ศิลปกรรมนำตรัสรู้
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓
ณ พุทธสถานสันติอโศก

เรามาฟังธรรมต่อ ได้อ่านอัคคัญญสูตร เทศน์ในวันเสาร์วันอาทิตย์มาแล้ว จะได้อัคคัญญสูตร อีกช่วงหนึ่งต่อ หน้า ๒๒๑, ๒๒๒ อัคคัญญสูตร ซึ่งมี วาเสฏฐะ กับ ภารทวาชะ ที่ได้คุยกับ พระพุทธเจ้า พูดถึงเรื่องวรรณะต่างๆ เรื่อง พูดถึงเรื่องความเป็นพราหมณ์ของเขา แหละก็ว่า พราหมณ์นั่นแหละเป็นยอด เป็นผู้ที่มีวรรณะสูง มีอะไรต่ออะไรต่างๆ พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า มันไม่จริง ถ้าเผื่อว่ายังทำชั่วอยู่ จะไปบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะเป็นผู้สูงยังไม่ได้หรอก นี่สรุปง่ายๆ

ทีนี้อีกอันหนึ่ง ท่านก็ตรัสเล่าไปถึง ยกตัวอย่างประกอบไปถึงพระเจ้าปเสนทิ ตรัสเล่าเรื่อง พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ปฏิบัติต่อพระองค์ เล่าถึง พระเจ้าปัสเสนทิ นี่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ที่ครองแคว้นใหญ่ ครองแคว้นโกศล ยุคนั้น มีแคว้นโกศล แคว้นมคธนี่เป็นแคว้นใหญ่ แม้แต่แคว้นของ พระพุทธเจ้าเอง กบิลพัสดุ์ ก็ยังเป็นแคว้นเล็กไม่ใช่แคว้นใหญ่ เป็นแคว้นเล็กที่ มีเมือง เหมือนกับ อย่างทุกวันนี้ เหมือนประเทศเล็กประเทศใหญ่ มันก็มีต่างกัน มันมีความแข็งแรง มีความอุดมสมบูรณ์อะไรต่างๆนานา ก็มีอยู่เหมือนกัน นี่เป็นความจริง พระพุทธเจ้า ก็ตรัสเล่าให้ฟังอย่างนี้

ดูก่อน ผู้สืบวงค์แห่งวาเสฏฐะและภารทวาชะทั้งหลาย พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ย่อมทรงทราบว่า พระอนุตตร สมณโคดม ออกบวชแล้วจากศากยสกุล ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาเสฏฐะ และ ภารทวาชะ ทั้งหลาย ก็แต่ว่ากษัตริย์ทั้งหลาย ย่อมเดินหลังถัดจากพระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมกระทำ ความเคารพกราบไหว้การลุกขึ้น ต้อนรับ ย่อมทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม ต้องกราบไหว้เสียก่อน นบนอบ สามีจิกรรม ก็คือกระทำตามที่ให้เกียรติ เป็นการให้เกียรติ อย่างเหมาะสม ในพระเจ้าปเสนทิโกศล หมายความว่า ตามธรรมเนียม กษัตริย์ศากยะทั้งหลาย ผู้ใดได้เกิด ในตระกูลกษัตริย์ศากยะ กษัตริย์ศากยะทั้งหลายย่อมเดินหลัง หมายความว่า จะต้องให้ทาง พระเจ้าปเสนทิโกศลนี่ เดินหน้านำหน้า แม้กษัตริย์ศากยะ ต้องตามหลัง ต้องเป็นลำดับหลัง นี่อย่างที่เล่าแล้ว แคว้นก็แคว้นใหญ่กว่า โดยศักดิ์เขาจะต้องนำหน้า ย่อมกระทำ ความเคารพกราบไหว้ การลุกขึ้นต้อนรับ ย่อมทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม ในพระเจ้า ปเสนทิโกศล เพราะฉะนั้น จะต้องกราบไหว้พระเจ้าปเสนทิโกศลก่อน จะต้องยกย่อง จะต้อง เป็นผู้ให้ความเคารพ พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ศากยะย่อมทำความเคารพกราบไหว้ เป็นต้น อันใด ในพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมทรงทำความเคารพ กราบไหว้ เป็นต้น ในตถาคต

เพราะฉะนั้น ฉันเดียวกัน ถ้าเผื่อว่าอย่างที่พระเจ้ากษัตริย์สกุลศากยะ กระทำความเคารพ กราบไหว้ ต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลอย่างใด พระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมทรงทำความเคารพ กราบไหว้ ในตถาคต อย่างนั้นเหมือนกัน คือกลับกัน แทนที่ว่ากษัตริย์ทางศากยะนี้ จะไหว้ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็คือ ต้องมาไหว้กราบเคารพพระพุทธเจ้า เคารพตถาคต พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านต้องเคารพในท่านก่อน ฉันนั้นเหมือนกัน มิใช่เพราะทรงคิดว่า แต่ว่าการเคารพนี้ ไม่เคารพโดยศักดิ์ ไม่ได้เคารพโดยสกุล อย่างนั้น ที่ถือกันน่ะ เขาเคารพอย่างนั้นน่ะ หมายความว่า สกุลของศากยะต้องเคารพสกุล ปเสนทิโกศล เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศลใหญ่กว่า เป็นอย่างนั้น แต่ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล มาคารวะ เคารพ กราบไหว้พระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่อย่างนั้น มิใช่เพราะทรงคิดว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีชาติดี เพราะเราเป็นผู้มีชาติเลว พระสมณโคดม เป็นผู้มีกำลัง เราเป็นผู้ทุรพล พระสมณโคดม เป็นผู้น่าพอใจ เราเป็นผู้มีผิวพรรณทราม พระสมณโคดม เป็นผู้มีศักดาใหญ่ เราเป็นผู้มี ศักดาน้อย ดังนี้เลย พระเจ้าปเสนทิโกศล ที่มาเคารพ ไม่ใช่เพราะว่า พระพุทธเจ้ามีชาติดีกว่า แล้วก็พระเจ้าปเสนทิโกศลเลวกว่า พระสมณโคดม เป็นผู้มีกำลังกว่า เราเป็นผู้ทุรพล พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้ที่อ่อนแอ พระสมณโคดม เป็นที่น่าพอใจ เราเป็นผู้มีผิวพรรณทราม หมายความว่า พระพุทธเจ้ามีวรรณะดีกว่า เรามีวรรณะเลวกว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มี ศักดาใหญ่ เราเป็นผู้มีศักดาน้อย มีศักดา มีฤทธิ์เดช มีความสามารถ อะไรก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้า มีอันนั้นมาก แต่ว่า เราพระเจ้าปเสนทิโกศล มีอันนี้น้อย มิใช่เพราะเหตุอย่างนั้น ที่แท้ทรงสักการะธรรม เคารพธรรม นับถือธรรม บูชาธรรม นอบน้อมธรรมต่างหาก ไม่ใช่เพราะว่า มีฤทธิเดช เกิดในตระกูลดี มีผิวพรรณดี หรือว่ามีกำลัง คนหนึ่งอ่อนแอ คนหนึ่งมีกำลังมากกว่าคนหนึ่ง เป็นที่น่าพอใจ อย่างโน้นอย่างนี้อะไร หรือว่ามีศักดาใหญ่ ไม่ใช่ เพราะอย่างนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมทรงทำความเคารพ กราบไหว้ การลุกขึ้น ต้อนรับ ย่อมทรงทำ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ในตถาคตอย่างนี้

ดูก่อน ผู้สืบวงศ์แห่ง วาเสฏฐะและภารทวาชะทั้งหลาย โดยปริยายนี่แล ท่านทั้งหลาย พึงทราบ ประการที่ธรรม เป็นของประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อนาคตคือวันนี้นะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตั้งแต่วันโน้น ท่านบอกว่าทั้งในปัจจุบัน พูดกับวาเสฏฐะ และภารทวาชะ ตั้งแต่วันโน้นว่า ในปัจจุบัน ทั้งในอนาคตโน่น อนาคตจนกระทั่งมาถึงวันนี้ๆแหละ พระพุทธเจ้า ท่านหมายถึงทั้งที่กล่าวถึงละ อันนี้เป็นเรื่องจริงล่ะ พระพุทธเจ้าท่านทรงยืนยันอย่างนั้น นี่หมายเหตุว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนพวกพราหมณ์แห่งสกุล วาเสฏฐะ และภารทวาชะ ตรัสเต็มว่า วาเสฏฐะ ภารทวาชะ ซึ่งนับถือศาสนาอื่นมาก่อน ภายหลังมาขอบวช ในพระพุทธศาสนา จึงมาพักอบรมอยู่กับภิกษุทั้งหลาย ตามวินัย เรื่องการอยู่ปริวาส ของผู้บวช ในศาสนาอื่น มาก่อน ออ กำลังพูดเล่าให้ฟังกับวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในขณะที่มาอยู่กรรม มาอยู่ปริวาส เพราะว่าพวกต่างลัทธิเขาเรียกว่าเดียรถีย์ ผู้ที่ต่างลัทธิต้องมาอยู่ปริวาส ต้องอยู่กรรม มาอบรมอยู่ก่อนถึง ๔ เดือน อันนี้เป็นวิธีในสมัยโบราณ สมัยพระพุทธเจ้า ผู้ที่มาจากศาสนาอื่น มาจากลัทธิอื่นจะต้องอย่างนั้น เดี๋ยวนี้แหละก็คล้ายกัน อย่างเรานี่ ผู้ที่มาข้างนอก ไม่ได้มาเป็นผู้ที่ศึกษาจริงๆนี่ ต้องมาอยู่ มาประพฤติ ต้องมาปฏิบัติ ให้มีขั้น มีตอน ให้มีหลักมีเกณฑ์ ให้ได้อบรมเรียนรู้ก่อน อย่างพวกเราทำนี่ ให้ทำสอดคล้องกับ พระพุทธเจ้า ที่พาทำ จะต้องมาดูจริงๆก่อน อย่าเพิ่งผลีผลามมาทำเป็นขอบวช ขออะไรก่อน ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผู้ต่างลัทธิจะมาบวชกับพระพุทธเจ้า ต้องมาอยู่กรรมก่อน ๔ เดือน ก็เหมือนกับผู้ใด ที่จะมาอโศก ที่มาจากที่อื่นนี่นะ คล้ายๆ กัน

พูดถึงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ เพราะคนเราในโลกจะมีศักดิ์ศรี จะมีลาภยศ จะมีอะไร ใหญ่โต ตระกูลจะเป็นตระกูลใหญ่ ตระกูลโตอะไรต่ออะไรอย่างโลกๆ อย่างไรก็ตามแต่ มันก็เป็นของโลกๆ คนที่ถือเอาสิ่งอันนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แล้วก็กราบไหว้เคารพกัน ตามสิ่งสำคัญ ที่เขาถือ เขาเกิดในตระกูลสูง ก็ต้องเคารพกันต่อไป เพราะว่ามีความเป็นใหญ่ทางศักดาเดช ถ้าไม่ยอม แล้วจะถูกขมขี่ จะถูกกดขี่ข่มเหง เคารพไป แม้แต่ว่า มีผิวพรรณดีกว่า มีศักดิ์ศรี ตามแบบโลกๆ ต่างๆนานา นี่โลกเขาก็ถืออย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าเราพาถือนั่น พาถือที่ธรรมะ เคารพกันด้วยธรรมะ คารวะกันด้วยธรรมะ เอาธรรมะเป็นสำคัญ เอาธรรมะเป็นเอก จะเมื่อใด ก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสยืนยันว่า ธรรมะเป็นของประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งปัจจุบัน และ อนาคต ธรรมะคือสิ่งที่จะต้องทรงขึ้น เกิดขึ้น เราจะมีธรรม เพราะเรารู้ว่าอะไรคือธรรม ธรรมะคำเดียว นี่โดยความหมายโดยปริยายโดย ที่เข้าใจโดยรวมนี่ หมายถึงกุศล หมายถึง ส่วนดี ส่วนประเสริฐ ถ้าจะว่าส่วนไม่ดีส่วนไม่ประเสริฐ ก็เรียกว่า อธรรม สิ่งที่ไม่ใช่ธรรมะ ถ้าพูดว่าธรรมะ คำเพียวกลางๆแล้ว หมายไปถึงแนวโน้มทางด้านสูง ทางด้านประเสริฐ ทางด้านทางดี

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมีความสูง ความประเสริฐความดี ก็เพราะกรรม เพราะการกระทำสั่งสม กุศลธรรม จะเกิดกุศลธรรมก็เพราะว่า ก่อกุศลกรรม ถ้าเราไปก่ออกุศลกรรม เราก็ได้ อกุศลกรรม แล้วก็มาทรงขึ้น ตั้งขึ้น เป็นของที่เกิดโดยกรรมทั้งหมด และชีวิตมนุษย์ที่อาตมา เคยย้ำๆมา ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ สิ่งที่จะทรงขึ้นทรงไว้ สิ่งที่จะตามจะติดจะเป็นทายาท จะเป็นมรดก จะเป็นวิบาก ไปถึงไหนๆ ตราบที่เรายังไม่ปรินิพพาน ตราบที่เรายัง ไม่เลิกสูญ ไม่ดับขันธ์ ๕ ไม่มีความสามารถ ที่จะเรียนรู้ จนกระทั่งปลดปล่อยให้ตนเอง เป็นนิพพานได้ และปรินิพพานไปได้ เราก็ยังจะต้อง มีสังสารวัฏ เมื่อใด เรามีสังสารวัฏ วนว่ายเวียนว่าย ตายเกิด จะต้องมาเกิด มาอะไรอยู่อีก เราก็ จะมีมรดกของเรา คือ กรรม

อาตมาก็อยากจะเน้นเรื่องกรรม ขอให้พวกเราได้ศึกษาได้ระมัดระวัง จริงเลยนะ แม้แต่เรา เอี้ยวแขน ไกวขา พูดจา จะทำกิริยาอะไรก็เป็น ทั้งแม้คิด ก็ระวังทางความคิด คิดก็เป็นกรรม เป็นมโนกรรม เป็นกรรมสั่งสม ไปคิดแต่เรื่องเลวๆ ร้ายๆ ไปคิดแต่เรื่องที่เป็นกาม เป็นพยาบาท คิดแต่เรื่อง ที่เป็นถีนมิทธะ คิดแต่เป็นเรื่องอุทธัจจกุกกุจจะ คิดแต่เรื่องวุ่นๆวายๆ เรื่องที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราว สับสนสงสัย คลางแคลงไม่เข้าเรื่อง หาแต่เรื่องที่ไม่เข้าเรื่องมาคิด ก็เป็นกรรมทั้งนั้น เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น เราจะคิดก็เป็นเรื่องของเรา เราจะพูดก็เป็นของเรา เราจะลงมือทำเลย ก็เป็นของเรา ยิ่งย้ำยิ่งเน้นลงไปให้ครบทั้ง ๓ กรรม ก็ยิ่งเป็นน้ำหนัก เป็นกรรม ของเรา

สิ่งเหล่านี้เป็นของพุทธศาสนา เป็นกรรมสัจจะ หรือกรรมนิยม มันเป็นมรดกจริงๆ กัมมทายาโท เราจะเป็น ทายาทของกรรมที่เรากระทำดีและชั่ว อบรม ให้อบรมฝึกฝนดีกุศลกรรมๆ แม้แต่จะยืน จะเดินจะนั่งจะนอนจะไปจะมา จะพูดจะกล่าวจะคิดจะนึก จะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราเข้าใจว่า กรรมนี่แหละเป็นมรดก กรรมนี่แหละเป็นที่สั่งสม กรรมนี่แหละที่จะทำให้เราเกิด เราเป็น กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมจะพาเรา.. ตัวเกิดนี่ กรรมเราเกิด เราจะเกิดอีก เราจะตายอีก เราจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เราจะมีเครื่องอาศัย จะเป็นที่อาศัย เราจะมีอะไรๆ ที่เราจะได้ ทรงไว้เป็นบุญ เป็นบาปก็ตาม เป็นเวรเป็นภัย เป็นมรดกจริงๆ เป็นของเราจริงๆ ซึ่งจะเป็น ไป จะเป็นอันที่เราจะต้องได้รับอย่างนั้นนะ มันจะเป็นแต่เพียงว่า จะมาเร็ว หรือจะมาช้า จะพึงได้หรือไม่ได้ ในขณะที่เราเอง เรายังดำเนินไป ยังไม่ถึงปรินิพพาน สิ่งเหล่านี้ เป็นฤทธิ์ เป็นอำนาจเป็นแรง ไม่ใช่อะไรมาบันดาล แต่เป็นที่ๆเราได้ทำได้สะสม ตั้งแต่เมื่อใดๆ ตั้งแต่อดีต มาจนกระทั่งปัจจุบัน เป็นฤทธิ์แรงอยู่ทั้งนั้น แล้วมันก็จะไปต่อถึงอนาคต ตราบที่เรา ยังไม่ปรินิพพาน ตราบใดนะ

เพราะฉะนั้น ขอให้เราได้พยายามสังวรและระลึกจริงๆเลยว่า คุณจะหาเงินหาทอง จะมีเงิน มีทอง คนเราจะไปหาเงินหาทองต่างๆนี่นะ เราก็เอาแรง เอาเรี่ยวของเรานี่แหละ เอาไปแลก ความรู้ ความสามารถ ฝีมือขยันหมั่นเพียร ออกเรี่ยวออกแรง เสร็จแล้วก็สร้างสรร หรือแม้แต่ ใช้แรงงานไป จะได้อะไรตอบแทนมา เป็นเงินเป็นทองเป็นข้าวเป็นของ เป็นอะไรก็ตามใจ มันก็ เป็นแลกสิ่งแลกนั้น ก็คือสิ่งที่เราได้จ่ายออกไป เราจ่ายแรงงาน เราจ่ายความรู้ จ่ายความสามารถ ฝีมืออะไรก็ตาม จ่ายออกไปให้ผู้อื่น ผู้อื่นก็จะแลกมาให้เราบ้าง อย่างนี้ เราเรียกว่า ไม่ขาดทุน เราไม่ขาดทุน เราไม่เป็นหนี้ แต่จะไปเอามาเฉยๆนั้นนะ เป็นหนี้ๆ ไปเอาของเขา มาเฉยๆเป็นหนี้ ยิ่งไปเอาเปรียบเอารัด เป็นหนี้บาปอย่างมาก เพิ่มเติมขึ้นไปอีก ยิ่งไปเอามา โดยประเภทกดขี่ข่มเหงนะ ทารุณโหดร้ายมาอีก ยิ่งบาปไปใหญ่ นี่โดยค่านะ ฟังดูดีๆ โดยน้ำหนักของอะไรต่างๆนานา นี่ ไปปล้นไปจึ้ ไปฆ่าไปแกง ไปทรมาน ไปทำร้าย แล้วไปแย่งชิงนะ ไปแย่งชิงไปทำอะไรเขา ยิ่งคนบริสุทธิ์ ไปเอาทรัพย์สินของคนบริสุทธิ์มานี่ ก็มีนัย ฟังก็รู้ว่ามันบาปเพิ่มขึ้น มันก็เป็นเรื่องบริสุทธิ์ นอกจากบริสุทธิ์แล้ว ยังเป็นคนที่มีจิตใจ ที่ไม่หวงแหนด้วย มันย้อนกลับ ผู้ที่มีจิตใจไม่หวงแหนแล้ว เราก็ไปขโมย ไปปล้นไปจี้ เอาของ คนที่เขา ทั้งบริสุทธิ์ และเขาก็ไม่หวงแหนด้วย ยิ่งบาปเพิ่มขึ้น น้ำหนักของมันนะ ค่าของความบาป มันมีลักษณะอย่างนี้ด้วย เขายิ่งจนยิ่งมีน้อย ยิ่งไปเบียดเบียน นี่ก็เห็นแล้วว่า ไม่สมควร มันก็บาปมากอยู่แล้ว แล้วเขาก็ยิ่ง มีบริสุทธิ์นั้นแหละ แล้วเขาก็ยิ่งไม่หวงไม่แหนอีก มันยิ่งย้อนแย้ง กันไปใหญ่เลย ผลอันจะให้ ก็ให้ก็เอาไปเถอะ ไม่จองเวรจองภัยด้วย ยิ่งบาป น้ำหนักของ ความบาปหรือค่าของความบาปมันยิ่งสูงขึ้น ขโมยเงินบาทเดียวของคนที่จนๆ กับ ขโมยเงินบาทหนึ่ง ของคนที่ร่ำรวย ขโมยเงินของคนจนๆบาทเดียวนี่ มันก็บาปมากกว่า น้ำหนัก พวกคุณพอจะเข้าใจนะ และทำไมมันถึงบาปมากกว่า มันไปทรมานคนอื่นเขามากกว่า เบียดเบียนคนอื่น เขามากกว่า เพราะคนจนมีน้อยก็เบียดเบียนมาก และเขายิ่งไม่หวงแหนอีก แทนที่มันจะอภัยกัน มันไม่ใช่นะ คุณธรรมนี่มันตีกลับ เหมือนกับฆ่าคนธรรมดานี่ ยังมีโกรธ มีแค้น มีเคือง มีอาฆาต ก็บาปฆ่าคนธรรมดา ถ้าไปฆ่าพระอริยะ ท่านไม่จองเวรจองกรรมเท่าไหร่ ยิ่งไปฆ่าพระอรหันต์นี่ ท่านปล่อยวางเลย ไม่อาฆาตมาดร้ายอะไรเลยด้วยซ้ำ ยิ่งบาปหนัก เข้าไปใหญ่เลย นี่มันซ้อนเชิงคล้ายๆกัน อย่างนี้

