานะ เขาหมั่นไส้ แล้วเขาไม่เชื่อว่า เพชรจริงด้วย เขาเชื่อว่าเพชรเก๊ เขาเห็นว่าเป็นเพชรเก๊ แล้วเขาโกรธด้วย โกรธเพราะริษยา เขาไม่เชื่อว่าเพชรจริง แล้วมันไปโตกว่าเขา เขาริษยา ถ้าเผื่อว่าเห็นว่า มันใหญ่ มันโตกว่าเขา แล้วเขาไม่เชื่อว่าเป็นเพชรจริง บอกว่าไอ้พวกนี้ มันเอาอะไรมาอวด มาอ้าง ของผิดๆ อยู่นอกรีตนอกทางด้วย มันไม่มีทางได้ดี เหมือนเขาหรอก เขาได้ดี ไอ้พวกนี้ มันของปลอม ดีไม่ดี หมั่นไส้เอาของปลอม นั่นมา เดี๋ยวคนอื่นจะหลงทาง หลงผิดตาม เดี๋ยวก็ปราบ เอาของปลอมนี่ออกไปทำลาย ไปเผาทิ้งเสีย หนักๆเข้า เขาก็จะมาทำลายเรา เสียด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้น ต้องระมัดระวัง บางทีมีเพชรเม็ดงามๆ นี่เอาไปให้เขาดูก่อนไม่ได้หรอก ประเดี๋ยว เขาจัดการเผาเรา เขาเผาได้ด้วยน่ะ โอ้โฮ จับพวกเราเผาล่ะ เสร็จเลยนะ เขามีอำนาจในโลก เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับว่า อำนาจในโลกมันมีเหมือนกัน เสร็จแล้ว มันก็ไม่ได้เรื่อง ได้ราวอะไร ถ้าเขาแม้จะมาเผาเราได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาได้บุญอะไร ถ้าเราแน่ใจน่ะ ก็เราอย่าไปเปิดโอกาส ให้เขามาทำบาป ทำชั่วเลย เราก็พยายามทำสิ่งที่ดี และให้มันคลอด ให้มันมีประโยชน์ต่อ ยาวนาน ปล่อยให้มันเกิดมากขึ้นก็แล้วกัน

เพราะฉะนั้น คนที่รู้จักอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่ได้กลัว ไม่กลัวว่าเขาจะมาเผา แต่ว่าเราก็อย่าไปยั่ว ไปทำให้เขา เข้ามาทำสิ่งไม่ดีไม่งามเลย เอาละ แค่นี้ก็พอกัน คือเราจะรู้เขา เราจะรู้ว่าเขานี่ เราจะยั่วเขาได้เท่าไหร่ ยั่วเขาแล้ว เขาจะทำชั่วมากขึ้นไหม หรือว่าเขาไม่ทำชั่วยั่วขนาดนี้ เขาจะได้ทำอะไร ที่เป็นบทบาทที่เป็นคุณแก่เขาเอง ถ้าทำขนาดนี้ จะเป็นบทบาทที่เป็นคุณค่า แก่เขาเอง เขาก็จะได้กระเตื้องขึ้น จะได้เจริญขึ้น จะได้มีไหวพริบ จะได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ขึ้นมา ไม่เช่นนั้นมันแช่นิ่ง มันจม มันไม่ตีอัตตามานะอะไรตัวเองแตกเลย มันจะหลงตัว หลงตน เป็นอัตตา เป็นมานะ เป็นความหยิ่งผยองถือดีอยู่ อย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไร ให้เขาไม่ถือดี ให้เขามาเห็น ให้เขามาเกิดปฏิภาณปัญญา มีไหวพริบ มีสิ่งที่จะต้องทำให้เขาเกิด ต้องยอมรับ หรือว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิด จะต้องเปลี่ยน การศึกษา ไอ้นี่เป็นวรยุทธสำคัญ ซึ่งบางทีเราก็จะไปเสียเวลากับพวกนี้มากนัก ก็ไม่ได้ ต้องปล่อยเขา ให้อำนาจทางอื่น เราก็สร้างอันอื่นให้มันโต เรามาสร้างคุณภาพอันนี้ให้โต จนกระทั่ง เขาเป็นคนตาบอดก็ให้จนกระทั่งมันโต จนกระทั่งคนตาบอด มันเห็นได้เอง ไม่ต้องไปอะไรมากนัก ปล่อยเขาไป เราก็มาสร้างสิ่งที่ควรสร้าง เราก็ทำไปอย่างนี้ ทั้งสองด้าน ค่อยทำทั้งสองด้าน สร้างสรรไป อะไรต่ออะไรไปเรื่อยๆ

