รักอย่างไร...ไม่บาป
อบรมพุทธทายาท ปฐมอโศก
พ.ศ. ๒๕๓๔

เจริญธรรม เหล่าพุทธทายาททั้งหลาย เราจะมาพูดกันถึงเรื่องคำ ว่า "รัก" โดยความหมายสามัญๆ ทุกคนก็พอจะเข้าใจนะว่า รักมันหมายความว่าอะไร ผู้ใดมีปัญญาน้อย เข้าใจคำว่า "รัก" นี่ไปใน เรื่องกาม ในเรื่องของเพศ ในเรื่องของผู้หญิงผู้ชายมากหน่อย ก็จะแปลคำว่ารัก หมายความว่า เป็นเรื่องของความผูกพัน หนักเข้าก็เกี่ยวข้องไปจนกระทั่งถึงเรื่องของเพศ ความรักคือ เรื่อง ระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย และหนักเข้า ก็เป็นเรื่องของการสมสู่ เป็นเรื่องของ ความใคร่อยาก ในเรื่องของกาม เขาก็จะเข้าใจกันอย่างนี้ง่ายๆ ในภาษาไทย เราก็มีความหมาย อย่างนี้เหมือนกัน แต่ภาษาไทยเรา เน้นความรักไปในเรื่องนี้ มากจริง ส่วนความรักที่เป็น ความปรารถนาดี เพื่อผู้อื่น นั่นก็มีอีกความหมายหนึ่ง ส่วนความรักที่มาเน้นในเรื่องของ ความได้เสพสม สุขสมในเรื่องของ ความใคร่ ความอยากของกาม

ในภาษาไทยเรานี่ ความรักเราหมาย เราเน้นไปในทางนี้มาก ในเรื่องเพศ ในเรื่องกาม เพราะฉะนั้น คำว่า "ความรัก" ในภาษาไทย เราจึงไม่ใช้เหมือน ศาสนาคริสต์ ความรักในไทย ใช้เป็นเรื่อง ที่หนักเน้น ไปในทางกาม ส่วนของคริสต์ เขาอธิบายความรักของคริสต์ กว้างไกลไปถึง ความรัก ที่หมายถึง ความเกื้อกูลเพื่อผู้อื่น หรือความเมตตาเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ด้วย เพราะฉะนั้น ในความหมาย ที่จะจำเพาะ เจาะจงลงไป ในความหมายของภาษาไทย ความรัก จึงมีแนวโน้ม เอนเอียงไปข้างฝ่าย ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่เสพสุขของตน

ยิ่งเป็นผู้หญิงผู้ชาย เรารักอะไร เราก็จะรักอันนั้น มาเป็นของตัวของตน รักอะไร ก็อยากได้มา เป็นของตัวของตน ใช่ไหม รักอะไรก็หวงแหน สิ่งที่เรารักใช่ไหม นั่นเป็นกิเลส เพราะฉะนั้น คำว่า "รัก" แล้วอยากได้มาเป็นของตัวของตน จะเสพด้วยอย่างใด ก็แล้วแต่เถอะ เสพสมสุขสม ด้วยการ สัมผัสแตะต้อง เสียดสีขนาดไหนก็ตาม ถ้าการสมสู่ระหว่าง ผู้หญิงผู้ชายนี่ สัมผัสเสียดสี หมด ๖ ทวาร มันจึงเป็นเกมส์กามที่ โอ้โฮ ลึก แรง ลึกและแรง และเป็นธรรมชาติ ของสัตวโลกด้วย เพราะฉะนั้น บางทีนี่ คนติดเรื่องการเสพสุข หลงว่าการเสพสัมผัส ด้วยทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ทวารนี่ ได้สัมผัสเสียดสี ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อได้สัมผัสอันนี้แล้ว สมที่ตัวเอง ได้สัมผัส ครบ ตามกลไกของมัน ครบแล้ว ก็ถือว่าเป็นความสุข เพราะฉะนั้น คนที่มีความรัก ชนิดที่ใคร่ เสพกามอย่างนี้ บางที ไม่ต้องมีความรัก ในเรื่องของ ความเกื้อกูล ความหวงแหนก็ได้ ต้องการเสพ อย่างนี้ ไม่ได้หวงแหนล่ะ เสพแล้วทิ้งเลย เหมือนกับ คนข่มขืนฆ่าทิ้ง อย่างนี้เป็นต้น ได้สัมผัส เสียดสีด้วยตามเชิงกลของมัน เสร็จแล้วเรียบร้อย สัมผัสเสียดสีเสร็จ ฆ่าทิ้งเลย เขาไม่หวงแหน ไปหาเอาใหม่ ใคร่อยากอีกใหม่ ก็ไปหาเอาใหม่ อย่างนี้ก็หมายความว่า ต้องการเสพสุข ด้วยกาม ร้อยเปอร์เซนต์ เป็นความใคร่ เสพสุข สัมผัสเสียดสี เท่านั้น

การเสพเหล่านี้ เป็นเรื่องของสัตวโลก ที่จริงน่ะ มันเป็นเรื่องของสรีระ มันเป็นเรื่อง ของสัตวโลก ที่เกิดตามฤดูกาล เกิดตามครั้งคราว ที่จะต้องถ่ายเทเชื้อสืบพันธุ์ เอาไว้เท่านั้นเอง ในพืชก็มี ถึงเวลามันไปตามเรื่องของมัน มันไม่มีรส ไม่มีชาติหรอก เกสรของพืชดอกไม้ มันจะไป ผสมกัน พอมันผสม แล้วมันก็เกิดพันธุ์ เกิดเชื้อต่อ เกิดเป็นพืชพันธุ์ ต่อไป ต้นไม้ เราเห็นได้ รู้ได้ว่า มันไม่มีรส ไม่มีชาติ มันไม่มีความสุขหรอก สัตว์หลายชนิด ที่เสพกามแล้วทุกข์ ถึงขนาดดิ้นรน ไล่กัน กว่าจะปลุกปล้ำ เสพสังวาสกันนี่ เพื่อที่จะให้เกิดเชื้อ เกิดพันธุ์นี่ สัตว์หลายชนิด ต้องไล่ ต้องทำอะไร อย่างน้อยแมว เคยรู้สึกมั้ย เคยเห็นมั้ย แมว กว่าจะผสมพันธุ์ โอ้โฮ มันไล่กัน กัดกัน ตั้งเป็นไหนๆ มีหลายประเภท สัตว์หลายประเภท ทุกข์ แล้วมันก็วิ่งหนี มันก็พยายามจะดิ้นรน แต่สุดท้าย มันก็ยังมีตัวข้างใน สัญชาตญาณนี่ รู้เหมือนกันว่า ถ้าสัตว์ตัวเมียมีไข่ ควรจะได้ ผสมพันธุ์ นี่เป็นสำนึก ของสัตวโลก เพื่อที่จะก่อเชื้อความเกิด ความเกิดนี่เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของ ความจะต้องยังอยู่ เพราะฉะนั้น ธรรมชาติอันนี้ จะมีในจิตวิญญาณระดับสัตว์ขึ้นมา มันก็จะสมสู่

ถึงแม้ว่า มันเป็นทุกข์ ก็จำยอม จนกระทั่งเรามาสร้าง แปลความทุกข์เหล่านี้ ให้มีอุปาทานใหม่ ว่าเป็นสุข มอมเมากันๆ สัตว์มันก็มอมเมากันขึ้นมาบ้าง แต่น้อย มาเป็นคนมอมเมากันมาก เลยหลงใหลว่า สุขกันใหญ่ เลยหนักๆเข้า เลยนึกว่าเป็นความสุข ไม่ใช่ความสืบพันธุ์

ทุกวันนี้ จึงมีกามวิตถาร ขอให้ได้รับการสัมผัสเสียดสี ก็ถือว่าเป็นความสุข เลยไม่ใช่เรื่อง ของธรรมชาติแล้ว เป็นเรื่องเกินธรรมชาติ เป็นเรื่องวิตถาร ไปติดอารมณ์ ว่ามันเป็นสุข ที่จริง ความปลอม เป็นความลวง ไม่จริง ไม่จริงหรอก พอไปติดเข้าแล้ว เราก็หลงว่า จะต้องได้เสพ เสพแล้วก็ เห็นว่าอย่างนี้ ได้อย่างนี้สุข ก็ติดก็ยึดกัน แล้วก็ทำกัน สังขารกัน ปรุงแต่งกัน บ้าๆบวมๆ จนกระทั่ง นานาสารพัด อาตมาไม่พูดมากเกินไปกว่านี้นะ มันลามก ถ้าพูดมากกว่านี้ ก็ลามกกว่านี้ เพราะฉะนั้น ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ พวกคุณก็เข้าใจเอาเอง แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปควานคว้าหา ศึกษาหรอก ไม่ต้องไปศึกษาหรอก แค่นี้ก็เหลือเกินแล้ว รู้แค่นี้ก็เหลือเน่า อยู่ในตัวพอแล้ว ยังจะไป หาเรื่องเน่า ยิ่งกว่านี้ เลอะยิ่งกว่านี้มารู้ รู้ไปทำไม รู้ไปก็ไม่ได้ใช้ รู้ไปแล้วก็ลามก รู้ไปแล้ว ก็ไม่ควรจะมี ไม่ควรจะเป็น เราก็ไม่ควรมีควรเป็น ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แม้แต่เรารู้ว่าเราเอง เราก็ยังมีความลามก เราก็ยังมีความไม่ดี เราก็ยังมีความเสพความติดอันนี้อยู่ เราควรจะล้างออก เลิกออกพิสูจน์

พระพุทธเจ้าสอนว่าล้างออกได้นะ เลิกได้แล้ว มันก็ไม่มีรสอันนี้จริงๆ ดับสูญ ดับรสโลกียสุข พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสรู้ แล้วท่านก็ได้ล้างอันนี้ออกจนหมด คนก็บรรลุธรรม ในเรื่องของกาม ในเรื่องของการเสพสมสุขสม เรียกว่า กามราคะ สูญ ถอนอนุสัยอาสวะ ว่าง ไม่เกิด อารมณ์อย่างนี้ ไม่มีรสชาติอย่างนี้ เพราะรสชาตินี้ปลอม ไม่มีจริงๆ ไม่เกิดอารมณ์ในใจเลย ไม่เกิด เมื่อไม่เกิด ก็เรียกว่า มันดับสนิท มันตาย จึงพิสูจน์ได้ว่า ก็มันตายได้ นี่ตายได้แล้ว ดูตัวเราตายไหม คนบรรลุธรรม หมดกามราคะ นี่ไม่ตาย พระพุทธเจ้าท่านพิสูจน์มาก่อน ให้พระอริยสาวกพิสูจน์อีก เออ ก็ไม่ตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยิ่งดีด้วย ไม่ต้องเสียแรงงาน ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียทุนรอน ไม่ต้องเสียอะไรๆ ไปให้แก่มัน ไม่ต้องเสียเวลาให้แก่มัน ไม่ต้องเสียแรงงานให้แก่มัน ไม่ต้องเสีย ทุนรอน ไม่ต้องเสียทรัพยากร ไม่ต้องเสียอะไรให้มันเลย สบาย เราก็เอาเวลา เอาแรงงาน เอาทรัพยากร เหล่านี้ มาสร้างงาน เอามาขนดิน ก็ยังได้ประโยชน์ใช่ไหม เอาแคลลอรี่เหล่านี้ มาขนดิน ยังได้ประโยชน์ เอามาทำงานอะไรต่ออะไรยังได้คุณค่า เอาเวลามาขนดินก็ยังได้ เอาแรงงาน มาขนดินก็ยังได้ เอาทุนรอนที่จะต้องไปจ่ายกับสิ่งเหล่านี้ มาทำพวกนี้ ให้ได้ประโยชน์ สร้างสรร เป็นประโยชน์ในมนุษย์ต่อไป อันนั้นไม่มี ไม่ใช่ขาดความเจริญ เจริญ! เจริญทั้งตัวเราเอง เจริญ!

ยิ่งทุกวันนี้ ยิ่งทันสมัยที่สุด ทันสมัยนะ อาตมาขอยืนยัน เพราะทุกวันนี้ คุมกำเนิดใช่ไหม ใช่ไหม อ้าว! คนมันจะล้นโลกแล้ว มันห้าพันล้านแล้ว คุมกำเนิด เพราะฉะนั้น ใครที่คุมกำเนิดได้ โดยวิธีที่คุมกำหนัด คุมกิเลสนี่ได้ ทันสมัยยิ่งกว่า โลกทุกวันนี้ สามารถคุมกำหนัด ไม่ค่อยเก่ง ก็ต้องไปคุมกำเนิด ด้วยวิธีวัตถุ คุมไปอย่างนั้นแหละ ไม่อยาก ให้คนมันเกิด แต่ว่ามันมีกิเลส มันก็ต้อง ทำปฏิกิริยาเชิงกลแบบนั้นน่ะนะ ก็ต้องทำ ทำเพราะว่า เราลดอำนาจจิตเราไม่ได้ จิตเรากิเลสมันเป็นเจ้าเรือน กิเลสมันบังคับ ทนไม่ได้ ต้องทำ เขาเรียก หน้ามืด มาบ้าง หน้าไม่มืด ก็แล้วแต่เถอะ อยากใคร่มากๆ อยากมากๆ ใคร่มากๆ ก็ต้องทำ ลดความอยาก ความใคร่อันนี้ลง จริงๆๆๆๆๆๆ คุณมาพิสูจน์ซิว่าลดได้ คนที่ลดได้ ก็ไม่ต้องไปทารุณ แม้มันไม่ต้องขนาดหมดหรอก ลดกิเลสความใคร่อย่างหนึ่งลงมา เหลือน้อยลงๆเท่านั้น เราก็ไม่ต้องทำแล้ว ไม่หมดก็ยัง พิสูจน์ได้แล้ว ขนาดกิเลส ยังไม่หมดนะนี่ ยังเหลืออ่อนๆบางๆ บ้างนี่ ก็ไม่ต้องทำแล้ว เกมส์อย่างนั้นน่ะ อดได้ทนได้ ไม่เดือดไม่ร้อนหรอก แต่ไว้ใจมันไม่ได้นะ เดี๋ยวมันโตวันโตคืน ได้เหมือนกัน เดี๋ยวมันรับเชื้อ