ที่อาตมาอยากจะเน้นนั่นน่ะ ไม่ได้มาบอกค่าชั้นเชิงที่มันมากมันน้อยเท่าไหร่ อยากจะเน้นให้เห็น เรื่องกรรม กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ อะไรๆมันเกิดนี่ เราจะเกิดอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ มันด้วยกรรมทั้งนั้น คือ กรรมที่เราได้สั่งสมมาแต่ปางบรรพ์ กับกรรมที่เราเอง เราคิด เรานึก เราใช้ญาณ ปัญญาของเราที่ในขณะเรามีนี่ มานึกคิดแล้วก็มาติดสิน วินิจฉัย ทำ แล้วเราก็จะ ทำอย่างเราคิด มีความรู้ว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม ตามความจริง เรารู้ว่าไอ้นี่ดี และ เราก็มีแรงที่ทำดีอันนี้ ตามที่เรามี ถ้ายิ่งสะสมๆ แรงที่จะกระทำดี ที่จะให้มีความแข็งแรง ให้เกิดแรง ให้เกิดความกล้า ให้เกิดการเอาความชนะได้ ก็เพราะเราได้สั่งสม เหมือนออก กำลังกาย นี่ ออกกำลังซ้อมวิ่งมากๆ วิ่งได้ดีมาก ออกกำลังกายมากๆ ก็มีกำลังกายมากๆ หัดที่จะอบรมฝึกฝน ฝึกทำ สิ่งที่จะเป็นกุศล เมื่อเรารู้ด้วยปัญญา รู้ด้วยทิฏฐิ รู้ด้วยญาณ เราที่ได้พยายาม ที่จะใช้ความฉลาดที่เรามีนี่ ตัดสิน วินิจฉัยเอาว่า นี่ดี อย่างนี้ไม่ดี อย่างนี้ ถูกต้องแล้ว อย่างนี้ดีลึกซึ้งไปขนาดไหน ก็ตามใจ เรายังมีน้ำหนักประสิทธิภาพของ ปัญญา ตามจริงของแต่ละบุคคล

อย่างพวกคุณมาฟังธรรมะที่อาตมาบรรยายนี่ ฟังแล้วก็รู้สึก ฟังแล้วก็เข้าใจ ฟังแล้วก็ได้อะไรดี อะไรไม่ดี ฟังแล้วก็ได้ ฟังแล้วก็ยิ่งรู้แจ้งรู้จริง รู้ลึกเข้าใจในกรรม เข้าใจในกุศล เข้าใจในสิ่งที่ ประเสริฐ ที่เราเองจะได้ทำเอา อบรมเอา เชื่อนับถือเลื่อมใส เห็นจริง บอกว่าให้คุณมาลด มาละ นะนี่ เงินทอง อย่าไปกอบโกยเอาของคนอื่นมามากนัก อย่างนี้เป็นต้น

คุณก็เชื่อนะ ทั้งๆที่โลก เขาแย่งกันอย่างไรดี พยายามจะไปกอบโกยมาใส่ตนเอง หาเอามา เป็นของตัว ของตนมากๆ อาตมาก็มาบอกคุณว่า อย่าไปกอบไปโกยมามากๆ สละออกให้มากๆ นั้นดีแล้ว ถ้าคุณสละได้มีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องไปมีสะสมเอามากๆนี่ ประเสริฐกว่านะ ไอ้มีมากๆ กอบโกยเอาไว้มากๆนั่นน่ะ มันไม่ประเสริฐหรอก ค้านแย้งกับความรู้สึกส่วนใหญ่ ของคนทั่วๆไป มันเรื่องกิเลส ตัณหานี่ ทุกคนก็เข้าใจ เรื่องนี่ ทุกคนก็เคยมีอารมณ์อย่างนั้น มีความต้องการ อย่างนั้นมาทั้งนั้น พออาตมามาบอก ก็มาบอกเหตุผลเรื่องราวอะไรต่างๆ นานา หลายคนเชื่อ เชื่อแล้วก็ไปลดละตาม สะพัดออกไป แต่ก่อนเคยขี้เหนียว ไม่ค่อยให้ ละ

แม้แต่ครอบครัว ก็ไม่ค่อยให้ ต่อมาก็ถึงให้บ้าง คนในครอบครัว ให้มิตรสหาย เกื้อกูลเพื่อนฝูง หรือให้คนที่ควรให้ แม้แต่ที่สุด กล้าลดจากที่เคยสะสมกอบโกย ลงมาได้ ทำได้มากๆ เราก็ให้คนอื่น ได้มากๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ คุณฟังออก คุณเข้าใจ เห็นจริงตาม แต่ก่อนเคยมีของอร่อย ไปติดไอ้นั่นอร่อย ไปติดไอ้นี่อร่อย ก็บอกว่า มันไม่มีบาปอะไรนี่ ติดอร่อยไม่เคยนึกคิด ไม่เคยรู้เลย ว่าไปติดอร่อยๆ ไอ้นี่มันบาปนะ มันไม่ดีหรอก มันติดมันยึด แล้วมันก็เป็นภาระ เป็นเรื่องที่ยังเสพ ยังติด คุณก็มาฟังธรรมที่นี่ เอ๊ โอ้เสพ ติดไอ้อย่างนี้ มันก็เป็นการติดยึดนะ จะต้องเสพ จะต้องติด ไปอีกนานับชาติ มาลดมาละเถอะ ตั้งแต่สิ่งที่ไม่สำคัญ ไปเสพติด ไอ้รสชาติ ไอ้ของเสพ ของติด ที่ไม่เข้าเรื่องเข้าราว หัดลดหัดเลิกออกมา โฮย ของพวกนี้ ป่วยการ ลดเลิก สูบยาบุหรี่ ลดเลิกของที่มันเสพติด อย่างนั้นอย่างนี้ คุณอบรมเอา คุณทำเอา หัดเอา ใจก็แข็งแรง ใจก็กล้าหาญ รู้เข้าใจด้วยปัญญา โอ๊ย ไอ้อย่างนี้ มันไม่ใช่ของน่าจะมีก็ได้

อย่าว่า แต่สิ่งเสพติดเลย เราทำกันมา ฝึดหัดกันมา แม้แต่ยังไปติดไปยึดเอร็ดอร่อย อยู่ในของ ที่มัน ซ้อนเชิงมาเป็นของกินของใช้ ไปมีรสมีชาติกับของกินของใช้ ยิ่งของกิน ยิ่งอธิบายได้ชัด ยังไปอร่อย กับแกงอันนั้น ยังไปอร่อยกับผัดอันนี่อยู่นี้ มันยังไม่สูงนะ มันยังต่ำอยู่เลย หัดลด หัดละลงมา ถ้าคิดอย่างโลกๆง่ายๆ คุณลองนึกดูให้ดี เอ๊ มันจะไปบาปอะไร ก็เราจะอร่อย ของนี่นะ กินแกงก็อร่อย กินผัดอันนี้ก็อร่อย ก็ไปชอบลาบชอบก้อย ไปชอบไอ้โน้น ไปชอบไอ้นี่มั่ง มันจะเป็นอะไรนะ มันจะบาปตรงไหน มันไม่น่าจะฟังออก นะ มันไม่น่าจะเชื่อนะ

แต่ก่อนแต่ไร ไม่มีใครบอก อย่างนี้นี่นา อ๊อ ไปอร่อยลาบ อร่อยก้อยอยู่อย่างนี้ มันบาปน่ะ เอ๊ บาปอะไร กินลาบกินก้อย ใครมันก็กินทั้งนั้น อร่อยมันก็เป็นของเรา มันก็ขึ้นสวรรค์หอฮ้อ ด้วยซ้ำไป ถ้าได้กินน่ะ แต่คุณมาฟังออกว่า เอ๊ มันบาปน่ะ มันน่าลดน่าละนะ มันเชื่อตาม อาตมาว่า เอ๊ มันเชื่อได้อย่างไร อาตมาก็ว่า มันดีนะ มาเชื่อได้ แล้วไปหัดลดหัดลด และ ก็ลดละ ไม่ง่าย ถ้าติดมากๆ คนติดมากๆ นี่ลดไม่ได้ง่ายๆหรอก ละไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็ละมา ได้ฝึกอบรม มาจริงๆ ทำใจมาในใจ หัดวาง หัดปล่อย ล้างกิเลสที่มันดูดซึม ที่มันติดมันยึด ลดล้าง ความติดยึด นี่แหละ รสอร่อยอัสสาทะต่างๆ จะเป็นรสอร่อย อยู่ในอาหาร อยู่ในเสื้อผ้า อยู่ที่เราต้องใช้ อะไรต่างๆ นานาอะไร ที่เราจะอาศัยมัน จะใช้มันก็ใช้ แต่ไม่ต้องไปอร่อย กับมันหรอก โอ๊ย ดีใจได้ใส่เสื้อใหม่ ดีใจได้ใส่เสื้อสวย ดีใจได้กินของอร่อย ดีใจได้ใช้เครื่องมือ เครื่องใช้ อันนี้อร่อย ได้นาฬิกา ได้ปากกา ได้เครื่องยนต์ ได้เครื่องมือ อร่อย ภูมิอกภูมิใจดีเราดีใจ ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมี อาการแซงซ้อนอยู่ในนั้น