เอาละ อาตมาคิดว่าได้พูด ได้สาธยายอะไร ได้เจาะลึกอะไรไปอีก สำหรับวันนี้ หลายๆที่ จะทำให้พวกเราได้ฟัง แล้วเอาไปไตร่ตรอง นอกจากไตร่ตรองแล้ว อย่าช้า วันเวลากลืนกิน สรรพสัตว์ มันทำให้เราเปล่าประโยชน์ ผ่านไปๆ ก็ไปสู่หลุมฝังศพ อย่าเฉื่อย เรารู้ตัวว่า เราไม่ได้เมื่อย เราไม่ได้เพลีย เราไม่ได้ถึงขั้นจะต้องควรพักควรผ่อนอะไร เราก็ขยัน ขวนขวายขึ้น บัดนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ อะไรสิ่งที่ดี ที่ควรจะทำ ทำขึ้น อย่าไปเฉื่อยแฉะ ฉ่ำแฉะอะไร ปล่อยไปก็เท่านั้น ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรหรอก หรือบางคนที่ทำอยู่แล้ว อะไรมันมากเกินไป อะไรมันเคร่ง มันเครียด มันเลยเถิดแล้ว มันทรมานตนไปแล้ว มันจะเกิดความเสื่อม ความทรุด ความเสียหายอะไรแล้ว ก็ต้องรู้ตัว อย่าให้มันไปอัตตกิลมถะ อย่าให้มันเป็นการยิ่งเพียร ก็ยิ่งทำให้เรา ทรมานตนเอง ทำให้เสียหายตนเองเพิ่มขึ้นๆ ก็ต้องรู้สัดส่วนนั้น ด้วยปัญญาญาณ ที่ดี ระวังเถอะ ระวังว่ากิเลสมันเล่นงานเราว่า เอ๊ เราก็ควรพักแล้ว ทั้งๆที่มันเหยาะแหยะเต็มที ทั้งๆที่มันไม่ได้อุตสาหะวิริยะอะไรเลย อะไรนิด อะไรหน่อย ก็สมควรพัก แล้ว ประเดี๋ยวจะเป็นไข้ เป็นหวัด ประเดี๋ยวจะเป็นโน่นเป็นนี่ ประเดี๋ยวจะ ทรมานตน อย่างนั้นอย่างนี้ ก็อย่าเหยาะแหยะ นักก็แล้วกัน พิสูจน์ตัวเองจริงๆ เลย ว่า เออ! ขณะนี้เราทำได้นะ ได้แล้วมันจะมีความอุตสาหะ ยิ่งขึ้นๆ แล้วมันก็จะทนได้มากขึ้น ทนได้นานขึ้น มันยิ่งทำได้คล่อง ทำได้ชำนาญ มันง่ายขึ้น มันก็ยิ่งทำได้มากขึ้น แล้วเสร็จแล้ว เราก็จะต้องยาก เพิ่มขึ้นไปให้แก่ตนเอง ทำสิ่งที่มันลึกซึ้งขึ้น ได้ยากขึ้นไปอีก จะเป็นกิจไหนละ ที่มันยาก กิจนี้ทำ สมบูรณ์แล้ว สูงสุดมันได้แค่นี้ก็จบแล้ว ในกิจนี้ งานนี้ทำคล่องแล้ว ชำนาญมากแล้ว ไม่ชำนาญกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เราก็รู้ว่า ไอ้นี้ ชำนาญมากแล้ว ชำนาญกว่านี้ไม่มี เราก็ทำอันอื่นละ ที่จะหาความชำนาญเพิ่มเติมอีก เป็นทักษะก็เอา เพิ่มเติมไอ้โน่น ไอ้นี่ไปอีก เราก็เป็นคนมีประสิทธิภาพ มีความสามารถมาก สร้างสรรก็ได้มาก ช่วยเหลือใครๆ ก็ได้มาก