พระพุทธเจ้าไม่ให้ประมาท แม้เหลือน้อยก็ฆ่ากิเลสนั้นให้หมด พิสูจน์ดูซิว่า หมดแล้ว จะเป็นอย่างไร หมดแล้วท่านเรียกว่าสุญญตา ตัวตนของกิเลสกามหมดแล้ว นี่เฉพาะเรื่อง ผู้หญิง ผู้ชายนะ หมดเกลี้ยง พอหมดเกลี้ยง แล้วมันจะเป็นอย่างไร เราจะเห็นสุญญตา นี่แหละ อนัตตา ตัวตน ของกิเลส แต่ก่อนนี้มันเป็นตัวตน มีบทบาทบังคับเรา โอ้ มันเหนือเราเหลือเกิน พอฆ่ามัน ตายแล้ว มันหมดตัวตนของกิเลสตัวนี้ เรื่องนี้นะ เรื่องเมถุน เรื่องผู้หญิงผู้ชาย ฆ่ามัน ตายสิ้น แล้วนี่นะ เราก็จะเห็นความสูญ ความสูญต้องเห็นด้วยญาณปัญญา ตามของจริง ไม่ใช่ไปนั่งเดา อะไรๆก็สูญ อะไรๆก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แล้วกิเลสอยู่ในตัวคุณ เล่า ตัวตนหรือเปล่าไม่รู้ จับตัวตน มันไม่ได้ เราต้องจับตัวตนของกิเลสเลย มันมีอาการ ท่านเรียกภาษาบาลีว่า อาการ ลิงคะ นิมิต

ลิงคะ หมายความว่า ความแตกต่าง มีอาการ อาการคงพอรู้น่ะนะ มีอาการ เวลาเราโกรธ เราเกิด อาการอย่างไรรู้ไหม อ่านมันอยู่ในใจ อาการโกรธมันอย่างนี้ ใจเรามันร้อนๆ อย่างนี้ ใจเรามันมีลีลา อย่างนี้ เวลาโลภอยากได้มา อาการเป็นอย่างไรรู้ไหม รู้ใช่ไหม ไม่รู้ หัดอ่าน มันเป็นนามธรรมหัดอ่าน เวลาโลภ เวลาเกิดราคะ เกิดกาม อ่านเหมือนกัน นี่ใครมีราคะ แล้วใครไม่มีก็บุญไป นี่ตัวโตๆ มาขนาดนี้ มันเริ่มมีฮอร์โมน มันเริ่มมีต่อมมีปม มันเริ่มโตขึ้นมา พอที่จะใช้ มันจะมีราคะ อ่าน อ้อ อาการอย่างนี้เองราคะ แล้วเราก็ลดมัน ฆ่ามัน สะกดใจน่ะ วิธีง่ายๆ กดข่มใจน่ะวิธีง่ายๆ วิธีจริงแล้ว ต้องพิจารณาตามความจริงว่า ไอ้อาการเหล่านี้ มันเป็นอาการของผีนี่แหละ เราเรียกว่าผี อยู่ที่ จิตวิญญาณ อาการของจิตวิญญาณ เราเรียกผี หรือ เราเรียกว่าเทวดา มันเป็นตัวชั่ว เราเรียกว่าผี เป็นตัวดี เราเรียกว่าเทวดา เราฆ่ากิเลสนี้ ลดลงๆได้ เรียกว่า เทวดาเกิด ผีตาย แต่ยังตายไม่ครบนะ มันตายไปบางส่วน เรียกว่าอุบัติเทพ กิเลสหรือผีนี่ ตายไปบางส่วน เรียกว่าอุบัติเทพ เรียกว่าเกิดแล้ว เกิดแล้ว ผีน่ะตายลง เทวดาก็เกิด หรือพระมาเกิด ความประเสริฐเกิด เกิดเรื่อยๆ ผีตายมากเท่าไหร่ ความเป็นเทวดาก็เต็มตัวขึ้นเรื่อยๆ จนอุบัตินี่แปลว่าเกิด จนเทวดานี้เกิดเต็ม ผีตายสนิท เรียกว่า วิสุทธิ แปลว่า สะอาดบริสุทธิ์ ผีตายสนิท เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาบริสุทธิ์ เทวดาเต็มตัว อยู่ที่ตัวเรา นี่แหละ เห็นให้ได้ ถ้าเราอ่านออก เห็นอาการของมันจริงๆ ตาทิพย์ นี่ คนเห็นเทวดา อยู่ตรงนี้

ไม่ใช่คนเห็นเทวดา คือนั่งหลับตาแล้วก็เห็น โอ้โฮ ใส่ชฎาด้วย รำเชิบๆด้วยนะ แล้วตัว เทวดาผู้หญิง ต้องไม่ใส่เสื้อด้วย ตามที่รูปเขียนในผนัง เทวดาผู้หญิงไม่ใส่เสื้อด้วย โป๊ด้วย โอ้! อุจาดไม่เข้าเรื่อง นี่ถ้าอาตมา ต้องไปเขียนรูปฝาผนัง เทวดาต้องใส่เสื้อให้แล้วทุกวันนี้น่ะ ไม่อย่างนั้น มันโป๊ ไม่ดี เขาก็เขียนไป ตามเรื่องตามราว ตามจินตนาการของคนจะทำ เพราะฉะนั้น เทวดาจริงๆน่ะ คือ อาการของจิต ที่ลดกิเลส เรียกว่า เทวดา มันมีเทวดาสมมุติ อยู่อันหนึ่ง เทวดามีอยู่ ๓ เทวดา

๑. สมมุติเทพ
๒. อุบัติเทพ
๓. วิสุทธิเทพ

นี่ เทวดามี ๓ อย่าง สมมุติเทพคือ เทวดาปลอม แล้วคนเรานี่ เป็นเทวดาปลอมกันอยู่ทั้งนั้นน่ะ ส่วนมากเป็นเทวดาปลอม เป็นอย่างไร เทวดาปลอม คือกิเลสมันอยากได้ มันอยากได้เสพสม มันอยากกินอร่อย ตอนนี้ อยากกินของอร่อย ตอนนี้ใครอยากกินอะไรอร่อยล่ะ สมมุติอยากกิน ไอศกรีม นี่ คงจะติดไอศกรีมกันหลายคนเหมือนกันน่ะ ในนี้น่ะนะ ไอศกรีมแค่นั้น นั่นแหละ มันก็ เย็นๆ หวานๆ มันๆ แล้วแต่ใครจะปรุง เสร็จแล้วเขาหลอกเอาไปกิน อาตมาทุกวันนี้ ไม่กินหรอก ไอศกรีม

พอเขาเอาไอศกรีมมาให้กิน โอ้ ถูกต้องกับรสชาติที่เราต้องการ อร่อยจริง สวรรค์หอฮ้อ ได้ขึ้นสวรรค์ ชื่นใจเป็นสุข นี่แหละเรียกว่า ความสุขหลอก เรียกว่า สุขขัลลิกะ เรียกเต็มๆก็ว่า กามสุขขัลลิกะ เป็นสุข สมอยาก สมใคร่ อยากได้กินอันนี้ ได้เสพสมอันนี้ โอ้ สุขนี่เทวดาปลอม เรียกว่า สมมุติเทพ ได้กินสมใจใหญ่เท่าไหร่นั้น ได้สมใจเท่าไหร่ เรียกว่า เป็นเทวดาใหญ่ เท่านั้น มีเงินซื้อมากๆ เรียกว่า เทวดาใหญ่ อย่างเศรษฐี คนร่ำรวย หรือมีอำนาจ อยากได้อะไรเสพสม ได้ตามต้องการ มีอำนาจ ที่จะเสพสมสุขสม เขาเรียกว่าเป็น สมมุติเทพใหญ่ๆ สมัยโบราณ ก็ยกย่อง ให้แก่เจ้าเมือง หรือ กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจนี่ ใช่ไหม กษัตริย์สั่งฆ่าคนก็ได้ ต้องการอะไรมาเสพ สมใจ ฉันได้ เลยเรียก กษัตริย์ว่า สมมุติเทพ เพราะได้เต็มที่ ไม่ต้องกษัตริย์หรอก ใครก็ได้ เศรษฐีร่ำรวย ผู้มีอำนาจ อยากได้อะไร มาเสพสมใจ ได้ตามที่ต้องการนั้น เรียกว่า สมมุติเทพสมบูรณ์ ได้ตามต้องการ ทุกทีไป ได้ตามต้องการทุกเวลา ได้ตามต้องการ ตามที่ต้องการนี่ เรียกว่า สมมุติเทพ

เสร็จแล้ว มันอยากอีกใหม่ไหม อยากอีกใหม่ ตกนรกใหม่ เพราะอยากนี่ มันทุกข์ใช่ไหม ยังไม่ได้ มาแล้ว โอ้ ดิ้นรน เดือดร้อน อยากได้มาเสพ ยิ่งไปติดแบบติดฝิ่น โอ้ ยิ่งเร่าร้อนใหญ่เลย ติดฝิ่น ไม่ได้ ทุรนทุรายใหญ่เลย เหมือนกัน ติดอะไรหนักๆ เข้าไม่ได้ เด็กๆอยากกินไอสครีม ไม่ได้กินก็ร้องไห้ เหมือนกันนั่นแหละ โตนี่ก็เถอะ ถ้าติดเอามากๆเข้า ไม่ได้กินก็จะร้องไห้ เอาเหมือนกันนั่นแหละ ก็ทุรนทุราย มันอยากเหลือเกิน แต่ถ้ามันไม่มีอะไร ที่เป็นตัวกระตุ้นประสาท เกินไปนัก มันก็ไม่ เดือดร้อน เท่าไหร่ แต่มีตัวไปกระตุ้นประสาทอย่างหนัก แล้วติดอย่างหนักๆ เรียกว่า อุปาทาน หนักๆ มันจะดิ้นรนทุรนทุรายมากเลย ไม่ว่าจะติดอะไร ติดเรื่องขนมข้าวต้ม ติดเรื่องเสื้อผ้า หน้าแพร ติดเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสใดๆก็แล้วแต่ แม้แต่เรื่องผู้หญิงผู้ชาย ติดมากๆ ทนไม่ได้ จะต้อง หาทางออก บำบัดให้ได้สัมผัสตามที่เราต้องการ ดีไม่ดี ต้องหน้ามืดตามัว ทำร้ายทำแรง กับคนอื่น ก็ได้นี่ มันเป็นอย่างนั้น เหมือนคนติดฝิ่นทุรน ทุราย โอ้โฮ ทำร้ายคนอื่น หน้ามืดตามัวเลย คนติด เฮโรอีน ติดฝิ่นอะไรนี่ บ้าๆบอๆเลย มันแรงไอ้พวกนี้ มันมีธาตุที่เข้าไปสะกัดแรง แล้วก็ไปทำ ปฏิกิริยากับ เซลประสาท เซลประสาทก็เลยถูกกระตุก ถูกบังคับด้วยสภาพ ของวัตถุรูปแล้ว ธาตุ เขาเรียกธาตุอะไร ก็แล้วแต่เถอะ ธาตุที่มันไปเสพไปติด แล้วตัวเองต้องการ ธาตุอันนี้น่ะ มันก็เป็น ธาตุบังคับ เรียกคาเฟอีน เรียกนิโครติน เรียกอะไรก็ตามใจ มันมี ไม่รู้อะไรบ้าง อาตมา ก็ไม่ได้เรียน อาตมาไม่ได้เก่งเคมี เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่ค่อยจะเก่ง ภาษาพวกวิทยาศาสตร์พวกนี้นัก นี่ลักษณะ พวกนี้ทำให้เป็นทุกข์

ทีนี้ ถ้าเผื่อว่าผู้ใดเรียนรู้จริงแล้ว จับอาการของกิเลสนี้ได้ ลด ลดไอ้ความที่ไปหลงสุขนี่แหละ เห็นจริง ลดได้ๆก็เกิด บอกแล้ว สมมุติเทพเป็นเทวดาปลอม เทวดาปลอมนี่อยู่คู่กับนรก ไม่มีทางหมุน เรียกว่า สังสารวัฏ ประเดี๋ยวก็ขึ้น อยากใหม่ลงนรกใหม่ ไม่ได้เสพก็อยู่นรกนั่นแหละ อยากแรงก็อยู่นรกลึก ได้เสพใหม่ก็ขึ้นสวรรค์หอฮ้อ หยุดชะงักไปชั่วหนึ่ง เดี๋ยวก็อยากใหม่ เราก็ค่อย เลื่อนลงนรกใหม่ อยากจัดก็ลงนรกลึก ได้เสพอีกก็ขึ้นมาสวรรค์ใหม่ นี่เรียกว่า สังสารวัฏ วนเวียน สวรรค์นรก อย่างนี้เองความจริง นี่แหละความจริงของสวรรค์ นรก เราขึ้นสวรรค์ลงนรก อยู่ทุกวันนี้ ตามสมมุติ นี่เรียก สมมุติสัจจะ สมมุติเทพ

ถ้าเรามาฆ่ากิเลสที่เป็นตัวเหตุนี่ได้จริงๆเลย กิเลสตายลงไปเรื่อยๆ เรียกว่า เทวดาจริง เกิดอุบัติเทพ นี่เป็นเทวดาจริง ไม่ใช่สมมุติเทพ ตอนที่ฆ่ากิเลสทุกข์เหมือนกัน แต่ทุกข์เราก็ต้องฆ่า ฆ่ากิเลสนี่ มันทุกข์นะ สู้ทน ฆ่ามันตายแล้วเทวดาก็เกิด กิเลสตายนี่เทวดาเกิด เรียกว่าอุบัติเทพ จนกระทั่ง กิเลสมันตายลงไป มากๆๆๆๆๆๆ เทวดาก็โตขึ้นๆ จนกระทั่ง กิเลสตายสนิทหมด ถอนอนุสัยอาสวะ บริสุทธิ์ กิเลสตายสนิท ไม่มีตัวตน สุญญตา อนัตตา ตัวตนของกิเลส ในเรื่องไหน ก็แล้วแต่ ในเรื่องของกาม ในเรื่องของติดไอศกรีม ฆ่ากิเลสไอสครีม ติดบุหรี่ ฆ่าบุหรี่ ติดกิเลส อยากจะทา ลิปสติก ฆ่าลิปสติก ฆ่ากิเลสที่มันติดลิปสติก ไม่ต้องไปฆ่ามันหรอกลิปสติกน่ะ ช่างมัน ฆ่ากิเลส ในตัวเรา ติดอะไร เราก็ไปฆ่าตัวนั้น ฆ่าได้บริสุทธิ์เรียกว่า วิสุทธิเทพ เรียกว่า เทวดาบริสุทธิ์ นี่เป็นความรู้ทางศาสนา

เอ้า ทีนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องเนื้อหาของวิญญาณ เนื้อหาของปรมัตถ์ ที่อาตมาอธิบายให้ฟังนี่ เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงที่เกี่ยวเนื่องกับจิต เจตสิก กิเลสนี่เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ สมมุติสัจจะ ก็เกี่ยวกับกิเลสเหมือนกัน ฆ่ากิเลสได้ จึงเจริญทางปรมัตถ์ นี่เป็นเรื่องของปรมัตถสัจจะ เป็นเรื่อง ของโลกุตระ เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่แท้ ผู้ใดพิสูจน์ได้ ผู้นั้นจะเห็นของจริง เรียกว่า คนมี ตาทิพย์ แล้วก็คนบรรลุธรรม บรรลุธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้