ถ้าสมเหมาะสมควรจะกินก็กิน สมเหมาะ สมควร จะนุ่งห่ม ก็นุ่งห่ม สมเหมาะสมควรจะใช้ก็ใช้ ไม่ต้องมีรสซ้อนแซงเป็นรส อัสสาทะ อ่านให้ออก นั่นเล่นกับเจ้านั่น ฆ่าเจ้านั่นนะ ไม่ได้หมายความ บอกว่า ไม่ให้คุณใส่เสื้อ ไม่ให้คุณกินอาหาร ไม่ให้คุณใช้ของ ไม่ให้คุณทำงาน ไม่ให้คุณทำไอ้โน้นไอ้นี่ ไม่ใช่เลย ใช้สมเหมาะสมควร รู้จักประมาณ น้อยลงได้ดี ไม่ต้องทำอะไร เอิกเกริก เฮฮาหรูหราฟู่ฟ่ามากมาย มักน้อยลงมา มีลักษณะ น้อยลงๆ และเราก็พอดี ถึงน้อยๆนี่ อัปปิจฉะ นี่ น้อยๆลงมาเราก็พอ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ ไม่ได้ฟู ไม่ได้เฟื่องอะไร สงบอยู่ ปวิเวกะ วิเวก แม้น้อย อัปปิจฉะ ก็พอ สันโดษก็สงบ ใจ ไม่ฟูเฟื่อง ไม่ได้กระดิกกระเดี้ยอะไร ก็ไม่ได้หวั่นไหว อะไร ไม่ได้กระดี้กระด๊าอะไร แม้มันน้อย แม้มันขาด เออ วันนี้อาหารไม่ค่อยพอเท่าไหร่นะ เราเสื้อผ้าก็ซัก ซักไม่ค่อยทัน ตัวนี้ก็ต้องนั่งปะ นั่งชุนเสียก่อน แล้วถึงจะเอาไปซักได้ แม้มันจะ ขาดแคลนบ้าง ใจก็ไม่ได้ไปตะกละตะกลาม อยากจะได้โหยหา ต้องดิ้นรนเกินการก็เอา ก็ลองแก้ไขดูพอเพียง พออาศัยไป น้อยหน่อย ก็ไม่เป็นไรหรอก ก็ไม่ถึงตายทีเดียว ไม่ร้อน ไม่ดิ้นไม่รนไม่ตะกละตะกลาม แม้น้อยๆ อย่างนี้แหละ เป็นคนที่พยายามช่วยตนเอง พยายามที่จะขวนขวาย ใจไม่โลภโมโทสัน ไม่แย่งไม่ชิง ไม่อยากได้อะไร พยายามที่จะเป็นคน ประหยัดมัธยัสถ์ เป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนสุขุม ประณีต

ยิ่งโลกส่วนรวมทุกวันนี้ เป็นโลกที่สอนกันให้หลงใหล ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไปโอ่อ่าหรูหราว่าสวยๆ งามๆ ใหม่ๆ เอี่ยมๆ ที่เขาสอนกันจะต้องใส่เสื้อใหม่นี่ ไปโชว์คนอื่น ไปใส่เสื้อใหม่ ใส่เสื้อเก่าไป มันน่าอาย มันไม่เห็นน่าอายตรงไหนเสื้อเก่า ถ้ามันจะสะอาดสะอ้านไม่อนาจารอะไร ไม่อุจาดอะไร เสื้อใส่กันอุจาด กันแมลงสัตว์กัดต่อย กันร้อนกันหนาวเท่านั้น อย่างสมเหมาะ สมควร เราเข้าใจสาระ มันก็ไม่เห็นจะเป็นไร อย่างนี้เป็นต้น เราก็ทำ และโลกส่วนรวมทุกวันนี้ มันควร ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยด้วยหรือ นิสัยคนทุกวันนี้หลงใหลในความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย หรูหราฟู่ฟ่า อะไรต่ออะไรต่างๆนานากันทั้งนั้น พยายามที่จะได้คำนิยมชมชื่น ต้องหรูหราฟู่ฟ่า อย่างนั้น อวดกันเบ่งกันข่มกัน เป็นอย่างนั้น เราก็มาถ่วงดุล

ที่เรามาประพฤติที่เรามาทำนี่ เราทำเพราะเราฝึกฝนด้วย ไม่เช่นนั้น มันจะสะเทิ้นสะท้าน เขินอาย มันดูไม่เทียบเทียม มันดูไม่เทียบทันเขา มันดูด้อยดูน้อย ดูต่ำดูต้อย และเรามาฝึก จริงๆ หัดจริงๆ เข้าแล้ว เราจะได้แก้ไข วางใจ อย่างที่เราเป็นเราทำอยู่นี่ พยายามรักษา สิ่งที่มัน ไม่สมควร ก็รู้ๆอยู่แล้วว่า เออ เราก็สะอาดสะอ้านเราก็พอแล้ว ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีเชื้อภัย ไม่มีกลิ่นเหม็นอะไร ไม่มีอะไรเสื้อผ้าก็ดีแล้ว อาหารการกินไม่ต้องไปหลงใหลฟู่ฟ่า และไม่ต้อง หลงเอร็ดอร่อยอะไร ก็พอแล้วก็ดีแล้ว เครื่องใช้ไม่สอย ถ้ามันจำเป็น มันสำคัญก็ใช้ สมเหมาะ สมควร ในการสร้างสรร ไม่ใช่เอามาบำเรอตน หรือไม่ใช่อย่าง...เครื่องมือนี่นะ เครื่องมือ ที่ช่วยงานเรานี่ ถ้าเราได้แต่เครื่องมือมันเก่ง มันช่วยงานเราได้มาก เสร็จแล้ว เราก็ไม่ได้อบรม ฝึกฝน ความสามารถนั้น เพราะเครื่องมันช่วย เครื่องมันง่ายนี่ เครื่องมันทำเป็น mechanic มันเป็นระบบ เป็นอะไรต่อมิอะไร มันอยู่เก่ง แล้วเราก็ฝึกใช้แต่เครื่องมือนี่แหละ ใช้กดปุ่มอะไรมั่ง ต่อมิอะไรบ้าง และเวลามันทำงาน มันนั้นเก่ง ถ้ามันเก่ง เราก็ไม่เก่งขึ้นเท่านั้นๆ ฟังดีๆนะ ตรงนี้นะ อาตมาอยากจะให้พวกเราได้เข้าใจ ในเครื่องมือ เครื่องทุ่นแรง เครื่องช่วยแรงงาน ถ้ามันเก่ง เราก็ยิ่งไม่เก่ง ถ้ามันไม่เก่ง หรือมันไม่มี เราทำได้ เราก็เก่ง เราก็ได้ก่อกรรม ฟังดีๆนะ เราได้ก่อกรรม ถ้ามันทำมันก็ก่อกรรม เครื่องมือมันก็ก่อกรรม ถ้ามันมีวิญญาณ มันก็มีเรื่องสืบต่อ เครืองมือเอาบุญไปหมด เพราะมันทำ ไม่ใช่เราทำหรอก มันทำมากนะ มันมีซับซ้อนอยู่ มันทำมาก มันทำตั้งเยอะตั้งแยะ กลไกอะไรของมันเป็นคนทำ เราไม่ได้ทำ แต่ถ้าเราได้ทำ ได้อวดฝีมือ ความสามารถทำอะไรจริงๆ เป็นกลไปอย่างที่ มันไอ้เครื่องมือมันทำ แต่กลายว่า เรามานั่งทำเองหมด มันก็เป็นกรรมของเรา ฟังออกไหม เป็นกรรมของเรา เราก็ได้ ถ้าไปให้ เครื่องมือ มันทำหมด เราก็ไม่ได้ ฟังดีๆนะ

แต่ทีนี้ที่เราเองเราจำเป็นใช้เครื่องมือนี้ ถึงบอกว่าใช้อย่างเหมาะสม ที่เราต้องใช้มันก็เพราะว่า เราจะสะพัด เราจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่น มันทันการ หรือไม่ทันการ ทุกวันนี้ๆนี่นะ หนังสือ ที่เราทำกันนี่ มากๆนี่ ที่เราทำต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรที่วิจิตรพิสดารเป็นไฮเทค ขึ้นไปมากๆ เพราะเราจะได้ทำไปมากๆนี่ ก็เพราะว่าหนังสือที่มันมีอยู่มอมเมา เดี๋ยวนี้ มันเยอะ เหลือเกิน และ ธรรมะที่เราจะเผยแพร่นี่ มันก็ต้องไปกับตัวหนังสือนี่ เป็นตัวความรู้ เป็นตัว สื่อสาร ที่มากที่สุด วิทยุจะไปพูดก็ได้ โทรทัศน์จะไปสื่อสารใช้การบรรยายการพูดที่ โทรทัศน์ก็ได้ แต่เป็นเครื่องมือ เทคนิคที่มันสูงขึ้นไปอีก ราคาแพงขึ้นไปอีก กระจายเร็วขึ้นไปอีก

อาตมาเคยบอกพวกเราอยู่นะ ว่าทำไมอาตมาไม่ขวนขวายในเรื่องออกโทรทัศน์ ทั้งๆที่มีเพื่อน มีฝูง วิทยุก็มีเพื่อนมีฝูง ทำงานหากินมามีหลักฐานมาอย่างนั้นจริงๆ ตรงๆเลย พวกคุณก็รู้ทั้งนั้น แต่ทำไมอาตมาไม่กระดี๊กระด๊า อาตมาไม่ดิ้นรน เหมือนคนอื่นเขา แหม อยากดิ้นรนไปออกวิทยุ โถ พูดออกวิทยุ อาตมาก็หากินกับวิทยุ ออกเสียง ออกอะไรมาทั้งนั้น ทำไมไม่เอา เพราะมันเร็ว เพราะมันมี ประสิทธิภาพสูงกว่า และมันแพงกว่านั่นก็ด้วย แต่ก่อนนี้มี อย่างคุณสันติยา มาจ่ายค่าสถานี ค่าอะไรเอาไว้ อาตมาไปออกให้ไม่กี่ทีหรอก คุณไปเอาคืนมา ไม่ต้องไป ออกหรอก วิทยุ แต่ก่อนนี้ก็ยังเคย เพราะว่าเราเอง เรายังไม่อยาก ไม่ให้กระจายเร็วอย่างนั้น มันมีลักษณะ ซ้อนเชิงอย่างหนังสือนี่ เป็นไอ้ใบ้เสียงดังไป ซึมๆและมันคัดเลือกคนๆ คนมักง่าย จะฟังวิทยุ จะดูโทรทัศน์ มักง่ายที่สุดดูโทรทัศน์ เลยไปดูวิดีโอเลย มักง่ายรองลงมา คนที่ยัง ไม่มักง่ายมากนัก ก็มาฟังเสียง ฟังวิทยุฟังเท็ป คนที่ยิ่งขยันหมั่นเพียรมากขึ้น ไม่มักง่ายขึ้น ก็ต้องมาอ่านหนังสือ มาเอารายละเอียด มาเอาน้ำหนัก มาเอาอะไรจากนี่ไปทบทวนได้มาก อ่านหนังสือ นี่ก็คงพอเข้าใจนะ