นี่คือความเจริญรอบด้านของลัทธิพระพุทธเจ้า ของศาสนาพระพุทธเจ้า อาตมาสาธยายไป สาธยายไปนี่ มันยังมีอะไรให้สาธยายอีก แล้วจะเจาะลึกลงไป คุณฟังดีๆ นี่เป็นภาษาไทย ที่คุณรู้ทุกคำ คำไหนที่อาตมาคิดว่า พวกคุณไม่รู้ อาตมาก็พยายามแปล พยายามให้ความหมาย ขยายความให้รู้ แล้วเอาไปอ่าน เอาไปประกอบสภาวะ ที่อาตมากำลังพูดถึงนี่ ออกมา สื่อออกมา ให้พวกคุณเข้าใจ

ใครมีปัญญา มีปฏิภาณรับได้ คุณก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น แม้เรายังไม่ได้ เราก็ฟังไว้ ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ก็รู้ไว้ได้จริงๆ เพราะที่พูดนี่ทำให้เกิดศรัทธา ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เกิค ดวามเห็น ความเข้าใจได้ ทำให้เกิดศรัทธาได้ ทำให้เกิดวิริยะได้ อินทรีย์ของความขยัน ทำให้เกิดความขยัน ที่มีกำลังเพิ่มขึ้นได้ แล้วถ้าคุณปฏิบัติ แม้แต่ในเรื่องของ สติปัฏฐาน ในเรื่องของ สติสัมโพชฌงค์ ในเรื่องของสติที่เป็นสตินทรีย์ อาตมาก็ได้อธิบายทำอย่างไร ถึงจะเกิด สติปัฏฐาน ที่จะเจริญขึ้นเป็นสัมมาสติ หรือว่าสติสัมโพชฌงค์ ที่เจริญขึ้น เราปฏิบัติไป ก็จะเกิดสติ หรือความรอบรู้ หรือความรู้ตัว ไม่ใช่รู้ตัวตื้อๆ ตื้นๆ อยู่ ตัวเดียวหรอก มันจะรู้ตัว อย่างมีองค์ประกอบที่ลึกซึ้งขึ้นไปได้จริงๆ มีพลังของสติ รอบรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่รู้แต่หยาบๆ มันจะรู้สึกขึ้น มีสติรู้ตัวได้ไว แล้วก็ดัดได้ ปรับได้ เจริญยิ่งขึ้น เป็นสติที่เป็น มุทุภูตธาตุ แล้วก็ยิ่งไปประกอบการงาน ประกอบการกระทำ ประกอบการประพฤติกาย วาจา ใจ มันก็ยิ่งจะชำนาญ เนียนลึกขึ้นไปอีก เป็นสตินทรีย์ เป็นสติพละ ซึ่งเป็นตัวต้นในการประพฤติ ปฏิบัติ เป็นหัวแรง หรือ เป็นแรงกลที่จะเดินบทจักรแก้ว เดินบทตัวเราที่จะเกิดบทบาทต่อไป โดยมี สัมมาทิฏฐิเป็นตัวกัปตัน ตัวนำทาง สตินทรีย์เกิด สติพละเกิดซ้อนได้เรื่อยๆไป เกิดได้แล้ว ก็เกิดสมาธิ เกิดการตั้งมั่น เกิดการสะสม หรือเกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา สมาธิคือ อธิทั้งสาม จริงๆเลย ซ้อนๆๆๆไปเรื่อยๆ ปัญญาก็จะยิ่งรู้แจ้งเห็นจริง สิ่งที่ได้ สิ่งที่เป็น สิ่งที่มี เป็นของจริง ซ้อนไปเรื่อยๆ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ จะ เกิดซับซ้อนกันไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น หมุนรอบเชิงซ้อนๆๆๆ แล้วมันก็จะเกิด กรรมกิริยาที่จริง ไม่ใช่มีแต่ภาษา แล้วก็ได้แต่สาธยาย พูด มันจะเกิดกรรมกิริยา ที่เกิดบทบาทที่จริง เกิดการงานที่จริง เกิดสิ่งสร้าง สิ่งสรรที่จริง สิ่งลด เป็นกิเลสลด ความเบา ความว่าง ความง่าย ความเมตตาเกื้อกูล เกิดจริงหมด สิ่งที่จะสร้างจะสรร ประสิทธิภาพ ทางกาย วาจา ใจ ก็เกิดด้วย