เอ้า ทีนี้เข้ามาหาเรื่องความรัก ความหมายที่อาตมาได้กำหนด ให้คำจำกัดความไปบ้าง นิดหน่อย เมื่อกี้นี้ ถ้าเรารักอย่างผู้หญิงผู้ชายนี่ เอาตื้นๆก่อน อย่างผู้หญิงผู้ชาย โลกทุกวันนี้ มันเดือดร้อน เรื่องสมสู่ สัมผัสทั้ง ๖ ทวาร มันหนัก การกินนี่ สัมผัส ๕ ทวาร กินนี่อาหารนี่ติดรส มันตั้ง ๕ ทวาร นะ รูปชวนกิน ใช่ไหม เห็นแล้วรูปชวนกิน สีชวนกิน นี่รูปทางตา กลิ่นชวนกิน รสใช่ไหม แตะลิ้น ชวนกิน สัมผัสแตะต้องทางกายอะไรก็ได้ โอ้ จับนิ่ม น่ากิน กรอบน่ากิน สัมผัสแต่ไม่เกี่ยว กับเสียง มันมี ๔ ทวารแค่นั้นแหละ ทางใจนั่นยกไว้ อุปาทานในจิต มันก็มีแน่ ๕ ทวาร ๕ ไม่ใช่ กามคุณ กามคุณ ๔ แต่มีใจอีก ๑ นี่อาหารมีตั้ง ๕ นะ หรือมีตั้ง ๔ กามไม่ใช่ ๕ กาม ทวารเสียง เพราะฉะนั้น คนที่เขาจะหลอกมากๆ ร้านอาหารเขาถึงบอกว่า มันไม่ครบ เขาก็เลย เอาเสียง มาให้ อีกอันหนึ่ง ไม่ใช่มาอยู่ในอาหารน่ะ เสียง ไปมีดนตรีกินข้าวเคล้าเสียงเพลงนั่นแน่ คนก็ครบ บริบูรณ์เลย ทีนี้ก็ติดใหญ่เลย นอกจากจะไปกินข้าว ข้าวไม่อร่อย เสียงเพลงอร่อย กูก็ไป กินข้าววะ ร้านนี่นะ เสียงเพลงมันดี อาหารไม่ค่อยอร่อย แต่เพลงมันดี ก็ไปกินได้ใช่ไหม เขาก็เลย ดึงลูกค้า เข้าร้านด้วยกาม ปรุงรสได้แค่ ๔ ทวาร รสสู้เขาไม่ได้ เอาเสียง เอาดนตรี เอาเพลงมาล่อ อีกทวารหนึ่ง ให้ครบเครื่องกามคุณ ๕ นี่ คนมันเก่งอย่างนี้น่ะ มันเอาหมดเลย นี่เรียกว่ากาม สิ่งที่สัมผัส แตะต้อง ที่เราไม่รู้ แล้วเราก็เป็นทาสมัน เพราะฉะนั้น ถ้าเรารักกามอย่างนี้ รักอย่างนี้ มีทุกข์ ทุกข์นี่ควรเป็นบุญหรือควรเป็นบาป ?

ตอบ ควรเป็นบาป

พ่อท่าน ถ้ารักอย่างนี้แล้ว ควรรักไหม เรามาลดนะ ไอ้ที่ตอบนะนี่ รู้เรื่องนะนี่ ใครนั่งหลับบ้าง ไม่นั่งหลับ ฟังดีๆแล้วรู้เรื่องใช่ไหม ควรมาลด ทุกวันนี้ต้องทันสมัย ล้ำสมัยนะ พวกอาตมานี่ อาตมาถือว่า เป็นพวกล้ำยุค พวกล้ำสมัยเขา คนทุกวันนี้ คนข้างนอกเขายังงุ่มง่ามๆ ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังไม่ทันใช่ไหม ทันสมัยต้องล้ำสมัย เราต้องเป็นพวกนำสมัย ต้องเป็นพวกเจริญ เป็นพวกทันสมัย ใหม่เสมอ ต้องเป็นพวกที่ล้ำยุคนำหน้าเขา นำหน้าไปในทางเจริญนะ ไม่ใช่นำหน้าไปในทางบ้า

อย่างพวกนักร้องบางคน พวกอะไรนี่ นำหน้าไปในทางบ้าแล้วพาบ้านี่ ตอนนี้ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ ใส่แล้ว เห็นไหม กรุ๊งกริ๊งๆ ออกมาชุดใหม่นี่ หน้าตาใส่ตุ้มหูแล้วเดี๋ยวนี้ ก็ใส่ข้างหนึ่งแล้ว อะไรก็ไม่รู้ ห้อยไป ตามนี้ ผู้หญิงยังสู้ไม่ไหวเลย แล้วใส่ตกแต่งกางเกงนี่ โอ้โฮ เจ้าประคุณเอ๊ย อาตมาเห็น ในหน้า ปกเท็ป ชุดใหม่ กางเกงไม่รู้ลายอะไรต่ออะไร ผู้หญิงบางคน ยังไม่กล้าใส่กางเกงขนาดนั้น ใช่ไหม แต่เจ้านักร้องนี่ใส่แล้ว บ้าดีเดือดไปนำสมัยเหมือนกัน แต่นำสมัยแบบนี้ ควรนำไหม ไม่ควรเลย แต่เขาไม่รู้หรอก แล้วคนบ้าพวกนี้จะบ้าตาม เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า ยิ่ง... ขายได้มาก คนนิยมมาก แสดงว่า คนบ้ามาก หรือคนบ้าน้อย (ตอบ บ้ามาก)

คุณคนหนึ่งด้วยหรือเปล่า ? จริงหรือเปล่า ? (ตอบ จริง)

ใช่น้อย หรือใช่มาก ?

ใช่ ใช่พอสมควร ใช่ไม่น้อย หรือว่าบางคนก็ไม่ได้นิยมมาก ก็แสดงว่าเราไม่ใช่อย่างนั้นมาก เราเป็น ผู้หญิงแท้ๆ ยังไม่บ้าตามนั้นเลย ปรุงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมันด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อย่างนี้ เป็นเรื่องกามทั้งนั้น หนักเข้าก็กลายเป็นเรื่องซ้อนเชิง เป็นเรื่องของการสัมผัส เสียดสีไป เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอก พวกนักร้องนักรำ พวกนักอะไรพวกนี้นะ จะเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด จะเป็นวิตถาร ผู้หญิงก็เรียกไปตามประสาผู้หญิง อะไรก็ตามใจเถอะ เยอะแยะ ไม่ต้องห่วงหรอก เป็นเรื่องแน่ๆๆๆๆ เพราะมันอยู่ในวงนี้ อยู่ในวงกาม อยู่ในวงอย่างนี้ สัมผัสเสียดสี แบบนี้วิตถารไป มันไม่รู้เรื่องหรอก เขาไม่ได้เรียน ใช่ไหม เขาก็บ้าดีเดือด ไปตามเรื่อง คนที่รู้แล้ว ก็ละอาย น่าอายแล้ว ทั้งๆ ยังเป็นบ้าอยู่ อย่างนั้น ไปเป็นอย่างนั้น มันเป็นบาป เป็นความทุกข์ เป็นความต่ำ เพราะฉะนั้น คนเจริญจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนสิ่งเจริญ เรามาเรียนสิ่งเจริญนี่ เราอย่าไปรัก อย่างนั้น

รักเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ทุกวันนี้ ถ้าเราลดเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ลดกิเลสเรื่องนี้ออกได้ ปฏิบัติธรรมของ พระพุทธเจ้า จริงๆให้ลดได้ เราทันสมัย นำสมัย ไม่ต้องไปสมสู่ แล้วไม่ต้องไปมีกามวิตถาร ไม่ต้องไป สัมผัสเสียดสี ผู้หญิงก็ไปผู้หญิง ผู้ชายก็ไปผู้ชาย เพราะมันกลัวมีลูกใช่ไหม มันก็เลยไปตามเรื่อง ตามราว ไม่มีคู่ อายเพื่อน จะผู้หญิงกับผู้หญิงก็อาย กูมันคนเดียววะนั่น และมันไปเรื่องวิตถาร เหมือนกัน ก็สัมผัสเสียดสีนั่นเอง เข้าใจไหม เพราะฉะนั้น ใครมาลดได้จนกระทั่งไม่มีอำนาจกิเลส สบายๆ เบา ทันสมัย นำสมัยเกินกว่าเขาคุมกำหนัดได้ ไม่ต้องเป็นผู้ที่จะสร้างความกำเนิดให้แก่คน เพราะคน มันล้นโลกแล้ว แล้วมีลูกได้ไหม คนที่ไม่ต้องไปเสพกามนี่มี ลูกได้ไหม (ตอบ ได้)

ได้ทางธรรม ลูกทางธรรม อ้า อาตมามีลูกไหม (ตอบ มีค่ะ)

ฯลฯ

ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะมาลดกิเลสนี่ลด อย่าไปรัก อย่าไปผูกพัน อย่าไปหลงเสพอย่างนั้น รักอย่าง ที่กำลังกล่าวนี่แหละ ที่อาตมากำลังกล่าวกล่าวนี่ ลดลงมา เราไปติดอะไร ไปผูกพันอะไร แล้วอยาก เอามา เสพสมสุขสมด้วย รักอย่างเสพอร่อย ไอ้อร่อยนี่เป็นของลวง เป็นสุขขัลลิกะ สุข สนธิกับ อัลลิกะ ภาษาบาลี อัลลิกะ แปลว่าหลอกลวง อาตมาไม่แปลว่าหลอกลวง อาตมาแปลว่า ตอแหล เอาให้มันหนักกว่านั้น ก็แปลว่าสุขตอแหล แล้วเราก็ไปหลงเสพสุขตอแหลนี่อยู่ มันตอแหลจริงๆ มันหลอกลวงจริงๆ มันไม่ใช่จริงหรอก มาลดลงซิ พิสูจน์ดูซิ ไม่เชื่อ เห็นว่ามันเออ มันสงบ จิตสงบ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเงียบนี่คือ สงบ ไอ้อย่างนั้นมันก็สงบ สงบเสียง สงบกระดุ๊กกระดิ๊ก แต่สงบของ พระพุทธเจ้า นั่นคือกิเลสมันหมดแรงแล้ว กิเลสมันตายสนิท จนกระทั่ง มันไม่เกิดอีก น่ะสงบ เพราะฉะนั้น คำว่าสงบของพระพุทธเจ้า หมายถึงกิเลสนั่นแหละตายสนิท ถึงเรียกว่านิพพาน

ส่วนร่างกายชีวิตนี่โอ้โฮ ยังคล่องแคล่วพูดเสียงดัง มีประสิทธิภาพสร้างสรรเพื่อคนอื่น สร้างสรร เพื่อใครต่อใครได้ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องมาเสพให้แก่ตัวหรอก ตัวไม่ต้องเสพอะไรแล้ว จะกินข้าว ก็กินเพื่อคุณ ไม่ได้กินเพื่อตัวเอง อาตมาเคยเทศน์ที่วัดมหาธาตุฯ เขามาถาม บอกว่า อาตมาไม่ได้ เสพอะไรให้แก่ตัว อาตมากินข้าว อ๋อ พูดถึงเรื่องกินข้าว กินอาหารไปนี่ เขาก็ถาม อาตมาบอกว่า อาตมาไม่ได้กินเพื่อตัวเอง อาตมากินข้าวเพื่อคุณด้วย กินข้าวเพื่อคุณ คนฟังมีหนุ่มคนหนึ่ง ตะโกน แทรกขึ้นมาว่า มากไปแล้วหลวงพี่ เขาว่าอย่างนั้น เสร็จแล้วพอเทศน์เสร็จ นายคนนั้นแหละ เขาเข้ามา บอกผมไม่เชื่อ กินข้าวเพื่อคนอื่น เขามาถึงเลย มาประกบ เขาก็ถามบอกว่า อย่างน้อย เรากินเข้าไป ก็จะต้องเสพรสอร่อย เขาว่าอย่างนั้น มันต้องอร่อยล่ะ กินข้าวไม่อร่อยเหรอ เขาว่าอย่างนั้น บอกมันก็ต้องอร่อยน่ะ เพื่อตัวเอง อย่างน้อยก็อร่อยให้แก่แก่ตัวเองน่ะ

อาตมาบอกไม่ อาตมาไม่ได้กินข้าวอร่อย เขาบอกไม่เชื่อ แล้วคุณจะเชื่อมันอย่างไร เพราะคุณติด มันอยู่ คุณอร่อยมันอยู่น่ะ อาตมาก็บอก คุณไม่เชื่อ อาตมาเชื่อว่าคุณไม่เชื่อ อาตมาเชื่อคุณ ว่าคุณไม่เชื่อ เพราะคุณยังไม่ได้ลดอร่อย ไม่ได้ลด กิเลสอร่อยตัวนี้ให้ได้จริงๆ แล้วคุณจะไปเชื่อ อย่างไร มาพิสูจน์ซี มาปฏิบัติลดซิ แต่อาตมา ไม่ได้อธิบายยาว ขนาดนี้หรอกน่ะ นี่ อาตมาอธิบาย ให้พวกคุณฟัง อาตมาไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง ในวันนั้น มากขนาดนี้