มันเป็นการคัดคนไปในตัวๆ ซ้อนเชิงนะ เราไม่ต้องการแพร่หลายเหรอ ซ้อนเชิงอีก ต้องการแพร่หลาย แต่ว่าก็ไม่ต้องการที่จะให้มันเร็วเกินไป ไม่ต้องการฮือฮา ถ้าฮือฮาอยากที่เป็น อย่างคู่กรรมกันนี่นะ ตาย อโศกตาย ตายจริงๆ ตายจริงๆ คุณอาจจะไม่เชื่อนะ คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่หลายคน ฟังแล้ว มีปัญญาพอแล้วจะเชื่อ ถ้ามันฮือฮาแบบคู่กรรมนี่นะ ตาย อโศกตาย แต่โลกเขานี่ยิ่งดี เขาได้ร่ำได้รวย เขาได้ชื่อเสียง เขาได้อะไร เขาได้ฉวยโอกาสหากินเลย เพราะของเขา ไม่ต้องทำเนื้อ เขาต้องการมาล้วงตับกินไส้ ของเราไม่ได้มาล้วงตับกินไส้นะ เรามีแล้ว ยังจะต้องมาให้เอาออก และมันก็เป็นฝืน มันเป็นการอดทน เป็นการกดข่ม เป็นการทรมาน ทำได้ก็ได้ ทำไม่ได้ก็อึดอัดขัดเคือง และก็จะมีภาวะกดดัน มีภาวะอะไรซ้อนเชิง นี่ก็เป็นภาวะซ้อนเชิง ของเราไม่มีอะไรแลก ไม่มีอามิส เพราะฉะนั้น ในกิเลสนี่มันไม่ง่าย แต่ของโลกเขามีมีอามิสล่อ แต่ต้องจ่ายเงิน จ่าย เพราะเขา จะได้อะไร ได้อามิส ได้รสนิยมโลกๆ ได้อัสสาทะเขาก็เอา ของเราไม่มีอัสสาทะให้นะ เพราะฉะนั้น จะให้ออกเหมือนกันนะ จะให้จ่ายเหมือนกันนะ ให้รีดออกมานะ ลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรก็ให้ออกเหมือนกัน แต่ของเขา มีอะไรแลกเปลี่ยนให้ สวรรค์ของเขา เป็นสวรรค์ที่มี การสนองกัน แต่ของเราไม่มีสวรรค์สนองกัน

เพราะฉะนั้น ไม่มีสวรรค์ที่สนองกัน แต่เป็นสวรรค์แท้สวรรค์ให้ก็ให้ไป เลยไม่มีอะไรตอบแทน ยาก กดดัน คนที่ไม่มีปัญญา ไม่มีภูมิธรรมที่ยังมีฐานต่ำๆมาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็คือ มาถูก กดดันทางนี้มากๆ มันก็จะมีเล่ห์มีเหลี่ยม มีการซ่อนเชิง มีมานะ กิเลสอะไรซับซ้อนเลย ทีนี้ ตัวหลอกจะมาก ขณะทุกวันนี้ มีการแซม มีการสอดซ้อน พวกที่ไม่ดีพวกที่อะไรนี่ แซมมา ในพวกเรานี่ เสร็จแล้วก็มามีเล่ห์เหลี่ยม มามีเชิงกล มามีอะไรซับซ้อนหากิน ทำอะไร ต่ออะไรอยู่ ระวังนะ ระวัง แม้แต่ในพวกเรานี่ อาตมาพยายามพากเพียรบอกว่า ระวัง เราจะโลภซ้อน อยู่ในตัวพวกเรากันเอง เราก็สอดส่องกันอยู่ เตือนกันอยู่ เพ่ง จะว่าเพ่งโทษก็ ไม่เชิง แต่ก็เพ่งผิด นั่นแหละ ดูว่ามันเป็นความไม่ดีไม่งามในพวกเรา ก็พยายาม มองเห็น แล้วก็บอก ติติง ติเตือนกัน เอามาบอกอาตมาบ้าง เขาไม่กล้าติเตือนเกรงใจ ก็หาว่ามาฟ้อง อาตมาก็บอกแล้ว ไม่ใช่ฟ้อง มาให้ข้อมูล เพราะเขาไม่กล้าเตือน เขาเห็นว่ายิ่งตกต่ำนะ แอบแฝงแล้วนี่ อยู่แล้ว นี่กระมิดกระเมี้ยน เอาข้าวของส่วนกลางอันโน้นอันนี้ ไปมากกว่าเพื่อน เอาไปซุก ไปซ่อน โลภโมโทสัน ซ่อนเชิงอยู่ในนี้ เขาเห็นแล้วอย่างนี้ นิสัยมันไม่ค่อยดีนะ มาหาทางเอาเปรียบ เอารัดนะ มาอาศัยอันนี้สะสม มาอาศัยอันนี้แฝงซ่อนหากิน แทนที่จะทำ ด้วยความบริสุทธิ์ขึ้น ช่วยเหลือเฟือฟายกัน เป็นส่วนกลาง เป็นอะไรต่ออะไร เขาไม่ทำอย่างนั้น มีเชิงกล ซับซ้อน อีกเยอะ วิธีอย่างนั้นซ้อนแซงอย่างนี้ ด้วยความเห็นตัว กินเองใช้เองก็ตาม เอามาเผื่อ คนนั้น คนนี้ ที่เราชอบที่เรารัก ที่เราเห็นแก่ก็ตาม ทำอะไรอยู่อย่างนี้ พวกเราก็ยังมา พยายามที่จะล้าง ละ เราไม่ได้ทำหยาบๆ ไม่ได้ดูหยาบๆใหญ่ๆ แต่เราก็ดูว่าเป็นลักษณะไม่ดี ในพวกเรา ทั้งๆ ที่มีดีก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะ แต่ส่วนที่ยังบกพร่อง ยังเห็นแก่ตัวส่วนนั้น ส่วนนี้ จิตใจยังไม่กล้าแข็ง แต่ยังมีตัวที่มักได้ในส่วนนี้ เล็กๆน้อยๆ เราก็ยังมาตรวจ มาตรากัน มาช่วยแนะนำกัน จะกินก็ตาม จะอยู่ก็ตาม จะข้าวของเครื่องใช้ก็ตาม จะขี้เกียจอยู่ ยังไม่ค่อย ขมีขมัน ไม่ขวยขวายก็ตาม อะไรต่างๆพวกนี้ เราก็มาพยายามกระทำ ช่วยกันเพิ่มเติมขึ้น จึงได้ขัดเกลา สภาพที่ขัดเกลาได้เสริมสร้างขึ้นมา กลายเป็นคนเจริญมาได้ถึงขนาดนี้

อาตมาเรียกว่า เจริญ คุณมาจนลงนี่เจริญ นี่พวกคุณฟังได้นะ ข้างนอกเขาก็บอกภาษาอะไร ของมันนะ จนลงเจริญ มาจนลงเจริญ มาแต่งตัวนี่โทรมๆ ลงมาได้นี่ เจริญ มาอดมาลด มากินน้อย ใช้น้อยลงมาได้นี่เจริญ แต่ก่อนต้องกินข้าว กับข้าวต้อง ๕ อย่างถึงจะกินได้ เดี๋ยวนี้กับข้าว ๓ อย่างก็กินได้ ดีไม่ดี กับข้าวอย่างเดียวก็กินได้ ดีไม่ดีไม่ต้องมีกับข้าวหรอก กินอาหารธรรมชาติมีข้าว มีพืชมีผักมีถั่วมีงามีอะไรก็กินได้ นี่เจริญ แต่ของเขานี่ โอ้โฮ กินเข้าไป อย่างไร มีข้าวกับผักเปล่าๆ ข้าวเปล่าๆ ถั่วเปล่าๆ มันต้องปรุงแต่ง มันต้องหากุ๊กชั้นดีมาปรุง อร่อยๆ ฝีมือต้องจ้างมาชั้นเลิศมากิน มันถึงจะเป็นคนเจริญ ถึงจะเป็นคนร่ำรวย เป็นคนที่ ประสบผลสำเร็จ กินก็ต้องชั้นนั้นชั้นนี้ ชั้นใหญ่แต่ก่อนก็คิดอย่างนั้น เห็นอย่างนั้น เขาเรียกว่า เจริญอย่างนั้น จะกินจะอยู่ฟู่ฟ่าหรูหรา มีตบมีแต่งประดับประดา มีเอร็ดอร่อยหรูหรา เสื้อผ้า หน้าแพรมีเปลี่ยน มีคนคอยซัก เดี๋ยวนี้มาค่อย ซักเสื้อผ้าเองนี่เจริญ กินข้าวแล้วล้างจานเอง นี่เจริญ แต่ก่อนนี้ โฮย คนชั้นสูง เขาจะไปล้างจานเองได้อย่างไรเหรอ มันเป็นคนชั้นต่ำ กินเสร็จ ก็กระดิกหางด้วยนะ มีหางด้วยมั้งนี่ อาตมาจะพูดกระดิกหาง กินเสร็จแล้วก็ กระดิก กระดิกมือ กระดิกหางไปเลย ให้คนอื่นล้างตาม นี่แหละชั้นสูง นี่แหละเป็นคนผู้ดี แต่อาตมากลับไม่ว่า อย่างนั้น ผู้ดีนั่นกินแล้วก็ล้างเอง ล้างให้คนอื่นด้วย นี่ยิ่งเจริญ แต่ก็สมเหมาะสมควร นั่นนะ ไปล้างให้คนขี้เกียจ ไปล้างให้มัน มันไม่เจริญหรอกนะ เรานั่น เราเจริญ เราได้บุญแน่ เป็นกรรมของเราแน่ เป็นกัมมทายาโท เราได้ทำบุญ แต่คนที่ล้างให้ แล้วมันยิ่งขี้เกียจ อย่างนี้ก็เท่ากับ ไปสนับสนุนเขา ไปส่งเสริมเขา ล้างเองบ้าง หรือให้เขาล้างให้คนอื่นบ้าง ถ้าเราจะล้างให้ใคร ก็คนนั้นก็เชื่อแล้วว่า เอยเขาไม่ติดหรอก แค่นี่เขาทำได้จริง เขามีกิจอื่น เขามีงานอื่น เราช่วยเขาเถอะ กิจอื่นงานอื่นของเขาทำได้ดีกว่า สำคัญกว่าพาให้เขาไปทำเถอะ เราแทนซะ อันนี้เราล้างแทน อันนี้เราช่วยแทน นัยอย่างนี้เรารู้กัน ตอนที่เราจะช่วยผู้นั้น เพราะผู้นั้น เราช่วยแล้ว ท่านเอาเวลา ท่านเอาแรงงาน ท่านเอาความสามารถท่าน ไปทำอื่น คนนั้นไปทำอื่นได้ดีกว่า เราช่วยอันนี้ เรามีฐานะขนาดนี้ เราเป็นผู้ที่ช่วยอันนี้ได้ เราไปทำ อันที่ท่านทำไม่ได้ ก็ซ้อนกันไป ทดแทนกันอย่างนี้ๆ ซึ่งเราก็คงพอเข้าใจกัน