เพราะฉะนั้น โลกุตระของพระพุทธเจ้า คนที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วนี่ เจริญๆหมด ทุกอย่าง โลกก็เจริญ ธรรมก็เจริญ ลาภเจริญไหม เจริญ ยศเจริญไหม เจริญ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขก็เจริญ จริงๆนะ แต่ว่าผู้เจริญนั้นไม่ได้หลงใหล ได้ปลื้มอะไร ไม่ต้องไปติดในลาภ มันจะมีเพิ่มขึ้น ทุกวันนี้ ลาภ หรือสิ่งที่ตอบแทนมา หรือสิ่งที่หมุนเวียน ให้มา เพิ่มเติมมานี่น่ะ จากทั้งที่มันเป็นโดยตรง คือเราปลูกผักก็ได้ผักนี่โดยตรง เราทำความดี เราก็ได้ดีโดยตรง คนอื่นเห็นดีเอามาผสมให้ นี่เป็นโดยอ้อม อาตมาทำดี มีคนเชื่อถือศรัทธา อาตมามีทุน ของอาตมา เท่าที่อาตมามี อาตมาก็ทำ อาตมาทำไป คนเห็นดี อยากมาร่วมทุน หรือ มาช่วยอุดหนุน ให้ทำเพิ่มเติมขึ้น เขาก็ให้มา นั่นเป็นทุนอ้อม เป็นทุนโดยอ้อม อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น มันจะรวย ทั้งทุนโดยอ้อม ทั้งทุนโดยตรง ที่เราสร้างโดยตรง ปลูกข้าวมันก็เกิดข้าว ปลูกผัก ออกแรงทุบมันก็เกิดสิ่งที่เราทุบ ออกแรงปั้น มันก็เกิดสิ่งที่เราปั้น คนอื่นเห็นสิ่งดี เขาก็มาช่วยหนุน หรือเอาแรงงานมาช่วยปั้น มาช่วยสร้าง มันก็เป็นทุน แรงงานก็เป็นทุน วัสดุก็เป็นทุน องค์ประกอบอะไรหลายๆอย่างเป็นทุน มันจะเสริมหนุนเข้ามาอีก จะบอกว่าไม่ได้ ลาภอย่างไร ได้ลาภทั้งทางตรงทางอ้อม เสริมหนุนสอดซ้อน เรายิ่งสะพัด ได้มา สร้าง ได้เกิดขึ้น ยิ่งสะพัด ยิ่งจะเกิดการเสริมหนุนเข้ามามากขึ้น คนจะเห็นว่า เราเอง ไม่ได้ทำเพื่อตัว แต่ทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น เขาจะได้ไว้ใจ เขาจะเชื่อถือ เขาจะยิ่งยินดีช่วย เพราะว่าเขาเอง ทำเพื่อ ประโยชน์สังคม อย่างนี้แหละ เป็นอุดมการณ์อันสูงสุด ของโลกทั้งโลก