เรามาลดซิ การปฏิบัติธรรม จึงไม่ได้ปฏิบัติธรรมแต่แค่ว่า เรามาลดกิเลส เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เท่านั้น เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เราก็พยายามสังวร ระวังหัดลดอาการที่เราไปปฏิพัทธ์ ไปผูกพัน ไปอยากได้มาเสพ มันเป็นเรื่องหลอก ลดได้ซิ เราก็ลด พยายามระงับด้วยเหตุผล ด้วยการกดข่มใจ แล้วเราก็มาลด อันอื่นด้วย ลดกิเลสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เรื่องอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอย เราติดในรูปมัน ในรสมัน ในกลิ่นมัน ในเสียงมัน ในอะไรต่างๆนานาพวกนี้ เรามาหัดปฏิบัติไปหมดทุกทวาร ทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปฏิบัติลดจริงๆ เมื่อลดแล้ว เราก็จะรู้ความสงบกิเลส มันตายสนิท นั่นแหละ เรียกว่า นิพพาน ได้นิพพานตัวหนึ่งแล้ว ได้นิพพานเรื่องหนึ่งแล้ว ตอนนี้ใครติดเค้กถั่วงาหน่อย ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วก็ไปหัดลดกิเลสใหม่ กิเลสมันไม่มีแต่เพียงดูด มันผลักด้วย กิเลสนี่ก็คือ โทสะ เรียกว่าผลัก โลภะหรือราคะเรียกว่า ดูดมาให้แก่ตัว ถ้าโทสะเรียกว่า ผลักไม่ชอบ หรือพูดอีก ภาษาหนึ่ง ก็ว่า ชังกับชอบ โลภะราคะนี่ชอบ โทสะนี่ชัง ผลักหรือดูดนั่นเอง บางทีรักมาก พอไม่ได้สมใจ เป็นอย่างไร ผลักมาก โอย ชังกัน ๘ ชาติเลย อาฆาตกัน ๑๐ ชาติเลย มันแรงดูดมาก ก็ผลักมากได้ เพราะฉะนั้น ภาวะตีกลับทุกวันนี้ไปจัดจ้านในอะไรก็แล้วแต่ ดูดมาก ยึดมาก ต้องการมาก ไม่ได้สมใจมาก โอ้โฮ ทีนี้ผลักมากเลย เดือดร้อน โกรธมาก แค้นมากเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น อย่าไปสั่งสมอะไรมากๆไว้นะ รักมากก็แค้นมาก โกรธมากก็ประเดี๋ยว จะรักมากน่ะ ประเดี๋ยว มันจะไปยุ่งนะ เสียท่า แล้วทีนี้รักมากได้เหมือนกัน ไม่ดีนะ

นี่เป็นการเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ลดรสอร่อย ภาษาพระท่าน เรียกว่า อัสสาทะ หรือ โลกียสุข ก็ได้ หรือ สุขขัลลิกะก็ได้ สุขหลอกลวง โลกียสุขก็สุขอย่างโลกๆ ได้สมใจมาในอะไร ก็แล้วแต่ แม้กระทั่ง เสพสุขทางทวาร ๕ ทวาร ๖ หรือได้ลาภมา สมใจในทางที่ได้เห็น ได้จับ ได้ต้อง ได้มาเอาเป็นของเรา ได้ยศมา ได้สรรเสริญมา ได้สัมผัสเสียดสีทวารทั้ง ๖ สมใจก็เป็นความสุข หรือ สุขในภพ สุขในจิต

เรามานั่ง จิตของเราได้นั่งคิดอยู่คนเดียว ฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวก็มันดี อร่อยนั่นก็เรียกว่าภพ ฝันเฟื่องไป จินตนาการไป สร้างภาพสร้างชาติไป เรื่องไหนพอใจก็ชื่นใจ เรื่องไหนไม่พอใจ ก็ทุกข์ไปอะไรไป ตามเรื่องตามราว คิดถึงความอาฆาต คิดถึงความรัก คิดถึงเรื่องราวอะไรก็แล้วแต่ คนชอบไปนั่ง อยู่ในภวังค์ แบบนั้นก็เยอะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ มีเรื่องข้างนอก มันเดือดร้อนวุ่นวาย ชักจะไม่อยากจะวุ่นวาย กับใครแล้ว มานั่งให้ตัวเองบ้า ฟุ้งซ่านหนักเข้า ฟุ้งซ่านหนักๆ เลยทีนี้ ไม่รับคนอื่นแล้ว อยากจะอยู่ ในภพของตัวเอง คนเดียว คนอื่นอะไรมาไม่รับ ไม่รู้ ไม่เกี่ยว ไม่ข้อง จนกระทั่ง ไม่รับเรื่องของคนอื่น เอาแต่เรื่องของตัวเองเป็นเอก นานๆจะตั้งสติ รับกับคนอื่นบ้าง ตอนนั้นพอรู้เรื่อง เรียกว่า มีสติ ตอนไหน พูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เรียกว่าไม่มีสติ เรียกว่าคนสติเสีย คนสติเสียแบบนี้ อยู่ในภพ ของตัวเอง

คนพวกนี้ พูดกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดกับคนอื่นไม่ค่อยรับ พวกนี้ก็ส่ง โรงพยาบาลบ้า นั่นแหละ พวกนี้ล่ะ เสพภพเป็นภวตัณหา เป็นกิเลสมันตัวกูของกู แน่ๆเลย อันนี้คนอื่นไม่เกี่ยว คนอื่น จะอย่างไร บางทีก็อยู่กับตัวเองนั่นแหละ คนอื่นเขาเห็น ก็ช่างเป็นไร ก็ข้าสุขของข้า นั่งพูดไปเอง คนเดียว หัวเราะคนเดียว คนอื่นช่างมันเป็นไร กูของกู อยู่คนเดียว นี่ตัวกู ของกูอย่างหนัก แม้แต่ไม่จัดจ้าน อย่างนี้ก็ตาม พอลืมตา พอเห็นได้ยินเสียงคนอื่น อะไรก็รู้ ก็รับรู้เรื่อง ของคนอื่น แต่เผลอๆ ก็ไปแล้ว ตกภวังค์ นี่เรียกว่า สติตกเป็นคราวๆ เสพภพ เสพภวังค์ของตัวเอง เป็นคราวๆ อย่าบ่อยนักน่ะ บ่อยนักประเดี๋ยวก็เข้าโรงพยาบาล อย่างที่ว่านั้น คนทุกวันนี้ มันทุกข์ เพราะรอบด้าน อะไรต่ออะไร ไม่อยากจะรับรู้รับเรื่องอะไรของคนข้างนอกมาก มันก็เลยตัดจริงๆ มันตัดจริงๆ มันก็เลย อยู่ภพของตัวจึงบ้า จึงเสียสติบ้า ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ มันทุกข์จริงๆ เรื่องข้างนอกมันทุกข์ มันรับมาก มันก็มีแต่เรื่องเดือดร้อนวุ่นวาย แล้วไม่มีทางออก ไม่มีปัญญา ก็เลยต้องบ้าไปเยอะ ทั่วโลก ไม่ใช่แต่ประเทศไทย

นี่เป็นภวตัณหา อาตมาพยายามอธิบายให้ฟัง ภวตัณหานี่ยาก ยากกว่านี้อีก แม้จะไม่บ้าอย่างนั้น จะมาเสพภพ ที่อาตมาอธิบายไปหน่อยแล้วว่า ใจเราต้องการอย่างนี้ แต่เวลามีสติ ก็รู้กับคนอื่น เขามากอยู่ แต่เวลาเผลอๆ หรือไม่ก็เลี่ยง ไม่ต้องการพบกับใครเหมือนอย่างฤาษี ไปหากุฏิอยู่ ไปหารูอยู่ อยู่ภพ อยู่ของตัวเอง ดีไม่ดีก็นั่งหลับ มันดี ไม่วุ่นดีโว้ย วุ่นก็วุ่นน้อยๆอยู่ในตัว อยากจะคิด อย่างไร มีกำลังคิดก็คิดบ้าๆ บวมๆไป ฝันเฟื่องไป อย่างโน้นอย่างนี้ไปตามเรื่อง ฟุ้งซ่าน อยู่อย่างนั้นก็มี หรือมีวิธีฤาษีเขาสอน ก็มานั่งสะกดจิตให้มันหยุดคิด หยุดอะไรหมดเลย นั่งหยุดคิด มันก็ยิ่งเบา เบาว่าง เขาก็เลยเห็นว่า โอ้นี่เป็นทางที่จะไม่ทุกข์ แต่เป็นภวตัณหา ก็เลยไปนั่ง วิธีการสะกดจิตหยุด ไม่คิด ไม่นึก ว่าง ว่างนะ สร้างว่างใส อากาศใส เขาเรียกในภาษาธรรมะว่า อากาสา หรือว่า อโลกสัญญา ไม่มีโลกอย่างโลกๆนี่ ไปอยู่ในโลก อีกโลกหนึ่ง อโลกะก็คือ ไม่เป็นโลกอย่างโลกๆ ไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ไปสัญญาอีกโลกหนึ่งว่างๆ เอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุด แสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่แสงสว่าง มีแต่อากาศว่างๆ มันจะมีแต่อย่างนั้น ไม่ให้มีเรื่องอะไรเลย ไม่ให้มีสี มีแสงอื่น ไม่ให้มีเรื่องอะไรอื่น เป็นโลกว่างๆ

จนกระทั่ง กำหนดสัญญา กำหนดแล้วก็ทำจิต ของตัวเองได้ ได้อย่างนั้นน่ะ โอ้ โลกนี้ว่าง โอ้สบาย ว่าง กำหนดให้โลกว่างๆ ของตัวเองอยู่ จิตก็ไม่ได้อยู่โลกว่างๆหรอก ฝึกเอา ฝึกมากๆเอาก็ได้ หรือ จะปั้น เป็นรูปเป็นตัวก็ได้ อย่างธรรมกายนี่ ฝึกให้มันโล่งว่าง แล้วปั้นเป็นรูปว่าง แล้วก็ปั้นตัวใหม่ ขึ้นมา ปั้นเป็นพระพุทธรูป รูปพระพุทธรูป อย่างนี้ เรียกว่าโสดา พระพุทธรูปอย่างนี้เรียกว่าสกิทา พระพุทธรูปอย่างนี้ เรียกว่าอนาคา พระพุทธรูปอย่างนี้ เรียกว่าอรหันต์ เขาก็ปั้นไปๆจนได้ โอ้ บรรลุธรรมแล้ว ปั้นได้สำเร็จ เรียกว่า มโนมยอัตตา ภาษาของทางธรรมะ เรียกว่า มโนมยอัตตาก็ได้ ปั้นเอาได้ เสร็จแล้วเขาก็ถือว่า อย่างนั้น เป็นธรรมะ เอ้า ก็ว่าไป ดีเหมือนกัน ที่เขาสะกดจิตตัวเอง จนสงบได้ มันก็มีทางออก เพราะฉะนั้น วุ่นวายทางโลก เขาไม่เอา เขาก็มานั่ง ทุกข์เมื่อไหร่ เขาก็มานั่ง สบาย เสร็จแล้ว ก็ไปเป็นพระอรหันต์ในนั้น พอลืมตาออกมา อรหอยหมดเลย มันไม่เป็นอรหันต์แล้ว เป็นอรหกหมด เป็นอรหอยหมดแล้ว มันก็ไปเลอะตามโลก เพราะมันไม่รู้ เท่าทันโลก

ของพระพุทธเจ้านั้นรู้เท่าทัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รู้หมด เราไม่เป็นทาส ไม่อยากได้น่ะลาภ ทำงานแล้ว มันก็เกิดอะไรเอง เกิดมาแล้ว สิ่งที่เราสร้าง เราปลูกผัก เกิดผัก ผักนี้ของเราสร้างขึ้นมา ก็เป็นสิทธิของเรา เราอยากจะให้ใครก็ให้ เป็นลาภ ลาภ แล้วที่เราทำ มันก็ได้มาตามผล หรือ บุญบารมีเป็นลาภ มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราสร้างอะไร เราก็ได้เป็น คุณค่าขึ้นมา ไม่ต้องอยากได้ แต่รู้ว่าสร้างแล้วมันได้ ก็สร้างซิ ได้แล้วเราก็ ไม่อยากได้อีกด้วย แจกจ่ายเจือจาน การให้ การเกื้อกูล การแจกจ่ายเจือจาน ดีกว่าโลภโมโทสัน ไว้เป็นของตัว บอกแล้วว่า รักไว้เป็นของตัว หวงแหนไว้เป็นของตัว มันบาป อย่ารักอย่างนั้น เพราะฉะนั้น สร้างขึ้นมาก็จงเอาไปให้คนอื่น สร้างขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าไปให้ จนกระทั่ง ตัวเอง ไม่มีจะกิน ไอ้นั่นมันก็โง่ไป เสร็จแล้วตัวเองก็ แหม กระเบียดกระเสียน ไปเที่ยวได้ไปแย่ง เอาของคนอื่น ไปเอาของคนอื่น ไปเบียดเบียนของคนอื่น ไม่เอา

เราสร้าง เราก็แบ่งกินแบ่งใช้ เพราะเรามีสิทธิ์นี่ เป็นสุจริตของเรา แล้วเราก็เอาอันนี้ไปแบ่งคนอื่น หรือเอาไปแลก ถ้าเราจะใช้ อันนั้น จะกินอันนั้น เราก็เอาสิ่งนั้น ไปแลกของคนอื่นมากินมาใช้ มันแลกไม่ได้ โดยตรง ก็เอาไปขาย เป็นเงิน เรียกว่าตัวกลาง เป็นธนบัตร เอาตัวกลางนี้ เราปลูกข้าว เราได้ข้าว เราเอาข้าวไปขาย ได้เงินมาเป็นตัวกลาง เราขาดเกลือ เราก็เอาเงินไปซื้อเกลือ เราขาดผ้า เราก็เอาเงินไปซื้อผ้า พอที่จะมาใช้ ในร่างกาย ในชีวิตร่างกาย อาศัยปัจจัยสี่นี้นิดหน่อย พออาศัย พอคุ้มกาย กันร้อน กันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย พอมีอาหารกิน ให้ร่างกายมันสมบูรณ์ มีธาตุเลี้ยง มีธาตุอยู่อาศัยได้ มีกำลังวังชา สร้างสรรอยู่ พอมีที่นอนที่พัก พอมียารักษาโรค ถ้าเป็นโรค เป็นภัย ถ้าไม่เป็นโรคเป็นภัย ก็ไม่ต้องยาหรอก ไม่ต้องไปติดยา ไม่ต้องไปกินยา ดมยา ดูดยาอะไรไม่เข้าเรื่อง ให้มันติดมากมาย เพราะฉะนั้น ปัจจัยสี่ เป็นหลักสำคัญ คนที่เรียนรู้ มักน้อยลงไปแล้ว ก็สร้างปัจจัยสี่นี้เป็นหลัก ตอนนี้ เรากำลังถอยหลังเข้าคลองมา มาสร้างปัจจัยสี่

ทุกวันนี้โลกมันแย่แล้ว ดินมันก็ไม่ไหวแล้วเน่า น้ำก็เน่า อากาศก็เน่า สิ่งแวดล้อมเน่าไปหมด เกิดจากใคร ตอบได้ไหม ว่าอะไรมันเน่าเป็นต้นเหตุ คนเน่า คนไม่เน่าหรอก นี่ยังไม่เน่า นี่ยังไม่ตาย อะไรมันเน่าแท้ๆ จิตใจมันเน่า เออ ชักเก่งนะ ตอนนี้ชักเก่ง แหม ตัดเคิร์ฟออกมาสี่นะนี่ ขนาดนี้ ได้สี่นะนี่เก่งนะ จิตวิญญาณเน่า เพราะมันโง่ มันไม่เข้าใจสัจธรรม แล้วมันก็เลย ไปทำอะไร เลอะๆ เทอะ เลยพาอะไรเน่าหมด ข้าวก็เป็นพิษ ดินมันเป็นพิษ ดินมันเน่ามันเสีย น้ำมันเป็นพิษ ข้าวก็เป็นพิษ ต้นไม้ก็เป็นพิษ ผลหมากรากไม้ ก็ถูกมลพิษพวกนี้ ผสมผเสเจือจานอยู่ในนั้นเยอะ เพราะฉะนั้น เราจึงเดินถอยหลัง เข้าหาความบริสุทธิ์ ของธรรมชาติ พยายามมาปรับดิน ให้มันมีมลพิษ น้อยลง หรือไม่มีมลพิษ น้ำก็ให้มันสะอาดขึ้น ไม่ให้มีมลพิษ อากาศอุณหภูมิต่างๆ ให้มันได้สมดุล จนกระทั่ง มันประกอบกันขึ้นมา เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์เป็นอะไรอยู่ขึ้นมา ให้มันสมบูรณ์