ลักษณะพวกนี้ จะเห็นได้ มันจะทวนกระแสกัน มันคนละทิศทาง เรามาสั่งสมความอย่างนี้ แล้วก็เกื้อกูลกัน ยิ่งทำแลกเงินแลกทอง บอกแล้วว่า นั่น มันยิ่งเลว มันยิ่งไม่เจริญ เขาให้ราคา ยิ่งแพง ก็ยิ่งตกต่ำ เป็นหนี้ ที่นี้เรายิ่งทำ ยิ่งราคายิ่งถูกลง ขอให้ทำให้ดีก็แล้วกัน สร้างสรรให้ดี และเราก็เอาถูกๆ เขาเข้าใจเหมือนกันว่าซ้อนเชิงอีก โอ่ อันนี่มันน่าได้ราคาแพง แต่เรายิ่ง คิดถูก ค่าความสามารถ ฝีมือของเรายิ่ง แหม ถ้าเรายิ่ง เรามีค่าราคายิ่งแพง แต่เรายิ่งเอาถูก เอาน้อย นั่นแหละ นั่นมันยิ่งเจริญ คนโลกๆนี่ค่าราคาของมันจริงๆ มันยิ่งฝีมือดีของทำได้ดี ได้เก่งได้ยิ่ง ก็ต้องให้ราคาเขายิ่งต้องแพงๆ เขาไม่ทันจะบอกว่าดีเลยนะ เราว่าของเราดีแล้ว ของเราทำนี่ มันดีนะ ชั้นหนึ่ง ต้องตีราคาสูงขึ้นไป นำหน้าไว้เรื่อยเลย โลกเขาจะอย่างนั้น หลงตัว หลงตน ตีราคา ของตัวของตนขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ของเรานี่ถ่อมตัว มันดีแล้วเท่าไหร่ก็พอ ขนาดขึ้นไปดีอีก เอาถูกลงไปอีก ทิศทางของเราเอง เรามักน้อยสันโดษลงอย่างนี้แหละ คุณเข้าใจบุญ เข้าใจกรรม ที่เป็นกุศลไหม นี่อาตมาพยายามเอามาพูดซ้ำพูดซากซ้อนแล้ว ก็จะหาวิธีจะอธิบายให้คุณฟัง ให้เห็นลักษณะของกรรม ใครทำใครก็ได้ ขวนขวายมากขึ้น ความสามารถมากขึ้น เราก็ได้ก่อ กัมมโยนิ ได้ก่อเกิด การเกิดบุญ เกิดกุศล เกิดกุศลเพราะเราทำ เราก่อกุศลเหล่านั้น พาเราเกิดต่อ เพราะเราก่อความเกิด เราเป็นผู้สร้าง เราเป็น God เราเป็นพระเจ้า เราเป็นผู้สร้าง เราสร้าง มันจะดี มันจะมีอำนาจ มันจะมีฤทธิ์ มันจะบริบูรณ์ มันสมบูรณ์ มันจะยิ่งใหญ่ ประเสริฐ เพราะเราเองเป็นผู้ฝึกฝน เพราะเราเองเป็นผู้ทำ ไม่ใช่ใครมาบันดาล ถ้าเรารู้แล้วว่า วิธีนี้ ทำแล้วฝึกฝนด้วยวิธีนี้ แล้วเราจะทำได้ แล้วเราจะทำดีนะ และมันจะเป็นความดี ติดตัวเราไปนะ เป็นความชำนาญ เป็นความแคล่วคล่อง เป็นความเก่ง เป็นความสามารถอะไร ก็ตามใจเถอะ เราผลิตสิ่งนี้เราทำ สิ่งนี่ดีๆ มันเป็นของที่มีคุณค่าต่อคนอื่น ต่อเขาไปอีก คนอื่นได้อาศัย สำคัญนะ ยอดที่สุดก็คือ ความรู้ทางธรรม แล้วก็มีศิลปะในการสื่อธรรมะ ให้คนนี่ เป็นสินค้า หรือ เป็นผลผลิตที่สูงสุดเลย นี่พูดในฐานะโพธิสัตว์นี่ เห็นอันนี่ชัด เราจะสื่อ อย่างไร เราจะใช้วัตถุ จะใช้องค์ประกอบ จะใช้อะไรต่ออะไรต่างๆมารวมกัน เป็นองค์ประกอบ ศิลปะ เขาเรียกว่า composition นี่อาตมาพูดถึงศิลป เอาภาษาพวกนี้ เข้ามาประกอบ เราเอา หลายๆอย่าง มารวมกัน มารวมกันหลายๆอย่าง แม้แต่รูปธรรม และนามธรรม อาตมาเป็น ศิลปิน สร้างงานศิลปะให้แก่โลกเขาอยู่ทุกวันนี้ แล้วงานศิลปที่อาตมาสร้างให้แก่โลกเขา นี่เป็นยอดมหา The Greatest abstract เป็นศิลปนามธรรมมากที่สุดเลย แล้วเอารูปธรรมที่มากด้วย เพราะงานศิลป์ ของอาตมานี่ ที่สร้างออกไปให้คนรับนี่นะ มีทั้งเอาคนมาเป็นอุปกรณ์ในการปั้น ถ้าเป็นรูปปั้น เอาทั้งคนจริงๆ มาเป็นรูปปั้น แล้วคนจริงๆ ไม่อยู่นิ่งด้วยนะ มีการเคลื่อนไหว ได้ด้วย มีคนนี่แหละ เป็นเนื้อหาหลัก หรือภาพที่อาตมาเขียนนี่ อาตมาเอาคนนี้ มาเป็นสี แล้วอาตมา ก็เอามาเขียน เอาสีติกขวีโร สีถิรจิตโต สีนันทิดา สีสุรศักดิ์ สีอะไรต่างๆนี่เอามาใส่ ประกอบ ภาพขึ้น และสี พวกนี้เอาตัวนี่จับใส่ตรงนี้ เอาตัวนี่จับใส่ตัวนี่ แล้วก็ดิ้น แล้วก็รู้ว่า จะดิ้น ไปทางไหน สีตัวนี้มันจะดิ้นไปทางนี้ สีตัวนี้มันจะดิ้นไปทางนี้รู้ เอาใส่ตัวนี้ มันจะดิ้น ไปทางนี้ มาประกอบตัวนี้พวกนี้ โอ้โฮ เป็น dynamic เป็นตัวที่เคลื่อนไหวมาก แล้วก็เป็นไป ตามหมาย ตามที่เรากำหนด แล้วมันจะให้คุณค่ากับคนสัมผัสแล้วคนดู คนสัมผัสแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ใส่เอาไว้ ฟังดีๆ อันนี้ไม่ใช่โมเมนะ เป็นเรื่องจริงๆเลยนะ แต่มันยิ่งๆใหญ่ เหลือเกิน เป็น The Greatest abstract อย่างที่ว่านี่ มันเป็นสภาพที่รู้ได้ยาก เป็นอรูปธรรม ที่มันมากมาย มีทั้งองค์ประกอบ นัยอื่นทั้งหมดเลย เอามารวมร่วมเป็นเอกภาพของรูป รวมเป็น เอกภาพ ของรูปอันหนึ่ง แล้วรูปอันนี้ใครสัมผัสแล้ว มันจะให้ค่าให้คุณแก่ผู้สัมผัสไปเท่าไหร่ องค์รวม ต่างๆ พวกนี้ ประกอบด้วยสิ่งมากมาย รวมจากสิ่งต่างๆมากมาย มาเป็นอันนี้นี่ ภาษาทาง เทคนิค ภาษาทางวิชาการเขาเรียกว่า Composist รวมมาเป็นอันนั้นแล้ว คือองค์ ทั้งหลาย ที่รวมแล้วเรียบร้อย เป็นองค์ประกอบเป็นเอกภาพ unity เป็น unity แล้ว เขาเรียกว่า composition ในลักษณะต่างๆ รวมกันขึ้น แต่เอามาจากสิ่งหลายอย่าง นี่เรียกว่า composist เอามาจากหลาย เกินกว่าโลกเขาจะเข้าใจได้ง่าย เกินกว่าศิลปินธรรมดา อาจจะเข้าใจ ได้ง่ายๆ และไม่ตายตัว ไม่อยู่กับที่ไม่นิ่ง เคลื่อนไหวได้นี่ แต่เอามาใช้ได้ กำหนดได้ กำหนดอยู่ที่ พอสมควร ไม่เปลี่ยนแปลง หรือไม่ออกไปนอกเขต ไม่ออกไปนอกขีด ไปทำปฏิกิริยา อยู่ในขนาดนั้นๆ ออกฤทธิ์ออกแรง ออกสังเคราะห์กัน จนกระทั่ง คนเขาสัมผัสแล้ว เป็นไปตาม ที่เราหมาย

ไม่เอาอะไรมากหรอกนะ อาตมากำหนดบอกพวกเราโดยที่เรียกว่า อาตมากำหนด พวกคุณก็รู้อยู่ อาตมาไม่ได้บังคับที่เดียว แต่กำหนด พวกเราจงไปศาลนะ เวลาศาลนี่ไปกันแล้ว มันจะเกิด สภาพอย่างนี้แหละ จะเป็นรูปเป็นแบบ จะเรื่องจะเป็นราวไปศาล วันที่มีคดี ที่จะต้องไปศาล ก็ไปช่วยกันไป ตามที่เราเป็น อาตมาได้ให้พวกคุณอบรมแล้ว นั่งอย่างนี้นะ เดินไปเดินมา อย่างนี้นะ มีพฤติกรรมกิริยาอย่างนี้นะ ไปทำไปศาลแล้วก็ไปทำ เป็นอย่างที่เป็น นั่นแหละ เท่าที่อาตมา ได้พยายามจะย้ำจะเน้น อะไรบกพร่องก็มาเตือนกัน อย่าทำนะ อย่าทำอย่างนี้นะ แล้วก็ไป มันก็ไปเป็นภาพ เป็นรูปเคลื่อนที่ไปแสดงที่นั่น เคลื่อนที่ไปแสดงที่นี่ ยิ่งกว่าคอนเสิร์ต ก็เป็นศิลปะชนิดหนึ่ง ยิ่งกว่าคอนเสิร์ตได้ไปอย่างนี้ เป็นต้น พูดอย่างนั้น คงจะเข้าใจเพิ่มขึ้น และแล้ว มันก็เกิดให้คนสัมผัสเรียนรู้ และแล้วก็ได้สะพัดกระจายไป คนก็ได้รู้ อะไรเกิดขึ้น สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วมีผลที่ได้เผยแพร่ มีผลที่ให้มนุษย์ได้รับ อาตมาเป็นศิลปินอย่างนี้ ไอ้แค่ไปเอาภาพลงไปเขียน แล้วเอาไปขาย ๒ พันล้าน เหมือนแวนโก๊ะนั่นแหละหรือ เรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน พูดแล้วใหญ่กว่าแวนโก๊ะ เสียด้วยนี่