ศาสนาก็ตาม ลัทธิการเมืองก็ตาม เขาก็ต้องการอย่างนี้จริงๆ เป้าหมายหลัก แต่เขาทำไม่ได้จริง เราทำได้จริง เขาก็จะเห็น เขาจะมาช่วยอุดหนุนเอง ลาภก็จะได้หมุนเวียนมา เพราะฉะนั้น มันจะไม่หยุดยั้งหรอก ต่อไปมันจะมี คนมีมาให้หรือใครมาสอน แล้วก็ไม่ให้กักตุน สะสม กอบโกย ไม่ให้เอาเปรียบเอารัด เพื่อให้มันน้อยลง น้อยลง แล้วมันจะมีอะไร เดี๋ยวงาน มันก็มากขึ้นๆ คนมันก็ไม่นิยม ชมชื่นมากขึ้น คนก็ทิ้งอะไรๆ มาอีกหมด มันจะมีแต่ตัว กับแบมือมา บางคนไม่แบมือมาหรอก บางคนก็เอามาเลย ทรัพย์สินค้า ก็เอามาให้ที่นี่ด้วย บางคนก็แบมือมา เราก็ไม่ได้ว่าอะไร จะแบมือมาก็แบมา ทิ้งทรัพย์สินไว้ข้างนอก มาแต่ตัว กับหัวใจ ก็มี ก็ไม่เป็นไร เราก็จะหนุนเอง มันก็จะเกิด มันจะเป็นวงจักรเอง

ส่วนคำว่ายศ ตำแหน่งหน้าที่ ยศคือคุณภาพ ยศคือความเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อตำแหน่งหน้าที่ ที่สูงขึ้นๆๆ โดยสัจจะมันมีของมันเอง ไม่ต้องมีใครมาแต่งตั้งหรอก อย่างอาตมา อาตมาไม่ได้รับ การแต่งตั้ง เป็นประธานของที่นี่ มีใครแต่งตั้งอาตมา มันไม่มี แต่เขาก็รู้ว่า อาตมาเป็นประธาน ไม่ต้องแต่งตั้ง มันจะมียศนั้น หรือแม้จะมียศที่แต่งตั้ง เราก็ไม่ได้หลงใหล ได้ปลื้ม เราพิสูจน์ กันอยู่ทุกวันนี้ ยศสมภารนี่ ติดยึดสมภาร หลงใหลได้ปลื้มกับสมภารไหม ก็ไม่ได้ติดยึดอะไรกัน แสดงว่าใช้ได้แล้ว ติดยึดตำแหน่งยศเป็นสมภาร เป็นรองสมภาร เป็นไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรก็แล้วแต่เถอะ มียศมีชั้น แม้แต่ในทางสมมุติ คนนี้มาเป็นสมมตินักบวช ก็เป็นยศนักบวช คนนี้สมมติเป็นนาค คนนี้ เป็นสิกขมาต คนนี้เป็นอะไร ก็เป็นยศ เราหลงใหล ได้ปลื้ม กับสิ่งเหล่านี้ไหม แล้วเราทำสมเหมาะสมควร สอดคล้องกับสมมติสัจจะ ที่เขากำหนดไหม นาคกำหนดว่า ต้องมีฐานะอย่างนี้ ต้องมีพฤติกรรมอย่างนี้ มีหลัก มีเกณฑ์ มีวินัย มีขีดเขตบอกไว้ สิกขมาตมีเท่านี้นะ เณรมีเท่านี้ สมณะมีเท่านี้ ฆราวาสเองก็เป็นฆราวาส บางคน คุณอาจจะสูงก็ได้ ฆราวาสบางคน แต่คุณต้องทำขนาดนี้ คุณต้องทำอย่างนี้ คุณเป็นฆราวาสน่ะ มีหลัก มีเกณฑ์ มีวินัย มีระเบียบ ก็เป็นหน้าที่ตามฐานะ ตามยศ ตามตำแหน่งที่กำหนด เราก็ทำได้สัดได้ส่วนหมด มียศกับเขาเหมือนกัน

มีสรรเสริญไหม แน่นอน มันยิ่งมีสรรเสริญ เราทำดี คนจะรู้ดียกย่อง เชิดชูบูชาโน่นแหละ เทิดทูนบูชาโน่น เขาก็ให้สรรเสริญนั้น แต่เราหลงใหลได้ปลื้มกับสรรเสริญนั้นไหม ก็มันซ้อนเชิง มาเรียนรู้อีก ห้ามเขาไม่ได้หรอก ยศก็ห้ามไม่ได้ ที่มันจะมา ลาภจะห้ามก็ไม่ได้ ถ้ามันจะมา ถ้ามันจะมีสมเหมาะสมควร ตามเหตุตามปัจจัย ตามคุณภาพของมัน มันก็จะมีมาได้ แล้วเราล่ะ หลงไหม เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขซิ ยิ่งปฏิบัติไป ปฏิบัติไป ยิ่งหมดๆๆๆๆ สุดท้ายจริงๆ หมดโลกียสุขเลย ไม่มี นี่ซิตรงนี้ซิ ตรงนี้ซีไม่มีละ พระอรหันต์เจ้า หมดโลกียสุขเลย จะไปได้สุขนั้น เอาภาษาโลกมาเรียก วูปสโมสุข สุขอย่างไม่มีโลกียสุข สุขอย่างระงับ สุขอย่างสงบระงับโลกียสุข