ปฐมอโศกนี่ พยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่แผ่นดิน คุณเห็นแล้วใช่ไหม รูปมี ถ่ายเอาไว้ มีแต่แผ่นดิน ว่างเปล่า เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีรูปให้ดู นึกไม่ออกหรอกว่า มันมาอย่างไร นั่นน่ะแผ่นดินว่างๆ โล่งๆ นั่นน่ะ เรามาตั้งแต่ เริ่มต้นไถ แล้วก็เอาดินมาถมๆ ขึ้นมา นั่นที่ไปเดินๆนี่ ภูเขา น้ำตก ลำธารอะไร ที่บ้านปลูกไว้ โน่นน่ะ ถมดินขึ้นมาตั้ง ๖๐-๗๐ ซม.นะ บางที่เป็นเมตร ถมขึ้นมา ยิ่งภูเขานั่น หลายเมตร ถมขึ้นมา แล้วก็ค่อยขุด ให้เป็นลำคลอง ตามเรากะเสียก่อน แล้วก็ค่อยๆ ปรับตัวมา ค่อยๆปลูกบ้าน ปลูกเรือน ปลูกต้นไม้ขึ้นมา กว่าจะเป็นรูปนี้นี่ ๖-๗ ปี ย่างขึ้นมาแล้ว ได้รูปนี้ คนมาดูตอนนี้ ถ้าไม่บอกภูมิหลังไม่รู้เรื่อง โอ้ที่นี่ทำไม มีน้ำตกน่ะ ไม่รู้ล่ะ เราบันดาลขึ้นมา ทำไมมีภูเขาละ เราบันดาลขึ้นมา อาตมาต้องกลายเป็นพระเจ้า พากันไปสร้างเป็นพระเจ้า พวกเรานี่ มาจากพระเจ้า ช่วยกันสร้าง สร้างภูเขา สร้างแม่น้ำ สร้างลำธาร สร้างน้ำตก สร้างต้นไม้ ใครเคยอ่าน ประวัติพระเยซู พระเจ้าบ้างล่ะ ใครเคยอ่านบ้างล่ะ มีวันที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ อะไรนี่ วันนี้ก็สร้าง สร้างอันนี้ก่อน สร้างภูเขา แม่น้ำ ลำธาร สร้าง อะไรสร้าง เรากลายเป็นคนสร้างจริงๆ สร้างแล้วมันก็เป็นจริง

เรารู้จักด้วยหลักวิทยาศาสตร์ เรารู้มามากแล้วเดี๋ยวนี้น่ะ น้ำมันจะสะอาดยังไง มันจะต้อง สังเคราะห์กับแสง สังเคราะห์กับไอ้โน่นไอ้นี่ เกิดอากาศ เกิดแก๊ส เกิดโน่น เกิดนี่ เกิดฆ่าจุลินทรีย์ อย่างนั้น มีจุลินทรีย์อย่างนี้ไว้ จุลินทรีย์อย่างนี้ดี คนได้รับ จุลินทรีย์อย่างนี้ ก็ใช้ในร่างกาย จุลินทรีย์อย่างนี้ มีเท่านี้พอ มีมากไปไม่ดี จุลินทรีย์อย่างนี้ อย่าเอาเข้าไปเลย ในร่างกาย เอาเข้าไปแล้ว ประเดี๋ยวก็ยุ่ง ประเดี๋ยวก็ไม่สบาย เราก็รู้ เราก็จัดแจงเอา ปรับ อะไรไม่ต้องการ เราก็เอามันออก ทำให้มันหายไป อะไรต้องการ เราก็มีไว้ เพราะฉะนั้น ในน้ำพวกนี้ คนเรานี่ ภูมิคุ้มกัน ต่ำมาก ทุกวันนี้ น้ำที่กิน ก็สะอาดเกินไป น้ำที่ใช้ ก็สะอาดเกินไป พอมาเจอน้ำที่ขนาดนี้ เอ้า แย่แล้ว เห็นไหมนี่ พออาบน้ำไอ้พวกนี้ ต้องไปหยอดตา ต้องไปคันตรงนั้น ต้องเป็นผื่นตรงนี้ เพราะภูมิคุ้มกันต่ำ ส่วนคนที่ภูมิคุ้มกันของเขาไม่ต่ำ ก็อาบน้ำเดียวกันน่ะ มันก็ไม่เป็น ไอ้ที่เป็น นั่นก็คือ ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เขาอยู่ไปอีก ต่อๆไป ภูมิคุ้มกันเขาขึ้นมาเอง เขาก็อาบได้ นี่ให้อยู่ทุกคนนี่นะ ให้อาบนี่ตาแดงบ้าง มีผื่นบ้างนี่นะ อาบเถอะ อาบไปเถอะ อาบไป อาตมาว่า มันคงไม่ถึงเดือนหรอก อาบได้ตลอดไป ภูมิคุ้มกัน ก็สมบูรณ์แข็งแรง หรือว่ามันจะมีพิษ มีธาตุพอ ที่จุลินทรีย์อะไร ที่มันไม่ดี เราจะตรวจเหมือนกัน น้ำพวกนี้ เราก็เอาไปตรวจ ถ้าอันไหนมันไม่ดี เราก็พยายาม หาทาง ที่จะมาลดลง อันไหนมีดีก็ทิ้งไว้

ในร่างกายของมนุษย์ มีจุลินทรีย์อยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ บางคนจุลินทรีย์บางอย่างน้อย โรคห่ามานี่ เขาบอกว่า ห่ามา เมื่อวานนี้หนังสือพิมพ์ อหิวาต์ เราต้องไปฉีด เชื้ออหิวาต์เข้า ไข้ทรพิษมา เอ้า ไม่มีภูมิคุ้มกัน ฉีดเชื้อไข้ทรพิษเข้า ใช่ไหม เราต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในร่างกายพอสมควร ที่เราจะต่อสู้ กับสิ่งมันจะมา ถ้าไม่อย่างนั้น ภูมิคุ้มกันต่ำหมด อะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ถึงง่าย ที่จะเป็นโรค แย่นะ เอาละ อาตมาวิเคราะห์อะไรพวกนี้ มันเกี่ยวกับชีวิต ให้ฟังว่า เราจะต้องเป็นผู้รู้รอบ ในเรื่องเหล่านี้ เราจึงจะอยู่กัน อย่างเป็นสุข อยู่กันอย่างแข็งแรง อยู่กันอย่างสบาย เพราะฉะนั้น เรามาเดิน เข้าหาธรรมชาติ เรามารักอย่างไร จะไม่เป็นบาป

ทุกวันนี้ คนไม่ค่อยรักน้ำ คนไม่ค่อยรักดิน ไม่ค่อยรักต้นไม้ ไม่ค่อยรักอากาศ ต่างคนต่าง ปากพูด ได้น่ะ ฉันรักดิน แต่เขาก็เอาขยะเน่า ลงไปในดิน ทำให้ดินเสีย ฉันรักน้ำ แต่เขาก็ทำสิ่งที่ ทำให้น้ำเสีย ฉันรักอากาศ แต่เขาก็พ่น ไอ้สิ่งที่ไม่ดีเข้าไปในอากาศ ฉันรักต้นไม้ ฉันก็จะตัดต้นไม้ ฉันก็จะทำลาย ต้นไม้ ฉันรักอะไร ก็พูดได้แต่ปาก ความจริงเขาไม่เป็น เพราะฉะนั้น เราต้องมาเป็น เราต้องมารักดิน จริงๆ หลายคน ไม่กล้าจับหรอกดิน แต่ทำให้มันเน่า ทำให้มันเสียเก่ง แต่ดินไม่จับ เพราะมันดินเน่า เอาน่ะ เหมือนกับ เราเป็นแพทย์ เหมือนเราเป็นพยาบาล พยาบาลต้องจับคนไข้ บางทีเชื้อโรค ก็ต้องถูก แตะต้อง แต่ก็ต้องป้องกันนะ ใส่อะไรบ้างเชื้อโรค นะ แต่ดินก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก จับดิน ก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่จะใส่ก็ได้ ใส่ถุงมือก็ได้ แต่มันไม่ค่อยถนัดหรอก แต่ดินนี่ มันไม่มีเชื้อโรคแรง เหมือนอย่างกับ เชื้อโรคบางเชื้อโรค อย่างหมอ อย่างพยาบาลอะไรนี่ เขาต้องใช้ เราก็แตะต้องบ้าง เราต้องทำ ไม่อย่างนั้น ตกลง หมอก็รังเกียจ อื้อๆ ไม่เอา เชื้อโรคคนป่วย พยาบาลก็ฉันก็เอาเชื้อโรคคนป่วย เลยตายกันหมดเลย มันไม่เหลือเลยคน ก็ไม่เหลือ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เหมือนกัน ดินมันเสีย แต่มันไม่ร้ายแรงเหมือนคน ที่มีเชื้อโรคด้วยซ้ำ เราก็ต้องจับดิน ทำดิน นี่เราก็ต้องทำ ปรับมัน น้ำมันเสีย เราก็ต้องจับน้ำ ทำน้ำให้ดี เพราะฉะนั้น น้ำอะไร ควรจะอยู่ ยังไงๆๆๆๆ ถ้าจัดแจงให้มันอยู่ในที่ของมัน ได้สัดได้ส่วน ได้พอเหมาะพอดี ไม่เข้มเกินไป มันก็ดีแล้ว มันมีสัดส่วนพอดี ไม่เข้มเกินไป จางเกินไปอันนั้น ก็ไม่ได้คุณค่าประโยชน์ ถ้าเราเอาขี้ไก่ เอาขี้หมูอะไร มาวางไว้บนศาลานี่ เราเรียกมันว่าอะไร รู้ไหม (ตอบ ขยะ)

ถ้าเราเอามันไปไว้ตามที่ต้นไม้ ขี้ไก่ก็ดี ขี้หมูก็ดี ให้มันได้สัดส่วนพอดี พอเหมาะ เราเรียกมันอะไร (ตอบ ปุ๋ย)

เห็นไหม ตัวเดียวกัน ก็เรียกผิดกันแล้ว อันหนึ่งเรียกขยะ อีกอันหนึ่งเรียกปุ๋ย ถ้าขยะมากๆ ก็เน่า สะสมกันเข้า หมักหมมกันเกิดจุลินทรีย์ เกิดนั่นเกิดนี่ เละเลยนี่เอามาซี เอากองขี้ไก่ มากองบนนี้ มากๆเข้า นี่เดี๋ยวเละกันใหญ่เลย เดี๋ยวก็เน่า แล้วก็เกิดเชื้อโรคบานตะไท แต่ถ้าเราเอาไปแยกย้าย ให้มันอยู่ ได้สัดได้ส่วน มันจะเป็นของดี เพราะฉะนั้น การเรียนรู้วิชาขยะ จะต้องเรียนรู้อย่างดี อากาศก็เหมือนกัน น้ำก็เหมือนกัน น้ำได้สัดส่วน ไม่ใช่ไม่มีจุลินทรีย์เลยนะ น้ำมีจุลินทรีย์ ประมาณนั้น เป็นน้ำที่ควรใช้ควรดื่ม น้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็ไม่ดี ทุกวันนี้มันทำน้อยไป น้ำที่ดื่ม ทุกวันนี้น่ะ โอ้ย มันจุลินทรีย์ที่ต้องการน้อยเกินไปน่ะ ทุกวันนี้ที่ดื่มๆ กันนี่ เสร็จแล้วเป็นยังไง อ่อนแอ พอไปดื่มน้ำผิด นิดหน่อย ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว คน ชาวชนบทนี่นะ เขากินน้ำในแม่น้ำ แต่เดี๋ยวนี้ คงกินไม่ไหวแล้วล่ะ มันเน่าแยะ จุลินทรีย์โอ้โฮ มันไม่ไหว แต่ก่อนนี้ธรรมดา แม่น้ำลำธารพวกนี้ พวกพายเรือ ขายของตามแม่น้ำ ใครเคยอยู่บ้านนอกบ้าง ธรรมดาพายเรือขายของ พอเวลาร้อน มา โอ้ย กินน้ำก็เอาขันที่ในเรือ หรือไม่ก็ชาม คนขายก๋วยเตี๋ยวเรืออย่างนี้ เป็นต้น จ้วงน้ำดื่มสบาย น้ำในแม่น้ำน่ะ ดื่มธรรมดา ทั้งๆที่บางที เห็นขี้ลอยตุ๊บป่องๆ เพราะในแม่น้ำนี่ มีคนขี้ลงใช่ไหม มีคนขี้ลง ลอยตุ๊บป่องๆ เขาก็ตักน้ำนั่นดื่มสบาย เขาก็ไม่เป็นไร เพราะภูมิคุ้มกันเขาพอ แล้วมันก็ มีได้สัดส่วน พอที่จะฆ่ากันได้อยู่กันได้ เขาไม่เป็นไรหรอก

แต่เดี๋ยวนี้ อาตมาก็ไม่แนะนำ ให้พวกคุณ ไปดื่มหรอก มันไม่สะอาด มันเสี่ยงไม่ไหว เราก็มีภูมิ คุ้มกันต่ำด้วย แล้วไอ้พวกโน้น มันก็จัดด้วย เพราะ น้ำมันเสียมาก มันสู้ไม่ไหวหรอก อาตมาก็ ไม่แนะนำ แต่ถ้า เผื่อว่า ภูมิคุ้มกันเราดีนะ แม้แต่น้ำในลำธารนี่ก็ดื่มได้ ขนาดนี้ก็ดื่มได้ แต่ทุกวันนี้ อาตมาก็ยังไม่แนะนำให้ดื่ม เพราะว่าเราต้องสร้างภูมิคุ้มกันของตัวร่างกายของเรา ให้แข็งแรงด้วย แล้วก็จนกระทั่ง เราทำน้ำ ให้มันสะอาดลงมาให้ได้สัดส่วน ให้มันพอดีกัน น้ำนี่เราก็ดีขนาดนี้ ภูมิคุ้มกันเราก็สูงมาขนาดนี้ ก็อยู่ด้วยกันได้ ต่อไปไม่ต้องมานั่งรอน้ำฝน ไม่ต้องมานั่งรอ น้ำอะไร ต่ออะไร ที่มันนั่นแหละ ดื่มได้ น้ำในแม่น้ำลำธาร เราก็ดื่มได้ อะไรอย่างนี้ มันจะเป็นไปนี่ อาตมาเล่าให้ฟัง