พวกศิลปินใหญ่ เขาคงบอกว่า ไอ้นี่มันหลงตัวหลงตนขนาดเลย เขียนภาพออกมา ดูซิ ขายได้ ๒ พันล้านเหมือนแวนโก๊ะไหม อาตมาเขียนไม่ได้หรอก ของอาตมาพวกคนดูไม่รู้เรื่อง ถ้าอาตมาเขียน ก็ภาพอาตมาเขียนอยู่ทุกวันนี้ ภาพของอาตมาใช้วัสดุ พวกนี้ซื้อแพงกว่า ๒ พันล้าน ก็ประกอบไปด้วยคุณกี่คนกันละ คุณคนจะขายเกินราคา ตัวละเท่าไหร่ละ ให้เขาซื้อไปละ ภาพที่ไปนั่งอยู่ศาลนี่ ซื้อไปซิจะขายเท่าไหร่ล่ะ กี่ล้านล่ะ เขาจะซื้อไหมล่ะ ก็ โอ๋ ภาพพวกนี้เอาไป แล้วรักษาไว้ที่บ้านยาก มันกินด้วย มันขี้ด้วยยาก เขาก็ไม่ซื้อ เพราะซื้อไป ยังเป็นภาระอีกด้วย แต่มันให้ประสิทธิภาพนะ ถ้าเขาซื้อไปน่ะ และพวกคุณก็ไปจริงๆ คุณก็จะ ไปมีบทบาทลีลา ตามที่อาตมาทำกับคุณ ให้คุณอบรมฝึกฝน คุณเชื่อคุณมีทฤษฎี คุณก็ไป ปฏิบัตตนอย่างนั้นๆ ที่จริงเป็นประโยชน์มากที่สุดกว่าภาพๆหนึ่ง กว่าภาพเขียนภาพหนึ่ง

ถ้ามีคนอย่างพวกคุณนี่ ไปอยู่บ้านในเรือนไหนนะ ถ้าพูดกับพวกคุณๆพวกคุณจะนึกว่า เอ๋อ ตัวเราก็ยังไม่ดีนะ ยังไม่ดีนะไปอยู่ที่นั่น คนจะช่วยเหลืออะไร เขายังไม่ได้มาก แต่คุณก็ดี ขนาดหนึ่ง คุณจะช่วยเหลือเขาได้ทีเดียว อย่างน้อย คุณก็เป็นคนล้างจานให้เขาได้ อย่างที่ อาตมาพูดมาแต่ต้นแล้ว ก็ช่วยล้างจาน ก็ช่วยทำนั่นทำนี่ คุณไม่ติดไม่ยึดอะไร มันก็ได้ และ เราจะนำพาให้เขา ลดลงมาตามทางนี้ เป็นคนที่ดี คนที่จะมีรสนิยมกับภาพนี่ ภาพที่เห็นว่า คนที่มาล้างจานช่วย มีการช่วยเหลือเกื้อกูลเสียสละ มีการไม่ถือศักดิ์ถือศรี มีการถือศักดินา รู้จักทิศทาง เป็นคนที่เจริญ คนดีเป็นคนอย่างนี้ เขาก็ชื่นใจ เขาก็นิยมชมชอบ เขาก็จะซื้อภาพนี้ เขาก็จะเอาภาพนี้ไปบ้าน ทุกวันนี้ก็ทำอยู่ เช่นพวกเรา ชวนกันไปบ้าน เขาก็ต้องชวนพวกคุณ เขาไม่ชวน เอาคนข้างนอกหรอก เขาไม่ไปเที่ยวชวนเอาไหนๆๆ ที่ไม่เข้าเรื่องไปบ้านเขาหรอก พวกคุณนี่แหละ เขาคงไม่ไปชวนเขาไปบ้านคุณหรอก พวกนี้ชวนไปแล้ว ไม่เห็นไปเป็น ศิริมงคลอะไร ไปบ้านมันจะไปเข้าท่าอะไร ถ้าพวกเราไป เออ ดีไปพวกเรา มันจะได้เป็นพี่ เป็นน้อง จะได้อบรม

ยิ่งไปนิมนต์เอาสมณะ เรียกว่าชวนคนที่สูงกว่า นิมนต์เอาสมณะไปบ้าน ดีเลยยิ่งดีเลย ได้ก่อเกิดๆอะไรก่อเกิดศิริมงคลกิจ เกิดนำพาเราดีขึ้น เพื่อนเห็นว่า เรามีวิริยา มีกรรม มีการกระทำกุศล จะได้ไป พาเราทำกุศล เพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน เราเชื่อว่า ไปแล้ว จะพาเราเจริญ ประเสริฐ ถ้าพวกกลุ่มโจรฝีมือดี ก็จะได้รับคำเชิญชวน ถึงจะมีเพื่อนฝูง มาหา โจรด้วยกันจะมาหา มาหาโจรมือดี หรือมือดีก็จะได้รับคำเชิญไปบ้านของโจร ฝีมือ ยังไม่ดีนะ คนที่ค้าขายเก่ง มีฝีมือทางด้านค้าขาย ก็จะมีคนมาหาพวกที่นักค้าที่ เขาก็จะมาฝึก หาเอา จะมาต่อเชื่อมโยงเอา จากวิธีค้า สายสนเครือข่ายของการค้า เขาก็จะมาติดต่อของ ผู้มีอำนาจ มีฤทธิ์เดช มีฤทธิ์มีแรงในด้านการค้า หรือเชิญผู้ที่เก่งในการค้า ไปบ้านเขา เป็นศิริมงคล ไปได้โอภาปราศัย ไปได้ทำความสัมพันธ์ไปได้ถ่ายทอดๆอะไรๆ ที่จะเป็นเรื่องของ ความเก่ง ทางการค้าจากเขา หรือเครือข่ายหรือเส้นสายอะไรที่เขาได้มีสัมพันธ์ ทางด้านการค้า เขาก็เชิญไปมีความสัมพันธ์ ฉันเดียวกัน ที่ยกตัวอย่าง ไอ้โจรก็ดี ได้ยกตัวอย่างพ่อค้าก็ดี ได้ยกตัวอย่างข้าราชการ ได้ยกตัวอย่างใครก็แล้วแต่กิจการงาน หรือทิศทางดำเนินชีวิต คตะ คติ คือไปของใคร เขาก็นิยมอันนั้น ของเรานิยมในธรรม

ธรรมะอย่างนี้ สายอโศกอย่างนี้ เราก็นิยมสายอโศก นิยมที่จะเชื่อมโยงกัน นิยมที่จะนำพากัน นิยมที่จะให้มีเครือข่าย ให้มีการถ่ายทอด ให้มีการนำพากัน ก็เหมือนคนนิยมภาพ นิยมรูป ของใคร ก็นิยมรูปของคนนี้ เราก็อยากได้รูปของคนนี้ ถ้าได้รูปของคนนี้ไปไว้ที่บ้านแล้ว เราก็จะได้มีศิลปะอย่างนี้ เราก็จะได้รับฤทธิ์เดชอย่างนี้ แต่เขาไม่ค่อยรู้เรื่องถึงขนาดนี้หรอก ไม่รู้เขาจะเอาภาพนี่ เขาซื้อกัน ๒ พันล้านบาท ไม่รู้เขาจะซื้อไป และเขาจะไปออกฤทธิ์ ออกแรงอะไร ไม่หรอก เอาไปขายเป็นนิยมเชิงกลทางการค้า ใช้จิตวิทยา ปลุกเร้าให้มัน นิยมกัน แล้วก็ซื้อกันมากมาย คนที่มีเงินมากมาย มันก็อยากจะดัง มันก็อยากจะใหญ่ ข้ามีของที่หายาก ข้ามีชิ้นเดียวในโลก ประมูลซื้อมานี่ ต้องใช้เงินซื้อมาถึง ๒ พันล้านเชียวนะ ดูแล้วไปสัมผัสแล้ว ฤทธิ์เดชของภาพนั่นนะ ทำให้คนเจริญ หรือทำให้คนเป็นอะไรไปแค่ไหน พ้นทุกข์ขนาดไหน พาให้เจริญ ขนาดไหน หรือ ไปช่วยสร้างสรรในการค้า ถ้าดูรูปนี่เป็นรูปของ ถ้าใครดูแล้ว ถ้ามันจะให้ฤทธิ์เดช ไปในทางฉลาดรู้กลไกของการค้า มันให้อย่างนั้นจริงหรือ รู้กลไกของ ทางไอ้โน่น ไอ้นี่อะไรก็แล้วแต่ มันให้จริงหรือ