สุขอย่างนี้เป็นสุขอย่างไร คนที่ได้คนที่มีถึงจะรู้ มันไม่เหมือน แต่พวกคุณเคยเสพ โลกียสุข กันทั้งนั้น อย่างนั้นอย่างนี้อะไร เคยเสพ อยากได้ก็ได้สมใจ ตามนั้นตามนี้ อยากได้ลาภ ได้ลาภสมใจ อยากได้ยศ ได้ยศสมใจ อะไรเคยมีมา ยศเล็กยศน้อย ยศศักดิ์สูงอะไร ก็ตามใจเถอะ ได้สรรเสริญเยินยอมาก็เป็นสุข หรือได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนอก สัมผัสใน เป็นกามภพ เป็นภวภพอะไร ได้สมใจอย่างไร คุณก็สุข เคยสุขมาทั้งนั้น มากบ้าง น้อยบ้าง โลกียสุขไม่มีใครไม่รู้ มนุษยชาติรู้จักโลกียสุขทุกคน แต่เรียนรู้แล้ว รู้จริงไหม รู้ให้ออกเลยว่า โลกียสุขอย่างนี้ มันเป็นโลกียะ เป็นสังสารวัฏ ต้องมาเรียนลดโลกียสุขพวกนี้ จนหมดเกลี้ยงเลย พระอรหันต์ ยิ่งไม่ต้องมีโลกียสุขอะไรเลย จบ