สรุปแล้ว ก็คือทุกวันนี้ เราจะต้องมาทำความรัก ไม่ใช่จะรักแบบเสพสมนะ ตอนนี้ ต้องเข้าใจ ความหมาย มารักดิน รักน้ำ รักลม รักไฟ รักต้นไม้ รักธรรมชาติ รักสิ่งแวดล้อม แม้แต่รัก อุจจาระหมู อุจจาระหมา อุจจาระไก่ อุจจาระอะไรนี่ ต้องรัก รักเพื่อปรารถนาดี บอกแล้ว ความรักของคน ที่เห็นแก่ตัวน่ะ เป็นความรักทางกาม ความรักเห็นแก่ตัวนั้น เป็นพิษเป็นภัยนั้น เป็นบาป ถ้ารัก อย่างเมตตา รักอย่างรังสรรค์ รักอย่างปรารถนาดี ผู้หญิงผู้ชาย เรารักกัน เรารักกันอย่าง ปรารถนาดี หวังความดีต่อกัน ไม่รักอย่างกาม ต้องการสมสู่ เสพสมอย่างที่ว่านั้น ต้องตัดกิเลส อันนั้น พอตัดกิเลส อันนั้นได้แล้ว ก็รักกัน อย่างพี่อย่างน้องปรารถนาดีต่อกัน รักกันอย่างพ่ออย่างลูก อย่างแม่อย่างลูก รักกันอย่างญาติ อย่างมิตร ปรารถนาดีต่อกัน คนไหนเป็นทุกข์ อันไหนไม่สมดุล อันไหนขาดแคลน เราก็เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน อันไหนเกิน เราช่วยกันเอาออก กิเลสมันเกิน นี่ช่วยกัน เอากิเลสออกอยู่ ทุกวันนี้ นี่อย่างนี้เรียกว่า เป็นความรักแบบพระเจ้า อย่างศาสนาคริสต์เขาบอก เป็นความรักมิติสูง ใครอยากรู้เรื่อง ความรัก มากๆ ไปอ่าน ความรัก ๑๐ มิติ อาตมาไม่อธิบาย อย่างนัย อย่างความรัก ๑๐ มิตินะ อันนั้น มันบอกไว้ เห็นค่าของความรักที่สูงขึ้นไปตามความหมาย ซึ่งอธิบายเอาไว้แล้ว ในหนังสือ ความรัก ๑๐ มิติ

แต่วันนี้อาตมาพยายามอธิบายความรัก ในชนิดที่ให้คุณเอาไปใช้ได้ทันที แล้วกว้างกว่า ๑๐ มิติ นั้นด้วย อธิบายเกลี่ยไปทั้งหมด เพราะฉะนั้น เรารักในความหมาย ความปรารถนาดี ต่อกันและกัน ไม่ใช่รักอย่างต้องการ มาเป็นตัวกู ของกู เสพสมเป็นของกู หรือเสพรสอร่อย ให้แก่ตัวเอง ถ้าความรัก อย่างนั้นบาป อย่างนั้นเลวไม่ดี เป็นการรักเพื่อเกื้อกูล รักเพื่อเอื้อเฟื้อออกไป ให้มาก รักเพื่อ ปรารถนาดี ต่อสิ่งอื่น ทั้งแม้แต่ดิน น้ำ ไฟ ลม แม้แต่ขี้ไก่ อย่างที่อาตมายกตัวอย่าง ไปแล้ว เราก็รัก เราก็ดูแลมัน เอาละ เราขยะแขยง จะตักมันไป เอาอะไรรองรับก็ได้ จัดแจงให้มัน รู้จักช่วยเหลือมัน ขี้ไก่มันช่วยตัวเองของมันไม่ได้ เราช่วยเหลือมัน มันมาอยู่ผิดที่ เอามันไป เป็นคุณค่า ปรารถนาดี ต่อขี้ไก่ เป็นประโยชน์อย่างนี้เป็นต้น เข้าใจนะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องลึกลับ อาตมาอธิบาย ชัดเจนแล้ว อะไรก็แล้วแต่มลพิษเกิด ถุงพลาสติกเต็ม เกลื่อนอยู่ในดิน มีเรี่ยราด อาตมาเดินไปเมื่อไหร่ เจอะก็เก็บเอามาทิ้งในถังขยะ เอาทิ้งในที่ที่เรา จะไปกำจัดเสียอีก หรือ สิ่งที่มันรก มันไม่ควรอยู่ จัดให้มันเข้าที่ ใบไม้อยู่ตรงนี้ มันไม่ควรอยู่ มันไม่สะอาด มันไม่สะอ้านตา ไม่ควรจะอยู่ อยู่ก็ไร้ประโยชน์ เอาใบไม้ เอามาไว้ที่ใส่สุมใต้ต้นไม้ มันก็จะได้เป็นปุ๋ย ให้แก่ต้นไม้ ก็ดีกว่ากิ่งไม้กิ่งไร่ สิ่งนั้น เป็นโลหะ สิ่งนี้เป็นแก้ว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ สลายไม่ออก เอาไปเก็บในที่ ที่ควรจะเอาไปสลาย หรือเอาไปที่อื่น ถ้าเอาไว้อย่างนี้ จะกลายเป็น ภาวะอุดตัน ภาวะที่เป็นพิษ เป็นมลพิษ เราก็แยก จัดแจงมันซะ ตรงไหนไม่สะอาด ตรงไหนต้องการ ไม่ให้มีคราบมีไคลเลย ก็เอาออก ตรงไหน ต้องการให้มันมีคราบมีไคลอยู่ เพื่อรักษาสิ่งนี้ ก็เอาไว้

นี่เป็นความรู้ในเรื่องขยะวิทยา ใช้ภาษาอังกฤษ เรียกว่า "garbology" มาจากคำว่า "garbage" แปลว่าขยะ garbology ขยะวิทยา อาตมากำลังพูดไปอยู่นี่ มหาวิทยาลัยไหน จะเริ่มตั้งคณะนี้ ไปเรียนเถอะรวย เพราะว่า ขยะนี่เขาจะทิ้งใช่ไหม เราจะได้ขยะนี้ มาเป็นวัตถุดิบ ที่เราจะต้องทำการสังเคราะห์ ทำอะไรต่ออะไร ทำได้จริงๆนะ ทำบริษัทสังเคราะห์ขยะนี่รวย นะ จริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่แล้ว หลายเจ้า ที่เขาทำอยู่ หรือพวกที่ไปนั่งนอนเฝ้า อยู่ที่กองขยะนั่น เขาก็สังเคราะห์กัน

โดยวิธีง่าย ก็ทำมาหากินอยู่ในกองขยะ แย่งกัน ยึดสัมปทานกัน ตีกันอยู่ในกองขยะนั่น ใครไม่เคย ไปอยู่ หรือใครไม่เคยไปรู้ จริงนะ แย่งสัมปทานขยะ มุมนี้กองนี้ฉันนะ มาเทเมื่อไหร่ฉันนะ แก ละลาบละล้วง อย่านะ คนละเขต ทะเลาะกันแย่งชิงกัน ถึงอย่างนั้น ถ้าเราทำจริงๆ เอาซิ รับขยะมา เดี๋ยวนี้ เอามาเทที่ฉันก็ได้ มีที่เยอะ สังเคราะห์ขยะขาย อันไหนจะแยกไปเป็นปุ๋ย ไปเป็นสิ่งที่ จะต้องใช้ อย่างนั้นอย่างนี้ อันไหนที่จะทำให้สลาย ก็เอาไปสลาย อันไหนที่สลาย เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ กลับคืนมาก็ได้ หมุนเวียน แก้วก็เอามาสลาย หมุนเวียนได้ โลหะก็เอามาหล่อหลอมสลาย หมุนเวียนได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่เล่นนะ ทำเป็นโรงงาน ไปตั้งบริษัทสังเคราะห์ขยะนี่ ใครจะมีบริษัทแรก ต้องเรียนนะ ต้องเรียนทางวิทยาศาสตร์ ต้องเรียนทั้งทางพาณิชย์ ทางอะไร ต่ออะไร ต่างๆนานา ทางสังคม ต้องเรียนน่ะ วิชาขยะศาสตร์ แหม ขยะศาสตร์นี่ อาตมาฟังแล้ว มันไม่ค่อยเพราะ เรียกขยะวิทยา จะเพราะกว่า วิชาขยะวิทยานี่ มันน่าจะตั้ง ไม่มีใครตั้ง ประเดี๋ยว อโศกเราเก่งๆหน่อย เราจะตั้ง เรามีมหาวิทยาลัย ก็ตั้งคณะขยะวิทยา เอ้าพวกคุณ จะอยู่เรียน รุ่นหนึ่ง ก็เอา รุ่นที่ ๑ นี่เรียน ออกไปแล้ว ไปทำงาน ให้แก่สังคมมนุษยชาติ ไปทำให้แก่โลก

เอาละ ทีนี้เข้ามาหาความรัก เราจะต้องรักสิ่งที่เราถูก เรารู้ เรามีปัญญาแล้วต้องรัก บอกแล้วนะ แยกออกเป็น ๒ อย่างง่าย

๑.รักเห็นแก่ตัว รักมาเสพสมสุขสม เป็นตัวกูของกู อย่างนี้รักอย่างบาป ถ้ารักอย่างเมตตาเกื้อกูล เอื้อเฟื้อปรารถนาดีต่อสิ่งนั้นๆ รักอย่างนี้เป็นบุญ ปรารถนาดีต่อคน เราต้องการให้เขา ได้เจริญ งอกงาม อย่ามากลายมาเป็นทาส ให้เราเสพสม อย่างผู้ชาย รักผู้หญิง รักแบบต้องการ เอามา เสพสม มาเป็นทาสบำเรอกาม อย่างนี้บาป ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งบาปมาก เพราะทุกวันนี้ ไม่จำเป็น อย่างที่อาตมาบอกแล้วว่า ไม่จำเป็นหรอก เพราะผู้หญิงมีทุกข์มาก โดยสัจจะนะ อาตมาขอแวะ ตรงนี้ อีกนิดหนึ่ง ผู้หญิงเกิดมาเป็นทุกข์ เกิดมาเป็นสิ่งที่ เป็นสภาพ ที่พูดจริงๆนะ อย่าพูดว่า ข่มผู้หญิงนะ เป็นส่วนต่ำของคน ผู้หญิงนี่ต่ำกว่าผู้ชาย นี่ไม่ใช่ข่มนะ ฟังดีๆ เดี๋ยวนี้พวกที่มีมานะ อัตตา แหม ต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน อาตมาเคยบอกว่า เอาเถอะคุณ อยากเท่าเทียมกับผู้ชาย ก่อนอื่น คุณเอาเวลา จะมีลูกแล้วต้องให้ผู้ชายมีลูก ผลัดกันมีให้ได้ ถ้าอย่างนี้แล้ว ก็เท่าเทียมกัน ถ้ายังผลัดกันมีลูก ยังไม่ได้ ไม่มีทางเท่าเทียมกัน ไม่ได้ ฉันจะออกไปทำงาน ออกไปทำงานอะไร ท้องโตอย่างนี้ ไปทำงานอะไรหวัดไหวล่ะ ไม่ได้ ผู้ชายเขาไม่มีโอกาสท้องโต มันต่างกันนะ เพราะฉะนั้น คุณจะต้องบอกว่า ถ้าเท่าเทียมกัน ไม่เป็นไร ตอนนี้ คุณต้องมีลูก คุณอยู่บ้าน ฉันไปทำงาน ข้างนอก ผลัดกันซิ ผู้ชายมีลูก แล้วผู้หญิงมีลูก ถึงเวลาเอ้า ฉันมีลูกบ้าง เอ้า คุณออกไปทำงานผู้ชาย ถึงเวลาผู้ชายมีลูก ฉันออกไปทำงานฉัน ผู้หญิงเท่าเทียมกันซิ คุณทำไม่ได้ ถ้าทำได้ อาตมายอมรับ นี่ทำไม่ได้

อย่างศาสนาคริสต์เขาก็ถือว่า ผู้หญิงนี่ แค่กระดูกซี่โครง ของอาดัมเท่านั้น จะมาเท่าเทียมอะไร ถ้าพวกถือพวกศรัทธาในศาสนาเขาไม่เถียง ส่วนพวกที่ เขาไม่ค่อยศรัทธาศาสนาแล้ว เขาเถียงเลย ทีนี้บอก เออ ไอ้นั่นมันนิทานโบราณไป โน่นเลย เขาไม่ศรัทธา เขาไม่เชื่อถือ เขาก็เถียง อาตมาก็ หยุดเถียงกับเขา เพราะว่าพวกนี้ เถียงกันก็ไม่รู้เรื่อง

เอ้า ทีนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ ผู้หญิงมีทุกข์หลายอย่าง เกิดเป็นผู้หญิงนี่

๑. ทุกข์เพราะจะต้องมีประจำเดือน ทุกข์ โอ้ ส่วนมากก็จะต้องปวด ต้องทรมาน คนไม่ปวดได้ ก็บุญไป ใช่ไหม คนไหนที่มีประจำเดือนไม่ปวด ถือว่าบุญน่ะ ทุกข์!