แม้แต่กระทั่งวิญญาณ ดูรูปนี่แล้ว ทางวิญญาณ โอ้โฮ ทำให้วิญญาณนี่ สูงส่งจริงหรือ เปล่าเลย ไม่ถึงขนาดนั้นเลย ไม่คุ้มกับราคาเลย แต่เป็นเรื่องกลเม็ด ของทางการค้า ทุกวันนี้ ทำเป็น ประมูลยกค่าศิลปินด้วยกัน คนทำงานด้านนี้ด้วยกัน จะได้เป็นคนที่ได้เงินเหล่านี้ ตรงกันข้ามกับพวกเรา น้อยลงๆๆนะ ยิ่งนิมนต์พระผู้ใหญ่ไปยิ่งไม่เอาสตางค์ ยิ่งไปนิมนต์ พระกเฬวรากใส่ซองน้อยด่า ต้องใส่ซองมากๆ ถึงจะเอา พระอย่างนี้ ก็ไม่ค่อยอยากได้ อยากได้พระที่นิยมไปแล้วนี่ ไม่ต้องใส่ซองไปเลยนี่ เออ อย่างนี้ก็ อยากนิมนต์จริงๆ ทางโลก เขาก็อยากได้พระอย่างนั้น อยากได้พระที่นิมนต์ไปบ้าน นิมนต์ไปบ้านแล้ว โดยไม่ต้องใส่ซอง ให้สักบาท เขาก็อยากได้อย่างนั้น แต่ไม่มันซับซ้อนๆ ตรงไหน ซับซ้อนตรงว่า โอย ต้องนิมนต์ เอาพระรูปนี้ไปแล้ว พระรูปนี้ใหญ่ในสังคมนะ พระศักดิ์ใหญ่นะ พระศักดิ์ใหญ่ๆทางไหน ก็แล้วแต่เถอะ แบบโลกีย์ เสร็จไปที่บ้านเขา แล้วเป็นอย่างไร ฉันใส่ซองให้ ๒ ล้านแน่ะ ใหญ่ ข้าใหญ่มั้ย ข้าให้ ๒ ล้านเชียวนะ เอ็งนิมนต์เอง ไม่ได้หรอกองค์นี่ เพราะว่าถ้าเผื่อว่า ไม่ถึงอย่างต่ำซองหนึ่ง ต้องล้านหนึ่ง หรือแสนหนึ่ง ถึงจะไปได้ เหมือนอย่างเราเคยได้ยินไหม จะนิมนต์ไปเทศน์เหรอ อย่างต่ำต้อง ๒ หมื่นนะ ถ้าไม่ถึง ๒ หมื่นไม่ไปนะ เคยได้ยินใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น แน่อย่างนี้ แล้วก็ เขานิมนต์ไป บอกฉันสู้ราคา โอ๋ย คนนี้ ศิลปินมือนี้ ไปเทศน์แล้ว ได้วิเศษเลย สู้ราคานิมนต์เลย นิยมกันในสังคม ซ่อนเชิงกว่านั่นก็นับได้จ่ายใหญ่ ฉันสู้ราคา และฉันมีรสนิยมหนา พระรูปนี้ เทศน์อย่างนี้ เยี่ยมเลย ฟังเทศน์พระรูปนี่เยี่ยม รสนิยมดี โลกๆเขาก็นิยมกันมาก โลกๆจะเป็นลักษณะโลกียะ ไปอย่างนี้เสมอ ค่านิยมแบบสังคมที่เขานิยม และมันก็จะได้ลาภ ได้ยศ ได้เชิงชั้นพวกนี้ ซ้อนเชิงลึก มันลึก รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง จะรู้ตัวก็ยังทนต่อกิเลสของตัวยังไม่ได้ ก็ยังเห็นอยู่ ได้มอง ในแง่ภูมิ ของตนเอง มันก็ดีนี่หนาทำแบบนี้ โลกธรรมแบบนี้ สังเคราะห์แบบนี้ด้วย ช่วยแบบนี่ อะไรต่างๆ นานา ซ้อนเชิงนะ มันซ่อนเชิง เรื่องนี้ลึกซึ้งมาก เรื่องอาตมานี่นะ คนจะเพ่งโทษนี่บอก นี่มันก็หาเงินเหมือนกัน นี่มันก็รับเงินๆมาแล้วมันก็ ทำอันนี้ไป มันก็ต้องการดัง เห็นที่เขาว่า มันต้องการดัง เผยแพร่ไปอะไรไป มันก็มาสร้างก่อนนะ เดี๋ยวมา ก็มาสร้างอันโน้นอันนี้ อีกเหมือนกัน ทำโน่นทำนี่มันซ้อนเชิงอยู่นะ มันเป็นสงเคราะห์ คนอื่นเขาเหมือนกันนะ แต่เราเน้นในเชิงที่ จะเป็นการสงเคราะห์ ที่มันมีรายละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อนอยู่หลายชั้น นี่อาตมาบอกให้พวกเราใช้ความสังเกต มันมีหลายเจ้าหลายราย

ทีนี้ ธรรมะที่เป็นโลกุตระนั้น ทางด้านโลกุตระนี่เมื่อมีประชาชนมากขึ้น โลกุตรธรรมที่สอน ถ้าเผื่อว่า มันไม่ได้สัดส่วน มันไม่ได้ลักษณะที่สมบูรณ์แล้ว โลกุตรธรรมจะตื้นขึ้น โลกียธรรม จะมากขึ้น แต่ถ้าเผื่อว่าองค์ประกอบของแกน กลุ่มใดก็แล้วแต่ ถ้าเผื่อว่ามากขึ้น โลกุตรธรรม ก็จะลึกขึ้น โลกียธรรมก็จะกว้างขึ้นด้วยเจริญทั้ง ๒ ด้าน โลกียธรรม ก็กว้างขึ้น โลกุตรธรรม ก็จะลึกขึ้นไป ไม่หายไป แต่ทางด้านที่มีกลุ่มแกน หรือ มีกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ขึ้น แล้วแกนก็ไม่สูง มันก็จะถอนโลกุตรธรรม เข้าไปหาโลกียธรรมมากขึ้น โลกียธรรมจะมากขึ้น โลกุตรธรรม ตื้นขึ้นเรื่อยๆ ระวังพวกเรา

ทุกวันนี้อาตมาพยายามเน้น พยายามกระทำโลกุตรธรรมให้ลึกขึ้นอยู่เสมอ แต่หลายคนเบื่อ หลายคนรับไม่ได้ก็เห็นใจ ก็เข้าใจ แต่คนที่รับได้ รับได้ลึกขึ้นได้เรื่อยๆ มันก็จะชอนไช ซ้อนขึ้นมา เรื่อยๆ ผู้ที่ได้ลึกๆขึ้นไปเรื่อยๆ ผู้ที่หมดภูมิที่จะรับ ก็ถูกปลดปล่อยออกไปเรื่อย อาตมาบรรยาย ธรรมะนี่ โลกุตระซ้ำซ้อน ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆทุกที ยังไม่หมดนะ โลกุตระยังไม่หมดนะ แทงลึก เข้าไปอีก เรื่อยซับซ้อนเชิงมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ใครมีภูมิรับได้ไปเรื่อยๆนี่จะรู้สึก จะเข้าใจว่า เออ ลึกขึ้นดีขึ้น ดีขึ้น แต่มันน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่มันก็ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไป เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องขวนขวายปฏิบัติ ตามให้ไปให้ได้เรื่อยๆ และพวกคุณ ก็จะได้รับช่วง สิ่งนี้ต่อ มันจึงจะสร้างสิ่งจริง มีเนื้อมีมวลมีตัวตน เป็นตัวตนเป็นรูปธรรม เป็นตัวบุคคลที่จะรับเอา ภูมิธรรมพวกนี่ ซ่อนตัวๆ เกิด มันถึงจะมีการเกิดได้ มันถึงจะมีของจริง สมบูรณ์

เพราะฉะนั้น อาตมาก็จะต้องเน้นต้องย้ำต้องพยายามพากันไปอยู่จนได้ ต่อไปถึงอรหันต์ให้ได้ ไม่ใช่เอาแค่นี้แล้วก็พอ เอาเพียงคุณธรรมฟ่ามๆเท่านี้ เอาแต่แนวกว้าง เอาแต่แนวระนาบ เอาแต่แนวโลกียะ อนุโลมไปมากๆไม่ได้หรอก อย่างนั้นไม่ได้หรอก อย่างนั้นฟ่ามตาย อย่างนั้น ก็รับเละๆ ประเดี๋ยวก็มาถ่วงมาดึงกันมากเกินไป อาตมาถึงพยายามเน้นพวกเรา อย่าหยุดอยู่ๆๆ อย่าแช่นิ่ง ต้องพากเพียร กรรมทุกกรรม กิริยาทุกกิริยา ต้องขอให้มีโพชฌงค์ ขอให้ทุกกรรม ทุกกิริยา มีองค์ประกอบแห่งการตรัสรู้จริงๆๆ งานทุกงาน กรรมกิริยาทุกกรรมกิริยา ที่เราปฏิบัติ จะต้องมีโพชฌงค์ ประกอบธรรมะของพระพุทธเจ้า ทั้งคิดทั้งพูด ทั้งทำการงาน ทั้งทำอาชีพ อะไรอยู่ ปฏิบัติธรรมอยู่ในตัวทั้งนั้น มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสติ มีสัมมาวายามะ ร่วมองค์ประกอบ ทั้งนั้น สั่งสมสมาธิ สั่งสมสัมมาสมาธิ สั่งสมฌาน สั่งสมญาณ สั่งสมวิมุติอยู่จริงๆ ปฏิบัติให้ได้ ้ร่องได้รอย นี่ ให้ได้ลักษณะพวกนี้ ให้จริงให้จัง ถ้าไม่เช่นนั้นไม่ได้

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว เรามีธรรม เราเคารพกันด้วยธรรม ไม่ได้เคารพกันด้วยศักดิ์ศรี ไม่ได้เคารพ ด้วยชาติกำเนิด ไม่ได้เคารพกัน ด้วยความร่ำรวย ไม่ได้เคารพกัน ด้วยความสามารถ เท่านั้น ความสามารถ เป็นองค์ประกอบซ้อน เราสามารถมาก เราขวนขวายมาก ขยันมาก แล้วก็ เสียสละได้มาก ซ้อนเชิงได้เป็นตัวอย่างอันดีงาม เป็นผู้มีคุณค่ามีประโยชน์ มีทั้งความสามารถ และเป็นความสามารถที่ซ้อนเชิงขึ้นไปเรื่อยๆว่าสูง ไปทำสิ่งสูง และคนที่ไปทำสิ่งสูงได้นั้น ต้องรู้ตัวเองว่า อยากไปทำสิ่งสูง เหมือนโลกๆอยากไปทำสิ่งสูง อย่างประเภทที่อยากได้ ตำแหน่งสูงๆ ทำงานชั้นสูง ตนเองทำงานชั้นล่างๆ นั้นอย่างดีได้แล้วหรือยัง ติดยึดอยากใหญ่ หรือเปล่า อยากสูงหรือเปล่า ถ้าอยากใหญ่ อยากสูง นั้นไม่ใช่เรื่องแล้ว มาทำต่ำก็ทำไม่ได้ ทำต่ำแล้วก็ทุกข์ร้อน ทำต่ำแล้วก็เดือดร้อน ทำต่ำแล้วก็อึดอัดขัดเคือง ไม่ชอบ ยังผลักสิ่งต่ำ แล้วก็ไปหลงใหลสิ่งสูง พวกนี้ก็พอเข้าใจนะ มันมีเหมือนกัน งานลักษณะสูง ลักษณะต่ำ มันมีโดยโลก โดยความเข้าใจเป็นธรรมดา เสร็จแล้วเรามีจิตอย่างนี้จริงๆ จิตที่มันศักดินา ในหัวใจ ถ้าเรามีอย่างนั้นจริงๆ เราอย่าผลีผลาม เราอย่าพยายาม กระดี๊กระด๊าเกินไปนัก ไม่ดีหรอก ให้มันเนียนให้มันเป็นไปได้ซักซ้อมทำซ้ำซาก ในสิ่งที่มันต่ำแล้ว ก็ทำไป จนกระทั่ง ไม่มีกิเลส แล้วก็เข้าใจอันนี้อย่างซาบซึ้งจริงๆ ล้างกิเลส ให้มันละเอียดจริงๆ แล้วมันถึงจะไปได้ การงานเป็นองค์ประกอบ ในการพิสูจน์ตัวเราได้ อย่างดีด้วย



ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ
ตรวจ ๑ โดย สม.ปราณี ๒๕ พ.ย.๓๔
พิมพ์โดย อนงค์ศรี ๓ ธ.ค.๓๔
ตรวจ ๒ โดย ปาณิยา ๔ ธ.ค.๓๔
เข้าปก โดย ปะคมกล้า อโศกตระกูล
เขียนปก โดย พุทธศิลป์
FILE:2015.TAP