เพราะฉะนั้น ปฏินิสสัคคะ นี่น่ะ การสลัดคืนนี่ พระอรหันต์เจ้า กลับกลายเป็นว่ามีลาภ มียศแฮะ มีสรรเสริญแฮะ แต่ไม่มีโลกียสุข เป็นนามธรรม เหลือหลายโลกียสุขนี่ หมดสุข หมดทุกข์ อทุกขมสุข อุเบกขา มีแต่ความคล่องแคล่ว เหมือนกับจะสุขน่ะ ดูเหมือนจะสุขกับเขา โอ้ ทำเหมือน จะสุขกับเขา เบิกบานร่าเริงกับเขาได้ จะเบิกบานร่าเริง ก็ดูเหมือนเบิกบาน ร่าเริงกับเขาได้ กระดี๊กระด๊ากับเขาได้ แต่จริงๆในใจ ไม่ได้ติดยึดอะไรหรอก ปรุงคุณก็ปรุงไป อย่างนั้นแหละ ก็ได้ จะปรุงให้มันปรุงด้วยก็ได้ ก็ปรุงดูเท่านั้นเอง เหมือนพ่อครัวแม่ครัว ปรุงอาหารให้คุณกิน รสอย่างนั้นๆ กำหนดถูกปรุงให้คุณกิน เสร็จแล้ว ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้ติด ไม่ได้ยึดอะไร ไม่กินก็ได้ ปรุงให้คุณกิน คุณกิน เอากินอะไรก็ได้ ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไร กับอาหาร ที่ปรุงให้คุณกิน มันยอดเยี่ยมอย่างนี้น่ะนา จะมีประโยชน์อยู่ในโลก แล้วก็สุข สบายอยู่ในโลก ไม่ต้องมีโลกียสุขแล้ว แหม ปรมัง สุขัง วูปสโม สุโข หรือ อุปสมสุข ปรมัง สุขัง มันยิ่งกว่าสุข ยิ่งกว่าสุขโลกีย์ เพราะมันหมดสุขโลกีย์แล้วอย่างสนิท มันยิ่งกว่าสุขโลกีย์ อะไรที่คุณได้เรียนมา พิสูจน์มา ว่าเป็นโลกียสุข แต่ก่อนเราเคยติด เคยยึด เสร็จแล้ว เราก็มาเรียนล้างละ จนกระทั่งออก มันหมดไปบ้าง คุณก็จะรู้ว่า อ้อ โลกียสุข แต่ก่อนเรามีจริงๆ มันเป็นตัว เป็นตนโลกียสุข เดี๋ยวนี้ ไอ้โลกียสุขอันนี้ปฏิบัติไปแล้ว มันหมดจริงๆ มันจืดๆ จางๆ มันเฉยๆ มันไม่กระดี๊กระด๊าอะไรหรอก มันไม่ได้อยากได้ใคร่อะไร มันก็อย่างนั้นแหละ เรารู้สัจจะ ความจริง อย่างนี้ แต่ก่อนนี้ ถ้าเผื่อว่าหวานได้ขนาดนี้ โอ๊ย ชอบ มันขนาดนี้ หวานมันขนาดนี้ เปรี้ยวอะไรขนาดนี้ ชอบ สีสันอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้ แบบอย่างนี้ โอ้ย สวย ชอบ เดี๋ยวนี้ ฮือ ก็จำได้ ก็เท่านั้นแหละ อาการที่มันชอบ มันชื่นใจ มันเพลิดเพลิน มันอร่อย อะไรอย่างนี้ ในอารมณ์ของจิตของคุณ คุณจะรู้เองว่า แต่ก่อนนี้มันอย่างนี้น่ะ มันมีบทบาทจริงๆ เดี๋ยวนี้มันไม่มีบทบาท ไม่มีลีลาอย่างนั้น จิตใจมันไม่มีอย่างนั้น แต่รู้แต่เข้าใจ เขายินดีก็รู้ว่า เขายินดีด้วย ที่เขายังมียังเป็น มันรู้อย่างนี้ของเราว่า เราเองไม่มี และรู้ว่ามี เป็นอย่างไร

เพราะฉะนั้น คนไหนที่เขามี แล้วเขาก็แสดงออกในบทบาทออกมา ทางกาย ทางวาจาออกมา แล้วเขาก็แสดงอารมณ์ออกมา ขนาดนั้นขนาดนี้ เราพอวัดเขาได้ อ๋อ คนนี้ยังมีอยู่ขนาดนี้ เราไม่มี คือเรามีค่าศูนย์ เกิดรู้ได้ด้วยการคบคุ้น สัมผัส ไม่ใช่ว่า รู้ได้ด้วยการเดาส่ง รู้ได้ด้วย การคบคุ้นสัมผัส ไม่ใช่ว่ารู้ได้ ด้วยการเดาๆงมๆงายๆ ไม่ใช่ มันมีของจริงยืนยันเลย ไม่ใช่เรื่อง ลึกลับ ไม่ใช่โลก magic พิลึกพิลืออะไร ไม่ใช่หรอก เรื่องมีเหตุมีผล มีเหตุมีปัจจัย ไม่ใช่เรื่องงมงาย ของพระพุทธเจ้านี่ มันมีเจโตปริยญาณอย่างที่กล่าวนี้จริงๆ เข้าใจ เขาเข้าใจเราได้ เพราะฉะนั้น มันก็รู้ฐานะ รู้คนนั้นคนนี้ อย่างนั้นอย่างนี้อะไรไป คนยิ่งมีมาก ก็ยิ่งรู้ได้มาก คนมีน้อย คุณก็รู้ได้น้อยเท่านั้นเอง

เอ้า! เอาละ วันนี้ อธิบายเท่านี้ก็แล้วกัน มากแล้วละ ก็จบกันดื้อๆ เอา


ถอด โดย จอม ศรีสวัสดิ์ ๒๗ มี.ค.๓๕
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๑ เม.ย.๓๕
พิมพ์ โดย สม.นัยนา มาบรรจบ ๒๓ เม.ย.๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๒๔ เม.ย.๒๕๓๕

FILE:2355.TAP