๒. ทุกข์เพราะจะต้องมีลูก ต้องอุ้ม โอ้โฮ ยิ่งกว่าแตงโม กว่าจะคลอดนี่โอ้ นั่งก็ลำบาก นอนก็ลำบาก ไปไหนก็ไม่ได้วางสักทีหนึ่ง เหมือนกับเอาอะไรมาไว้งั้นน่ะนะ ก้อนเบ่อเร่อเลยนะ แล้วต้องคอย ระวังด้วยนะ โอ้กระทบ กระแทกอะไรก็ไม่ได้ กระเทือนอะไรก็ไม่ได้ โอ้ ยิ่งกว่าถืออะไรไว้ คุณหัวเราะ คุณยังไม่มีกัน ก็อย่าทำเป็นหัวเราะเถอะ ไปมีเข้าจริงๆแล้ว จะรู้สึก

อาตมามี เพื่อนคนหนึ่ง ผู้หญิงน่ะ เขาแต่งงาน เสร็จแล้วมีวิบากอะไรก็ไม่ทราบได้ พอท้องแล้ว นอนก็ไม่ได้ นอนราบก็ไม่ได้ มันปวดมันเจ็บ นั่งตรงๆได้ แต่นอนราบไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้านั่ง ก็ได้แต่นั่ง พอถึงเวลานอน ทำอย่างไร โอ้ นอนไม่ได้ นอนได้ก็ต้องเอนยังงี้ นอนท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน โอ้ จนกว่าจะคลอด เสร็จแล้ว มีลูกได้ถึง ๒ คน ๓ คน เวรแท้ๆ โอ้โฮ คนเรานี่มีลูกทีไร ทุกข์อย่างนี้ ทุกทีเลย นอนราบไม่ได้ นี่เรื่องจริงนะ ตั้งแต่สมัยอาตมาเป็นครู เขาเป็นเพื่อนเป็นครูอยู่ด้วยกัน เขาแต่งงานแล้ว เขาก็มีลูก โอ้ ทุกข์ หลายๆคน ทุกข์หลายๆอย่าง

๑. มีประจำเดือน
๒. มีลูก
๓. คลอดลูก-

แหม คลอดลูกนี่ มันทุกข์ เคยได้ยินไหมเล่า แม่คลอดลูกเป็นอย่างไร ร้องบ้านแตกเลย ไปโรงพยาบาล ก็ร้องที่โรงพยาบาลนั้นแหละ ด่าพ่อล่อแม่กันขรมเลยนะ กูเข็ดแล้ว กูไม่เอาแล้ว เดี๋ยวปีหน้ามาใหม่ ร้องใหม่ โอ้ย คนเรามันโง่จริงๆ ทุกข์นะ เพราะฉะนั้น เราต้องเห็นบุญคุณ ของพ่อแม่ แบกทุกข์มามากมาย พ่อแม่มีลูก เพราะความไม่รู้ ถ้าคุณรู้แล้ว อย่าไปมี รู้ทันแล้ว อย่าไปมี แล้วไม่มีได้ ก็คือลดกิเลส ลดกำหนัด อย่าไปต้องมีสมสู่อย่างนี้ เมื่อไม่มีสมสู่อย่างนี้ มันก็ไม่มีลูก ใช่ไหม เกิดอยู่ดีๆ แล้วพระเจ้าเอามาบันดาล ใส่ท้องให้เรา ไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ไปสมสู่ มันไม่มีทางมีลูกได้หรอก ใช่ไหม เพราะฉะนั้น อย่าไปมี

ทุกข์ เพราะมีลูก ทุกข์เพราะคลอดลูก ทุกข์เพราะต้องจากบ้าน จากเรือน จากญาติ จากพ่อ จากแม่ ผู้หญิงนี่เป็นธรรมเนียม ยิ่งคนจีนแล้ว จะต้องเป็นคนของเขา ธรรมเนียมจีน เราแต่งงานไปแล้ว จะต้องเป็นลูก ของบ้านเขา เป็นคนของเขาแล้ว ถือว่าเป็นคนของเขาแล้ว ถึงใครก็เหมือนกันแหละ แต่งไป ก็ไปเป็นลูกสะใภ้ของบ้าน ต้องใช้นามสกุลของบ้านโน้น ฝรั่งก็เหมือนกัน ก็ไปใช้นามสกุล ของบ้านโน้น นามสกุลของบ้านโน้น จะต้องพลัดพรากจากตระกูล จากพ่อแม่พี่น้อง ไปเป็นคนของที่อื่นแล้ว ทุกข์เพราะต้องแยกต้องจาก

๕. ทุกข์เพราะต้องเป็นผู้บำเรอชาย เจ็บมากตรงนี้น่ะ อาตมาว่าผู้หญิงนี้น่าจะรู้สึก ต้องเป็นทาส บำเรอชาย แหม อาตมาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังรู้สึกว่า โอ้โฮ มันเสียศักดิ์ศรีเหลือเกิน เป็นทาสบำเรอชาย พระพุทธเจ้านี่ลึกซึ้ง ซับซ้อน ด้วยจิตวิญญาณชั้นสูง ให้เห็นว่า แหม มันน่าสมน้ำหน้า แล้วไม่รู้ตัว อยู่ดีๆ ดิ้นไปให้เขาบำเรอ ไปบำเรอเขา โอ้เป็นผู้หญิงไม่มีศักดิ์ศรี เป็นศักดิ์ศรีดีๆนะ เป็นผู้หญิง อย่าไปบำเรอชาย เข้าใจไหม แล้วจะเชื่อบ้างไหมเล่านี่เข้าใจน่ะ จะเชื่อบ้างไหม อย่าไปบำเรอชาย เป็นศักดิ์ศรีของเรา จริง ธรรมชาติ เขามาอย่างนั้น แต่เราต้องเหนือธรรมชาติ โลกุตระนี่เหนือโลก เหนือธรรมชาติ คนที่ฆ่ากิเลสตายแล้วนี่ ใครเขาบอกว่า เรื่องสมสู่เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ศาสนาพุทธ เราโลกุตระ เหนือธรรมชาตินะ ธรรมชาติไม่ใช่ ธรรมะสมบูรณ์ ไม่ใช่ธรรมสูงสุดนะ บอกว่า ธรรมะ คือธรรมชาติ เราเข้าใจ แต่ว่าธรรมะโลกุตรธรรมนั้น เหนือธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ฆ่ากิเลส นี้ตาย เหนือธรรมชาติ คนที่ยังฆ่ากิเลสธรรมชาติพวกนี้ยังไม่ตาย ไม่เหนือหรอก

ผู้ที่อยู่เหนือธรรมชาติ โลกุตระแล้ว อยู่เหนือธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ รู้เท่าทันธรรมชาติ แล้วช่วยธรรมชาติ ช่วยเขาไม่ให้ทุกข์ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปเป็นอย่างนี้แล้ว เราทุกข์อยู่ เราก็ลด พยายามช่วย ให้เขาลดลงมา มีกิเลสมาก ไปมีมากผัวมากเมีย เป็นทุกข์มากมาย ที่ฆ่าแกงกัน เพราะหึง เพราะหวงกัน ก็เยอะใช่ไหม สำส่อน มีโรคมีภัย เดี๋ยวนี้ยิ่งส่ำส่อนไป อย่าว่าแต่ทุกข์ หึงหวงเลย เดี๋ยวนี้เอดส์มาด้วยละ ส่ำส่อนละยุ่งละ เพราะฉะนั้น ทุกข์มันมาชัดเจนทุกวันนี้ ไม่ส่ำส่อน ถ้ามีกิเลสอยู่แค่ ผัวเดียวเมียเดียว ก็ให้ขั้นตอนหนึ่ง

ถ้ายิ่งดีกว่านั้น เป็นพรหมจรรย์ศีล ๘ ไม่ต้อง ไปยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ยิ่งพ้นทุกข์ พ้นธรรมชาติเหล่านี้ มาได้มากยิ่งเจริญ เราต้องเรียนรู้ ถ้าเราไม่รักมาเห็นแก่ตัวอย่างนี้ เป็นผู้หญิง ก็เข้าใจให้ได้ว่า เราจะต้องเจริญให้ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ปิดป้องผู้หญิงว่า จะปฏิบัติธรรม จนบรรลุ เหนือธรรมชาติ จนบรรลุ เป็นพระอรหันต์ ไม่ได้ปิดป้องบรรลุได้ เป็นผู้หญิง ก็บรรลุธรรม ปฏิบัติธรรมบรรลุเป็น พระอรหันต์ ได้เหมือนกัน

เราต้องเรียนรู้อันนี้ เพราะฉะนั้น รักในสิ่งที่ควรรัก เลิกในสิ่งที่ควรเลิก เราเลิกในสิ่งที่ ควรเลิก อย่างนั้น มันไปเป็นทุกข์ มันไปเป็นบาป มันไม่ดี มารัก เพราะฉะนั้น อย่างผู้หญิงผู้ชาย เลิกอย่างนี้ แล้วเราก็รักอย่างพี่น้อง รักกันอย่างปรารถนาดีต่อกัน เกื้อกูลกัน มันเกิดอารมณ์ กิเลสราคะ มันจะเป็นเรื่อง ผู้หญิงผู้ชายเป็นราคะ เป็นอะไรนี่ เอาที่เรา ฆ่ากิลสที่เรา คนอื่น ก็อย่าไปให้มัน แหม ตกลงเลย เข้าคู่กัน เราต่างคนต่างมีกิเลส ลงบาปด้วยกัน ลงนรก ด้วยกันเถอะนะ อย่าเป็นอันขาด ไม่เอา มีโอกาสที่พบ ธรรมะอย่างนี้ต้องทำ ทุกชาติๆ เราเกิดมา แบบนี้ทั้งนั้นแหละ มาเจอกิเลส อย่างนี้ เล่นงานทุกชาติ เพราะฉะนั้น ชาติไหนที่เจอพระพุทธเจ้า เจอธรรมะพุทธศาสนาแล้ว รีบลด ลดให้มันได้แก่ตัว จนไปถึงนิพพานให้ได้ สูงสุดคนจะต้อง นิพพาน ไม่นิพพานก็วนเวียนอยู่ นรก สวรรค์ นรก สวรรค์อยู่อย่างนี้ หนักเข้าก็มีแต่นรกมากๆยุ่งซิ ยิ่งทุกข์ตาย ใช่ไหม แล้วไม่พ้นไปจาก อันนี้ได้ เรียกว่า สังสารวัฏ อย่าทำ ฝึกเอา ได้จริงๆ

นี่ในฐานะที่พวกคุณได้มาอบรมพุทธทายาท ได้มาเรียนรู้อันนี้ อย่าเสียโอกาสเปล่า ขอให้ได้ สัจจะอันนี้ ไปในตัวบ้าง เอาจริงๆ ฝึกจริงๆ ฝึกจริงๆ แล้ว เราจะได้ก้าวหน้า เจริญขึ้นไปสู่ความเจริญ เป็นพระนิพพาน ถ้าคุณได้เป็นพระอรหันต์แล้วนะ คุณจะช่วยโลกอยู่ ก็ช่วยได้ จะเกิดอีกกี่ร้อยชาติ ก็เกิดไป เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่เห็นแก่ตัว มีแต่ความรักที่ปรารถนาดี มีแต่ความรักที่อดทน เกื้อกูลผู้อื่น ช่วยเหลือเฟือฟายผู้อื่น สร้างสรร เพราะเราไม่ต้องไปเสียเวลา อาตมาไม่ต้องมีเวลา ไปจีบสาว แต่ก่อนนี้ก็เสียเวลาจังเลย อาตมาเคยโง่มา เคยเสียเวลาไปจีบสาว บางทีทำงาน อยู่ดีๆละ บางที เราจะต้องรีบจีบเขา ไม่ให้เขาเสียใจให้ได้ เขาติดต่อมา รีบโทรมา ต้องรีบไปแล้ว งานต้อง ทิ้งแล้ว รีบไป ไม่งั้นประเดี๋ยวเขาจะไม่รักเราอะไรอย่างนี้ เคยมาแล้วนะ มันเคยโง่มาแล้ว เสียเวลา เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องเสียเวลาอย่างนี้ อาตมาไม่ต้องเสียเวลาไปจีบสาว เอาเวลามาทำงาน เอาเวลามาบอกสัจธรรม แก่พวกคุณ นี่มีคุณค่ามั้ย

ถ้าอาตมานี่ นั่งมา พูดมาตั้งแต่เวลาเก้าโมงมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ชั่วโมงกว่าแล้ว เอาเวลาไปจีบสาวเสีย ได้ประโยชน์อะไร เห็นแก่ตัว หลงอารมณ์ อารมณ์ที่บ้าๆบอๆ อย่างที่อาตมากำลังพูดนี่ ว่ามันไม่จริง มันเป็นสุขตอแหล ฆ่าให้ตาย ฆ่าตายได้แล้ว อาตมาไม่ต้องฝืน ไม่ต้องทน ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้อง ไปจีบสาว ที่ไหนเลย พูดกันก็พูดแต่เรื่องดีๆ แก่กันและกัน ทุกคนก็เหมือนลูก เหมือนหลาน เหมือนพี่ เหมือนน้อง เหมือนปู่ ย่า ตา ยายเรา มีอะไรดีบอกกันอย่างนี้ รักกันอย่างนี้ แล้วเป็นสามัคคี เป็นกลุ่มญาติ เป็นกลุ่มพี่ เป็นกลุ่มน้อง เกิดแก่ เจ็บ ตาย พึ่งกันได้ ใครเป็นทุกข์ อันนั้นอันนี้ ก็เกื้อกูล ช่วยกัน ใครมีกินก็เอาทำมากิน แบ่งกันกิน คนนี้ทำไม่ไหว แล้วก็ไม่ทำ คนไหนทำได้ ก็เอามาเผื่อแผ่ คนนี้แก่แล้ว ทำไม่ไหวแล้ว ประเดี๋ยวทำแล้ว กระดูกหลุด เอ้า นั่น มันยังไม่ตาย ก็เลี้ยงกันไป คนนี้เป็นอัมพาตแล้ว เอ้า ก็ต้องแก้ไขช่วยดูแลกัน เห็นแก่ความทุกข์คนอื่น คนเป็นอัมพาตนี่ ทุกข์ไหม (ตอบ ทุกข์ )

อยากเป็นไหมคุณน่ะ (ตอบ ไม่อยาก )

เขาก็ไม่อยากเป็น เพราะฉะนั้น เราต้องเห็นใจเกื้อกูลกัน มีน้ำใจไปช่วยเหลือเฟือฟายคนป่วย คนเจ็บ ใครก็ไม่อยากป่วย ไม่อยากเจ็บ ไปช่วยดูแลกัน เอื้อเฟื้อเจือจาน มีความปรารถนาดีอย่างนี้ซิ เรียกว่า รักอย่างนี้ รักอย่างปรารถนาดี รักอย่างเกื้อกูล รักอย่างมีประโยชน์ คุณค่า รักอย่างนี้ จงทำให้ มันมากๆ ทำให้มันดีๆ แล้วสังคมจะเป็นอย่างไร สุขฉะนี้นี่หรือจะลืมเลยละ เข้าใจไหม เราต้องการ สังคมอย่างนี้ไหม (ตอบ ต้องการ )

แล้วมันจะเกิดได้อย่างไร ต้องเราทำ ธรรมเราทำ ทำเป็นธรรม ธรรมเราทำ ต้องทำให้มันเป็น อย่างนี้แหละ เป็นธรรมะอย่างนี้ ธรรมเราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ ไม่มีใครทำหรอก เหมือนดูถูกคนอื่นน่ะ จริงๆนะ ต้องเรานี่แหละ พยายามทำ ทุกวันนี้เราร่ำร้องว่า สังคมมันแหลกเหลว สังคมมันไม่มีที่พึ่ง สังคมมันเดือดร้อน มันแตกร้าว มันไปไม่ได้ ก็เขาไม่เข้าใจ แล้วเขาก็ไม่มีทางออก แล้วเขาก็ไม่ทำ ทุกวันนี้ อาตมามีความหวังนะ มีความหวังจากพวกเรานี่ ทำขึ้นมาได้ขนาดนี้ แม้จะกลุ่มเล็กๆ ก็อบอุ่น อุดมสมบูรณ์ เรารักต้นไม้ พากันมารักต้นไม้ พากันมารักน้ำ มารักดิน มารักอากาศ มารักลม มารักอุณหภูมิอะไร มารักอะไรต่างๆนานา แล้วก็มารักกัน พวกเราก็มารักกันอย่างที่ควรรัก รักอย่าง ปรารถนาดี สร้างสรร เหน็ดเหนื่อย อาตมาได้อธิบายไปบ้างแล้ว ในเรื่องของการสร้างสรร แล้วก็เป็น คุณค่า ประโยชน์ แล้วก็ให้แจกจ่ายบริจาค ถ้าเราสร้างมาแล้ว แล้วก็แจกจ่ายให้คนอื่น ได้กินได้ใช้ เป็นจาคะบารมี เป็นทานมัย เป็นการได้ให้ นี่แหละ เป็นทรัพย์ติดตัวไป เราไปเอาเปรียบ เขามา ดีไม่ดี ไม่สร้างด้วย ไปปล้นเอามา ปล้นเอามานี่ ได้เงินไหม ได้ แต่นามธรรมที่ลึกๆ คุณได้อะไร (ตอบ ได้บาป )

ได้บาป ไปปล้นเขา ไปขูดรีด ไปแย่งชิงเขามา ได้บาป ตายไปแล้ว ได้เงินที่ปล้นไปไหม (ตอบ ไม่ได้)

ได้บาปไปไหม (ตอบ ได้)

อันไหนเป็นทรัพย์แน่กว่ากัน อันไหนเป็นทรัพย์แท้กว่ากัน (ตอบ บาปเป็นทรัพย์ )

เห็นไหม คนเราไม่รู้ เห็นมั้ย ไปโกงไปคอร์รัปชั่น แหม รวยเป็นร้อยล้าน จะถูกเขาริบอยู่ ไม่รู้ตัวนี่นะ เขาได้บาปแล้ว เขาทำไปแล้ว เขาโกงมา เขาคอร์รัปชั่นมาแล้ว แต่เขาได้บาปนะ ยิ่งโดนเขาริบ เอาเงินคืนไปอีก โถ เงินก็ไม่ได้อีกด้วย ตอนนี้ แต่บาปได้ไปแล้ว ซวยไหม (ตอบ ซวย)

เสร็จแล้ว ถูกเขาจับได้ เอามาประจาน ขายหน้าอีก งาม งามประชดน่ะ อันนี้ไม่ใช่งามแท้ฮื่อๆๆ ใช่ไหม อย่าไปทำ อย่าไปอุตริเข้า ถ้าเราปฏิบัติตน เป็นผู้กินน้อยใช้น้อย ไม่ต้องไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ต้องไปหาเงินมา ทำไม หาเงินมา มาซื้อสิ่งที่เราจะเอามาบำเรอตน มาเสพสมสุขสม ทางทวาร ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยากได้เพชรก็เอาไปซื้อเพชร อยากได้ทอง ก็เอาไปซื้อทอง อยากได้เสื้อสวย ก็เอาไปซื้อเสื้อสวย เราก็ไม่ติดแล้วเสื้อ เราก็นุ่งห่มกันร้อน กันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย มันขาด ก็ปะเอาบ้าง ก็ยังได้ ไม่เห็นเป็นไร ซักสะอาดๆ อย่าให้เชื้อโรค มันมากินตัวก็พอแล้ว ไปหลงสวย อย่างโน้น แหม! สมัยนี้ เขาต้องแบบนี้แล้วนะ ตอนนี้ต้องมิดี้ ตอนนี้ต้องแม็กซี่ ยุคนี้จะต้อง ประเภท บาน ตอนนี้ประเภท หุบๆ ตรงนี้ต้องผ่าถึงนี่น่ะ อะไรบ้าๆ บอๆ ยิ่งสังขารไปไม่เข้าเรื่อง ยั่วกาม อะไรกัน ต่างๆนานา แบบนั้นน่ะ โลกเขาก็ไม่เข้าใจ แต่เราไม่เอาแล้ว อย่างนั้น เรามาเป็นคนอย่างนี้

เอาละ สรุปแล้ว ความรักที่อาตมาได้ขยายความมานี่ ฟังรู้เรื่องไหม

พ่อท่าน : ไม่ต้องสรุปเป็นหัวข้อน่ะนะ สรุปเป็นหัวข้อใหญ่แต่ว่า ถ้าเราจะรักอย่างที่เห็นแก่ตัว รักมา เสพสมสุขสม รักมาเป็นตัวกู ของกู หวงแหน ตระหนี่ถี่เหนียว ยิ่งหวงมาก หวงเยอะ หวงกว้างออกไป ความรักแบบนี้ยิ่งแบกไว้ หนัก ยิ่งทรมาน ยิ่งเห็นแก่ตัวจัดจ้าน ยิ่งกระเบียด กระเสียน หรือ ยิ่งแย่งชิงหนัก

ถ้ารักแบบเอื้อเฟื้อเจือจาน เป็นทาน เป็นเกื้อกูล เป็นความไม่เห็นแก่ตัว เป็นความปรารถนาดี ต่อกันและกัน ใครเป็นทุกข์ ใครโง่ ช่วยให้เขาฉลาด อย่าฉลาดแกมโกงนะ ต้องฉลาด อย่างมีปัญญา ที่แท้อย่างธรรมะ ใครโง่ ช่วยเขาฉลาด ใครทุกข์ ช่วยเขาให้พ้นทุกข์ ใครไม่ดี ทำสิ่งที่ชั่ว ทำสิ่งที่ ไม่เจริญ ช่วยให้เขารู้ว่า สิ่งนี้ชั่ว สิ่งนี้ไม่เจริญอย่าทำ มาทำสิ่งที่ดี สิ่งที่เจริญ อย่างนี้แหละ เกื้อกูลกันไป แบ่งแจกได้ทั้งวัตถุธรรม ทรัพย์ศฤงคาร ก็แบ่งกันได้ เกื้อกูลกันได้ แต่แบ่งประเภทที่ ไม่มีปัญญา แจกแหลก หว่านเรื่อย มันก็ไม่อยู่ มันก็ไม่รอดอีกเหมือนกัน ทานต้องมีปัญญา พระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้ เราก็แบ่งแจกกัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน อย่างมีปัญญา ใครคนไหนควรได้ก่อน คนไหนไม่ควรได้ บางที ไม่ควรทานให้หรอกคนนี้ ให้ไปแล้ว ก็ยิ่งไปตกต่ำ ให้ไปแล้ว ก็ยิ่งตะกละ ยิ่งขี้เหนียว หรือว่ายิ่งขี้โลภ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งขี้เกียจ เราก็ไม่ทานให้คนอย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น

สรุปแล้ว ความรักเพื่อตัว เห็นแก่ตัวนั่นเลว ความรักเพื่อเอื้อเฟื้อ เจือจานผู้อื่น ปรารถนาดีต่อผู้อื่น อย่างนี้ เป็นความรักที่ดี รักอย่างนี้แหละให้ได้ ไม่เป็นบาป เป็นบุญ แล้วก็เป็นคุณทั้งโลก เกื้อกูล ทั้งโลก ช่วยเหลือเกื้อกูลให้สังคม ให้มนุษยชาติ อยู่กันอย่างสันติสุข เจริญงอกงาม แม้แต่เรา จะรักดิน น้ำ ไฟ ลม รักต้นหมากรากไม้ รักธรรมชาติ ก็มีปัญญา ที่จะรัก หรือมีปัญญา ที่จะสร้าง สมดุล ที่จะทำอะไรให้มันได้สัดได้ส่วน อยู่กันอย่างเจริญงอกงาม แล้วเราก็ได้อาศัยมัน ถ้าธรรมชาตินี่ มันดี มันงอกงามนะ มันก็จะดี

อาตมาเมื่อเช้าไปเดิน ไปเก็บดอกแคป่ามาบอก เออ เราจะให้เอาแคป่านี่ไปวิเคราะห์ รู้ว่าธาตุอะไร มันดีแล้ว เราจะได้เอามา ถ้าทำเป็นยาได้ก็ทำ ถ้าไม่เป็นยาได้อย่างน้อย เราก็เอามาทำอาหาร นี่เอาไปตากแห้ง มันเยอะน่ะนี่ เก็บมาเอาไปตาก แล้วก็เขาเอาไปทำพะโล้ ดอกแคนี่ เอาไปทำพะโล้ ต้มทำพะโล้ได้ กินดี แล้วเป็นอาหารด้วย มีธาตุที่จะเลี้ยงร่างกายด้วย ถ้ามีธาตุที่เป็นยาด้วยก็ยิ่งดี

ปลูกดอกอัญชัน ปลูกดอกอะไรนี่ อาตมาก็คิดถึงพวกเรา นี่จะมีวัฒนธรรม ตื่นเช้าขึ้นมา เด็กก็ดี คนโตก็ดี ตะกร้าคนละใบ ไปเก็บดอกอัญชัน เก็บดอกแคป่า เก็บดอกพิกุล เก็บดอกมะลิอะไร ก็แล้วแต่ แล้วก็เอามาแยก วิเคราะห์ใช้งาน ทำงาน เราก็อยู่กับธรรมชาติ มีใบอะไรจะเก็บ มีดอกอะไร จะเก็บ มีผลไม้อะไรจะเก็บ แล้วดูแลกันไป เสร็จแล้วก็พอเอามาให้แล้ว คนนั้นรับช่วง เอาไปทำ อะไรต่อ คนเก็บก็เก็บมา ได้ออกกำลังกาย ได้ดูแลต้นหมากรากไม้ ได้ดูภูมิประเทศธรรมชาติของเรา ส่วนไหนไม่ดี ก็รีบรู้ รีบเห็น แล้วก็ไปปรับปรุ งตบแต่งมัน ไม่ใช่ตบแต่งให้มันงาม ตบแต่งให้มันสมดุล อะไรที่ขาดก็เติม อะไรที่เกินก็เอาออก ทำให้มันเข้าสัดส่วน ของมันอยู่ดี ชีวิตก็ดำเนินไป ตามวัฒนธรรม ตามวงจรที่ดี อาตมาได้ตั้งใจแล้ว ตอนนี้จะเดินขึ้นบันได แล้วจะเดินดูรอบๆ ทุกวัน อยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีกิจอะไร มาแทรกมาแซง เดินออกกำลังกายด้วย เพราะอาตมา ออกกำลังกายน้อย เขาไม่ให้ไปบิณฑบาต เลยเดินน้อย วันๆหนึ่ง นั่งมาก จะได้ดูแลอะไรด้วย แล้วก็จะได้แนะนำ พวกเราไปด้วย เจอคนนี้ก็บอกอันนี้ เจอคนนั้นก็บอกอันนั้น อันนี้ๆ ช่วยกันทำไป ช่วยดูแลกันไป โอ้ อาตมาว่า สังคมนี้ มันจะเป็นอย่างไร น่าอยู่ แต่ละคน ดีไม่ดี พร้อมพรั่ง เพลงไปด้วยเออ หยาดอรุณ รุ่งทิวานี่ เรามีเพลงหยาดอรุณแล้ว เก็บดอกไม้ไปนี่ คนศีล ๕ ก็ยิ้มหน่อย คนศีล ๘ ก็อย่าฮัม ให้เขาได้ยิน ลดกิเลสลงบ้าง ไม่อย่างนั้น ติดมันมาก มันไม่ดีนะ มันเป็นรสอร่อยเหมือนกันนะ ถ้าไม่มีรสอร่อยก็ฮัมได้

อาตมานี่แต่งเพลง ใครไม่เชื่อหรอกว่า อาตมาแต่งเพลงด้วยจิตว่าง แต่งก็พยายาม ที่จะปรุง สังขารมัน แต่งเสร็จแล้วก็เมื่อย เมื่อยนะ โอ้ กว่าจะเสร็จ บางทีหัวร้อนจริงๆ ต้องปรุงหัวร้อนเลย พอแต่งเสร็จ ก็เอาไปใช้ ตัวเองไม่ได้ติดใจว่า เราจะต้องแต่งแล้วมันอร่อย โอ้ คิด แต่งแล้วก็ยิ่ง หลงใหล อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่ มันเมื่อยด้วยซ้ำไป แต่ต้องทำ เพราะว่าทุกวันนี้ เขาแต่งเพลง เขามอมเมากันเยอะ เราเลยต้องแต่งเพลงให้ มันเป็นของอาศัย ที่พอมีคุณค่า มีประโยชน์บ้าง ก็ทำ อาตมาแต่ง ในระดับของโลกุตระ เยอะ แต่เพลงหยาดอรุณ อาตมาแต่ง ตั้งแต่เป็นฆราวาส หยาดอรุณ นี่ชมธรรมชาติเท่านั้นเอง

เอ้า นี่ก็อธิบายผสมผเสไปนิดๆหน่อยๆนะ เอาล่ะ เวลาก็หมดแล้ว อาตมาได้อธิบาย ขยายเรื่อง ความรัก รักอย่างไร ถึงจะไม่เป็นบาป รักอย่างไร ถึงจะไม่เป็นทุกข์ ไม่ทำลาย ก็ได้อธิบายไปแล้ว รักอย่างไร ที่เป็นบุญ ซึ่งเราไม่ได้เขียนหัวข้อละ แต่ก็เข้าใจในนัยกลับกัน รักอย่างไรเป็นบุญ รักอย่างไร จึงจะเป็นไป เพื่อความสงบเย็น เป็นความสุข เป็นความเจริญ ก็รักอย่างที่ได้ ขยายความ มาแล้ว เพราะฉะนั้น อย่างไรเป็นบาป อย่างไรเป็นบุญ ก็ต้องไปฝึกฝน เรียนรู้ ด้วยปัญญา แล้วฝึกฝน เอาให้ได้นะ

แม้รู้ยังไม่ใช่จริง ต้องฝึกฝนด้วย จึงจะจริง แล้วเราก็จะได้เจริญ ทั้งตัวเอง และสังคมหมู่มนุษยชาติ ด้วยกัน เอวัง


ถอดโดย ดงเย็น จันทร์อินทร์ ๙ พ.ค. ๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑. โดย สม.จินดา
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย สม.ปราณี ๑๔ มิ.ย.๒๕๓๔
FILE:1510B.TAP)